วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 02:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2009, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"...ทุกสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น เกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่ได้ชั่วขณะเป็นธรรมดา แล้วก็ต้องดับไปในที่สุดเป็นของธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นสภาวะสุข สภาวะทุกข์ สภาวะนิ่งเฉย เกิดมาแล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา ยึดอะไรไว้ไม่ได้เช่นกัน แม้แต่ตัวไตรลักษณ์ มันก็เป็นไตรลักษณ์ในตัวมันเอง เป็นสมมติบัญญัติ ไตรลักษณ์เองก็เป็นอนัตตา สมมติทั้งหลายก็เป็นอนัตตา ไม่มีตัวมีตน ไม่มีอะไรเลยเช่นกัน แล้วเราจะไปยึดอะไร ไปเชื่ออะไร มีอะไรที่ยิ่งกว่านี้ สภาวะทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตาเป็นสมมติทั้งสิ้น แล้วเราจะเอาอะไรให้ยิ่งกว่านี้....

....พระนิพพานจึงไม่มีสภาวะ ไม่มีสภาวะสุข ไม่มีสภาวะทุกข์ ไม่มีสภาวะว่าง นิ่งเฉย แต่มันก็มีอยู่ มีอยู่ในแดนที่มันไม่มีสุข ทุกข์ นิ่งเฉย หรือปล่อยวาง คือไม่เอาอะไรทั้งสิ้น

....ทุกอย่างลงไตรลักษณ์หมด ลงสู่ความไม่เที่ยง ลงสู่ความเป็นทุกข์ ลงสู่ความไม่ใช่ตัวตน ลงสู่ความไม่น่ายึดมั่นถือมั่น แล้วจะมีอะไรให้เห็นยิ่งกว่านี้ นี่คือธรรมของพระอริยะ พระอริยเจ้าท่านก็รู้ลงตรงนี้ อริยสัจ 4 ท่านก็กล่าวไว้ตรงนี้ ยอมรับความจริงแล้วจะเข้าสู่ผล นี่เป็นความจริง เมื่อจิตยอมรับความจริงเมื่อไหร่ ก็ลงสู่ความเป็นผล คือเข้าใจในไตรลักษณ์ของขันธ์ 5 ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่น่ายึดมั่นดังนี้ มันจึงหมดลงตรงนี้ ...ตรงที่จิตใจนี่......."
(หลวงพ่อชานนท์ วัดป่าเจริญธรรม จ.ชลบุรี)

ผู้ที่ปฏิบัติย่อมรู้ ผู้ที่เข้าไปรู้ความเป็นจริง ย่อมค้านความจริงไม่ได้
http://www.watpachareongtham-chonburi.com


แก้ไขล่าสุดโดย พงพัน เมื่อ 23 พ.ย. 2009, 16:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2009, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ย. 2009, 15:24
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สาธุค่ะ

.....................................................
กลิ่นปุปผชาติ ก็หอมทวนลมไม่ได้
กลิ่นจันทน์ กฤษณา หรือดอกมะลิ ก็หอมทวนลมไม่ได้
แต่กลิ่น(แห่งศีล)ของสัตบุรุษ หอมทวนลมได้ สัตบุรุษย่อมหอมฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ

รูปภาพ

The perfume of flower blows not againts the wind,
nor does the fragrance of sandal-wood, Tagara and jasmine,
but the fragrance of the virtuous blows against the wind the virtuous man pervades all directions.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2009, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับคุณพงพัน

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2009, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

:b1: :b1:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2009, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว




baa60776.gif
baa60776.gif [ 2.6 KiB | เปิดดู 4145 ครั้ง ]
:b8: สาธุขอรับท่าน :b8:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนใหญ่เห็นด้วยค่ะ แต่มีส่วนน้อยที่พี่เห็นต่างไป

บางเรื่องก็ไม่เข้ากฎไตรลักษณ์ค่ะ เช่น พระนิพพาน พระธรรม ความดี ความชั่ว ฯลฯ เยอะแยะ ทั้งหมดเป็นนามธรรมค่ะ

พระนิพพานมีสภาวะค่ะ เป็นสภาวะเหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือกรรม เหนือสัจธรรม ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 00:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออธิบายที่พี่ chulapinan ในส่วนที่อาจไม่เห็นด้วยนะครับ
ที่พี่บอกว่า"บางเรื่องก็ไม่เข้ากฎไตรลักษณ์ เช่น พระนิพพาน พระธรรม ความดี ความชั่ว ฯลฯ เยอะแยะ ทั้งหมดเป็นนามธรรม"
อันนี้ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนนะครับว่าสิ่งที่พี่ chulapinan กล่าวมานั้นมีอย่างเดียวที่ไม่เข้ากฏไตรลักษณ์ คือ พระนิพพาน นอกนั้นที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่อยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้นครับ สิ่งที่เป็นนามธรรมก็ย่อมต้องอยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ครับ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง และไม่มีตัวตน ถ้าไม่ใช่ ขอคำชี้แนะด้วยนะครับว่าอะไรนอกเหนือจากพระนิพพานที่ เที่ยงแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วไม่ดับไป เพราะแม้แต่ พระธรรม ความดี ความชั่ว ที่พี่กล่าวมานั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเช่นกัน

และที่บอกว่า"พระนิพพานมีสภาวะ เป็นสภาวะเหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือกรรม เหนือสัจธรรม"
พระนิพพานอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้จริงครับ แต่อยู่ในสภาวะที่ไม่มี ไม่มีแม้แต่ความว่างและไม่มีสภาวะครับเพราะคำว่าสภาวะนั้นก็ยังเป็นสมมุติขึ้นมาเช่นกัน

ผิดถูกประการใดก็ขอคำชี้แนะด้วยครับ
:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 00:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
ขออธิบายที่พี่ chulapinan ในส่วนที่อาจไม่เห็นด้วยนะครับ
ที่พี่บอกว่า"บางเรื่องก็ไม่เข้ากฎไตรลักษณ์ เช่น พระนิพพาน พระธรรม ความดี ความชั่ว ฯลฯ เยอะแยะ ทั้งหมดเป็นนามธรรม"
อันนี้ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนนะครับว่าสิ่งที่พี่ chulapinan กล่าวมานั้นมีอย่างเดียวที่ไม่เข้ากฏไตรลักษณ์ คือ พระนิพพาน นอกนั้นที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่อยู่ใต้กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้นครับ


:b8: :b8: :b8:

อ้างคำพูด:

และที่บอกว่า"พระนิพพานมีสภาวะ เป็นสภาวะเหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือกรรม เหนือสัจธรรม"
พระนิพพานอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้จริงครับ แต่อยู่ในสภาวะที่ไม่มี ไม่มีแม้แต่ความว่างและไม่มีสภาวะครับเพราะคำว่าสภาวะนั้นก็ยังเป็นสมมุติขึ้นมาเช่นกัน

ผิดถูกประการใดก็ขอคำชี้แนะด้วยครับ



นิพพาน..มีสภาวะอยู่ครับ..ดังคำกล่าวที่ว่า..

นิพพานัง ปรมัง สุขัง ..นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

สุขตัวนี้..ไม่ใช่ตัวสุขที่เรารู้จักนะครับ..เพราะสุขที่เรารู้จักเป็นสุขเวทนา..มันเป็นเรื่องของขันธ์

แต่เป็นสุขที่เกิดจากใจสงบเงียบจาก เวทนาทั้ง 3 ตันหาทั้ง 3 และ อวิชชา 1 นะครับ

ดังคำกล่าวที่ว่า..นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ..ก็เพราะปราศจาก เวทนา ตันหา อวิชชา จึงชื่อว่า..นิพพาน ว่างอย่างยิ่ง


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 24 พ.ย. 2009, 00:58, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 01:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้อ ใช่ครับคุณกบนอกกะลา
นิพพานมีสภาวะครับแต่อยู่ในสภาวะที่ไม่มีครับ เพราะความมีอยู่ ไม่สามารถที่จะไปนิพพานได้
แม้แต่พระอนาคามีที่ติดอยู่ในความว่างก็ยังไปเกิดเป็นพรหม ไม่สามารถไปนิพพานได้
เพราะนิพพานไม่มีแม้กระทั่งความว่าง
ความสุขจากนิพพานคือความสุขที่ไม่สุข ความสุขที่ไม่ทุกข์ ความสุขที่ไม่เกิดครับ
สุขในความไม่มี
นิพพานอยู่ในสภาวะซึ่งไม่มี แต่มีอยู่ครับซึ่งนิพพาน(ไม่ใช่ศูนย์)

นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง
http://www.watpachareongtham-chonburi.com


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 08:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีแรกก็กะว่าจะไม่ตอบกระทู้นี้น่ะครับ กะว่าจะแค่คอยติดตามดูเฉยๆ :b6:

แต่อ่านต่อมาอีกหลายโพสแล้วก็ชักจะน่ากลัวสำหรับผู้ที่กำลังศึกษา... :b14: :b14:

ความจริงแล้วพระนิพพานนั้นไม่จำเป็นต้องมาอธิบายกันหรอก เพราะมันเป็นธรรมที่รู้จำเพาะตน อธิบายไปยังไงก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าถูกต้อง(กระทบ)แล้วก็ไม่มีคำอธิบาย :b32: :b32:

ถ้ายังไงก็พยายามหลีกเลี่ยงเรื่องสภาวะของพระนิพพานไปเถอะครับ....ขาดๆ เกินๆ มันไม่คุ้มกันหรอกครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่านิพพานเป็นสภาวะที่มีอยู่ ณ สุดขอบจักรวาล...
...และการสร้างธาตุขันธ์น่าจะเป็นจากแรงดึงดูดของอนันตจักรวาลดึงลูกดินกับลูกไฟมารวมกัน...
...เพื่อเข้าสู่การเวียนว่ายในวัฏฏะของสังขารที่มีธาตุ4 ขันธ์5น่าจะสัมพันธ์กับข้อความเหล่านี้...

:b12:
พิมพ์จากหนังสือพระศรีอาริย์...โดยอริยะ :b11:

พระแม่ย่ากัลปพฤกษ์ – เจ้าแห่งป่า
พระแม่ย่ากาขาว – เจ้าแห่งจักรวาล

พระแม่ย่ากัลปพฤกษ์ หรือพระแม่ย่ากาขาว พุทธมารดาของ 5 มหาโพธิสัตว์


...เขาเล่ากันว่าในยุคต้นของโลกธาตุ ณ ป่าหิมพานต์ มีพญากาขาวเผือกผู้เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของหมู่สัตว์น้อยใหญ่ 2 ตัวผัวเมียอยู่กินกันมาอย่างสงบร่มเย็น ท่ามกลางมวลหมู่สัตว์นานาพันธุ์ ซึ่งมีจิตทิพย์ จิตประเสริฐ ก็มารวมอยู่ในอาณาจักรเดียวกัน ...เนื่องจากพญากาขาวเผือกทั้งสองเป็นผู้ที่มีปัญญาญาณจึงชอบที่จะศึกษาเรียนรู้ พินิจพิจารณาสิ่งรอบตัวอยู่เนืองนิตย์...

...เมื่อมีโอกาสก็จะสื่อสารพูดคุยกับอทิสสมานกายของเหล่าเทพบุตรเทพธิดา เหล่าเทพอัปสร ซึ่งแอบลงมาเที่ยวแสวงหาความสุขสำราญ ณ โลกธาตุ ซึ่งโลกธาตุยามนั้นมีสรรพสัตว์และพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ยังไม่มีธาตุ 4 ขันธ์ 5 ของความเป็นมนุษย์เกิดขึ้น...

...คงมีแต่สภาวะของกายทิพย์ที่ใสเป็นแก้วของเหล่าเทพพรหมเทวาเท่านั้น...ซึ่งชอบหนีลงมาเที่ยวบนโลกธาตุ...เพราะถือว่าโลกธาตุเป็นของแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นจากเดิมที่หมุนด้วยความเร็วสูงจากลูกไฟดวงใหญ่(พระอาทิตย์)...ซึ่งเคยลุกโชติช่วงส่องแสงสว่างอันเจิดจ้าไปทั่วสรวงสวรรค์และอนันตจักรวาลกว้างไกล...

...เมื่อโลกเย็นตัวลง...เปลวไฟก็ดับลงทำให้เกิดสภาวะแปรปรวนของธรรมชาติโดยรอบ...เหล่าเทพพรหมเทวาได้แต่จ้องมองโลกธาตุอยู่ห่างๆ ไม่กล้าลงมาเที่ยวชม แต่ภายในจิต เจตสิกนั้นกลับสะสมความไม่รู้(อวิชชา) สงสัยว่าโลกธาตุที่เคยลุกโชติช่วงจึงแปรสภาพดับตัวลงช้าๆ พร้อมเกิดปรากฏการณ์วิปริตเกิดฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าบ่อยๆ ...

...เมื่อโลกธาตุปรับเข้าสู่ความสงบภายในห้วงจักรวาล...ก็ปรับตัวเข้าสู่ภาวะเขียวชอุ่มของพฤกษานานาเจริญงอกงามบนผิวเปลือกโลก...เริ่มมีน้ำขัง...สิ่งมีชีวิตเล็กในรูปอณูของจิต(จุลินทรีย์ ฯลฯ) ค่อยๆเติบโต ขยายพันธุ์ออกไปเรื่อยๆ ยาวนาน 1,000,000ปี...เหล่าเทพพรหมเทวาจึงเริ่มอยากลงมาสัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่...

ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของการสนทนาของพระแม่ย่ากาขาวแลกเปลี่ยน “ตัวรู้” กับเทวดา

แม่กาขาว : จิต เจตสิกคืออะไร
:b41:
เทวดา : ก็คือ รูป นาม สัญญา ของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเกิดการแปรปรวนจนทำให้สภาวธาตุทั้งสี่เกิดการเสียดสีเป็นระยะเวลานานๆ จนทำให้ธาตุแต่ละชนิดเกิดสัญญาในการจำได้หมายรู้ขึ้น เมื่อตัวรู้เกิดภายในธาตุบ่อยๆ เข้าทำให้เกิดรูป นาม หรือจิตขึ้นภายในมวลธาตุเหล่านั้น :b48:
แม่กาขาว : ถ้าอย่างนั้น จิต เจตสิก ก็คือตัวรู้
:b41:
เทวดา : จิต เจตสิก ก็คือตัวกำหนดรู้ สำหรับตัวรู้ก็คือจุดในศูนย์ หรือความว่างเปล่า “สูญญาณัง” ก็คือสภาวะของจิตที่สูญสิ้นไปจากสภาวะทั้งปวงคงเหลืออยู่เฉพาะตัวรู้ ในทางการฝึกฝนปฏิบัติต่อจิตเขาเรียกว่าอรหันต์ หรืออรหัตมรรค อรหัตผล ทั้งมรรคทั้งผลเกิดจากการเข้าไปกำหนดรู้ของจิต เจตสิก
:b48:
แม่กาขาว : ทำอย่างไรถึงเกิดตัวรู้ได้
:b41:
เทวดา : ตัวรู้ เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก เพราะต้องทำจิต เจตสิกให้กลายเป็นศูนย์กลาง เมื่อจิต เจตสิกกลายเป็นศูนย์ก็จะเกิดเป็นธาตุไฟ สอดแทรกอยู่ระหว่างช่องว่างของจิต เจตสิก เพราะไฟคือ สภาวะของการเผาไหม้ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นศูนย์ ไม่มีธาตุ ไม่มีขันธ์ใดๆ หลงเหลืออยู่เลย มีแต่แสงสว่างของตัวรู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น :b48:
:b48:
แม่กาขาว : ไฟก็คือตัวรู้เฉยๆ แล้วมันทำไมถึงมีเปลวไฟและความเร่าร้อนขึ้นมาได้
:b41:
เทวดา : เขาเรียกว่าเปลวไฟ ซึ่งเกิดจากตัวรู้ว่า “รัศมี” ทำให้เกิดแสง สามารถที่จะส่องแสงในตัวเองได้ เรียกกันว่า รัศมีแห่งกาย ซึ่งจิต เจตสิกจะวิ่งวนอยู่รอบๆ ของตัวรู้อีกทีหนึ่งเขาจึงเรียกว่าจิต เจตสิกว่าจุดในศูนย์ ทำให้เกิดตัวรู้(วิชชา)กับตัวไม่รู้(อวิชชา) ขึ้นภายในรูปนามของสรรพสิ่ง
:b48:
แม่กาขาว : อย่างไรคือตัวรู้ อย่างใดคือตัวไม่รู้
:b41:
เทวดา : ไฟคือตัวรู้ หมายถึงศูนย์ จิต เจตสิกคือตัวไม่รู้ เพราะจิต เจตสิก กำลังหาทางแห่งมรรคผลอยู่
:b48:
แม่กาขาว : สิ่งใดคือแนวทางแห่งมรรคผลของจิต
:b48:
เทวดา : ถ้าจิตและรูปนามต่างๆ ผ่านการเรียนรู้จนเกิดความรอบรู้หรือตัวรู้ขึ้น จิต เจตสิกของความไม่รู้ก็จะหลุดออกไปที่เราเรียกว่า “วิญญาณ” รูปนามก็จะแตกสลาย ความไม่รู้ก็จะดับไปเหลือแต่ทาง ก็คือมรรค มรรคก็คือความไม่รู้ ซึ่งต้องอาศัยทางจึงจะเกิดมรรคผล เกิดตัวรู้ขึ้นมาได้
:b41:
แม่กาขาว : มรรค คือ ตัวไม่รู้
:b48:
เทวดา : มรรค คือ ตัวไม่รู้ ทางเป็นเครื่องนำพามรรคไปสู่ตัวรู้
:b41:
แม่กาขาว : อ๋อ....มรรค คือ ตัวไม่รู้ มรรคก็คือทางที่จะต้องเดินต่อไป :b48:
เทวดา : ทั้งมรรคทั้งผลก็คือ ลูกดินกับลูกไฟ
:b41:
แม่กาขาว : อรหันต์ก็คือตัวรู้ ก็คือลูกไฟ กำลังเผาไหม้ความไม่รู้ให้หมดไปกลายเป็นศูนย์ ส่วนอรหันต์ก็คือตัวรู้และไม่รู้
:b48:
เทวดา : ทั้งลูกดินและลูกไฟ ซึ่งได้ผ่านการศึกษาเรียนรู้ท่องไปในวัฏสงสาร จนเกิดการทำลายธาตุขันธ์ก็จะกลายเป็นอรหัตมรรค อรหัตผล มันก็จะพุ่งไปอยู่ในห้วงของอนันตจักรวาล มันจะพุ่งตัวมารวมอยู่ด้วยกันกลายเป็นสภาวะของความอิสระตัวใครตัวมัน
:b41:
แม่กาขาว : แล้วลูกดินกับลูกไฟ เขาจะสู่อนันตจักรวาลได้อย่างไร
:b48:
เทวดา : เขาก็ออกไปทางช่องว่างของแกนหมุน ออกไปกับแรงดึงดูดของอุณหภูมิร้อนเย็น เมื่อเข้าสู่ระบบของอนันตจักรวาลได้แล้ว เขาจะเป็นอิสระตัวใครตัวมัน ทางใครทางมัน กลายเป็นตัวรู้กับตัวไม่รู้
:b41:
แม่กาขาว : ถ้าอย่างนั้นลูกดินกับลูกไฟก็คือ ตัวรู้
:b48:
เทวดา : ลูกไฟ คือตัวรู้กำลังเดินไปในเส้นทางของตัวรู้ ลูกดินก็คือจิต เจตสิกมีทั้งตัวรู้กับตัวไม่รู้ ต้องอยู่รวมกันถึงจะเกิดตัวรู้ขึ้นมาได้

:b20: จากยุคพระสมณโคดมสู่ยุคพระศรีอาริย์ :b20:
:b10:
...พอเปลือกโลกแตกไฟประลัยกัลป์จะล้างโลก...ผู้ที่จะรอดอยู่ได้ต้องอยู่เลยสวรรค์ชั้นที่ 3 ไป...
...คือสวรรค์ชั้นที่ 4 อยู่ได้สบายๆ รอดพ้นภัยพิบัติไปได้...ก็เปรียบเสมือนคนที่มีเมตตา...กรุณา...
...มุทิตา...อุเบกขา...ต้องมีพรหมวิหาร 4...

(สวรรค์ชั้นที่4ชื่อตุสิตาภูมิ อายุ 4000ปีทิพย์=576ล้านปีมนุษย์)
:b17:
...ศาสนาของพระองค์จะมีอายุ 5,000 ปี...ย่างเข้าสู่ 500 ปีแรก ภิกษุณีก็หมดไป...
...พอผ่าน 1,000 ปีไปแล้วธรรมที่จรรโลงพระศาสนาจะถูกแบ่งแยกออกเป็น 3 อย่าง...
...พวกอลัชชีก็ถือว่าธรรมของตนดี...จึงแยกตัวออกไปตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่...พอ1,500ปีผ่านไป
...จิตใจผู้คนจะเสื่อมลง คุณธรรมลดน้อยถอยลง...รบราฆ่าฟัน...ล้างชาติล้างตะกูลซึ่งกันและกัน...

:b33:
...ย่างเข้า 2,000 ปีธรรมชาติเริ่มเสื่อม...มนุษย์นำธรรมชาติไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย...
...ประชาชนเดือดร้อน...เมื่อพระศาสนามีอายุครบ 2,500 ปี...สิ่งที่ไม่เคยเห็นจะได้เห็น...
...ข้าวยากหมากแพง...เทคโนโลยีเกิดขึ้น...ความวินาศ...วาตภัย...อุทกภัยเกิดตามมา...

:b6:
...พอย่างเข้า 3,000 ปี...มนุษย์จะไม่รู้จักพระ...ไม่รู้จักสงฆ์...เอาคนมาทำพระ...
...เอาพระมาเป็นคนมั่วกันไปหมด...คนก็เริ่มไม่ใช่คน(มั่วกามโลกีย์)...พระก็ไม่ใช่พระ...

:b5:
...พอเข้าสู่ 3,500 ปีเด็กน้อยๆจะครองเมืองรุ่งเรือง...ผู้ใหญ่จะตกอับกลับกลายเป็นผู้ที่ด้อยปัญญา...
...หมายถึงง่อยเปลี้ยเสียขาทุพพลภาพ...ไม่มีปัญญาหากิน...มนุษย์จะตัวเล็กลงๆจนถึงกับต้องใช้...
...ไม้สอยมะเขือ...เพราะเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าทางวัตถุ...ไม่พัฒนาด้านร่างกายสังขาร...

:b10:
...ย่างเข้า 4,000 ปี...ผู้ที่เป็นพระจะมีผ้าเหลืองน้อยห้อยหูเท่านั้น...พระในยุคนั้นจะต้องทำไร่ไถนา...
...หากินหาอยู่ด้วยตนเอง...มีลูกมีเมียได้...อายุมนุษย์จะน้อยถอยลงจาก80เหลือ40จาก40เหลือ20ปี
...อายุแค่ 4-5 ปีก็จะแต่งงานมีครอบครัวกัน...

:b7:
...พอย่างเข้า 4,500 ปีออกจากบ้านเรือนก็ไม่รู้จักกัน...เพราะศีล5หายไปไม่มีศีลธรรม...ไม่มีสัจจะ...
...ไม่มีอะไรเลย...ทะเลาะเบาะแว้ง...รบราฆ่าฟันกัน...สมณชีพราหมณ์หายไปหมด...ศีลธรรมหดหาย
...จะเหลือคนอยู่กลุ่มเดียวเพียง 7 ร่มโพธิ์ที่มีพรหมวิหาร 4 รู้จักสำรวมกาย วาจา ใจ มีศีล 5 ในจิตใจ
...หลบซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำ ตามป่า ตามเขา...ฝึกฝนปฏิบัติต่อจิตจนรอดปลอดภัยจากทุกสิ่งทุกอย่างได้

:b2:
...พอย่างเข้า 5,000 ปี...มนุษย์จะสมสู่เยี่ยงสัตว์...ไม่รู้จักคำว่าพ่อแม่ พี่น้อง ไม่มีความดีเหลืออยู่...
...ศาสนาของพระโคดมจะสิ้นสุดลง...น้ำจะท่วมโลก...ไฟก็จะไหม้ทั่วพื้นพิภพ...ปรับสมดุลให้โลกธาตุ
...ธรรมชาติจะปรับสมดุลใหม่ใช้เวลา 10,000-40,000 ปี สิ่งมีชีวิตและมวลสารธาตุต่าง ๆ ที่ตาย...
...ถูกไฟเผากลับสู่ธาตุเดิมราบเป็นหน้ากลองทำให้พื้นดินสูงขึ้นอีก 1 โยชน์(16,000 กิโลเมตร)...
...โลกธาตุกลับสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง...สิ่งมีชีวิตที่ยังมีสภาวกรรมเหลืออยู่จะพัฒนาธาตุขึ้นมาใหม่
...พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ จะไปอาราธนาพระศรีอริยเมตไตรย...ลงมาจุติในภพภูมิมนุษย์
...ผู้ที่เหลือรอดมาได้จากไฟประลัยกัลป์เพียงแค่ 7ร่มโพธิ์คือมีศีล5+พรหมวิหาร4เท่านั้นที่เข้าสู่ยุคนี้

:b8:
...ผู้ใดจะใคร่ชม...สมเด็จองค์พระศรีอาริย์...ตั้งใจให้ชื่นบาน...ฟังนิทานเวสสันดร...
...ผู้ใดใคร่จะไหว้...เมื่อท่านเป็นพระบวร...ต้องฟังเทศน์เวสสันดร...วันเดียวจบให้ครบพันฯ...

:b31:
...ในยุคสมัยพระบรมครูพระศรีอริยเมตไตรยจุติมีอายุยืนถึง 80,000 ปี...มีต้นโพธิ์ทิพย์(กัลปพฤกษ์)
...ฝนตกตามฤดูกาลยามดึกสงัด...โลกธาตุชุ่มชื่นอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผลพฤกษชาติต่างๆออกทุกฤดู...
...มีโภชนาหารภักษาหารสมบูรณ์...บ้านชิดติดกันเป็นพืด...ไก่บินไม่ตก...ผัวเดียวเมียเดียว...
...มีแก้วรัตนะทั้งเจ็ดไม่ต้องทำมาหากินทำอาชีพ...ยืนอธิษฐานขอที่ต้นกัลปพฤกษ์...มีดอกบัวขาว...
...เต็มไปหมดทั้งบนบกและในน้ำ...การคมนาคมทางน้ำ...ฝั่งหนึ่งไหลขึ้นฝั่งหนึ่งไหลลงอัตโนมัติ...
...ผู้คนอยู่มีสุขไม่เถียงกัน...การอธิษฐานจิตที่ต้นกัลปพฤกษ์เหมือนการไปวัดเข้าโบสถ์ในปัจจุบัน...
...ผู้ที่มีศีลสะอาดในยุคปัจจุบันนี้ปรารถนาจะได้พบศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยในยุคหน้านับว่าดีเลิศ

:b20: :b20: :b20:
:b13:
ความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าเกี่ยวกับนิพพาน...
...เป็นสภาวะที่ตัวรู้กับตัวไม่รู้ในสังขารที่เป็นขันธ์ดิ้นรนสลายธาตุทั้ง4ไปสูสภาวะที่ปราศจากตัวตน...
...นิพพานคือสภาวะที่ลูกดินกับลูกไฟเผาไหม้หมดกลับเข้าสู่ความเป็นอิสระต่อกัน...คือว่างจากตัวตน...

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นน่ะสิครับ ผมว่าผู้ที่ไม่เคยพบนิพพานไม่ควรที่จะมาอธิบายเรื่องของนิพพาน
เพราะมันเป็น ปัจจัตตัง รู้เห็นได้เฉพาะตน

ผมเพียงแต่ไม่อยากให้มีความเข้าใจที่ผิดๆกันอยู่
เพราะมันจะติดเป็นสัญญาความจำที่ทำให้ขัดขวางหลักปฏิบัติได้
ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะอวดอ้างความรู้ของตนแต่อย่างใด
ทุกอย่างนำจากการยืนยันจากหลวงปู่ ครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น

เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะปฏิบัติอย่างไร พิจารณาอย่างไร
เพื่อให้ไปพบสภาวะของนิพพานด้วยตนเอง

ผู้ที่ปารถนาความไม่มี ย่อมมีโอกาสได้เห็นนิพพานครับ
ผู้ที่ปฏิบัติจนได้เห็นความจริง ย่อมค้านความจริงไม่ได้
http://www.watpachareongtham-chonburi.com


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron