วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


“กระแสโอฆะ”
พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๒
เทศน์ที่ สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น

พูดเรื่องกายใจ จริงๆแล้วธรรมชาติของธาตุน่ะ มันเหมือนกันนะ ดูเสาโทรศัพท์ล่ะ มันจึงเป็นทั้งเครื่องรับกับเครื่องส่ง แต่เสาโทรศัพท์มันต่างจากมนุษย์ มันรับแล้วมันก็ส่ง มันทำหน้าที่แค่รับกับส่ง ดีไม่ดีมันไม่รู้เรื่องหรอก มันรับอย่างเดียวส่งไปอย่างเดียว ทีนี้อย่างโครงงานเด็กน่ะ กังหันลมนี่ใช่ไหม มาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ มันเปลี่ยนแปลงได้น่ะ ดูซิมันเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานตรงนั้นน่ะ นั้นแหละตัวอนิจจัง ความไม่คงที่อยู่ ความไม่เที่ยงนั่นเอง ทีนี้โลกของเรานี่ อันนี้พูดถึงเรื่องธาตุก่อน ร่างกายเราน่ะ คำว่าโลกในส่วนใหญ่พระพุทธเจ้าก็พูดถึงธรรมะ โลกก็คือขันธ์๕ คือรูปนามกายใจเรานี่เอง อย่างเรื่องของโลก ในกายในใจของเรานี่ มันเป็นธาตุออกมาอีก เขาเรียกว่าธาตุ ๔ ดินน้ำไฟลม อากาศธาตุคือช่องว่าง ไม่ใช่ลมนะคือช่องว่าง แล้วก็วิญญาณธาตุคือธาตุรู้ นี่พระองค์เรียกว่าธาตุหมด ธาตุมันมีหน้าที่มันทำหน้าที่ของเขาอยู่ จึงบอกเหมือนโทรศัพท์น่ะ เป็นทั้งเครื่องรับกับเครื่องส่ง คนทุกคนนี่เป็นทั้งเครื่องรับกับเครื่องส่ง โดยทั่วไปธรรมชาติ ทีนี้นี่ถ้าจิตปุถุชน เมื่อรับมาแล้วไม่รู้เท่าทันมันก็ฟุ้งซ่านไปก็เป็นเครื่องส่งอีกทีหนึ่ง ส่งกระแสที่เป็นลบออกไปโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม อันนี้อันหนึ่ง แต่ถ้าพระอริยเจ้าแล้วเมื่อรับมาแล้วนี่เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ดับสูญไปทุกคลื่นทุกคลื่นไป คลื่นแต่ละคลื่นกระทบเข้ามาสู่ใจท่านแล้ว ท่านก็รู้เหมือนปุถุชนทั้งหมดน่ะ แต่ท่านไม่มีความยินดียินร้าย ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เห็นถึงความไม่มีความเป็นตัวตน มันเลยเหมือนคลื่นทะเลกระทบฝั่ง กระทบฝั่ง กระทบฝั่งไปแล้วก็ดับสูญไป ดับสูญไปดับสูญไป สิ่งที่ท่านส่งออกมาคือความดับสูญคือความว่างนั่นเอง จึงเป็นความสงบ เย็น นิพพานจึงเรียกว่าดับ เย็น พระอริยเจ้าท่านไม่ส่งคลื่นที่เป็นลบออก ไม่ว่าคลื่นจะมาบวกหรือลบกระทบเข้ามาสู่ใจท่านแล้วก็ดับสูญ ดับสูญ ดับสูญไป ท่านไม่มีความสำคัญมั่นหมายในสิ่งเหล่านั้น จึงเห็นว่า จึงตรงกับพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าแสดงเรื่องมหาสติปัฏฐานสูตร เห็นธรรมสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่มีความติดยึดในธรรมนั้น ธรรมนั้น ตัณหาและทิฏฐิไม่สามารถจะอาศัยได้ เมื่อมันกระทบเข้ามา ถ้าเรายังมีสมมติอยู่ยังมีความหลงอยู่ ก็จะหลงไปตามความเห็นที่มันปรุงขึ้นมา อันนี้ทุกข์ ฉันทุกข์นะ อันนี้ฉันสุขนะ อันนี้ฉันไม่ชอบนะ อันนี้ฉันชอบนะ อันนี้ฉันไม่ยอมนะ มันจะไปตามคลื่นที่มันมา นี่เขาเรียกว่าหลง ทิฏฐิจึงครอบงำได้ เมื่อทิฏฐิครอบงำแล้ว ตัณหาก็ทะยานอยากออกไปตามลักษณะของกิเลส เพราะฉะนั้นนี่พระอริยเจ้ากับปุถุชนต่างกันตรงนี้ เมื่อคลื่นมากระทบฝั่ง กระทบเหมือนกัน นั้นหลวงปู่มั่นเหมือนกัน ท่านถูกโลกธรรมกระทบอย่างรุนแรง ก็กระแสโอฆะคลื่นจากภายนอกนั่นเอง ท่านจึงพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ จนจิตมันรวมลงถึงอัปปนาแล้วถอนขึ้นมา บาลีผุดขึ้นมาบอกท่าน “พระอริยเจ้ากับปุถุชนนี้ไม่ต่างอะไรกัน ย่อมถูกโลกธรรมกระทบเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ปุถุชนหวั่นไหว พระอริยเจ้าไม่หวั่นไหว” เพราะไม่มีตัวเข้าไปรับ ให้รู้จักเอาไว้ถ้าเราอยากเป็นพระอริยเจ้าต้องเดินตามรอยพระพุทธ คือพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ท่านตรัสรู้ไป ท่านนำพระธรรมมา เดินตามรอยพระธรรมแล้วก็พระสงฆ์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ท่านบรรลุแล้วท่านอยู่อย่างไร นี่คือความจริง เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเคยพูดให้ฟังอยู่แล้วว่า โลกนี้เป็นโลกของอวิชชา ที่พูดนี้พูดเพื่อให้เข้าใจ ตั้งสติฟังนะ โลกนี้เป็นโลกของอวิชชา เป็นโลกของความเป็นตัวตนความหลง ย่อมมีกระแสทั้งโลภะโทสะโมหะ เป็นกระแสลบ บางขณะก็จะมี บางขณะก็จะไม่มี เมื่อจิตนั้นเป็นกุศลกระแสก็จะเป็นบวกออกมา เมื่อจิตเป็นอกุศลกระแสมันก็จะเป็นลบ พระอริยเจ้าหรือผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ถ้าเทียบดูแล้วน้อยมากเมื่อเทียบกับมนุษย์หกเจ็ดพันล้านคน กระแสลบเหล่านั้นต้องมี โลกธรรมตรงนี้เราห้ามไม่ได้ เพราะมันเป็นอนัตตา มันไปตามเหตุปัจจัย เมื่อจิตนั้นเป็นอกุศลย่อมเป็นกระแสอกุศล จะให้เป็นกระแสกุศลไม่ได้ นั้นแหละคืออนัตตาบังคับไม่ได้ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา มันออกมาทุกขณะ เรามีหน้าที่อย่างเดียว ไม่ใช่มีหน้าที่จะไม่ให้มันมานะ เหมือนเสาโทรศัพท์ มันไม่มีหน้าที่บอกคลื่นโทรศัพท์อย่ามานะ มันมีหน้าที่อย่างเดียวคือไม่รับ รู้แล้วละ รู้ละ แน่ะสำคัญตรงนี้ เพราะฉะนั้นจึงตรงกับที่ท่านได้บาลีผุดขึ้นมาบอกท่าน พระอริยเจ้ากับปุถุชนย่อมถูกโลกธรรม๘กระทบเหมือนกัน พระอริยเจ้าต่างจากปุถุชนตรงที่ท่านไม่หวั่นไหว ปุถุชนหวั่นไหว เมื่อหวั่นไหวก็ฟุ้งซ่านไป ฟุ้งซ่านไปจึงเป็นวิภวตัณหา ภวตัณหา กามตัณหาตลอดเวลา การถูกธรรมารมณ์ที่เป็นอกุศลนั้นครอบงำจิตนี่ นั้นจึงตรงกับที่บาลีว่า “จิตตัง ปะภัสสะรัง อาคันตุเกหิ กิเลเสหิ อุปกิเลเสหิ” จิตตัง ปะภัสสะรัง จิตดั้งเดิมประภัสสร อาคันตุเกหิ กิเลเสหิ กิเลสจรมา คำว่าอาคันตุกะคือผู้มาเยือน ก็คือกิเลสนั้นจรมาปกปิดจิต อุปกิเลเสหิ อุปกิเลสเมื่อเราหลงอาคันตุกะ เหมือนคนมาพูดให้เราฟังเราหลงเมาคำพูดเขา หลงไปตามคำพูดเขา อันนี้เทียบภายนอก แต่ภายในคือเราหลงธรรมารมณ์นั้น เมื่อหลงตัวนั้นเกิดขึ้นจึงเกิดอุปกิเลสเกิดขึ้นในจิต อุปกิเลสที่เกิดขึ้นแล้วก็ทำให้จิตนั้นเศร้าหมอง เข้าใจยัง เหมือนเมฆบังพระจันทร์ พระจันทร์เขาอยู่ของเขาอย่างนั้น แต่เมฆมันจรมาบังแล้วมันก็ผ่านไป ให้รู้จัก ผู้ภาวนาต้องรู้จักตรงนี้ ถ้าไม่รู้จักตรงนี้ปฏิบัติไปไม่รู้กี่ภพกี่ชาติก็ไม่มีทางพ้นจากกองทุกข์ หลวงพ่อจึงเขียนไว้ว่าโลกธรรม๘ มรรค๘เป็นคู่ปรับกับโลกธรรม๘ ศีลสมาธิปัญญาคู่ปรับกับโลภโกรธหลงนั่นเอง ศีลคือสติตั้งมั่นเป็นปกติ ไม่ลงไปเล่น เป็นปกติ สมาธิตั้งมั่น จิตไม่ลงไปเล่นในอารมณ์ ปัญญาวิจัยอารมณ์นั้นแล้วก็ปล่อยวาง รู้ตามความเป็นจริง นั้นคือศีลสมาธิปัญญาเป็นคู่ปรับกับโลภโกรธหลงนั่นเอง หรือมรรค๘เป็นคู่ปรับกับโลกธรรม๘ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่น สัมมาวาจา เมื่อโอฆะคือกระแสที่เป็นลบเข้ามาสิงจิตแล้ว เขาเรียกมารเข้ามาสิงจิต มันจะให้คิดผิดเห็นผิด คิดผิดแล้วก็พูดผิดทำผิด เมื่อจะพูดผิดออกมาเราเจริญมรรคคือองค์๘ สัมมาวาจา ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ มรรค๘ตัวนี้จะควบคุมวาจาตรงนั้นน่ะ ไม่ให้ออกไปตามอำนาจฝ่ายต่ำที่มันสิงจิต คือมารสิงจิต นั่นแหละคู่ปรับเข้าใจยัง สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะคือกายกรรม กายกรรมที่เป็นทุจริตที่มันจะผลักดันออกไปเพื่อจะทำความชั่ว ก็ถูกสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะควบคุมอยู่ นี้นี่มันคิดผิดมันก็จะถูกสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะคือความดำริ ความตั้งตนไว้ชอบนั่นเองควบคุมอยู่ สัมมาวายามะ ความเพียร สัมมาสติ สัมมาสมาธิตั้งมั่น ทำจิตเขาอยู่ภายในจิต เพื่อไม่หลงไปตามอำนาจฝ่ายต่ำ อำนาจของธรรมารมณ์ที่เป็นลบอยู่ขณะนั้น เหตุนั้นมรรค๘จึงเป็นคู่ปรับของโลกธรรม๘ เข้าใจยังทีนี้ ฉันอธิบายให้ฟังหมดแล้วนะ เหตุนั้นคนปฏิบัติให้รู้จักตรงนี้แล้วจะเข้าใจ สติ ความเพียร สมาธิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ห้าตัวนี้จะหมุนเข้าไปอยู่ในจิตนั้น เพื่อถอดถอนความเห็นผิด ถอดถอนการที่จะไปตามอำนาจฝ่ายต่ำที่มันสิงสู่เข้ามา เขาเรียกว่ามาร จึงไม่ตามมารไป ทำจิตเขาอยู่ขณะจิตนั้น เพราะฉะนั้นจึงตรงกับพุทธพจน์บอกไว้ว่า “เธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด เธอจงมีตนเป็นที่เกาะ เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เธอจงมีธรรมเป็นที่เกาะ” เมื่อเราเจริญอย่างนี้ ก็คือมีตนนั่นเองเป็นที่พึ่ง อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ มีตนเป็นที่เกาะ สติสัมปชัญญะสมาธิตั้งอยู่ในกายใจไม่ออกไปข้างนอก ไม่ส่งนอก นี่เท่ากับละสมุทัยอยู่ จิตที่ส่งนอกเป็นสมุทัยทั้งหมด คิดจะไปนั่นไปนี่ คิดจะอย่างนั้นอย่างนี้ คิดสารพัดเป็นสมุทัยหมด นี่จะบอกให้ นี่มันจะอยู่ในตรงนี้ สติอยู่ในกายนี้ สมาธิอยู่ในกายนี้ ปัญญาอยู่ในกายนี้ วิจัยอยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเห็นแจ้งรูปนามขันธ์๕นี่คืออะไร เมื่อเห็นแจ้งรูปนามขันธ์๕ตรงนี้แล้ว กระแสแห่งโอฆะ กระแสแห่งอวิชชาจะไม่สามารถครอบงำจิตนั้นได้ จิตที่หลุดพ้นจากอวิชชาจึงเป็นจิตที่หลุดพ้น ให้จำเอาไว้ พิจารณาให้มาก เพราะฉะนั้นอาตมาจึงพูดให้ฟัง จึงเน้นมาก อย่าไปข้างนอก อย่าไปไหน ปักหลัก มันหลอกทั้งนั้นน่ะ คนถ้าไม่เห็นแจ้งตรงนี้พูดอย่างนี้ไม่ได้นะ จึงพูดให้ฟัง อย่าไปข้างนอก ถ้าไปข้างนอกเสียท่ามัน ทีนี้เทียบเคียงให้ฟัง เหมือนเมล็ดพืช เมล็ดผัก เคยปลูกผักกันไหม โยมเคยปลูกผักกันไหม เคยเห็นไหมเมล็ดผักมันอยู่ในกระป๋อง เคยดูข้างกระป๋องมันไหม มันเขียนว่ามีวันหมดอายุของการงอก เมื่อเอาไปปลูกหมดอายุมันจะไม่งอกใช่ไหม เพราะธรรมชาติของเมล็ดพืชมันมีระยะของการงอกใช่ไหม นี่นี่คือเมล็ดพืช เมล็ดนั่นนี่ ถ้าอยู่ในกระป๋องจนพ้นระยะงอกเอาไปปลูกจะงอกไหม นั้นแหละเหมือนอโหสิกรรม ทีนี้นี่ถ้าเอาเมล็ดนั้นไปลงดิน มีดินมีน้ำมีอากาศที่เหมาะสม งอกไหม (งอก) ฉันใดฉันนั้น ฉันจะเทียบให้ฟัง เมล็ดพืชตัวนั้นคืออวิชชา คือกระแสโอฆะ ถ้ากิเลสนอกก็คือกระแสโอฆะภายนอกที่เป็นลบมา เข้าใจยังล่ะ คลื่นที่เป็นลบมาสิงจิตน่ะ ที่มันมาปกคลุมจิต อาคันตุเกหิกิเลเสหินั่นเอง เมล็ดพืชนั้นน่ะเหมือนกิเลสนอก เหมือนกิเลสตัวกิเลส ดินน้ำอากาศคืออะไร ดินน้ำอากาศ ดินน้ำนี่ธาตุดินธาตุน้ำ อากาศคืออะไร ธาตุลมและธาตุไฟ ความอบอุ่นนั่นเอง ใช่ไหม มันมีอยู่ตรงนั้น ธาตุทั้ง๔นี้เป็นเหตุปัจจัยร่วม เหตุปัจจัยแรกคือเมล็ดพืช เหตุปัจจัยร่วมคือดินน้ำอากาศ เมื่อสองส่วนนี้ประสมกันเมล็ดพืชงอกไหม นี่เขาเรียกเหตุปัจจัยถึงพร้อม เหตุนั้นดินน้ำอากาศก็เหมือนธาตุทั้ง๔ในกายใจเรานี่คือขันธ์๕นั่นเอง ดินน้ำอากาศเหมือนขันธ์๕นะ ให้จำเอาไว้เลย ดินน้ำอากาศนี่เหมือนขันธ์๕ เมื่อเราเห็นว่าขันธ์๕นี้เที่ยง ขันธ์๕นี้ดี ขันธ์๕นี้เป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา นั้นคือมีดินน้ำอากาศพร้อมที่จะให้เมล็ดพืชงอก เมื่อเมล็ดพืชหล่นเข้ามาเมื่อไหร่ย่อมงอกฉันนั้น เหตุนั้นผู้ที่ต้องการความพ้นทุกข์ต้องวิจัยรูปนามขันธ์๕นี้ พิจารณาเป็นธาตุ๔ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นสักแต่ว่าธาตุ พิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นสักแต่ว่านามธรรมอันหนึ่ง เกิดแล้วก็ดับไป เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา ถ้าพิจารณาอย่างนี้เท่ากับไม่ให้ดินน้ำอากาศใช่ไหม เมื่อไม่มีดินน้ำอากาศเมล็ดพืชมีงอกได้ไหม นี้จึงบอกแต่แรกแล้วว่า โลกนี้เป็นโลกอวิชชา เราห้ามไม่ได้กระแสที่เป็นลบมา เราห้ามไม่ได้นะ แต่ต่างกันตรงที่พระอริยเจ้าท่านเห็นแล้วว่าขันธ์๕เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของท่าน สักแต่ว่าธาตุ เมื่อท่านเห็น มันกระทบมามันก็ไม่รับ มันก็ดับ กระทบมาก็ดับเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง มันต่างกันตรงนี้ แต่ปุถุชนนี้ยึดขันธ์๕รูปนาม เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมทำไมต้องพิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณให้เป็นธาตุ๔ เป็นธาตุรู้ ทำไมต้องไปพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ของตัวตน ไม่ใช่ของเรา ทำไมท่านไปพิจารณาอันนั้น นั่นแหละคือการเทียบอุปมาเหมือนเอาดิน ไม่ให้ดินน้ำอากาศเป็นปัจจัยต่อเมล็ดพืชคืออวิชชานั่นเอง เข้าใจยัง เพราะฉะนั้นทำไมเราต้องพิจารณารูปนามขันธ์๕ ว่างเมื่อไหร่ต้องพิจารณามัน ต้องฝึกสติเพื่ออะไร ฝึกสตินี่คือยามเฝ้าบ้าน เมื่อโจรมาเข้าบ้านสติเหมือนผู้เฝ้าบ้านตื่นอยู่ก็จะเห็นโจร ปัญญาคืออาวุธที่จะทำลายโจรตรงนั้น นั้นสติจึงต้องอยู่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะฉะนั้นสตินั้น โจรจะเข้าบ้านได้เพราะยังมีบ้านใช่ไหม ถ้าสติปัญญานั้นวิจัยธาตุ๔ขันธ์๕รูปนามตัวนี้สลายไปหมดแล้ว ไม่มีความเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา ก็เหมือนไม่มีบ้าน รื้อบ้านหมดนั่นเอง เพราะฉะนั้นโจรมันจะเข้าบ้านได้ไหม มันไม่มีบ้านให้มาเข้า นั้นฉันใด นี่ฉันทัศนะแต่ละลักษณะให้ฟัง นี้เป็นภาคปฏิบัติล้วนๆนะ ถ้าใครเข้าใจแล้วต้องปฏิบัติเดินตามนี้ ถ้าไม่เดินตามนี้ยังวิ่งออกไปก็จะตรงกับคำว่า อะเนกะชาติสังสารังฯ ตามตัณหาไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ตามมาแล้วเป็นอเนกชาติ ท่านไม่พบตัวมัน ถ้าจะพบตัวมันต้องเดินอย่างนี้ นี่คือภูมิวิปัสสนาล้วนๆน่ะ นี่ฉันเทียบให้ฟังหมดเลย เพราะฉะนั้นโอฆะภายนอก โลกธรรมที่มันมากระทบมันมีอยู่ตลอด เราหนีไม่พ้นหรอกนะ แต่สติปัญญาวิจัยกายใจตัวเองเห็นแจ้งแล้ว เหมือนไม่ให้ดินน้ำ เมล็ดพืชนั้นก็เหมือนอยู่ในกระป๋อง กระทบมาหมดกำลังมันน่ะ มันก็ดับสูญ เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ดับสูญไปทุกลูก ทุกลูกไป เข้าใจยัง นี่แหละการปฏิบัติต้องปฏิบัติแบบนี้ เพราะฉะนั้นนี่จึงพูด ชีเหมือนกันจึงบอก อย่าไปทำอย่างนี้นะ อย่าทำอย่างนั้นนะ ให้พิจารณาอย่างนี้อย่างนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อไม่ให้ดินน้ำอากาศแก่เมล็ดพืช เข้าใจยัง ให้วิจัยขันธ์๕ตรงความเป็นจริง ตามความเป็นจริงคือเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน เมื่อพิจารณาตรงนี้บ่อยๆเข้า ก็ไม่ให้ดินน้ำอากาศมัน เข้าใจยังล่ะ โลกธรรม๘มันมามันกระทบมันก็ทำอะไรไม่ได้ ดับสูญ ดับสูญ นี่แหละซึ่งตรงกับที่หลวงปู่มั่นท่านก็เดินเหมือนกัน ท่านจึงพิจารณาจิตท่าน พิจารณากายแยกกายแยกจิตจนมันรวมลงไป มันปล่อยวางรูปนามหมด รวมเข้าไปสู่อัปปนาแล้วมันถอยออกมาอยู่อุปจาระ บาลีจึงผุดขึ้นมาบอกว่า พระอริยเจ้ากับปุถุชนย่อมถูกโลกธรรม๘กระทบเหมือนกัน แต่พระอริยเจ้าต่างจากปุถุชนตรงไม่หวั่นไหว เพราะท่านเห็นความจริงของดินน้ำอากาศหมดแล้ว ของธาตุ๔ขันธ์๕หมด มันจึงไม่มีที่รองรับมาร บ้านไม่มีมารก็เลยไม่มีที่เกาะ เข้าใจยังล่ะ ทำไมต้องพิจารณารูปนามขันธ์๕ตรงนี้ นี่พูดเหตุผล ฉันพูดแผนที่ให้ฟังครบวงจรหมดนะ ทีนี้ภาคปฏิบัติวิธีการ ต้องไปสำเหนียกต้องเตือนสติตนเอง ตั้งสัจจะให้มั่นคง จะแก้ไขตัวเองแต่ละขณะๆไป ระลึกอยู่ทุกขณะ ไม่นั้นจะไปตามมันตลอด ไปตามมันตลอด ในโลกนี้นี่การกระทำของคนในโลกนี้ มันมีการกระทำที่เกิดจากสติปัญญาล้วนๆนี่น้อยนะ มันมีการกระทำการคิดพฤติกรรมบางอย่าง ที่เกิดจากสติปัญญาล้วนๆไม่มีโลภโกรธหลงนี่น้อยนะ จะมีอยู่ส่วนน้อยมากที่ทำด้วยสติปัญญาล้วนๆ เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้จึงต้องวินิจฉัย ได้ยินได้ฟังได้อะไรมา ทุกอย่างต้องใช้สติปัญญาวินิจฉัยลงสู่หลักธรรมหมด ไม่นั้นเราจะหลงไปตามกระแสโลก นี่ฉันมาสร้างวัด ก่อนจะมาเข้ามาทำถนน เขาทำลูกศรนี่ชี้เลย สวนกันอย่างนี้ให้เห็นเลยนะ แล้วเห็นพระยืนอยู่องค์หนึ่ง นี่ล่ะคือกระแสโลกกระแสธรรมมันสวนกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ใช้สติปัญญาวินิจฉัยให้รอบคอบ เราต้องไปตามกระแสโลก เมื่อไปตามกระแสโลกเมื่อไหร่ กรรมตัวนี้ต้องใช้ เพราะมันเป็นกรรมอยู่แล้ว จึงทำให้เนิ่นช้า กรรมตัวนี้ทำให้เนิ่นช้า บางคนปรารถนาพ้นทุกข์ในชาตินี้ก็ไม่พ้น ไม่พ้นทุกข์ด้วย ไปสร้างกรรม เลยไปอีกยาวไกลไม่รู้อีกกี่ภพกี่ชาติ แล้วต้องไปใช้หนี้กรรมตัวนี้อีก หมดหนี้กรรมตรงนี้แล้วค่อยจะมาเริ่มเข้ามาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ใหม่ เพราะอะไร นี่ให้จำไว้ให้ดี ให้พิจารณาให้มั่นคง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสเรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อเพราะว่าเป็นเรื่องปรัมปรา ไม่ให้เชื่อเพราะมันเชื่อตามกันมา ไม่ให้เชื่อเพราะน่าเชื่อถือ ไม่ให้เชื่อเพราะคาดคะเน ไม่ให้เชื่อเพราะเข้าความเห็นเราได้ แม้แต่ความเห็นเราก็ยังไม่ให้เชื่อ ถ้าให้เชื่อตรงนี้ปั๊บ มันจะเป็นให้ดินน้ำอากาศต่อเมล็ดพืชทันที ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผลด้วยความจริงคือสัจธรรมตรงนั้น แล้วไปลองประพฤติปฏิบัติดู ถ้าเป็นจริงก็เชื่อ ก็ปฏิบัติไป เท่านั้นน่ะ พระองค์ให้หลักวินิจฉัยไว้ตลอด เพราะอะไร เพราะโลกนี้มันมีอวิชชาเป็นยาดำแทรกอยู่ทุกขณะที่เราเห็น ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนะ ไม่ใช่แบบล้วนๆนะ สติปัญญาล้วนๆไม่ใช่นะ เพราะฉะนั้นเราจะต้องถูกยาดำตัวนั้นมันเอาดีมาหลอกก่อน แต่มันมียาดำหมัดน็อกทีหลัง นั้นน่ะต้องวินิจฉัยให้มาก ให้ถ่องแท้แล้วเราก็จะเข้าใจ เขาจึงบอกฉันน่ะ องค์ใดพระสัมพุทธ บริสุทธิ์ผุดผ่องใส ตัดกิเลสมาร อย่าให้มารได้ช่อง นี่แหละคือเหตุปัจจัย ถ้าเราอ่านเหตุปัจจัยออกหมด นั่นคืออนัตตาธรรม เราวางให้ถูกลักษณะของเหตุปัจจัยนั้น นั้นล่ะคืออนัตตาธรรม ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับผลดับ เมื่อเรารู้ว่าเหตุคืออะไร เราดับที่เหตุ ไม่ใช่ดับที่ผลนะ เข้าใจยัง เมื่อเมล็ดพืชจะเกิดได้ เพราะดินน้ำกับเมล็ด เมล็ดเราห้ามไม่ได้ แต่ดินน้ำอากาศไม่ให้โอกาสมันคือวิจัยมันนั่นเอง มันก็ไม่งอก นี่คือเราดับที่เหตุ เข้าใจยัง นี่ล่ะการปฏิบัติธรรมต้องอย่างนี้ เพราะนั้นจะไม่มี จิตใจเขาจะไม่มีใฝ่ไปที่ไหนเลย เมื่ออะไรมากระทบไม่ว่ารุนแรงหรือไม่รุนแรง เขาจะวิจัยกายใจดินน้ำอากาศนี้ตลอด ธาตุทั้ง๔รูปนามขันธ์๕นี้ตลอด ให้ลงสู่ความเป็นอนิจจังอนัตตาตลอด เมื่อกระทบเท่าไหร่ มารกระทบมาเท่าไหร่ บารมีจะแก่กล้าขึ้นเท่านั้น ขันติบารมีจะหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะเขาวิจัยลงสู่ธาตุ๔ขันธ์๕ เป็นอนิจจังอนัตตาไปตลอด จึงเป็นประโยชน์ตลอด เข้าใจยัง ไม่ใช่กระทบแล้วตามมัน กระทบแล้วตามมันตลอด แล้วไม่รู้ด้วยว่ามันมาจากไหนเป็นยังไง เหตุเพราะอะไรไม่รู้นี่ ตัวนี้เลยพลาดทำอย่างไร เสียโง่มันไง เลยต้องไปใช้กรรมนะ พอแว้บเดียวนี่อย่าประมาทนะว่ามันไม่สำคัญ แว้บเดียวนี่ไปใช้กรรมอีกเป็นอเนกชาติเลยนะ จะบอกให้ ถ้าแว้บเดียวเห็นถูกต้องปั๊บ ตัดภพตัดชาติเป็นอเนกชาติเหมือนกัน เหมือนโสดาปัตติมรรคเกิดแว้บเดียวเท่านั้นน่ะ ขณะจิตเดียวเหลือเจ็ดชาติ จากอสงไขยหนึ่งเหลือเจ็ดชาติ แว้บเดียวเท่านั้นแหละอย่าประมาท ตั้งความเห็นให้ถูกต้องให้ตรง ฉันจึงพูดให้ฟัง อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง การตั้งตนไว้ชอบ เป็นทางให้เกิดกุสะลัสสูปะสัมปทา กุศลถึงพร้อมคือมรรค๘นั่นเอง เข้าใจยัง นี่พูดให้ฟังให้หมดแล้ว เอาไปประพฤติปฏิบัติไปพิจารณาเอา เพราะฉะนั้นอย่าตามมันไป ความรู้ความเห็นทั้งหลายหัดวางซะ วางให้หมด อย่าตาม ถ้าวางเท่าไหร่เท่ากับหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เมล็ดพืชงอก เพราะฉะนั้นอนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่ไม่มีขันธ์๕ คือดับขันธ์๕แล้วนี่ คือตายแล้วนี่ จึงไม่มีกระแสโอฆะนี่จะแทรกซ้อนได้ แต่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังต้องถูกโลกธรรมกระแสโอฆะนี้แทรกอยู่ แต่ท่านไม่รับ เพราะท่านพิจารณารูปนามขันธ์๕ไม่ใช่ของท่านหมด มารจึงไม่มีที่เกาะ กระเทือนได้แค่ธาตุขันธ์ท่าน ท่านก็คือใช้กรรมคือวิบากกรรมแค่นั้น แต่ความรู้ความเห็นท่านแทรกไม่ได้ เพราะท่านหลุดพ้นไปแล้วเห็นถึงสุญตาหมด เข้าใจยังล่ะ เพราะฉะนั้นน่ะทางปฏิบัติ ฟังให้ดีนะม้วนนี้หรือเทปนี่พูดให้ฟัง นี่ฉันพูดแบบครบวงจรนะ ไม่ได้พูดแบบวิธีปฏิบัตินะ พูดเหตุปัจจัยที่มันมากระทบเป็นอย่างไร เราจะแก้ไขตรงไหน เพราะอะไรเราต้องทำตรงนั้น ทำไมต้องเจริญสติ ทำไมต้องเจริญสมาธิ ทำไมต้องเจริญปัญญา ทำไมต้องวิจัยธาตุ๔ขันธ์๕อายตนะ๖ตัวนี้รูปนามตัวนี้ ทำไมต้องวิจัย ก็เพราะว่าไม่ให้ดินน้ำปัจจัยแก่เมล็ดพืชนั่นเอง เข้าใจยังล่ะ นี่คือเหตุผล นี่ฉันพูดให้ครบวงจรแล้วนะ เหตุผลทุกอย่างให้หมดแล้ว ไปพิจารณาเอง ก็สมควรแก่เวลาแล้วจะได้ฉันข้าวนะ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



คุณขงเบ้ง cool

สบายดีหรือคะ หายไปนานเลย :b12:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กลับมาทีก็ใส่เป็นชุดเลยนะครับ...(งับๆ) :b32: :b32:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
กลับมาทีก็ใส่เป็นชุดเลยนะครับ...(งับๆ) :b32: :b32:



คุณ natdanai cool

กลับมาเที่ยวนี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันเลยนะคะ :b12:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

คุณขงเบ้ง cool

สบายดีหรือคะ หายไปนานเลย :b12:




สวัสดีงับ

ก็สบายดีนะงับ ไปช่วยสร้างวัดมางับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
กลับมาทีก็ใส่เป็นชุดเลยนะครับ...(งับๆ) :b32: :b32:


:b32: :b32:

ดีใจด้วยนะ ท่าน Natdanai... :b13: :b13:

ที่มีเพื่อนเก่ากลับมาเยี่ยมเยือน...ลาน :b4: :b4:



สวัสดีจ๊า....ท่านขงเบ้ง...

ไปสร้างวัดอะไรมาคะ เล่าให้ฟัง...บ้างสิ่

:b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 15 พ.ย. 2009, 21:38, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร