ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
เรื่องราว http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=26812 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 09 พ.ย. 2009, 08:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | เรื่องราว |
จากเรื่องราวเมื่อตอนที่แล้วได้แสดงว่า พระมหินเถระที่ประเทศอินเดีย ได้พิจารณา ถึงกาลเวลาที่เหมาะสมในการประกาศพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ว่าเวลาที่พระเจ้า- เทวนัมปิยดิสขึ้นครองราชย์เป็นเวลาที่เหมาะสม ในการประกาศพระศาสนา และเมื่อ พระเจ้าเทวนัมปิยดิสขึ้นครองราชย์ พระอินทร์ก็ได้ไปบอกกับพระมหินเถระว่าถึง เวลาแล้วที่ควรไปประกาศพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกา เหตุที่พระอินทร์ไปบอกกับ พระมหินเถระเพราะพระพุทธเจ้าเมื่อยังไม่ได้ปรินิพพาน ได้ทรงเห็นว่าในอนาคตกาล พระพุทธศาสนาจะรุ่งเรื่องที่ประเทศศรีลังกา จึงได้ตรัสกับพระอินทร์ว่าแม้พระองค์ก็ ควรไปเกาะศรีลังกากับพระมหินเถระด้วย มาถึงตอนที่ 2 เรื่องราวจึงพอสรุปได้ดังนี้ พระมหินเถระและภิกษุรูปอื่นๆ เหาะจาก ประเทศอินเดียมาที่มิสสกบรรพตที่ประเทศศรีลังกา ประมาณ ปี 236 หลังจากที่พระ- พุทธเจ้าปรินิพพาน ซึ่งในขณะนั้นพระเจ้าเทวนัมปิยดิสกำลังล่าเนื้ออยู่ที่ภูเขามิสสก บรรพตเช่นกัน จึงได้พบพระเถระและได้มีการสนทนา ซึ่งขอให้ได้อ่านข้อความใน พระไตรปิฎกโดยละเอียดอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจและปิติปราโมทย์ในพระธรรม พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 123 [พระมหินทเถระพร้อมกับคณะไปเกาะลังกา] พระเถระ รับคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว เป็น ๗ คนทั้งตน เหาะขึ้น ไปสู่เวหาจากเวทิสบรรพต แล้วดำรงอยู่บนมิสสกบรรพต ซึ่งชนทั้งหลายใน บัดนี้จำกันได้ว่า เจติยบรรพตบ้าง ทางทิศบูรพาแห่งอนุราชบุรี. เพราะ เหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวไว้ว่า พระเถระทั้งหลายพักอยู่ที่เวทิสคิรี- บรรพตใกล้กรุงราชคฤห์ สิ้น ๓๐ ราตรีได้ ดำริว่า เป็นกาลสมควร ที่จะไปยังเกาะอัน ประเสริฐ, พวกเราจะพากันไปสู่เกาะอัน อุดม ดังนี้ แล้วได้เหาะขึ้นจากชมพูทวีป ลอยไปในอากาศดุจพญาหงส์บินไปเหนือ ท้องฟ้าฉะนั้น,พระเถระทั้งหลายเหาะขึ้นไป แล้วอย่างนั้นก็ลงที่ยอดเขาแล้ว ยืนอยู่บน ยอดบรรพต ซึ่งงามไปด้วยเมฆ อันตั้งอยู่ ข้างหน้าแห่งบุรีอันประเสริฐราวกะว่า หมู่- หงส์จับอยู่บนยอดเขาฉะนั้น. ก็ท่านพระมหินทเถระ ผู้มาร่วมกับพระเถระทั่งหลาย มีพระอิฏฏิยะ เป็นต้น ยืนอยู่อย่างนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ได้ยืนอยู่แล้วในเกาะนี้ ในปีที่ ๒๓๖ พรรษา นับมาแต่ปีที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน [พระเจ้าเทวานัมปิยดิสทรงพบพระมหินทเถระ] ก็ในวันนั้น ที่เกาะตัมพปัณณิทวีป มีงานนักษัตรฤกษ์ในเชษฐมาสต้น (คือเดือน ๗). พระราชาทรงรับสั่งให้โฆษณานักษัตรฤกษ์ แล้วทรงบังคับ พวกอำมาตย์ว่า พวกท่าน จงเล่นมหรสพเถิด ดังนี้ มีราชบุรุษจำนวนถึง สี่หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกไปจากพระนคร มีพระสงค์จะทรงกีฬาล่าเนื้อ จึงเสด็จไปโดยทางที่มิสสกบรรพตตั้งอยู่. เวลานั้น มีเทวดาตนหนึ่ง ซึ่ง สิงอยู่ที่บรรพตนั้น คิดว่า เราจักแสดงพระเถระทั้งหลาย แก่พระราชา จึง แปลงเป็นตัวเนื้อละมั่งเที่ยวทำทีกินหญ้าและใบไม้อยู่ในที่ไม่ไกล(แต่พระเถระ นั้น). พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นเนื้อละมั่งตัวนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า บัดนี้ ยังไม่สมควรจะยิงเนื้อ ตัวที่ยังเลินเล่ออยู่ จึงทรงดีดสายธนู. เนื้อเริ่มจะหา ทางหนี ๆ ไปทางที่กำหนดหมายด้วยต้นมะม่วง. พระราชาเสด็จติดตามไป ข้างหลัง ๆ แล้วเสด็จขึ้นสู่ทางที่กำหนดด้วยต้นมะม่วงนั่นเอง. ฝ่ายมฤค ก็ หายตัวไปในที่ไม่ไกลพระเถระทั้งหลาย. พระมหินทเถระเห็นพระราชากำลัง เสด็จมาในที่ไม่ไกล จึงอธิษฐานใจว่า ขอให้พระราชาทอดพระเนตรเห็น เฉพาะเราเท่านั้น อย่าทอดพระเนตรเห็นพวกนอกนี้เลย จึงทูลทักว่า ติสสะ ติสสะ ขอจงเสด็จมาทางนี้. พระราชาทรงสดับแล้ว เฉลียวพระหฤทัยว่า ขึ้นชื่อว่าชนผู้ที่เกิดในเกาะนี้ซึ่งสามารถจะเรียกเราระบุชื่อว่า ติสสะ ไม่มี ก็ สมณะโล้นรูปนี้ทรงแผ่นผ้าขาดที่ตัด (ด้วยศัสตรา) นุ่งห่มผ้ากาสาวะ เรียก เราโดยเจาะชื่อ ผู้นี้คือใครหนอแล จักเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ? พระเถระจึง ถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ! อาตม- ภาพทั้งหลายชื่อว่าสมณะ เป็นสาวกของ พระธรรมราชามาที่เกาะนี้ จากชมพูทวีป เพื่ออนุเคราะห์มหาบพิตรเท่านั้น ท้าวเธอพระองค์นั้น เมื่อทรงอนุสรณ์ถึงศาสนาประวัตินั้น ที่พระองค์ ได้ทรงสดับมาไม่นาน(ได้ฟังจากพระเจ้าอโศก) ครั้นได้ทรงสดับคำนั้น ของ พระเถระว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลาย ชื่อว่าสมณะ เป็นสาวก ของพระธรรมราชาดังนี้ เป็นต้นแล้วทรงดำริว่า พระผู้เป็น พระเจ้าทั้งหลาย มาแล้วหนอแล จึงทรงทิ้งอาวุธในทันใดนั้นเอง แล้วประทับ นั่งสนทนาสัมโมทนียกถาอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.เหมือนดังที่พระโบราณาจารย์ กล่าวไว้ว่า พระราชาทรงทิ้งอาวุธแล้ว เสด็จ- ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นประทับนั่ง แล้ว ได้ตรัสพระดำรัสประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอันมากร่าเริงอยู่. [พรเถระแสดงให้พระราชาทอดพระเนตรเห็นจริงอีก ๖ คน] คราวนั้น พระเถระ ก็แสดงชน ๖ คนแม้นอกนี้. พระราชาทอด พระเนตรเห็น (ชนทั้ง ๖ นั้น) แล้ว จึงทรงรับสั่ง (ถาม) ว่า คน เหล่านี้มาเมื่อไร ? พระเถระ. มาพร้อมกับอาตมภาพนั่นแล มหาบพิตร ! พระราชา. ก็บัดนี้สมณะแม้เหล่าอื่น ผู้เห็นปานนี้ มีอยู่ในชมพูทวีปบ้างหรือ ? พระเถระ. มีอยู่ มหาบพิตร ! บัดนี้ ชมพูทวีป รุ่งเรืองไปด้วย ผ้ากาสาวพัสตร์ สะบัดอบอวลไปด้วยลมฤษี, ในชมพูทวีปนั้น มีพระอรหันต์พุทธสาวกเป็นอันมาก ซึ่งเป็นผู้มีวิชชา ๓ และได้บรรลุฤทธิ์ เชี่ยวชาญทางเจโตปริยญาณ สิ้นอาสวะแล้ว. พระราชา. ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! พระคุณเจ้าทั้งหลาย พากัน มาโดยทางไหน ? พระเถระ. มหาบพิตร ! อาตมภาพทั้งหลายไม่ได้มาทางน้ำและทางบกเลย. พระราชา. ก็ทรงเข้าพระทัยได้ดีว่า พระคุณเจ้าเหล่านี้มาทางอากาศ เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน และตั้งใจว่าจะสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย |
เจ้าของ: | bbb [ 09 พ.ย. 2009, 08:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เรื่องราว |
อนุโมทนาด้วยครับ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |