วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 17:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 01:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


“วางใจเป็นกลาง”
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๒ เทศน์ที่เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย
พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม อ.พล จ.ขอนแก่น

อาตมาตอนอยู่กับหลวงปู่เทสก์ เคยอ่านหนังสือของท่าน ท่านจะเขียนไว้ช่วงหลังนี่ ออกมาเป็นหัวข้อแยกๆออกมา เป็นประเด็นสำคัญออกมาไว้หน้าหนึ่งน่ะ ทุกเล่มเลย แล้วมีว่า “ผู้ใดทำใจให้ถึงซึ่งความเป็นกลางได้ ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง” แต่ก่อนนี้ยังไม่เข้าใจหรอกนะ เคยไปถามท่านว่า หลวงปู่ พิจารณายังไงเสร็จแล้วเดี๋ยวก็ต้องมาอยู่ที่จิตผู้รู้ อย่างนั้นก็ไม่ต้องพิจารณาเลยไปอยู่ที่ผู้รู้เลย อย่างนี้แบบอยากเอาสบาย ยังเข้าใจผิดอยู่ หลวงปู่ก็ไม่ว่าอะไร พออีกสองอาทิตย์ขึ้นไปหา เสร็จแล้วพระก็บอก คุณหมอลงไปได้แล้วหลวงปู่จะได้พัก ก็กำลังจะขยับลง ท่านก็ถามว่า ยังภาวนายังเป็นแบบเดิมไหม จริงๆเราถามท่านทีแรกก็ไม่ได้จะอะไรกับท่านหรอก ถามสนทนากันเฉยๆ แต่ท่านใส่ใจจึงจะถาม เราก็เงียบ ท่านก็เลยพูดแนะนำอยู่ครึ่งชั่วโมง ประมาณนั้นน่ะกะเอา แล้วก็อุปมาอุปไมยให้ฟังหลายๆลักษณะ แต่ก็เรื่องเดียวนั่นแหละ หมายความว่าให้เราพิจารณาให้หมดน่ะ มันจะหยุดของมันเอง เมื่อเราพิจารณารอบหมดแล้วในสมมติทั้งหมดแล้ว พิจารณาเห็นมันชัดแจ้งหมดทุกอย่างแล้ว ถึงที่สุดมันหยุดของมันเอง ไม่ใช่ให้เราไปหยุดอยู่ที่ผู้รู้ เราไปทำอย่างนั้นมันก็ไปหยุดแค่สมถะ เหมือนหินทับหญ้า พอหินออกหญ้ามันขึ้น เหตุนั้นให้เราพิจารณาขันธ์ ๕ นั่นเอง พิจารณาให้มันรอบ เข้าใจมันหมดแล้ว เห็นความจริงมันหมดแล้วเดี๋ยวมันหยุดเองน่ะ ไม่ต้องไปอยากให้มันหยุดหรอก มันหยุดของมันเอง เหมือนขุดบ่อน้ำ เหมือนทางอีสานเขาไม่มีน้ำใช้เขาขุดบ่อน้ำ ขุดๆๆๆลงไปจนถึงตาน้ำน้ำมันจะซึมขึ้นก็ตักน้ำได้ เพราะฉะนั้นเหตุนั้นนี่ บางทีเราขุดไม่ถึงตาน้ำ โอ้ย ไม่มีน้ำก็เลิกขุดไปขุดที่ใหม่ เพราะไม่มีน้ำก็ไปขุดที่ใหม่ ก็เลยไม่มีน้ำใช้สักที เปลี่ยนที่ไปเรื่อย เหตุนั้นการขุดเพื่อให้ถึงตาน้ำต้องขุดอยู่ในกายใจเรานี่ อย่าไปหาข้างนอก ธรรมะอยู่ในกายใจนี่ หาภายในกายใจนี่ ถ้าอยู่ในกายใจนี้เดินมรรค ถ้าออกนอกกายใจนี้ ส่งนอกออกไปเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้าหาในกายใจนี่เดินมรรค หรือรูปนามนั่นเอง มันจะแยกออกไปอีก เป็นกายเวทนาจิตธรรมก็ได้ หรือจะแยกออกไปอีกก็เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั่นเอง ก็อันเดียวกันหมด หรือจะพูดเรื่องอายตนะทั้ง ๖ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็อันเดียวกันอีกล่ะ หรือจะพูดเรื่องธาตุทั้ง ๔ แล้วก็อากาสธาตุคือช่องว่าง แล้วก็ธาตุรู้ ก็อันเดียวกันนั่นแหละ แล้วแต่ใครถนัดชอบอันใด เพื่ออะไร เพื่อให้เห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้ เมื่อเห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้ มันจะวางความสำคัญผิดเรียกว่าอุปาทาน สำคัญว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของเราเป็นเราเป็นตัวตนของเรา เท่านั้นเอง เหตุนั้นการพิจารณาจึงต้องพิจารณากาย เพื่อให้เห็นความจริงของกายมันเป็นอย่างไร จะพิจารณาลงเป็นธาตุก็ได้ ธาตุ ๔ ดินน้ำไฟลม ของแข็งก็เป็นธาตุดิน ของเหลวก็เป็นธาตุน้ำ เอิบอาบไปเป็นธาตุน้ำ ความร้อนความเย็นก็เป็นธาตุไฟ เคลื่อนไหวไปมาเป็นธาตุลม ก็ได้ ถ้าเป็นธาตุแล้ว คำว่าธาตุ ธาตุภายในธาตุภายนอก ตัวเราเป็นธาตุภายใน นอกตัวเราออกไปเป็นธาตุภายนอก แม้จะมีวิญญาณครองหรือไม่มีวิญญาณครองก็เป็นธาตุเหมือนกัน ตึกรามบ้านช่องก็เป็นธาตุเหมือนกัน เมื่อเห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้มันเป็นธาตุ มันก็ละอุปาทานที่สำคัญว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตัวตนเป็นเราเป็นเขาออกไปได้ การที่มันรู้มันเห็นตรงนี้ตามความเป็นจริงตรงนี้นี่ เขาเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เห็นชอบเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง วิญญาณที่จะเป็นมิจฉาทิฏฐิที่จะรู้ตามความหลงก็ไม่มี อันนี้เป็นเรื่องของรูป เรื่องของเวทนาก็เหมือนกัน สุขทุกข์เฉยๆ เวลาเราเจ็บป่วยเหมือนร่างกายนี่ เพราะร่างกายนี้เป็นเหตุ เมื่อมันไม่สมดุลกัน จะเป็นโรคที่มีเชื้อโรคหรือโรคที่ไม่มีเชื้อโรคก็แล้วแต่ อย่างเช่นความดันโลหิตสูง เบาหวาน พวกนี้ไม่มีเชื้อโรค แต่เป็นโรคแห่งความเสื่อมในร่างกายของมันเอง มันก็ต้องมีทุกขเวทนาเกิด ทุกขเวทนาเกิดนี้ก็ไปตามเหตุปัจจัยคือรูปนั่นเอง คือร่างกายนั่นเอง เกิดแล้วมันเที่ยงไหม มันก็ไม่เที่ยง ก่อนหน้ามันมีไหม มันก็ไม่มี แล้วเมื่อมันเกิดติดเชื้อขึ้นมามันก็มีอาการ มีเวทนาเกิดนั่นแหละ เหตุนั้นนี่ให้พิจารณามัน เวทนามันก็มีเหตุมีปัจจัยเหมือนรูปล่ะ นี่ล่ะมันจึงเป็นลักษณะของมันอย่างหนึ่ง เมื่อเราเข้าใจว่า เวทนาก็มีเหตุมีปัจจัย เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของรูปนั่นน่ะ ที่มันสมดุลหรือไม่สมดุล มันสมดุลสบายก็เป็นสุขเวทนา พอมันไม่สมดุลอย่างไปอยู่ในบ้าน อากาศปรับอุณหภูมิดีมันก็สบาย พอออกนอกมันร้อนหรือหนาวจัดมันก็เป็นทุกขเวทนา นี่มันตามเหตุปัจจัย นั้นเวทนานี้จะเป็นของเราได้อย่างไร เป็นเราเป็นตัวตนของเราได้อย่างไร มันไปตามเรื่องของเขา มันเกิดตามเหตุปัจจัยของเขา ถ้ามีเหตุอย่างนี้ก็ต้องมีผลอย่างนี้ มีเหตุอย่างนี้ก็ต้องมีผลอย่างนี้ มีเหตุอย่างนั้นก็ต้องมีผลอย่างนั้น ถ้ามีเหตุอย่างนี้แล้วจะไม่ให้มันมีผลอย่างนี้ก็ไม่ได้อีก การที่บังคับมันไม่ได้นั่นล่ะมันไม่ใช่ของเรา หัดวิจัยมัน หัดพิจารณามัน เมื่อเห็นความจริงของมันอย่างนี้ เราจะไปตั้งความปรารถนาอยากให้มันเป็นอย่างนี้ ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นไปทำไม เพราะตั้งความปรารถนาแล้วก็ไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้ดั่งที่ปรารถนา การไม่ได้ดั่งที่ปรารถนาก็เลยเป็นทุกข์ ความไปตั้งไว้ว่าอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ก็เพราะอะไร ก็เพราะอุปาทานความหลงไปยึดมั่นถือมั่นว่า เวทนาเป็นของเรา เราเป็นเวทนานั่นเอง จึงอยากให้เวทนานี้เป็นอย่างนั้นไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ มันก็เนื่องจากตัวจิตอีกล่ะ ตัววิญญาณนั่นเอง มันอยากให้รู้เวทนาที่มันสุขสบาย มันไม่อยากให้รู้เวทนาที่ไม่สุขสบายนั่นเอง มันสัมพันธ์กัน มันไปยึดมั่นเวทนาแล้วยังไม่พอ มันยึดมั่นแล้วมันต้องการให้เป็นอย่างนี้ไม่ให้เป็นอย่างนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อตัววิญญาณนั่นเอง ตัวรู้ดีรู้ไม่ดี รู้ที่มันเข้าใจว่ามันสุขสบายก็อยากให้มันรู้สุขสบาย รู้ที่มันทุกข์ไม่สุขสบายก็ไม่อยากให้มันรู้นั่นเอง แต่ฐานะไม่ว่ามันสุขหรือมันทุกข์มันก็ต้องรู้ เพราะวิญญาณมันก็ทำหน้าที่ของมันโดยความเป็นกลางนั่นเอง มันไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แล้วถ้าลึกเข้าไปวิญญาณนั่นความรู้นั้นก็ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่สุขด้วยก็ไม่ใช่ทุกข์ด้วย แล้วก็ไม่ใช่รูปด้วย รูปก็ไม่มีในวิญญาณ วิญญาณก็ไม่มีในรูป ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เป็นต่างอันต่างทำหน้าที่ต่อเนื่องกันเฉยๆ เหมือนจุดไฟขึ้นมา ไฟกับฟืนนี่ เมื่อไฟติดฟืนมันก็จะมีเปลวออกมา เปลวก็ไม่ใช่ฟืนนะ ฟืนก็ไม่ใช่เปลว แต่มันเนื่องกัน เหมือนกันรูปก็ไม่ใช่วิญญาณ เวทนาก็ไม่ใช่วิญญาณ วิญญาณก็ไม่ใช่เวทนาไม่ใช่รูป แต่มันเนื่องกัน เป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกัน (ผู้ฟัง: วิญญาณกับจิตนี้สิ่งเดียวกันไหม) เออ วิญญาณก็มาจากจิตนั่นล่ะ บางทีเขาก็เรียกวิญญาณอันไหนจิตก็อยู่ตรงนั่นล่ะ (ผู้ฟัง: แล้วอย่างคนที่ไม่เกิดนี่ จะไม่ต้องการเกิดนี่จิตจะสลายวิญญาณจะสลายไปเลยหรือยังอยู่) เอ้า เขาไม่หลงน่ะ วิญญาณตัวนี้มันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ของใคร มันเป็นอนิจจัง เขาปล่อยวางอุปาทานหมด ความรู้ที่จะเป็นอุปาทานมันไม่มี มันก็ไม่มีที่ไปเกิด จิตที่ไม่มีสมมติตรงนั้นต่างหากมันจึงไม่เกิด ถ้ายังมีสมมติอยู่มันก็ไปเกิดตามที่มันสมมติ เหมือนโยมอยากได้บ้าน โยมก็ต้องใฝ่หาไปซื้อบ้านแน่นอนเลย ถ้าโยมไม่อยากได้บ้านมันก็ไม่ไปซื้อบ้าน จริงไหมล่ะ อันนี้เทียบภายนอกกับภายใน เทียบนามธรรมกับรูปธรรม เช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อวิญญาณที่มันไม่มีสมมติมันไม่อยากได้อะไรในสมมตินั้นแล้ว มันไม่มีแล้วนี่ มันก็จะไปเกิดในสมมติได้อย่างไร เหมือนโยมอยากได้บ้าน มันก็ต้องไปหาซื้อบ้าน ถ้าโยมไม่อยากได้บ้านมันก็ไม่ไปซื้อบ้าน จริงไหมล่ะ ถ้าอยากได้รุนแรงก็ดิ้นรนแสวงหา ไม่ได้ก็ต้องไปกู้ยืม ไม่มีก็กู้ยืม ก็เลยเป็นทุกข์ สัญญาก็เหมือนกัน ทำหน้าที่จำทำหน้าที่หมายให้จิตรู้ สังขารก็ทำหน้าที่คิด คิดไปก็ดับไป ทีนี้มันมีกิริยาอย่างหนึ่ง วิญญาณคือความรู้ สิ่งเหล่านี้อยู่กับมันตลอด เมื่ออยู่กับมัน มันก็เลยสำคัญผิด คือเป็นอุปาทานเกิด สำคัญผิดตั้งไว้ผิด ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของเราเป็นเราเป็นตัวตนของเรา เมื่อสำคัญผิดเห็นผิดตัวนี้ มันก็เลยคิดผิดพูดผิดทำผิด มันก็เลยรู้ผิดๆตลอด มันเลยสืบเนื่องตัววิญญาณที่เป็นอวิชชาตลอด เกิดความรู้ที่เป็นอวิชชาตลอด มันก็เลยให้อาหารมันตลอด เมื่อเราเห็นถูกในเรื่องของรูป ทั้งรูปนอกรูปใน ทั้งรูปที่มีวิญญาณครองไม่มีวิญญาณครอง อย่างเช่นบ้านไม่มีวิญญาณครอง รถก็ไม่มีวิญญาณครอง แต่มันมีลักษณะเหมือนกัน รถมันก็เสื่อมสลาย รถก็เกิดตามเหตุปัจจัย บ้านก็เกิดตามเหตุปัจจัย บ้านก็เสื่อมสลาย ร่างกายเราก็เกิดตามเหตุปัจจัย มีพ่อกับแม่สมสู่กัน มีไข่กับอสุจิออกมาผสมกัน มีอาหารเข้าไปผ่านทางรก พอคลอดออกมาก็ต้องมีอาหารให้กินมันก็โตขึ้นๆ นี่ตามเหตุปัจจัยหมด เหมือนกันหมดเลยทุกอย่าง ทั้งรูปนอกรูปใน เป็นไปตามเหตุปัจจัยหมด แล้วจะสำคัญว่าเป็นของเราเป็นเราเป็นตัวตนของเราได้อย่างไร นี่วิจัยมันลงไป วิจัยมันลงไป มันเหมือนกันหมดเลย คือเห็นแล้วมันก็เหมือนกันหมดทั้งโลกนี่ ทั้งข้างนอกทั้งข้างใน เหมือนกันเป็นสภาพเดียวกันหมด เขาจึงเรียกว่าสามัญลักษณะ เป็นอนิจจัง เป็นทุกขังคือทนอยู่ไม่ได้ต้องเสื่อมสลาย เป็นอนัตตาไม่ใช่ของใคร เป็นของกลางนั่นเอง เมื่อเห็นความจริงอย่างนี้ มันจึงไม่มีความไปตั้งอะไรไว้ แล้วก็ไม่มีความปรารถนาอะไร เพราะมันรู้ว่าทุกอย่างที่ไปตั้งเอาไว้ไปปรารถนาอะไร มันก็ต้องไปตามเหตุปัจจัยของเขา มันไม่ได้เป็นไปตามเหตุปัจจัยของความตั้งเอาไว้ความปรารถนาของเรา เพราะสัจธรรมคือความจริงนั่นเอง มันไปตามเหตุปัจจัยของเขาหมด ถ้าตั้งไว้ถูกเหตุปัจจัยก็โอเค ตั้งไม่ถูกเหตุปัจจัยก็เป็นทุกข์ เท่านั้นน่ะ เมื่อรู้ความจริงตรงนี้ก็เลยไม่ไปตั้งความปรารถนา ก็ปล่อยมันไปตามสภาพความจริงของมัน ก็เลยเป็นแต่ผู้ดู ดูมันอย่างเดียว มันก็แสดงธรรมะให้เห็น แสดงความเป็นอนิจจังให้เห็น แสดงความเป็นทุกขังให้เห็น แสดงความเป็นอนัตตาให้เห็นอยู่ตลอด มันแสดงธรรมให้เรารู้เราเห็นอยู่ทุกวันทุกคืนทุกเวลาทุกนาที ก็เลยฟังธรรมทุกเมื่ออย่างหลวงปู่มั่นบอก มันแสดงให้เห็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มันแสดงให้เห็นอยู่ตลอด ในเรื่องของธรรมะแสดงให้เห็นตลอดคือสัจธรรมนั่นเอง ความจริงที่มันแสดงให้เห็น มันมีเหตุเป็นแดนเกิด มันก็ดับไปตามเหตุ นี่มันเหมือนลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์มันแข่งกันน่ะ เราไปเชียร์ทีมหนึ่งปั๊บ พอทีมที่เราเชียร์มันชนะก็ดีใจ พอมันแพ้ก็เสียใจ เพราะอะไร ก็เพราะเราไปตั้งมันไว้ว่าทีมนี้ฉันชอบ นั่นไปตั้งไว้ผิดล่ะ เลยเป็นอุปาทานยึดมั่นถือมั่น จริงๆแมนเชสเตอร์ลิเวอร์พูลก็ไม่ใช่ทีมของเรา ไม่ใช่ทีมของเรา นี่มันเห็นผิดแล้วนี่ทีมฉันชอบ เอาเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาก็ไม่ได้เชิญเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาก็เล่นกันแพ้ชนะก็เลิกของเขา เขาก็ได้เงินเข้ากระเป๋า เรากลับไปดีใจเสียใจกับสิ่งเหล่านั้น แล้วถ้าละเอียดเข้าไป ลิเวอร์พูลแมนเชสเตอร์ก็ไม่มีอยู่ในความคิดล่ะ ความคิดก็ไม่ใช่ลิเวอร์พูลแมนเชสเตอร์ ถ้าลิเวอร์พูลแมนเชสเตอร์มีอยู่ในความคิด ร่างกายนี้ต้องระเบิดแล้ว ไปดูสโมสรสิมันใหญ่กว่าเราอีก เข้ามาอยู่ในความคิดมันต้องระเบิดออกแล้ว จริงไหมล่ะ หือ จริงไหมล่ะสโมสรมันใหญ่กว่าเรานะ ถ้ามันเข้ามาอยู่ในตัวเราตัวเราต้องระเบิดแล้วนะ มันไม่มี ความคิดมันเป็นนามธรรมอันหนึ่งไม่ใช่รูปธรรม ไม่ใช่ลิเวอร์พูลไม่ใช่แมนเชสเตอร์ พอมันคิดปั๊บมันเลยหลงเข้าไปว่า มันมีลิเวอร์พูลมีแมนเชสเตอร์ในความคิดความรู้จริงๆ นั่นล่ะมันเห็นผิดแล้วนั่น ถ้ามันมีจริงๆกายนี้สมองนี้ต้องระเบิดออกแล้ว เพราะมันใหญ่กว่ากันน่ะ มันรับไว้ไม่ได้ ใช่ไหม นี่ความเห็นผิดล่ะ เมื่อมันไม่มีอยู่ ลิเวอร์พูลไม่มีอยู่ในความคิด เมื่อลิเวอร์พูลไม่มีอยู่ในความคิด ความรู้คิดวิญญาณนั้นก็ไม่มีอีก ไม่มีลิเวอร์พูลอีก เมื่อไม่มีลิเวอร์พูลจะไปยินดียินร้ายได้อย่างไร ที่ยินดียินร้ายอยู่เพราะอะไร ก็หลงว่ามันมี ก็คือความหลง คือความไม่เห็นความจริงของมัน นึกว่ามันมีอยู่ใช่ไหม สำคัญว่ามันมีอยู่ ก็เลยว่าทำสิ่งที่ไร้สาระให้เป็นสาระ มันไม่มีสาระเลย ก็มันไม่มีอยู่จริงล่ะ ลิเวอร์พูลไม่มีอยู่ในความคิด ลิเวอร์พูลไม่มีอยู่ในวิญญาณความรู้ มันเป็นแค่สมมติอันหนึ่งอยู่ในนั่นเฉยๆ เหมือนเราเขียนหนังสือ ฉันจะไปเมืองเพิร์ธ หรือเขียนหนังสือว่าเมืองเพิร์ธนี่ เมืองเพิร์ธก็ไม่อยู่ในตัวหนังสือ ตัวหนังสือก็ไม่ใช่เมืองเพิร์ธ ตัวหนังสือเป็นพยัญชนะอันหนึ่งเฉยๆ นี่แหละสมมติล่ะ ตัวหนังสือนี้ตัวสมมติ เพื่อสื่อให้รู้ว่านี่เมื่อเพิร์ธ ความคิดก็เหมือนกัน ก็เหมือนตัวหนังสือนั่นล่ะ สื่อให้รู้ภายนอกเฉยๆ แต่ไม่ใช่ภายนอก แต่เราไปสำคัญผิดว่ามันมีอยู่ภายนอก เมื่อสำคัญผิดเป็นความเห็นผิด เมื่อเห็นผิดก็คิดผิดพูดผิดทำผิด ก็เลยต้องไปเกิดน่ะ หือ มันมีไหมล่ะลิเวอร์พูลอยู่ในความคิด ถ้ามีกายนี้ต้องแตกสลายออกไปแล้ว เพราะสโมสรมันใหญ่นี่ มันรับไม่ได้หนังอันนี้มันรับไม่ได้ มันยืดอย่างไรมันก็ไม่สามารถรับสโมสรลิเวอร์พูลได้พร้อมทั้งสนามล่ะ ใช่ไหม เอาง่ายๆเหมือนยางนี่(ยางรัดของ) ยางเส้นหนึ่งนี่ ของใหญ่ๆให้มันรัดดูสิ ยืดยางยืดยางรัดให้มันน่ะ ยืดมากๆยางขาดเลยไหม นี่เป็นความจริง นี่ล่ะให้เห็นน่ะว่ามันไม่มี เมื่อมันไม่มี ไม่มีแล้วที่เราไปยินดียินร้ายมันก็คืออะไร นั่นล่ะความหลง หลงไม่รู้จริง ไม่เห็นความจริงว่ามันไม่มี มันไม่มีมันก็ว่างแล้วน่ะ ว่างจากลิเวอร์พูลแล้ว ว่างจากแมนเชสเตอร์แล้ว นี่มันเห็นผิด นั่นล่ะพอเห็นผิดวิญญาณอุปาทานที่มันเห็นผิดมันก็ก่อเนื่องเป็นภพเป็นสายขึ้นไป ไม่มีจักจบไม่มีจักสิ้น นี่ทัสสนะให้ฟัง พอฟังรู้เรื่องไหม นี่เพราะฉะนั้นน่ะให้วิจัยมันให้ดี จริงไหม เอ้า ลิเวอร์พูลไม่มีอยู่ในความคิดนะ ไม่มีอยู่ในความรู้นะ แต่พอรู้พอคิดขึ้นมามันสำคัญเลยมีลิเวอร์พูลมีแมนเชสเตอร์ มันก็เลยพูด ถ้าชอบก็พูดๆไปดีใจกับมัน พอมันแพ้ก็เสียใจพูดไปกับมันเรื่องความเสียใจอยู่นั่น จิตก็เลยไม่เป็นกลาง เกิดอคติลำเอียงอยู่ตลอด เพราะอะไร เพราะเห็นผิดไม่รู้ความจริงของมันน่ะ ถ้าพูดถึงลิเวอร์พูลแมนเชสเตอร์มันแข่งกัน มันก็แพ้ชนะตามเกมมันน่ะ ทีมไหนพร้อมกว่ากันก็ชนะ ใช่ไหม แม้แต่ทีมหนึ่ง ยกตัวอย่าง ถ้าแมนเชสเตอร์ตัวผู้เล่นนี่เหนือกว่าลิเวอร์พูลหมด แต่วันนั้นลงสนามเกิดป่วยกันน่ะ เป็นหวัดเป็นอะไรลงไม่เต็มร้อยก็อาจจะแพ้ลิเวอร์พูล อันนี้คือเหตุปัจจัย ถูกไหม เรื่องของเหตุปัจจัย มันแพ้ชนะกันก็ตามเหตุปัจจัยมันน่ะ มันไม่ได้ไปตามที่เราปรารถนานะ มันกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ทีมไหนจะแพ้ทีมไหนจะชนะ ตัวเหตุปัจจัยเป็นตัวกำหนด เข้าใจยังล่ะ เหตุนั้นป่วยการเราจะไปยินดียินร้ายกับมัน แล้วมันก็ไม่มีอยู่ในความรู้ความเห็นอีกล่ะ เมื่อไม่มีมันก็ว่างเปล่าแล้ว ว่างเปล่าจากลิเวอร์พูลแมนเชสเตอร์แล้วจะไปเอาอะไรกับมัน เหตุนั้นพระพุทธเจ้าพูดถึง “แม้แต่รูปที่ขณะที่กำลังเห็นก็ไม่มี” นี่ๆรูปที่ขณะกำลังเห็นอยู่ก็ไม่มี นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “รูปอดีตก็ไม่มี รูปอนาคตก็ไม่มี รูปที่กำลังเห็นอยู่ขณะนี้ก็ไม่มี” เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มี มันคิดถึงมันเห็นรูปอยู่มันรู้อยู่ มันก็ไม่มีรูปอยู่ในความรู้นั่นน่ะ ที่รู้รูปอยู่มันรู้ตัวสัญญารูปต่างหาก รู้ตัวสังขารตัวคิดต่างหาก แล้วก็ตัววิญญาณมันรู้ต่างหาก มันไม่มีรูปในนั้นน่ะ แต่คนอ่านไม่ออกล่ะ คนก็เห็นแต่ภายนอก ทำไมเราจะว่าไม่มีก็เห็นด้วยตาอยู่นี่ อันนี้ท่านพูดภายใน ข้างนอกมันเรื่องของภายนอก แม้แต่เห็นโยม โยมเห็นอาตมานี่ โยมไม่ได้เห็นอาตมาหรอกนะ เชื่อไหมล่ะ ที่โยมไม่เห็นน่ะ โยมไม่เคยเห็นอาตมาหรอก ที่โยมเห็นอยู่เดี๋ยวนี้มันเป็นreflection(แสงสะท้อน)ของแสง ลองปิดไฟให้มืดสิจะมองเห็นกันไหม แสงมันสะท้อนมานี่ แสงสีนี้มันก็สะท้อนออกสีอื่นมันดูดซึม เพราะสีขาวมัน ๗ สี มันเป็นwave length(ความยาวคลื่น) ใช่ไหมล่ะ มันเป็นคลื่น นี่มันจะดูดสีอื่นมันสะท้อนสีนี้เข้าตาโยม แล้วสะท้อนเข้ากระจกตาโยมมันจะเป็นอย่างนี้ มันก็จะสะท้อนแต่ละจุดแต่ละจุดของรูปนี่ เหมือนคอมพิวเตอร์เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เมื่อมันเข้าไปแล้วมันก็ไปประมวลในสมอง พอมันกระทบretina จอประสาทตาแล้ว มันจะเปลี่ยนปฏิกิริยาแสงเป็นปฏิกิริยาเคมี เปลี่ยนปฏิกิริยาเคมีเป็นกระแสไฟฟ้า เปลี่ยนจากกระแสไฟฟ้าเข้าไปประมวลอยู่ในนั้นในสมองน่ะ แล้วมันก็จะสร้างภาพขึ้นขึ้นมา นั่นล่ะสัญญามันสร้าง เมื่อสร้างภาพขึ้นโยมจึงไม่ได้เห็นอาตมาเลย แม้แต่ภาพที่มันสร้างก็เป็นกระแสไฟฟ้า ตามnerve impulse(กระแสประสาท)ประสาทตาน่ะ แม้แต่แสงก็ยังไม่เห็นเลย ตามันเห็นแสงมันรับแสงเฉยๆ แต่พอเข้าไปข้างในตามเส้นประสาทมันเป็นเรื่องของกระแสไฟฟ้าบวกลบบวกลบล่ะ นอกกระแสไฟฟ้าเป็นบวกลบ มันก็เปลี่ยนความต่างศักย์เข้าไป มิฉะนั้นโทรศัพท์เอ๋ยโทรทัศน์เอ๋ย มันก็เปลี่ยนกระแสอย่างนี้หมดล่ะ เหตุนั้นโยมไม่ได้เห็นอาตมาเลยนะ เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาพูดมันหลักความจริงนะ เป็นวิทยาศาสตร์อยู่ แต่เขามองไม่เห็นน่ะ เพราะเขาไม่ได้ขบคิดให้ละเอียด (ผู้ฟัง: อย่างที่มีหนังสือเขียนว่า พุทธศาสนานี่ใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์) ไม่ใช่ใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นsubset(บางส่วน)ของพุทธศาสนา (ผู้ฟัง: หรือเจ้าค่ะ แต่เขาเขียนว่าใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์) มิใช่ วิทยาศาสตร์มันด้อยกว่าพุทธศาสตร์ เพราะมันเป็น subset พุทธศาสตร์มันพูดรอบหมดทั้งรูปทั้งนามเหนือจักรวาลหมด อันนี่มันพึ่งมาศึกษาวัตถุอย่างหนึ่งเฉยๆ พยายามหาความจริงคือขบวนการของวัตถุที่มันทำงานน่ะ เท่านั้นน่ะ เพราะธรรมะมันคือสัจธรรมคือความจริง ความจริงแขนงไหนก็ตาม มันจึงเป็นsubset คนพูดน่ะมันพูดเพราะว่าอะไร เพราะมันพยายามจะให้คนเชื่อ ก็เอาเป็นว่าใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์ เพราะพวกเชื่อวิทยาศาสตร์ก็จะได้เชื่อ จริงๆธรรมะไม่ต้องการใครเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะธรรมะเขาไม่ยินดียินร้าย ความจริงเขาแสดงความจริงเขาอยู่ตลอด ธรรมะไม่จำเป็นต้องให้ใครเชื่อ เพราะความจริงเขาก็ยืนยันความจริงเขาอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าจึงท้าพิสูจน์ไง เอหิปัสสิโกเชิญมาพิสูจน์เถิด เพราะอะไร เพราะท่านพูดเรื่องสัจธรรมที่มันมีอยู่แล้ว ท่านไม่ได้สร้างธรรมะขึ้นมา ท่านไม่ได้สร้างมันขึ้นมา เมื่อท่านไม่ได้สร้างขึ้นมา มันเป็นความจริงพิสูจน์อย่างไรมันก็หนีความจริงไม่พ้น จึงกล้าท้าพิสูจน์ไง แค่ตรงนี้ท่านพูดประโยคเดียวนี่ เขาจะรู้ไหมล่ะนักวิทยาศาสตร์ แม้แต่รูปที่เห็นอยู่ก็ไม่มี ก็ไม่ได้เห็นรูปที่เห็นน่ะ แม้แต่เรารู้ก็ไม่ได้เห็นรูปนะ แสงกระทบตาเสร็จปั๊บนี่ก็เห็นแสง ตาเห็นแสงล่ะ กระทบแสงล่ะ พอกระทบแสงปั๊บมันก็เปลี่ยนปฏิกิริยาที่retina(จอประสาทตา)อีก ปฏิกิริยาเคมีrodกับ cone น่ะ(เซลประสาทตา) ปฏิกิริยาเคมีเสร็จก็เปลี่ยนเป็นกระแสประสาทกระแสไฟฟ้า ถ้าลองตัดเส้นประสาทออกสิมันจะเห็นไหม ไม่เห็น เห็นไหม หรือถ้านั่งหลับตาดูสิมันก็ไม่เห็น เพราะมันแสงไม่เข้าตา ตายังอยู่ หรือไม่ตายังอยู่ลืมตาแต่มืดสนิทเห็นไหม เพราะมันเห็นแสงกระทบตาต่างหาก แล้วแสงที่มันเห็นมันยังไม่พอนะ มันจะเข้าไปรู้ภายในมันต้องอาศัยเปลี่ยนจากแสงนั้นปฏิกิริยาเคมีเป็นพลังงานเคมี พลังงานเคมีเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าเข้าไปก็เหมือนโทรทัศน์เห็นไหม มันก็เปลี่ยนกันกี่รอบล่ะ ที่เห็นอยู่นั่นมันไม่ได้เห็นอะไรเลย มันเป็นขบวนการสุดท้ายของพลังงานไฟฟ้าที่มันไปนั้นแล้ว แล้วเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ากลับมาคืนอีก นี่เพราะฉะนั้นจึงว่า อธิบายหูทิพย์ ตาทิพย์ เรื่องรู้วารจิตคนอธิบายเรื่องอะไรต่างๆ สมัยนี้อธิบายง่ายนะ ก็เพราะไอ้โทรศัพท์มือถือโทรทัศน์เอ๋ยยิงข้ามทวีปเอ๋ยอะไรเอ๋ย นั่นล่ะมันสื่อความจริงของตรงนั้นหมด มันเลียนแบบกันหมด เข้าใจยังล่ะ มันเลียนแบบกันหมดน่ะ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่มันต่างกันนะ มันเลียนแบบกันหมดเลย แต่เรามีเครื่องมือฝึกมันไหม มันเลียนแบบหมดน่ะ ทำไมโทรศัพท์ไร้สายมันทำไมติดต่อกันได้ นั้นล่ะเข้าใจยังมันมีคลื่น มันก็เรื่องกระแสทั้งนั้นน่ะ เหตุนั้นเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ แต่เรื่องที่น่าจะแปลกใจที่สุด ทำอย่างไรให้พ้นจากกองทุกข์ นี่ให้พิจารณาดูสิมันจริงไหม เมื่อเห็นมันไม่มี มีใครจะเห็นล่ะ มีใครจะมาพูดล่ะ เพราะที่พูดออกไปนี่มันลึก พระไตรปิฎกเขียนไว้เลย แม้ขณะรูปที่กำลังเห็นอยู่นี้ก็ไม่มี คนปัญญาไม่ถึงไม่รู้ขบวนการพวกนี้ งงเลยล่ะ แล้วจะค้านทำไมไม่มีก็เห็นกันอยู่ในนี้ นั่งสลอนกันอยู่นี่ ก็ไม่มีในความรู้นั้นน่ะ ที่เรารู้อยู่มันเป็นรู้กระแสประสาท เหมือนเราเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เหมือนเราไปผ่านสนามบินมันมีเอกซเรย์ มันก็จะเห็นภาพอยู่นั่นน่ะ แต่ภาพนั้นไม่ใช่ของที่ผ่านเครื่องเอกซเรย์นะ จริงไหมล่ะ ภาพนั้นเป็นเงาในจอโทรทัศน์เขา เหมือนกันที่เราเห็นอยู่น่ะมันเป็นเงาในขบวนการภายในรูปนี้ต่างหาก ไม่ได้เห็นภายนอก แต่ภาพนั้นเสมือนภายนอกใช่ไหม เขาจึงรู้ไง เขาเอกซเรย์เขารู้ไหมมีของอะไรๆอยู่ใน อย่างในผ่านสนามบินน่ะ นั่นล่ะเหมือนกัน มันเลียนแบบกันหมดน่ะ นั่นล่ะเมื่อรู้แล้วเข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว มันก็ปล่อยวางอุปาทาน จะไปเอาอะไรกับมันนะ เพราะมันไม่มี แค่อาศัยเอกซเรย์ทำประโยชน์เฉยๆ นี้มันละเอียดอ่อน ใครไม่ไปขบคิดไม่พิจารณาบ่อยๆไม่เห็นหรอกนะ เมื่อเห็นแล้วว่ามันไม่มีจะไปเอาอะไรกับมัน ทีนี้มันหลอกทางหูทางตาหมดตลอดล่ะ ยิ่งวิทยาการก้าวหน้ามันหลอกหมด แต่ในความหลอกมันก็มีตัวให้จับเท็จอยู่ นี่พูดให้ฟังเข้าใจยัง.

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 05:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุกับท่านขงเบ้งด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 184 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร