ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ประโยชน์ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=27187 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 23 พ.ย. 2009, 08:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | ประโยชน์ |
ประโยชน์สูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็คือ การได้เข้าใจพระธรรม การศึกษา พระธรรมต้องมีความเข้าใจเป็นลำดับขั้น ขั้นการฟังเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่มีอยู่จริงต้อง มีความเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่ไปรู้เรื่องราวของธรรมหรือจำ ชื่อได้มากมาย เมื่อมีความเห็นถูกต้องในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความ เป็นจริง ค่อยๆอบรมเจริญความเห็นถูกในสภาพธรรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง เพราะ ฉะนั้น ความเห็นถูกเป็นเบื้องต้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้สามารถประพฤติปฏิบัติ ต่อไปจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ความเห็นถูกต้องในสภาพธรรมก็คือสัมมาทิฏฐิ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 456 ๗. ปฐมสุริยูปมสูตร (ว่าด้วยสิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อนการตรัสรู้อริยสัจ) [๑๗๒๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่จะขึ้น ก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด สิ่งที่เป็นเบื้อง ต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจจ์ ตามความเป็นจริง คือ สัมมา- ทิฏฐิ ฉันนั้นเหมือนกัน อันภิกษุผู้มีความเห็นชอบ พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักรู้ ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธ คามินีปฏิปทา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลาย พึง กระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา. เรื่องราวจากตอนที่แล้ว ซึ่งได้มีผู้บรรลุมากมายที่ศรีลังกาจากการแสดงธรรมของ พระมหินเถระที่มาจากชมพูทวีป(อินเดีย) ซึ่งต่อมาพระมหินเถระและภิกษุทั้งหลายก็อยู่ จำพรรษา ถึงวันปวารณาได้ทูลคำนี้กับพระราชาว่าอยากจะกลับไปชมพูทวีปเพราะ ไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้านานแล้ว พระราชาตรัสว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วมิใช่หรือ ซึ่งพระเถระก็ทูลพระราชาว่า แม้ปรินิพพานไปแล้วแต่ว่าพระบรมสารีริกธาตุนั้นยังอยู่ พระราชาจึงทรงทราบทันทีว่า พระเถระปรารถนาให้สร้างพระสถูป เพื่อที่จะประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งพระเถระได้ให้พระราชาไปบอกเรื่องนี้กลับสุมนสามเณรที่ได้ ติดตามพระเถระมาด้วย ซึ่งสุมนสามเณรเป็นพระอรหันต์แล้วและมีฤทธิ์ ได้อันเชิญพระ- บรมสารีริกธาตุมาจากพระเจ้าอโศกมหาราชมาบางส่วนและอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้าด้านขวา) ที่พระอินทร์ทรงครอบครองไว้ อัน เชิญมาประดิษฐานที่ศรีลังกา ดังนั้นพระบรมสารีริกธาตุที่สุมนสามเณรอันเชิญมา มี 2 ส่วนคือที่ได้จากพระเจ้า อโศกมหาราชส่วนหนึ่งและส่วนที่สองคือจากพระอินทร์ที่เป็นส่วนพระรากขวัญเบื้อง ขวา(กระดูกไหปลาร้าด้านขวา) ส่วนพระบรมสารีริกธาตุที่ได้จากพระเจ้าอโศก ซึ่งได้ประดิษฐานที่เจติยบรรพต (มิสสกบรรพต)อันเป็นสถานที่ที่พระมหินเถระและคณะภิกษุสงฆ์ได้เหาะมาจากชมพู ทวีปมาลงที่เกาะลังกาครั้งแรกและได้พบกับพระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะ ซึ่งชาวศรีลังกา ได้สร้างเจดีย์ชื่อ พระมหาเสยะเจดีย์(Mahaseya Pagoda) ซึ่งสำหรับผู้ที่จะได้เดิน ทางไปประเทศศรีลังกา คงได้มีโอกาสไปพระมหาเสยะเจดีย์ เมื่อรู้ประวัติความเป็นไป ของพระเจดีย์นี้ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอันได้มาจากพระเจ้าอโศกย่อมทำให้ซาบซึ้ง ระลึกถึงพระคุณได้มากชึ้นไม่มากก็น้อย พระมหาเสยะเจดีย์ อันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากพระเจ้าอโศกและเป็น สถานที่ที่พระเถระทั้งหลายผู้เป็นพระอรหันต์อันมาจากชมพูทวีปมาประกาศ พระศาสนาที่ศรีลังกาได้มาถึงที่นี่ครั้งแรก ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่สองที่ได้มาจากพระอินทร์นั่นคือ พระรากขวัญเบื้องขวา (กระดูกไหปลาร้า) ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุส่วนนี้เองที่ได้ แสดงปาฏิหารย์หลายอย่างก่อนที่จะประดิษฐานในพระสถูป อันเป็นสิ่งที่ควรเลื่อมใส เป็นอย่างยิ่ง การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 383 ท้าวมฆวานเทพกุญชร ผู้เป็นอธิบดีในสวรรค์ชั้นไตรทศ ทรงสดับคำนี้แล้ว เมื่อจะยังเทวดาชั้น ดาวดึงส์ให้เลื่อมใส จึงได้ตรัสคำนี้กะมาตลีเทพสารภีว่า ดูก่อน มาตลี ท่านจงดูผลแห่งกรรมอันวิจิตรน่าอัศจรรย์นี้ ไทยธรรม(ของบูชา)ที่เทพธิดา นี้กระทำแล้ว ถึงจะน้อย บุญก็มีผลมาก เมื่อจิตเลื่อมใสในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระองค์ก็ตาม ทักษิณา ไม่ชื่อว่าน้อยเลย มาเถิด มาตลี แม้ชาว เราทั้งหลาย ก็ควรจะพากันบูชาพระบรมธาตุของพระตถาคตให้ยิ่งยวดขึ้นไป เพราะ การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้ เมื่อพระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม เสด็จปรินิพ- พานแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลบุญก็ย่อมสม่ำเสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้ ชอบ สัตว์ทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติ ทายกทั้งหลายกระทำสักการะใน พระตถาคต เหล่าใดแล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเหล่านั้น ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ ชนเป็นอันมากหนอ. ปรมัตถธรรมที่ ๒ คือ เจตสิก ซึ่งเป็น นามธรรม จิต เป็นสภาพรู้อารมณ์ ขณะที่จิตเห็นกำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ (เป็นต้น) ขณะนั้นยังมีนามธรรมอื่น ๆ อีก ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน คือ มีเจตสิกหลายประเภท เกิดร่วมกับจิตที่เกิดขึ้นในขณะหนึ่ง ๆ เช่น กำลังคิดด้วยโทสะ โลภะ หรือ ปัญญา ฯลฯ โทสะ โลภะ ปัญญา (เป็นต้น)...เป็นนามธรรมที่ไม่ใช่ จิต. แต่ โทสะ โลภะ ปัญญา (เป็นต้น) เป็นเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกับจิตประเภทต่าง ๆ ในขณะที่จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ มีเจตสิกเกิดขึ้นร่วมด้วยหลายประเภท แต่อย่างน้อยที่สุด ต้องมี เจตสิก ๗ ประเภทเกิดร่วมด้วย เจตสิก ๗ ประเภทนั้น เรียกว่า "สัพพจิตตสาธารณเจตสิก" จิต และ เจตสิก เกิด-ดับ พร้อมกัน จิต จะเกิดขึ้นตามลำพัง (โดยปราศจากเจตสิก) ไม่ได้. เช่น ความรู้สึก ซึ่งภาษาบาลีเรียกว่า "เวทนา" เวทนาเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ จิตเพียงแต่รู้อารมณ์...แต่ เวทนาเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่รู้สึก บางครั้งรู้สึกเป็นสุข บางครั้งรู้สึกเป็นทุกข์ บางครั้งรู้สึกเฉย ๆ (ไม่ทุกข์-ไม่สุข) ความรู้สึก (เวทนาเจตสิก) มีอยู่เสมอ ไม่มีสักขณะจิตเดียวที่ปราศจาก ความรู้สึก (เวทนาเจตสิก) เช่น เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น...ความรู้สึก (เวทนาเจตสิก) เกิดร่วมกับจิตเห็น แต่ขณะที่เห็น...ขณะนั้นยังไม่มีความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบเกิดขึ้น หมายความว่า เวทนาเจตสิกขณะที่กำลังเห็น เป็น ความรู้สึกเฉยๆ คือ ไม่ทุกข์ ไม่สุข (ภาษาบาลี เรียกว่า อุเบกขาเวทนา) และ หลังจากจิตเห็นดับไปแล้ว...จิตขณะอื่น ๆ ก็เกิดขึ้น อาจจะเป็นจิตที่ชอบ หรือ ไม่ชอบในอารมณ์ (สิ่งที่ปรากฏทางตา) นั้น ๆ เช่น ถ้าเป็นจิตที่ไม่ชอบในอารมณ์ที่เห็น......หมายความว่า เวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตขณะนั้น เป็น โทมนัสเวทนา. (หรือถ้าเป็นจิตที่ชอบในอารมณ์ที่เห็น..........หมายความว่า เวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตขณะนั้น เป็น โสมนัสเวทนา) จิต มีหน้าที่รู้อารมณ์ จิต เป็นใหญ่....เป็นประธานในการรู้อารมณ์ เจตสิกที่เกิดร่วมกับจิต มีอารมณ์เดียวกับจิต จิต และ เจตสิกต่างๆ รู้อารมณ์เดียวกัน เกิด-ดับพร้อมกัน-ที่เดียวกัน แต่ เจตสิกแต่ละประเภท......มีลักษณะและกิจหน้าที่เฉพาะของตน ๆ เจตสิกทั้งหมด มี ๕๒ ประเภท มีเจตสิก (อย่างน้อยที่สุด) ๗ ประเภท ที่เกิดกับจิตทุกขณะ เรียกว่า สัพพจิตตสาธารณเจตสิก. ควรทราบว่าในสมัยครั้งพุทธกาลกุลบุตรผู้มีศรัทธาเมื่อเข้ามาบวช ย่อมได้รับ การฝึกอบรมจากอุปัชฌาย์อาจราย์ ให้ศึกษาประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระภิกษุในยุดนั้นจึงเป็นผู้สำรวม มีมรรยาท ทางกาย ทางวาจางาม น่าเลื่อมใส แต่ยุคปัจจุบันก็ต่างกันออกไป คือท่านไม่ได้ รับการฝึกอบรม ไม่ได้ศึกษา ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ผลคือเป็นผู้มี ความประพฤติทางกายทางวาจาที่ไม่น่าดู ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส..... จบปฐมสุริยูปมสูตรที่ ๗ เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน ได้ถวายอุปกรณ์การเรียนให้พระสงฆ์ ได้ถวายพระพุทธรูปปางค์ธรรมเทศนาที่ได้มาจากอินเดีย ได้กำหนดอิริยาบทย่อย เจริญวิปัสสนา สวดมนต์ อาราธนาศีล อนุโมทนาบุคคลที่ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหลายสาย และได้กรวดน้ำ และได้ไหว้พระประธานระหว่างเดินทางด้วย และปิดไฟตามที่สาธารณะ ให้ธรรมะเป็นทาน และตั้งใจที่ จะ กำหนดอิริยาบทย่อย สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ให้อาหารทานแก่คนยากจนตามถนน และรักษาศีล ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย |
เจ้าของ: | bbb [ 23 พ.ย. 2009, 09:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ประโยชน์ |
เจริญในธรรมครับ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |