วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 15:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 08:52
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




PB_2707_18786.jpg
PB_2707_18786.jpg [ 16.85 KiB | เปิดดู 3732 ครั้ง ]
สวัสดีท่านอาวุโสทุกท่าน :b8: :b8:

:b12: หนูคิดว่า...

คนที่ทำความชั่วไว้มากมาย ยังไงก็ไม่มีวันพ้นกรรมที่เขาเคยก่อ Onion_L

ถึงแม้จะเกิดในภพภูมิที่ดีแล้วก็ตาม ก็ย่อมไปประสบชดใช้กรรม เพียงแต่อาจจะลดน้อย บรรเทาลง

จากกรรมหนักเป็นเบา เพราะอานิสงค์แห่งการคิดดี ต้องช่วยเขาได้ :b16:

นี่เป็นเพียงความคิดของเด็กน้อย อาจจะ...เป็นความง่ายๆแต่ก็มีความน่าจะเป็น :b4:

โปรดช่วยชี้แจงให้กระจ่างด้วยนะค่ะ smiley
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


kunnika20313 เขียน:
สวัสดีท่านอาวุโสทุกท่าน :b8: :b8:

:b12: หนูคิดว่า...

คนที่ทำความชั่วไว้มากมาย ยังไงก็ไม่มีวันพ้นกรรมที่เขาเคยก่อ Onion_L

ถึงแม้จะเกิดในภพภูมิที่ดีแล้วก็ตาม ก็ย่อมไปประสบชดใช้กรรม เพียงแต่อาจจะลดน้อย บรรเทาลง

จากกรรมหนักเป็นเบา เพราะอานิสงค์แห่งการคิดดี ต้องช่วยเขาได้ :b16:

นี่เป็นเพียงความคิดของเด็กน้อย อาจจะ...เป็นความง่ายๆแต่ก็มีความน่าจะเป็น :b4:

โปรดช่วยชี้แจงให้กระจ่างด้วยนะค่ะ smiley


ไม่ต้องสนใจผู้อื่นให้มากเกินควรขอรับ สนใจตัวเองให้มากๆเข้าไว้ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง ไม่มีใครไปช่วยแบ่งเบา วิบากกรรม คือผลแห่งการกระทำของเขาได้ดอกขอรับ สำหรับบางคนนะขอรับ
อ่านข้างล่างนี้ ก็คงพอแก้กรรมทั้งตัวเรา และตัวเขาได้บ้าง นะขอรับ
คิดดี คือ คิดในสิ่งที่สร้างสรรค์ให้กับ ตัวเรา และผู้อื่น หรืออย่างน้อย ก็ไม่คิดที่จะกระทำผิดกฎหมาย และศีลธรรม
ระลึกนึกถึงแต่ความรู้ ประสบการณ์ที่ดีมีประโยชน์,
ประพฤติดี,
พูดในทางที่ดี,
ประกอบอาชีพสุจริต,
มีความขยันหมั่นเพียร,
มีความตั้งใจที่จะประกอบกิจกรรมในทางที่ดี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 20:05
โพสต์: 60

แนวปฏิบัติ: พิจารณา......
ชื่อเล่น: ดุ๊กดิ๊กๆ
อายุ: 24
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอแจงสิ่งที่ท่านบุดดากล่าวนะครับ ไม่รู้ว่าท่านจะอธิบายเป็นวิทย์หรือเป็นศาสนานะแต่ดูจากแนวคำตอบแล้วเป็นวิทย์จึงขอแจงแบบวิทย์ซึ่งผมพอมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่เท่าหางอึ่งซึ่งเทียบกับท่านบุดดาแล้วคงเทียบกันมิได้
ท่านจะกล่าวว่าลักษณะจิตเป็นดั่งกระแส จิดเดิมแท้มีลักษณะเป็นอนุภาคซึ่งล้วนมีสภาวะเดียวกันเพราะมาจากองค์รวมเดียวกัน เป็นสภาวะที่สมดุลและก็ย่อมเสถียร ให้พิจารราตามหลักนะครับ เมื่อมีการอุบัติขึ้น นิยามและกฎย่อมมี สิ่งเหล่านี้เป็นอสังขตธรรม แล้วให้นึกถึงตามหลักที่ว่ามีอิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน จึงย่อมเกิดแรงหมุนเหวี่ยงเป็นการงานจากประจุที่ต่างขั้วในองค์รวมนั้นๆ พลังงานนั้นดำรงค์อยู่ไม่เสื่อมสลายเพียงแต่ว่าเปลี่ยนรูปแบบ จึงแตกออกเป็นหลายแขนงมากมายจากการหมุนเหวี่ยงนั้นๆ เมื่อมีแรงเกิดขึ้นจากการงานนั้นๆ ก็เกิดเป็นสนามพลังงานทั้งดึงดูดและผลักดัน
คุณสมบัติของพลังงานที่หมุนเหวี่ยงไปทางด้านต่างๆ กระแสย่อมต่างกัน แต่จะมีกระแสหนึ่งชนิดซึ่งอยู่ ณ จุดกลางเสมอ นี่ก็นับว่าเสถียรได้เป็นขององค์รวมที่ไม่แตกกระจายไปในทิศ(มิติ)ต่างๆ นึกถึงจุดกำเนิดแรกก็คือนิวตรอนที่อยู่ตรงกลางมีพลังมากที่สุดและไม่ซัดส่ายไปทางใด เป็นอีกหนึ่งตัวที่เสถียร ซึ่งผมจะกล่าวว่ามันคงตัวแน่นอน(ย่อมเป็นอสังขตธรรม) มีลักษณะที่เป็นกลาง(นิพพานก็ได้นิ) อยู่นอกเหนือจากทั้งขั้วบวก(ความดี/พลังด้านบวก)และขั้วลบ(ความเลว/พลังงานด้านลบ) กระแสชนิดต่างๆย่อมที่จะพยามทำให้ตนมีความเสถียรภาพ ขั้วลบจึงเป็นขั้วที่ดีขึ้นได้ ขั้วบวกก็เป็นขั้วที่เลวลงได้ (หลักแห่งไตรลักษณ์) ทีนี้กระแสที่ยิ่งเหวี่ยงออกไปไกลก็ยิ่งใช้เวลานานในการที่จะทำให้ตนเสถียรได้เพราะย่อมมีลักษณะที่เบาบาง(ให้นึกถึงชั้นบรรยากาศของโลกก็ได้ครับนึกถึงแรงดึงดูดที่กระทำกับมัน) ระยะห่างจากแก่นกลางคือภพภูมิต่างๆ เป็นมิติที่ต่างกันการดำรงค์อยู่ของพลังงานชนิดนั้นๆจึงมีลักษณะที่ต่างๆกันไป........
กระผมว่ากระผมควรหยุดก่อนที่จะโดนหลายๆท่านแอบเอากระแสไฟฟ้าไปช๊อตกระผมแล้วจับส่งที่อยู่ที่เหมาะสมตามที่ท่านๆคิด....
อีกอย่างเก็บเรื่องพวกนี้ไว้ดีก่ามันเป็นจินตวิทยาศาสน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาคงยังไม่ยอมรับกันนิ....
แอบนอนอมยิ้มอยู่คนเดียวในมุมเล็กๆของโลกก็พอเพราะกระผมเองก็น่าจะไปนอนได้แร้ว....
พอแล้วครับ สวัสดี......
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วจะเป็นไปได้มากน้อยเท่าไร
หากความคิดก่อนสิ้นลมของเขา...ทำให้ไปจุติในภพภูมิที่ดี
แล้วเขาได้ทำการบำเพ็ญ ภาวนาจนบรรลุ
ตัดสิ้นเชิงถึงกิเลส...


อนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แวะเวียนมาเก็บเอาความคิดเห็นครับ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 20:05
โพสต์: 60

แนวปฏิบัติ: พิจารณา......
ชื่อเล่น: ดุ๊กดิ๊กๆ
อายุ: 24
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเห็นว่าผู้ที่มีความต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ย่อมเป็นผู่ที่มีความเมตตา สุขคติย่อมเป็นที่หวังได้แก่เขาผู้นั้น จริตคนเราแตกต่าง การกระทำก็แตกต่าง แต่จงมองลึกไปถึงข้างใน ถึงเจตจำนงค์ของเขาจริงๆ
แต่กระผมก็ตอบแทนเขาเหล่านั้นไม่ได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เขาเอง

สำหรับเขาพลิกนิดเดียวก็ละมานะอหังการได้แต่ก็ทั้งๆที่ยังมีอยู่เป็นอยู่ อัตตามีอยู่ แต่ไม่ยึดถือ ก็เพราะอัตตาก็มีแล้วอนัตตาจะไปยึดถือได้อย่างไร

ดำรงค์ควบคู่กันไปตามความเป็นจริง คือเดินอยู่ที่ทางสายกลาง นิพพานย่อมอยู่ที่ผู้นั้น.....
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
คุณชาติสยามเขียน

โดยหลักการน่ะ พูดอย่างนั้นได้ครับ
เพราะมันจริงที่ว่า กุศลจิต นำไปสู่ภูมิที่ดี

แต่ไม่มีทางเลย ที่จะเลือกได้ว่าจะไปสุขคติ หรืออบาย
ขึ้นอยู่กับจิตว่าจะไปคว้าสิ่งใด

คนทำบาป 100 ครั้ง ทำดีครั้งเดียว
ต่อให้คว้าได้กุศลจิต ก็สุคติไม่นานหรอกครับ แรงมันน้อย

ถ้าจะพูดตามคัมภีร์
เวลาคนจะตาย ท่านไล่ลำดับให้เลยว่า กรรมประเภทไหนให้ผลก่อน

:b12:
...ข้าพเจ้ากลับคิดเห็นต่างจากท่านในวรรคที่ 2 ที่ว่า...
แต่ไม่มีทางเลย ที่จะเลือกได้ว่าไปสุขคติหรือ
อบาย

:b16:
...ขออนุญาตอธิบายย่อ...ถ้าสงสัยงงไม่หาย...สัญญาว่าวันหลังจะมาลงใหม่ให้ละเอียด...
:b19:
...เชื่อหรือไม่ว่าเราเลือกเกิดได้ที่จิตใจเรานี้เอง...ทำได้ทุกขณะจิตที่กำหนดสติรู้ตามจิต...สร้างที่จิต...
...ท่านชาติสยามเคยฟังบรรยายธรรม...มือแทนขันธ์5...ลูกเทนนิส1 ลูกแทนอารมณ์ 1 อารมณ์...
...อดีตเราทุกคนอาจเคยทำความดีแบบลุ่มๆดอนๆ...จิตที่ใฝ่ทางทำบุญตักบาตรเข้าวัดทำบุญ...
...1 ครั้งก็เท่ากับสะสมหรือซื้อบ้านอยู่ยังภพภูมิสวรรค์ไว้ 1 ครั้ง...ส่วนจิตใจที่มีขี้โลภ...ขี้โกรธ...
...ขี้หลง...ขี้หึง...ขี้หวง 1 ครั้งที่จิตทำอารมณ์ตามนี้ก็เท่ากับสะสมหรือซื้อบ้านอยู่ยังภพภูมิเปรต...

:b6:
...ส่วนภพภูมิมนุษย์รักษาศีลและยึดคุณธรรมไม่เห็นแก่ตัว...ภพภูมิเทวดานอกจากให้ทานรักษาศีล...
...จะต้องยึดคุณธรรมไม่เห็นแก่ตัวมีหิริโอตัปปะ...การสร้างภพภูมิไปยังพรหมโลกคือยึดคุณธรรม...
...ไม่เห็นแก่ตัว...มีหิริโอตัปปะ..มีพรหมวิหาร4คือมีให้ทานรักษาศีลและจิตตภาวนาเป็นกิจวัตร...
...อธิบายสั้นๆ...ไม่ทราบท่านชาติ...จะคิดว่าข้าพเจ้าเอามะพร้าวมาขายสวนหรือเปล่าเจ้าค่ะ...

:b11:
...ถ้าจิตมีอารมณ์ไปแบบใดมาก...มันจะเคย...ชินตามที่จิตสร้างนั้น...เรียกว่าสร้างบ้านตามกรรม...
...จิตพระอรหันต์เท่ากับมือที่รับลูกเทนนิสที่หล่นใส่มือเป็นสิบสิบลูกได้ทันเวลา...ทีละลูกทันทุกลูก...
...ท่านรับแล้วก็วางและรับลูกต่อๆไปได้หมด...คือตามทันกิเลสได้หมด...พระอรหันต์รู้เท่าทันกิเลส
...เท่ากับรับลูกเทนนิสได้ตลอดเวลาท่านรับแล้ววางได้ทั้งหมด...เรียกว่าตัดภพชาติทุกขณะ...

:b8:
...ถ้าเป็นมือเรามันรับได้ทีละลูก...เทลงมือพร้อมกันมันรับไม่ทัน...หล่นลงพื้นหมด...
...หรืออารมณ์โกรธรุนแรงเท่ากับโยนบอลกระแทกมือให้ตำกว่าเอวลงมาแล้วแต่ความลึก...
...ถ้าอารมณ์สร้างบ้านไว้ที่ภพภูมินรกบอลก็กระแทกมืออย่างรุนแรงยิ่งแรงยิ่งลึกลงสุดๆ...
...เช่นโกรธบันดาลโทสะจนพลาดพลั้งฆ่าคนตาย...มันก็ไม่พ้นนรกภูมิแน่นอน...

...เราเลือกเกิดไม่ได้จริงเพราะเราเกิดมาแล้ว...แต่เลือกสร้างบ้านใหม่ได้...ท่านชาติเลือกที่ใดดีล่ะ...
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 22:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


yahoo เขียน:
Buddha เขียน:
จิตที่คุณกล่าวถึง หากเป็นในทางพุทธศาสนาแล้ว หมายถึง ธรรมชาติการรับรู้อารมณ์ แต่ในหลักการของข้าพเจ้าแล้ว จิต หมายถึง อะตอม

ในข้อความที่ข้าพเจ้าได้อธิบายไปเกี่ยวกับเรื่องของจิต ลองใช้สมองสติปัญญาพิจารณาดู
และคำถามของคุณ ก็มีคำตอบอยู่ในที่ข้าพเจ้าอธิบายไปข้างต้น
แต่ถ้าคำว่า สสาร ที่คุณตั้งเป็นคำถาม หมายถึง สิ่งที่อยู่รอบตัวเราแล้วละก้อ สสาร ย่อมเกิดก่อน เพราะ อากาศ ดิน น้ำ หิน มีมาก่อน ตัวคุณ ตัวคุณก็คือ จิตนั่นแหละ


ขอบคุณครับ ที่พยายามชี้แจงให้ผมเข้าใจ
ซึ่งตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ว่าผมคงไม่อาจเอื้อมมาเข้าใจความรู้ของคุณได้เลย...
ต้องขอโทษด้วยนะครับ...ที่ทำให้คุณต้องลำบากกับการพยายามอธิบาย...
ในสิ่งที่คุณเองก็รู้อยู่แล้วว่า...อธิบายไปผมไม่มีทางจะเข้าใจสิ่งที่คุณรู้ได้...
ยังไงซะ ผมคงทำได้เพียงกล่าวขอบคุณ...นะครับ

:b16: ผมหมดคำถาม...ที่จะถามคุณแล้วครับ :b12:


สาธุ.. :b8: :b8: สุภาพ..จริง..นะคุณ yahoo :b32: :b32: คิ..คิ..คิ อย่าไปเอาอะไรกับแกเลยครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 23:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




0011.jpg
0011.jpg [ 20.34 KiB | เปิดดู 3666 ครั้ง ]
ตัณหาเป็นกระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์

กระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์เหล่าใดในโลก


สติ เป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น.

เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย

กระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์เหล่านี้อันปัญญาย่อมปิดกั้นได้.



เจริญในธรรมครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญในธรรมทุกท่านครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


มันก็พูดยากนะครับ หากทำชั่วมากๆก้เป้นไปได้ที่ก่อน ตาย นึกความดีอะไรไม่ออกก้มีส่วน เพราะทำชั่ว เป้นอาจิณกรรมไปแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เสริมครับ ถ้าอ้างพระคัมภีร์ ผู้ที่ทำได้ตามพระคัมภึร์มีกี่คนล่ะครับ มันจะกลายเป็นคาบ คัมภีร์หรือเปล่า???? :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านเรื่องนี้ แล้วจะเข้าใจ

มัฏฐกุณฑลี



จากหนังสือธรรมะเอกเขนก (ขวัญ เพียงหทัย)



ละอองนวลกับคิมหันต์ ก้มกราบพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ แสงไฟในโบสถ์ที่เปิดไว้ ฉายความงามขององค์พระให้ดูงดงามจับใจยิ่งขึ้น พระพักตร์สงบเย็นทำให้จิตใจเป็นสุข ดวงเนตรที่ทอดลงมาดูเปี่ยมด้วยมหากรุณา จนละอองนวลรู้สึกเหมือนได้รับกระแสความเมตตากรุณาจากพระเนตรที่ทอดลงมา

คิมหันต์กราบเสร็จแล้ว กระเถิบมานั่งใกล้ๆ

“งดงามจริงๆ นะ น่าเลื่อมใส” คิมหันต์กระซิบเบาๆ ละอองนวลยิ้มให้

“เลื่อมใสก็ดีแล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำคัญที่ใจ ใจประเสริฐที่สุด ถ้าใจดี ใจผ่องใส การทำการพูดก็พลอยดีด้วย ทุกอย่างสำเร็จมาจากใจ เราเลื่อมใสพระศรัทธาพระ เราก็จะทำดีอย่างที่พระสอน ความดีนั้นก็จะนำความสุขมาให้”

คิมหันต์ชื่นใจ ละอองนวลเล่าว่า

“รู้มั้ยว่าเพียงแค่เราทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้ไปเกิดเป็นเทวดาเลย เคยได้ยินหรือเปล่า”

คิมหันต์ส่ายหน้า “ยังไม่เคยเลย เรื่องอะไรหรือ เล่าให้ฟังมั่งซี จะได้รู้บ้าง”

ละอองนวลจึงเล่าเรื่องของมัฏฐกุณฑลีให้ฟัง

“มัฏฐกุณฑลี เป็นลูกชายเศรษฐี ตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่รวยมากก็จริง แต่พ่อขี้เหนียวมากเลย จนใครก็ให้สมญาว่า อทินนปุพพกะ แปลว่า ไม่เคยให้อะไรใคร แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ให้ตุ้มหูลูกนะ เขาเอาทองมาตีแผ่ทำตุ้มหูเกลี้ยงๆ ให้ลูกคู่หนึ่ง ชาวบ้านก็เลยเรียกเด็กคนนี้ว่า มัฏฐกุณฑลี แปลว่ามีตุ้มหูเกลี้ยง ตุ้มหูนี่ก็พ่อตีเอง เพราะจ้างช่างตีมันเสียเงิน”

คิมหันต์หัวเราะเบาๆ นิ่งฟัง

“พออายุ ๑๖ ลูกชายป่วยหนัก แม่บอกให้พ่อไปหาหมอมา พ่อไม่ยอม กลัวเสียตังค์ ได้แต่ไปถามหมอว่า เวลาคนเป็นอย่างนี้ๆ มา หมอจัดยายังไง เสร็จแล้วตัวเองก็ไปหารากไม้ใบไม้อย่างที่หมอบอกมาทำเองให้ลูกกิน”

“โอย เสี่ยงกับชีวิตลูกเลย เสียเงินจะเท่าไหร่เชียวหรือ ไหนว่าเป็นเศรษฐี” คิมหันต์ต่อว่าเศรษฐี

“ก็จนทรุดมากนั่นแหละจ้ะ พ่อถึงยอมไปหาหมอ แต่หมอเห็นแล้วก็ไม่รับรักษา เพราะรักษาไม่ไหวแล้ว บอกให้ไปหาคนอื่นเถอะ

พราหมณ์รู้ว่าลูกตัวเองต้องตายแน่ๆ กลัวคนมาเยี่ยม จะเห็นทรัพย์สมบัติ ช่วยกันหามลูกชายออกมานอนที่ระเบียงนอกห้อง”

“โอย อะไรจะขนาดนั้น เหลือเชื่อเลยนะเนี่ย”

คิมหันต์ร้องเบาๆ

“พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์ทั้งหลายในตอนเช้าตรู่ เห็นมัฏฐกุณฑลี จึงเสด็จมาโปรด

ตอนที่เสด็จมาถึง เด็กหนุ่มกำลังนอนตะแคง หันหน้าเข้าฝาบ้าน พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าเขาไม่เห็นพระองค์ จึงทรงเปล่งพระรัศมีไปวาบหนึ่ง เขาคิดว่า

“เอ๊ แสงอะไรนะ” แล้วหันหน้าออกมาดู เห็นพระพุทธเจ้า ก็คิดว่า เพราะพ่อเราเป็นอันธพาล ไม่ได้ถวายทาน ไม่ได้ฟังธรรม เราเลยไม่เคยได้เฝ้าพระพุทธเจ้าไปด้วย มาตอนนี้ แม้แต่จะยกมือไหว้พระพุทธเจ้าเราก็ยกไม่ไหว จะทำอะไรได้ คิดอย่างนั้นแล้ว เขาก็ทำใจให้เลื่อมใสในองค์พระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า เขาทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์แล้ว ก็เสด็จออกไป พอลับตาเท่านั้น เขาก็ตายลงแล้วไปเกิดในวิมานทอง”

“โอ้ เป็นเทวดาไปเลยเหรอ” คิมหันต์ตื่นเต้นแปลกใจ ละอองนวลรับคำ

“ฝ่ายพ่อ พอทำศพลูกชายเสร็จแล้วก็ไปยืนร้องไห้ที่ป่าช้าทุกวันเลย ว่าลูกชายอยู่ไหน มาหาพ่อเถอะ”

คิมหันต์ทำค้อนหล่นจากสายตาด้วยความหมั่นไส้

“เทพบุตรมัฏฐกุณฑลี เป็นเทวดาแล้ว พิจารณาว่า เอ๊ วิมานนี่ได้มายังไง เลยรู้ว่า อ๋อ เพราะทำใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า มองลงมาเห็นพ่อยืนร้องไห้ที่ป่าช้า ก็สงสารอยากจะช่วย เขาเลยแปลงกายเป็นคนมายืนร้องไห้อยู่ใกล้ๆ

พ่อได้ยินเสียงคนร้องไห้ จึงเข้าไปถาม บอกว่าพ่อหนุ่ม แต่งกายคล้ายลูกชายข้า มาร้องไห้นี่มีทุกข์อะไร

“ท่านเล่ามีทุกข์อะไร” ชายหนุ่มถาม

“ข้าพเจ้าทุกข์ถึงลูกชายที่ตายไป”

“ข้าพเจ้ามีรถคันหนึ่ง” ชายหนุ่มบอก “เป็นรถทองคำล้วน สวยมาก แต่ยังหาล้อรถไม่ได้ ทุกข์ใจมาก”

เศรษฐีตกตะลึง พอบอกว่าเป็นรถทองคำ แล้วก็บอกว่า “พ่อหนุ่ม จะต้องการล้อเงินหรือล้อทอง หรือแก้วมณีอะไร เราจะจัดหามาให้ท่าน”

ชายหนุ่มคิดว่า ดูสิ ตอนเราป่วยจะตาย ไม่ยอมเสียเงินค่าหมอนิดหน่อย ตอนนี้เห็นเรามีรถทอง จะยอมจ่ายล้อทองให้ คิดแล้วก็แกล้งพูดว่า

“ไม่มีอะไรเหมาะกับรถของข้าเท่ากับดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ถ้าได้มาเป็นล้อละก็เยี่ยมที่สุด”

พราหมณ์คิดว่าชายหนุ่มคนนี้บ้า เขาพูดว่า

“ท่านต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ท่านโง่เขลาเหลือเกิน ตายแล้วเกิดอีกเท่าไหร่ ก็เอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มาทำล้อไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มย้อนว่า แต่เรายังอยากได้ในสิ่งที่เห็นได้อยู่ ท่านซีร้องไห้คร่ำครวญในสิ่งที่ใครๆ ก็มองไม่เห็น ท่านว่าใครโง่กว่าใคร” พราหมณ์ก็เลยได้สติว่า เออใช่ เราสิต้องการในสิ่งที่มองไม่เห็น แล้วก็ไม่เคยมีใครเรียกคืนมาได้”

คิมหันต์เห็นด้วย “แหม เทวดาฉลาดจัง”

“พราหมณ์ก็พูดชมเชยว่า ตัวเองเร่าร้อนนักหนา ได้ชายหนุ่มมาให้ความเห็นทำให้เย็นลง ความเศร้าโศกถึงลูกชายก็คลายลงด้วย แล้วถามว่าเขาเป็นใคร เขาจึงเฉลยว่าคือลูกชายของพราหมณ์นั่นเอง ได้ทำกุศลก่อนตายเลยไปเกิดเป็นเทวดา

พ่อก็ เอ๊ ไม่เคยเห็นลูกทำบุญทำกุศลอะไรเลย ไปเกิดเป็นเทวดาได้ยังไง ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดให้ฟัง พ่อฟังแล้วปีติมาก ร้องว่า อัศจรรย์จริงๆ การไหว้พระพุทธเจ้ามีผลถึงปานนี้ ข้าพเจ้าจะทำจิตให้เลื่อมใสพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันนี้ไปทีเดียว

พราหมณ์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ปฏิญาณว่าจะรักษาศีล ให้ทาน และเลื่อมใสในพระรัตนตรัย แล้วทูลอาราธนาไปเสวยที่บ้านในวันรุ่งขึ้น

พระพุทธเจ้าเสด็จไปบ้านพราหมณ์ มีคนมาชุมนุมกันมาก จะมาดูพราหมณ์ถามปัญหาพระพุทธเจ้า

เมื่อเสวยเสร็จแล้ว พราหมณ์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า

“บุคคลไม่ได้ถวายทานแก่พระองค์ ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้รักษาอุโบสถ เพียงแต่ทำจิตเลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านถามทำไม ในเมื่อมัฏฐกุณฑลี ได้บอกความจริงนั้นแล้ว

พราหมณ์ก็แกล้งสงสัย แกล้งถามโน่นนี่ พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าเรื่องที่พ่อลูกได้พบปะพูดคุยกันที่ป่าช้า

พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า ผู้คนที่มาชุมนุมยังไม่หายสงสัย จึงทรงอธิษฐาน ให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาพร้อมกับวิมาน แล้วทรงไถ่ถาม เทพบุตรตอบความจริงทุกอย่าง ผู้คนทั้งหลายจึงอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใสว่า

ดูเถอะลูกชายพราหมณ์ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย นอกจาก ทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้สมบัติขนาดนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณน่าอัศจรรย์แท้”

“อ๋อ” คิมหันต์เอ่ย “ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าสิ่งทั้งหลายสำคัญที่ใจ ใช่มั้ย เพียงใจเลื่อมใสก็นำบุญกุศล นำสุขต่อๆ มาได้”

“ใช่แล้ว พอใจเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ก็จะคิดดี ทำดีเสมอ จึงมีความสุขตามมา”

“สาธุ แหม ฟังแล้วชื่นใจ มีกำลังใจ ขอกราบพระอีกที รู้สึกรักท่านจังเลย”

คิมหันต์ขยับนั่งท่าเทพธิดา แล้วก้มกราบพระพุทธรูปอย่างนอบน้อมอีกครั้งหนึ่ง

จบบริบูรณ์

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


moddam เขียน:
อ่านเรื่องนี้ แล้วจะเข้าใจ

มัฏฐกุณฑลี



จากหนังสือธรรมะเอกเขนก (ขวัญ เพียงหทัย)



ละอองนวลกับคิมหันต์ ก้มกราบพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ แสงไฟในโบสถ์ที่เปิดไว้ ฉายความงามขององค์พระให้ดูงดงามจับใจยิ่งขึ้น พระพักตร์สงบเย็นทำให้จิตใจเป็นสุข ดวงเนตรที่ทอดลงมาดูเปี่ยมด้วยมหากรุณา จนละอองนวลรู้สึกเหมือนได้รับกระแสความเมตตากรุณาจากพระเนตรที่ทอดลงมา

คิมหันต์กราบเสร็จแล้ว กระเถิบมานั่งใกล้ๆ

“งดงามจริงๆ นะ น่าเลื่อมใส” คิมหันต์กระซิบเบาๆ ละอองนวลยิ้มให้

“เลื่อมใสก็ดีแล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำคัญที่ใจ ใจประเสริฐที่สุด ถ้าใจดี ใจผ่องใส การทำการพูดก็พลอยดีด้วย ทุกอย่างสำเร็จมาจากใจ เราเลื่อมใสพระศรัทธาพระ เราก็จะทำดีอย่างที่พระสอน ความดีนั้นก็จะนำความสุขมาให้”

คิมหันต์ชื่นใจ ละอองนวลเล่าว่า

“รู้มั้ยว่าเพียงแค่เราทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้ไปเกิดเป็นเทวดาเลย เคยได้ยินหรือเปล่า”

คิมหันต์ส่ายหน้า “ยังไม่เคยเลย เรื่องอะไรหรือ เล่าให้ฟังมั่งซี จะได้รู้บ้าง”

ละอองนวลจึงเล่าเรื่องของมัฏฐกุณฑลีให้ฟัง

“มัฏฐกุณฑลี เป็นลูกชายเศรษฐี ตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่รวยมากก็จริง แต่พ่อขี้เหนียวมากเลย จนใครก็ให้สมญาว่า อทินนปุพพกะ แปลว่า ไม่เคยให้อะไรใคร แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ให้ตุ้มหูลูกนะ เขาเอาทองมาตีแผ่ทำตุ้มหูเกลี้ยงๆ ให้ลูกคู่หนึ่ง ชาวบ้านก็เลยเรียกเด็กคนนี้ว่า มัฏฐกุณฑลี แปลว่ามีตุ้มหูเกลี้ยง ตุ้มหูนี่ก็พ่อตีเอง เพราะจ้างช่างตีมันเสียเงิน”

คิมหันต์หัวเราะเบาๆ นิ่งฟัง

“พออายุ ๑๖ ลูกชายป่วยหนัก แม่บอกให้พ่อไปหาหมอมา พ่อไม่ยอม กลัวเสียตังค์ ได้แต่ไปถามหมอว่า เวลาคนเป็นอย่างนี้ๆ มา หมอจัดยายังไง เสร็จแล้วตัวเองก็ไปหารากไม้ใบไม้อย่างที่หมอบอกมาทำเองให้ลูกกิน”

“โอย เสี่ยงกับชีวิตลูกเลย เสียเงินจะเท่าไหร่เชียวหรือ ไหนว่าเป็นเศรษฐี” คิมหันต์ต่อว่าเศรษฐี

“ก็จนทรุดมากนั่นแหละจ้ะ พ่อถึงยอมไปหาหมอ แต่หมอเห็นแล้วก็ไม่รับรักษา เพราะรักษาไม่ไหวแล้ว บอกให้ไปหาคนอื่นเถอะ

พราหมณ์รู้ว่าลูกตัวเองต้องตายแน่ๆ กลัวคนมาเยี่ยม จะเห็นทรัพย์สมบัติ ช่วยกันหามลูกชายออกมานอนที่ระเบียงนอกห้อง”

“โอย อะไรจะขนาดนั้น เหลือเชื่อเลยนะเนี่ย”

คิมหันต์ร้องเบาๆ

“พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์ทั้งหลายในตอนเช้าตรู่ เห็นมัฏฐกุณฑลี จึงเสด็จมาโปรด

ตอนที่เสด็จมาถึง เด็กหนุ่มกำลังนอนตะแคง หันหน้าเข้าฝาบ้าน พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าเขาไม่เห็นพระองค์ จึงทรงเปล่งพระรัศมีไปวาบหนึ่ง เขาคิดว่า

“เอ๊ แสงอะไรนะ” แล้วหันหน้าออกมาดู เห็นพระพุทธเจ้า ก็คิดว่า เพราะพ่อเราเป็นอันธพาล ไม่ได้ถวายทาน ไม่ได้ฟังธรรม เราเลยไม่เคยได้เฝ้าพระพุทธเจ้าไปด้วย มาตอนนี้ แม้แต่จะยกมือไหว้พระพุทธเจ้าเราก็ยกไม่ไหว จะทำอะไรได้ คิดอย่างนั้นแล้ว เขาก็ทำใจให้เลื่อมใสในองค์พระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า เขาทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์แล้ว ก็เสด็จออกไป พอลับตาเท่านั้น เขาก็ตายลงแล้วไปเกิดในวิมานทอง”

“โอ้ เป็นเทวดาไปเลยเหรอ” คิมหันต์ตื่นเต้นแปลกใจ ละอองนวลรับคำ

“ฝ่ายพ่อ พอทำศพลูกชายเสร็จแล้วก็ไปยืนร้องไห้ที่ป่าช้าทุกวันเลย ว่าลูกชายอยู่ไหน มาหาพ่อเถอะ”

คิมหันต์ทำค้อนหล่นจากสายตาด้วยความหมั่นไส้

“เทพบุตรมัฏฐกุณฑลี เป็นเทวดาแล้ว พิจารณาว่า เอ๊ วิมานนี่ได้มายังไง เลยรู้ว่า อ๋อ เพราะทำใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า มองลงมาเห็นพ่อยืนร้องไห้ที่ป่าช้า ก็สงสารอยากจะช่วย เขาเลยแปลงกายเป็นคนมายืนร้องไห้อยู่ใกล้ๆ

พ่อได้ยินเสียงคนร้องไห้ จึงเข้าไปถาม บอกว่าพ่อหนุ่ม แต่งกายคล้ายลูกชายข้า มาร้องไห้นี่มีทุกข์อะไร

“ท่านเล่ามีทุกข์อะไร” ชายหนุ่มถาม

“ข้าพเจ้าทุกข์ถึงลูกชายที่ตายไป”

“ข้าพเจ้ามีรถคันหนึ่ง” ชายหนุ่มบอก “เป็นรถทองคำล้วน สวยมาก แต่ยังหาล้อรถไม่ได้ ทุกข์ใจมาก”

เศรษฐีตกตะลึง พอบอกว่าเป็นรถทองคำ แล้วก็บอกว่า “พ่อหนุ่ม จะต้องการล้อเงินหรือล้อทอง หรือแก้วมณีอะไร เราจะจัดหามาให้ท่าน”

ชายหนุ่มคิดว่า ดูสิ ตอนเราป่วยจะตาย ไม่ยอมเสียเงินค่าหมอนิดหน่อย ตอนนี้เห็นเรามีรถทอง จะยอมจ่ายล้อทองให้ คิดแล้วก็แกล้งพูดว่า

“ไม่มีอะไรเหมาะกับรถของข้าเท่ากับดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ถ้าได้มาเป็นล้อละก็เยี่ยมที่สุด”

พราหมณ์คิดว่าชายหนุ่มคนนี้บ้า เขาพูดว่า

“ท่านต้องการในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ท่านโง่เขลาเหลือเกิน ตายแล้วเกิดอีกเท่าไหร่ ก็เอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มาทำล้อไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มย้อนว่า แต่เรายังอยากได้ในสิ่งที่เห็นได้อยู่ ท่านซีร้องไห้คร่ำครวญในสิ่งที่ใครๆ ก็มองไม่เห็น ท่านว่าใครโง่กว่าใคร” พราหมณ์ก็เลยได้สติว่า เออใช่ เราสิต้องการในสิ่งที่มองไม่เห็น แล้วก็ไม่เคยมีใครเรียกคืนมาได้”

คิมหันต์เห็นด้วย “แหม เทวดาฉลาดจัง”

“พราหมณ์ก็พูดชมเชยว่า ตัวเองเร่าร้อนนักหนา ได้ชายหนุ่มมาให้ความเห็นทำให้เย็นลง ความเศร้าโศกถึงลูกชายก็คลายลงด้วย แล้วถามว่าเขาเป็นใคร เขาจึงเฉลยว่าคือลูกชายของพราหมณ์นั่นเอง ได้ทำกุศลก่อนตายเลยไปเกิดเป็นเทวดา

พ่อก็ เอ๊ ไม่เคยเห็นลูกทำบุญทำกุศลอะไรเลย ไปเกิดเป็นเทวดาได้ยังไง ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดให้ฟัง พ่อฟังแล้วปีติมาก ร้องว่า อัศจรรย์จริงๆ การไหว้พระพุทธเจ้ามีผลถึงปานนี้ ข้าพเจ้าจะทำจิตให้เลื่อมใสพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันนี้ไปทีเดียว

พราหมณ์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ปฏิญาณว่าจะรักษาศีล ให้ทาน และเลื่อมใสในพระรัตนตรัย แล้วทูลอาราธนาไปเสวยที่บ้านในวันรุ่งขึ้น

พระพุทธเจ้าเสด็จไปบ้านพราหมณ์ มีคนมาชุมนุมกันมาก จะมาดูพราหมณ์ถามปัญหาพระพุทธเจ้า

เมื่อเสวยเสร็จแล้ว พราหมณ์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า

“บุคคลไม่ได้ถวายทานแก่พระองค์ ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้รักษาอุโบสถ เพียงแต่ทำจิตเลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ท่านถามทำไม ในเมื่อมัฏฐกุณฑลี ได้บอกความจริงนั้นแล้ว

พราหมณ์ก็แกล้งสงสัย แกล้งถามโน่นนี่ พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าเรื่องที่พ่อลูกได้พบปะพูดคุยกันที่ป่าช้า

พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า ผู้คนที่มาชุมนุมยังไม่หายสงสัย จึงทรงอธิษฐาน ให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาพร้อมกับวิมาน แล้วทรงไถ่ถาม เทพบุตรตอบความจริงทุกอย่าง ผู้คนทั้งหลายจึงอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใสว่า

ดูเถอะลูกชายพราหมณ์ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย นอกจาก ทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้สมบัติขนาดนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณน่าอัศจรรย์แท้”

“อ๋อ” คิมหันต์เอ่ย “ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าสิ่งทั้งหลายสำคัญที่ใจ ใช่มั้ย เพียงใจเลื่อมใสก็นำบุญกุศล นำสุขต่อๆ มาได้”

“ใช่แล้ว พอใจเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ก็จะคิดดี ทำดีเสมอ จึงมีความสุขตามมา”

“สาธุ แหม ฟังแล้วชื่นใจ มีกำลังใจ ขอกราบพระอีกที รู้สึกรักท่านจังเลย”

คิมหันต์ขยับนั่งท่าเทพธิดา แล้วก้มกราบพระพุทธรูปอย่างนอบน้อมอีกครั้งหนึ่ง

จบบริบูรณ์




เรื่องนี้เคยอ่านแล้วเหมือนกันอะ ท่านว.รวบรวมไว้ ^^
แต่ลูกชายเศรษฐี ก็ไม่ได้ทำชั่วช้า ไม่ได้เป็นคนบาปหนาใช่ปะ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2009, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าในมุมมองคณิตศาสตร์ผมเรียกว่าค่าความน่าจะเป็น คนทำบาปจิตย่อมเกิดอกุศลมากและบ่อย แต่ก็มีโอกาศที่กุศลจิตจะเกิดได้บ้าง นั่นก็คือจิตฝึกเช่นไรได้เช่นนั้น ดังนั้นก็ต้องลุ้นเอาว่าตอนตาย กุศลหรืออกุศลจะเกิด ดังนั้นในพวกที่ทำบุญไว้มากโอกาศที่อกุศลจิตจะเกิดตอนตายจึงเป็นไปได้น้อย ประมาณนี้คับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 60 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร