ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
วัฏสงสาร http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=27452 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Rosarin [ 03 ธ.ค. 2009, 21:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | วัฏสงสาร |
![]() ที่มา...หนังสือพระมหาการุณิโกนาโถ...แจกฟรีที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี... ![]() วัฏสงสาร ...คือการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆตามผลแห่งกรรมของแต่ละคน... ...โดยไม่มีวันจบสิ้น...ถ้าตราบใดใจเรายังมีกิเลสและอวิชชาความหลงผิดเข้าครอบงำ... ...ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น...กระทำกรรมต่างๆเป็นเหตุให้ไปเกิดตามผลแห่งกรรมดีและชั่ว... ...ถ้ากุศลกรรมส่งผลก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ...ถ้าเป็นอกุศลกรรมส่งผลก็ต้องไปเกิดในทุคติภูมิ... ...โดยเสวยหรือรับผลแห่งกรรมนั้นจนกว่าจะหมดสิ้นผลแห่งกรรมนั้นๆ...ด้วยเหตุที่สัตว์โลกส่วนใหญ่... ...กระทำทั้งบุญและบาป ปะปนกันติดต่อกันมาหลายภพหลายชาติ...ดังนั้นจึงเป็นเหตุทำให้เวียนว่าย... ...ตายเกิดท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุด...ดังนั้นการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้... ...เราจึงไม่สามารถทราบได้ว่าชาติก่อนเราเคยเกิดในภพภูมิใดหรือที่เรียกว่ามาจากภพภูมิใด... ...และตายจากโลกนี้ไปแล้ว...เราก็ไม่รู้ว่าชาติหน้าต่อไปเราจะไปเกิดยังภพภูมิใด... ...ซึ่งเราสามารถแบ่งแยกภพภูมิในวัฏสงสารออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้...1)ทุคติภูมิ...2)สุคติภูมิ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 03 ธ.ค. 2009, 22:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() ทุคติภูมิหรืออบายภูมิ ...คือภพภูมิแห่งความทุกข์ทรมาน...ความเสื่อม... ...เพราะเป็นที่เกิดแห่งสัตว์ที่ได้รับผลแห่งกรรมชั่ว... ...ที่ตนเองทำไว้หนักเบาตามเหตุแห่งกรรม... ...ซึ่งประกอบด้วย... ![]() 1)นิรยภูมิ หรือ โลกนรก ...นิรยภูมิ แปลว่า ภพภูมิที่ปราศจากความสุขสบายโดยสิ้นเชิง...เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน... ...จากการรับการลงโทษหนักเบาตามประเภทของขุมนรกที่ต้องไปรับโทษตามผลของกรรม... ...ประกอบด้วยมหานรก 8 ขุม และนรกขุมเล็กที่เป็นบริวารล้อมรอบชั้นในมหานรกที่เรียกว่า... ...อุสสุทนรกอีก 128 ขุม...นรกขุมเล็กบริวารล้อมรอบชั้นนอกที่เรียกว่า...ยมโลกนรกอีก 320 ขุม... ...และนรกขุมพิเศษคือโลกันตนรกอีก 1 ขุม...รวมแล้วมีนรกทั้งหมด 457 ขุม...วันคืนในนรก... ...จะยาวนานกว่าวันเวลาในโลกมนุษย์เป็นอย่างมาก...โดยขึ้นกับขุมนรกที่ไปอุบัติ... ...โดยจะอธิบายยกตัวอย่างเฉพาะมหานรกที่เป็นนรกขุมใหญ่ตั้งซ้อนเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ... ...โดยเริ่มจากชั้นบนสุดลงล่างสุด 8 ขุมดังนี้... ![]() 1.1)สัญชีวมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้ไม่มีวันตาย...ตั้งอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ประมาณ... ...15,000 โยชน์(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กิโลเมตร)(15,000โยชน์เท่ากับ 240,000 กิโลเมตร) ...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้จะถูกนายนิรยบาลประหารด้วยอาวุธ ฟันร่างกายให้ขาดเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย... ...ได้รับทุกขเวทนาจนขาดใจตายไป...แล้วฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อรับโทษทัณฑ์ต่อไปจนกว่าจะหมดกรรม... ...อันเนื่องมาจากกรรมชอบฆ่าสัตว์... ![]() 1.2)กาฬสุตตมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งมีการลงโทษตามเส้นบรรทัดดำ...อยู่ห่างลงไปจาก... ...สัญชีวมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้ถูกนายนิรยบาลเอาเส้นเหล็กแดง... ...ลุกเป็นไฟ...มาคาดตีเส้นตามร่างกายจนไหม้ดำ...แล้วเอาเลื่อยนรก ขวานนรก หรือมีดนรก... ...มาเลื่อย ผ่า หรือเฉือนร่างกายตามรอยเส้นดำ...ได้รับทุกขเวทนาอันเนื่องมาจากกรรมชอบพูดเท็จ... ![]() 1.3)สังฆาฏมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งมีการลงโทษโดยมีภูเขาไฟบดขยี้ร่างกาย...อยู่ห่างลงไปจาก... ...กาฬสุตตมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้จะถูกภูเขาเหล็กลุกแดงเป็นไฟ... ...กลิ้งมาบดขยี้ร่างกายให้แหลกละเอียดเป็นจุณ...ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสอันเนื่องมาจากกรรม... ...ชอบเผาสัตว์ให้ตายในกองไฟ... ![]() 1.4)โรรุวมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญ...อยู่ห่างลงไปจาก... ...สังฆาฏมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้จะนั่งในดอกบัวกรด... ...ซึ่งมีไฟนรกลุกแดงโพลงอยู่ตลอดเวลา...โดยมีมือและเท้าอยู่ในดอกบัวกึ่งหนึ่งไม่สามารถหนีไปได้... ...ถูกไฟนรกไหม้ทั้งด้านบนและล่างให้ฉิบหาย...ส่งเสียงร้องไห้ครวญครางระงมอยู่อันเนื่องมาจากกรรม ...ชอบลักทรัพย์และเป็นพยานเท็จ... ![]() 1.5)มหาโรรุวมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญมากกว่ามาก...อยู่ห่างลงไปจากโรรุวมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้จะถูกลงโทษให้ยืนแข็งทื่อ... ...อยู่ในดอกบัวเหล็ก...ซึ่งกลีบแต่ละกลีบคมเป็นกรด...มิหนำซ้ำยังร้อนแรงแดงฉานไปด้วยไฟนรก... ...ซึ่งลุกโพลงอยู่ในดอกบัวเป็นนิตย์...เผาไหม้ตั้งแต่พื้นเท้าถึงศีรษะ...มีเปลวไฟแลบเข้าออกที่ทวาร... ...ทั้ง 9...ได้รับทุกขเวทนาแก่กล้ายิ่งนัก...นรกนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่มากกว่า... ...อันเนื่องมาจากกรรมชอบลักของสงฆ์และการประพฤติผิดในกาม... ![]() 1.6)ตาปมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้สัตว์นรกทั้งหลายเร่าร้อน...อยู่ห่างลงไปจาก... ...มหาโรรุวมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้ถูกย่างให้ร้อนบนปลายหลาวเหล็ก... ...ซึ่งโตเท่าลำตาลมีไฟนรกลุกตลอดเวลา...ได้รับทุกข์ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง...อันเนื่องมาจากกรรมชอบ... ...เสพสิ่งมึนเมา...ทำร้ายบิดามารดา...พระสงฆ์ผู้มีศีล...และไม่มีความเคารพต่อพระพุทธ...พระธรรม ...พระสงฆ์... ![]() 1.7)มหาตาปมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งทำให้สัตว์นรกทั้งหลายเร่าร้อนมากกว่ามาก...อยู่ห่าง... ...ลงไปจากตาปมหานรก ประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกในขุมนี้ถูกเสียบแทงด้วยหลาวเหล็ก... ...อันมีไฟลุกไหม้ตลอดทั่วร่างกาย...แล้วถูกบังคับขึ้นไปบนภูเขานรกซึ่งมีความร้อนแรงอย่างมาก... ...ถูกไฟนรกเผาผลาญร่างกายให้ได้รับทุกข์ร้อนมากยิ่งกว่า...อันเนื่องมาจากกรรมชอบเป็นพยานเท็จ... ...ฆ่ามนุษย์...ชำระความด้วยความไม่ยุติธรรมเห็นแก่สินบน...และโทษกล่าวตู่พระพุทธวัจนะของ... ...พระพุทธเจ้า...และโทษของพระภิกษุผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์... ![]() 1.8)อเวจีมหานรก แปลว่า นรกขุมใหญ่ซึ่งปราศจากความเบาบางแห่งคลื่นทุกข์...อยู่ห่างลงไปจาก... ...มหาตาปมหานรกประมาณ 15,000 โยชน์...เหล่าสัตว์นรกขุมนี้ได้รับการลงโทษอย่างหนักที่สุด... ...ได้รับทุกข์ทรมานไม่มีว่างเว้น...ได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัสหนักตลอดเวลา...ไม่มีเวลาผ่อนปรน... ...เบาบางเหมือนนรกขุมอื่นๆ...เพราะถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟนรกที่เผาผลาญตลอดเวลา... ...อันเนื่องมาจากกรรมหนัก(ครุกรรม)คือ ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์...ประทุษร้ายพระพุทธเจ้า... ...ให้ห้อพระโลหิต...และยุยงพระสงฆ์ให้แตกแยกกัน...และคนที่ทำกรรมชั่วเป็นนิตย์ตลอดชีวิต... ...ภิกษุที่ปาราชิกแล้วปกปิดไว้... ![]() ![]() ![]() ![]() ...คราวหน้าต่อด้วยโลกเปรต... |
เจ้าของ: | Rosarin [ 04 ธ.ค. 2009, 11:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() 2)เปตติวิสยภูมิ หรือโลกเปรต... ...เปตติวิสยภูมิ หรือโลกเปรต...แปลว่าภูมิที่อยู่ของเหล่าสัตว์ที่ห่างไกลจากความสุขสบาย... ...ถึงแม้จะได้รับความทุกข์ทรมานน้อยกว่าสัตว์นรกก็ตาม...มีอายุยืนนานคล้ายสัตว์นรก... ...เปรตส่วนใหญ่ไม่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศลของใครได้...มีปรัทัตตูปชีวีเปรตเท่านั้น... ...ที่สามารถอนุโมทนารับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติมิตรในโลกมนุษย์อุทิศไปให้ได้... ...มีรูปกายเป็นอทิสมานกาย...คือมีกายไม่ปรากฎในวิสัยของตามนุษย์ทั้งหลาย... ...นอกจากตนต้องการจะแสดงให้มนุษย์เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น... ...โดยมีชื่อเปรตที่ปรากฎกล่าวไว้ในพระคัมภีร์พระพุทธศาสนาดังนี้... ![]() 2.1)วิชชาตเปรต เป็นเปรตที่มีฤทธิ์มากเป็นหัวหน้าดุจพญาเปรต... ...เพราะเคยเป็นผู้รู้พระสัจธรรม...แต่ไม่สนใจปฏิบัติ...เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมไว้... ...จึงต้องมาเสวยผลกรรมเป็นเปรต...จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้... ![]() 2.2)วันตาสาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างชั่วร้ายน่าเกลียดเที่ยวร่อนเร่ไป... ...ด้วยความรู้สึกอดอยากหิวโหย...แสวงหาเสลดน้ำลายที่มนุษย์ขากถ่มออกมา... ...กินเป็นอาหาร...ได้รับทุกขเวทนาเยี่ยงนี้...นานแสนนานจนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.3)กุณปขาทาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างน่าเกลียดพิลึก...เที่ยวร่อนเร่ไป... ...ด้วยความรู้สึกอดอยากหิวโหย...แสวงหาซากศพเน่าเปื่อยเหม็นของสัตว์... ...และมนุษย์กินเป็นอาหาร...ได้รับทุกขเวทนาเยี่ยงนี้นานแสนนาน... ...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.4)คูถขาทาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างน่าเกลียดน่าชัง มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสาง... ...น่าสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด...เที่ยวร่อนเร่ไปด้วยความรู้สึกอดอยากหิวโหย... ...แสวงหามูตรคูถคืออุจจาระปัสสาวะที่มนุษย์ถ่ายทิ้งไว้...กินเป็นอาหาร... ...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.5)อัคคีชาลมุขาเปรต เป็นเปรตรูปร่างผอมโซสกปรก...มีเปลวไฟแลบออกจากปาก... ...ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน...เผาไหม้ปากและลิ้นได้รับทุกขเวทนาปวดแสบปวดร้อน... ...วิ่งร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดไปทั่วแดนเปรต...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.6)สูจิมุขาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างแปลกพิลึก...คือมีเท้าทั้งสองข้างใหญ่โต... ...ท้องเท่าภูเขามีคอยาวมาก...แต่มีปากเท่ารูเข็ม...ทำให้กินอาหารด้วยความลำบากยากเย็น... ...ไม่พออิ่มพออยาก...มีรูปกายผอมโซและดำเกรียม...ได้รับทุกขเวทนาหิวโซอดอยากอาหาร... ...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.7)ตัณหาชิตาเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างผอมโซ อดอยากหิวโซ... ...มีความต้องการอยากกินข้าวน้ำเป็นอย่างมาก...เที่ยววิ่งหาอาหารและน้ำ... ...โดยกรรมบันดาลให้แลเห็นอาหารและน้ำ...ครั้นพอวิ่งเข้าไปหาอาหารและน้ำนั้น... ...ก็พลันสูญหายไปได้รับความทุกข์เสียใจ...เสวยผลกรรมด้วยความอดอยากหิวโหย... ...นานแสนนาน...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.8)นิชฌามกเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างต่างจากเปรตประเภทอื่น... ...คือมีฟันขาวมีเขี้ยวยื่นงอกออกมาจากปาก...ผมเผ้ายาวพะรุงพะรัง... ...ริมฝีปากบนห้อยย้อยลงมาทับริมฝีปากล่าง...มีรูปร่างคล้ายต้นตาล... ...หรือต้นไม้ใหญ่ที่ถูกไฟไหม้สูงชะลูดดำทะมึนแลดูน่ากลัว... ...เนื้อตัวมีกลิ่นเน่าเหม็น...เท้าและมือเป็นง่อยเคลื่อนไหวไปมาไม่ได้... ...ยืนร้องไห้ครวญครางด้วยความอดอยากหิวโหยอยู่กับที่ไม่สามารถหาอาหารได้... ...ทนทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.9)สัพพังคเปรต เป็นเปรตรูปร่างใหญ่โต...มีเล็บเท้าและเล็บมือยาวแหลมโค้งงอเหมือนเบ็ด... ...ตลอดเวลาจะก้มหน้าก้มตาใช้เล็บมือเล็บเท้าของตัวเอง...ข่วนตะกุยตะกายร่างกายของตนเอง... ...เป็นอาหาร...พร้อมกับร้องลั่นไปด้วยความเจ็บปวด...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.10)ปัพพตังคเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างใหญ่โตเหมือนภูเขา...ในเวลากลางคืนร่างกาย... ...จะถูกเผาไหม้ลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา... ในเวลากลางวันปรากฏเป็นควันระอุล้อมรอบกายอยู่... ...ถูกไฟเปรตเผาไหม้ทุกข์ร้อน...ร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.11)อชคราทิเปรต เป็นเปรตที่มีรูปร่างแตกต่างกันหลายอย่างหลายชนิด...โดยมีรูปร่าง... ...คล้ายสัตว์เดียรัจฉานที่เห็นในโลกมนุษย์ เช่น รูปร่างเหมือนกับงูเหลือม ควาย * เสือ... ...หมา ม้า ไก่ ปลา จระเข้ และมนุษย์ขี้เรื้อน...ถูกไฟเปรตเผาไหม้ตลอดร่างกาย... ...ได้รับทุกขเวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.12)มหิทธิกาเปรต...เป็นเปรตที่มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้... ...มีรูปร่างงดงามดั่งเทพยดาทั้งหลาย...แต่หาได้รับความสุขไม่... ...เพราะรู้สึกความรู้สึกอดอยากหิวโหยอาหารเป็นยิ่งนัก... ...แสวงหาสิ่งไม่สะอาดโสโครกกินเป็นอาหาร... ...ทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.13)เวมานิกเปรต...เป็นเปรตที่มีชีวิตดีกว่าเปรตประเภทอื่นคือมีวิมานทิพย์เป็นของตน... ...มีเปรตบริวารรับใช้อยู่มากมาย...บางครั้งได้รับความสุขดั่งเทพยดา... ...ปรารถนาอะไรก็ได้ดั่งใจ...แต่ครั้นต้องเสวยทุกข์ตามประสาเปรต... ...ก็จะกลายเพศเป็นเปรตรูปร่างน่าเกลียดน่าชัง...ได้รับทุกขเวทนา... ...ยิ่งกว่าเปรตธรรมดาเสียอีก...ได้รับทุกขเวทนาเป็นกึ่งเปรตกึ่งเทวดา... ...ผลัดเปลี่ยนตามกาลเช่นนี้...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ![]() 2.14)ปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นเปรตประเภทเดียวที่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศล... ...ที่มนุษย์เราอุทิศให้ได้...ท่องเที่ยวไปตามบ้านช่องของหมู่ญาติมิตร... ...ด้วยความอดอยากหิวโหย...คอยรับการอุทิศส่วนกุศลของหมู่ญาติพี่น้อง... ...ครั้นไม่ได้รับก็รำพึงด้วยความน้อยใจ...เที่ยวรอคอยด้วยความหวังต่อไป... ...ว่าญาติมิตรจะคิดถึงทำบุญ...กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้... ...ครั้นได้รับส่วนกุศลผลบุญที่หมู่ญาติอุทิศให้...เขามีใจผ่องแผ้ว... ...อนุโมทนาสาธุการ...สำเร็จเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศลกรรม... ...จึงพ้นจากความเป็นเปรตไปอุบัติในภพภูมิที่สูงกว่าทันที... ...ซึ่งการที่จะได้รับส่วนบุญกุศลต้องประกอบด้วยองค์ 3 คือ... ......1)เป็นทานที่เหล่าญาติมิตร...ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีประพฤติชอบ... ........หรือทานแก่หมู่สงฆ์ที่เรียกว่า...สังฆทาน ......2)เมื่อเหล่าญาติถวายทานแล้ว...มีใจผ่องแผ้วตั้งจิตกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล... ......3)ปรทัตตูปชีวีเปรตนั้น...ก็ต้องมาคอยรับและคอยอนุโมทนาด้วยความตั้งใจ... ........มีความเลื่อมใสสาธุการ...พลอยยินดีกับการทำทานที่ญาติมิตรได้กระทำเพื่ออุทิศให้ตน... ![]() ![]() 3)อสุรกายภูมิ หรือวินิบาต คือโลกอสุรกาย... ...อสุรกายภูมิ หรือวินิบาต คือโลกอสุรกาย...แปลว่าภูมิที่อยู่ของเหล่าสัตว์อันปราศจาก... ...ความแช่มชื่นร่าเริง...เป็นโลกที่มีแต่ความชั่วร้ายไม่น่าอยู่ไม่น่าอาศัย...เต็มไปด้วย... ...เหล่าอสุรกายรูปร่างแปลกประหลาดพิสดารน่าเกลียดน่าชัง...ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์... ...ปราศจากความสุขรื่นเริงโดยสิ้นเชิง...โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับเปรตมาก... ...จะต่างกันที่เปรตได้รับความทุกข์เนื่องจากหิวอาหาร...ส่วนอสุรกายจะได้รับความทุกข์... ...ความทรมานจากความหิวกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา...จนกว่าจะสิ้นกรรม... ...อันเนื่องมาจากกรรมคือ...การกระทำอกุศลกรรมด้วยความโลภมากไปด้วยอภิชฌา... ...ความเพ่งเล็งอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น... ![]() 4)ติรัจฉานภูมิหรือโลกสัตว์เดียรัจฉาน... ...ติรัจฉานภูมิ...แปลได้สองอย่างคือ... ...อย่างแรกแปลว่า...โลกของเหล่าสัตว์ที่มีความยินดีในเหตุเพียง 3 ประการ... ...เนื่องจากเป็นโลกที่อาภัพเศร้าหมอง...จะมีความสุขความยินดีแต่เพียงเหตุ... ...3 ประการเท่านั้นคือ...1.การกิน...2.การนอน...3.การสืบพันธุ์... ![]() ...อย่างที่สองแปลว่า...โลกของสัตว์ผู้ไปโดยขวาง...คือการเคลื่อนที่ไปมาของสัตว์... ...ส่วนใหญ่จะไปตามแนวขวาง...คว่ำอกไปทั้งสิ้น...และยังหมายถึงจิตใจที่ขวางจาก... ...มรรคผลนิพพาน...คือไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ในเพศสัตว์เดียรัจฉาน... ...จึงเป็นโลกของสัตว์ผู้อาภัพ...มีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากเย็น...เพราะมีภัยอยู่รอบด้าน... ...ต้องระแวงระวังภัยอยู่ตลอดเวลา...มีความหวาดสะดุ้งของจิตไม่มีหยุดในขณะที่แสวงหา... ...อาหารมาบรรเทาความหิวกระหาย...มีถิ่นที่อยู่ไม่แน่นอน...ตามที่เราพบเห็นได้ทั่วไป... ...เพราะมีรูปกายหยาบเช่นเดียวกับมนุษย์เรา...ซึ่งเหตุที่ได้มาเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน... ...ก็เนื่องมาจากการกระทำอกุศลกรรมบถต่างๆ...แต่ไม่หนักหรือรุนแรง... ...หรือเป็นเหล่าสัตว์ที่ได้ชดใช้ผลกรรมหนักจนเหลือผลกรรมเบาบาง...ก็จุติจาก... ...โลกนรก โลกเปรต โลกอสุรกาย มาเกิดในภพภูมิสัตว์เดียรัจฉานนี้ก็ได้... ...ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 4 ประเภทคือ... ![]() 4.1)อปทติรัจฉาน คือสัตว์เดียรัจฉานประเภทไม่มีเท้า...ไม่มีขา... ...ซึ่งได้แก่ งู ปลา ไส้เดือน เป็นต้น... 4.2)ทวิปทติรัจฉาน คือสัตว์เดียรัจฉานประเภทมี 2 เท้า... ...ซึ่งได้แก่ นก เป็ด ไก่ เป็นต้น... 4.3)จตุปทติรัจฉานคือสัตว์เดียรัจฉานประเภทมี 4 เท้า... ...ซึ่งได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย เสือ และเก้ง กวางเป็นต้น... 4.4)พหุปปทติรัจฉานคือสัตว์เดียรัจฉานประเภทที่มีเท้ามากกว่า 4 เท้าขึ้นไป... ...ซึ่งได้แก่ แมลง ตะเข็บ ตะขาบ กิ้งกือ เป็นต้น... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ...คราวหน้าติดตามสุคติภูมิ... ![]() |
เจ้าของ: | Bwitch [ 04 ธ.ค. 2009, 14:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 1) นิรยะ (นรก — woeful state; hell) 2) ติรัจฉานโยนิ (กำเนิดดิรัจฉาน — animal kingdom) 3) ปิตติวิสัย (แดนเปรต — ghost-sphere) 4) อสุรกาย (พวกอสูร — host of demons) ![]() 1) มนุษย์ (ชาวมนุษย์ — human realm) 2) จาตุมมหาราชิกา (สวรรค์ชั้นที่ท้าวมหาราช 4 ปกครอง — realm of the Four Great Kings) 3) ดาวดึงส์ (แดนแห่งเทพ 33 มีท้าวสักกะเป็นใหญ่ — realm of the Thirty-three Gods) 4) ยามา (แดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์ — realm of the Yama gods) 5) ดุสิต (แดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยสิริสมบัติของตน — realm of satisfied gods) 6) นิมมานรดี (แดนแห่งเทพผู้ยินดีในการเนรมิต — realm of the gods who rejoice in their own creations) 7) ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนแห่งเทพผู้ยังอำนาจให้เป็นไปในสมบัติที่ผู้อื่นนิรมิตให้ — realm of gods who lord over the creation of others) ภูมิทั้ง 11 ใน 2 หมวดนี้ รวมเป็น กามาวจรภูมิ 11 (ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในกาม — sensuous planes) ![]() ก. ปฐมฌานภูมิ 3 (ระดับปฐมฌาน — first-Jhana planes) 1) พรหมปาริสัชชา (พวกบริษัทบริวารมหาพรหม — realm of great Brahmas’ attendants) 2) พรหมปุโรหิตา (พวกปุโรหิตมหาพรหม — realm of great Brahmas’ ministers) 3) มหาพรหม (พวกท้าวมหาพรหม — realm of great Brahmas) ข. ทุติยฌานภูมิ 3 (ระดับทุติยฌาน — second-Jhana planes) 4) ปริตตาภา (พวกมีรัศมีน้อย — realm of Brahmas with limited lustre) 5) อัปปมาณาภา (พวกมีรัศมีประมาณไม่ได้ — realm of Brahmas with infinite lustre) 6) อาภัสสรา (พวกมีรัศมีสุกปลั่งซ่านไป — realm of Brahmas with radiant lustre) ค. ตติยฌานภูมิ 3 (ระดับตติยฌาน — third-Jhana planes) 7) ปริตตสุภา (พวกมีลำรัศมีงามน้อย — realm of Brahmas with limited aura) 8) อัปปมาณสุภา (พวกมีลำรัศมีงามประมาณหามิได้ — realm of Brahmas with infinite aura) 9) สุภกิณหา (พวกมีลำรัศมีงามกระจ่างจ้า — realm of Brahmas with steady aura) ง. จตุตถฌานภูมิ 3—7 (ระดับจตุตถฌาน — fourth-Jhana planes) 10) เวหัปผลา (พวกมีผลไพบูลย์ — realm of Brahmas with abundant reward) 11) อสัญญีสัตว์ (พวกสัตว์ไม่มีสัญญา — realm of non-percipient beings) (*) สุทธาวาส 5 (พวกมีที่อยู่อันบริสุทธิ์ หรือ ที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์ คือ ที่เกิดของพระอนาคามี — pure abodes) คือ 12) อวิหา (เหล่าท่านผู้ไม่เสื่อมจากสมบัติของตน หรือผู้ไม่ละไปเร็ว, ผู้คงอยู่นาน — realm of Brahmas who do not fall from prosperity) 13) อตัปปา (เหล่าท่านผู้ไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใคร หรือผู้ไม่เดือดร้อนกับใคร — realm of Brahmas who are serene) 14) สุทัสสา (เหล่าท่านผู้งดงามน่าทัศนา — realm of Brahmas who are beautiful) 15) สุทัสสี (เหล่าท่านผู้มองเห็นชัดเจนดี หรือผู้มีทัศนาแจ่มชัด — realm of Brahmas who are clear-sighted) 16) อกนิฏฐา (เหล่าท่านผู้ไม่มีความด้อยหรือเล็กน้อยกว่าใคร, ผู้สูงสุด — realm of the highest or supreme Brahmas) ![]() 1) อากาสานัญจายตนภูมิ (ชั้นที่เข้าถึงภาวะมีอากาศไม่มีที่สุด — realm of infinite space) 2) วิญญาณัญจายตนภูมิ (ชั้นที่เข้าถึงภาวะมีวิญญาณไม่มีที่สุด — realm of infinite consciousness) 3) อากิญจัญญายตนภูมิ (ชั้นที่เข้าถึงภาวะไม่มีอะไร — realm of nothingness) 4) เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ (ชั้นที่เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ — realm of neither perception nor non-perception) ปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามี ย่อมไม่เกิดในสุทธาวาสภูมิ; พระอริยะไม่เกิดในอสัญญีภพ และในอบายภูมิ; ในภูมินอกจากนี้ ย่อมมีทั้งพระอริยะ และมิใช่อริยะไปเกิด. ในพระไตรปิฎก ไม่พบที่ใดแสดงรายชื่อภูมิทั้งหลายไว้ทั้งหมดในที่เดียว บาลีแสดงรายชื่อภูมิมากที่สุด (มีเฉพาะชั้นสุคติภูมิ) พบที่ ม.อุ. 14/318-332/216-225 (M.III. 99-103) กล่าวตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไปจนถึงอรูปาวจรภูมิ. ในบาลีแห่งทีฆนิกาย เป็นต้น* แสดงคติ (ที่ไปเกิดของสัตว์, แบบการดำเนินชีวิต — destiny; course of existence) ว่ามี 5 คือ นิรยะ ติรัจฉานโยนิ เปตติวิสัย มนุษย์ และเทพ (พวกเทพ — heavenly world ได้แก่ภูมิ 26 ตั้งแต่จาตุมหาราชิกาขึ้นไปทั้งหมด) จะเห็นว่าภูมิ 31 สงเคราะห์ลงได้ในคติ 5 ทั้งหมด ขาดแต่อสุรกาย อย่างไรก็ดีในอรรถกถาแห่งอิติวุตตกะ** ท่านกล่าวว่า อสูร สงเคราะห์ลงในเปตตวิสัยด้วย จึงเป็นอันสงเคราะห์ลงได้บริบูรณ์ และในคติ 5 นั้น 3 คติแรกจัดเป็นทุคติ (woeful courses) 2 คติหลังเป็นสุคติ (happy courses). * ที.ปา. 11/281/246; ม.มู 12/170/148; องฺ.นวก. 23/272/450 (D.III.234; M.I.73; A.IV.459) ** อุ.อ. 174; อิติ.อ. 168 (approx., UdA.140; ItA.101) อนึ่ง พึงเทียบภูมิ 4 หรือ ภูมิ 31 ข้อนี้ กับ [162] ภูมิ 4 ที่มาในพระบาลีด้วย กล่าวคือ ภูมิ 4 หรือ 31 ชุดนี้ จัดเข้าในภูมิ 3 ข้อต้นใน [162] ภูมิ 4 ดังนี้ อบายภูมิ 4 และกามสุคติภูมิ 7 รวมเข้าเป็นกามาวจรภูมิ (11) ส่วนรูปาวจรภูมิ (16) และ อรูปาวจรภูมิ (4) ตรงกัน รวมภูมิทั้งหมด 31 นี้ เป็นโลกียภูมิ พ้นจากนี้ไปเป็นโลกุตตรภูมิ ![]() |
เจ้าของ: | พงพัน [ 04 ธ.ค. 2009, 15:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
อนุโมทนาครับ ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 04 ธ.ค. 2009, 16:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() ...ข้าพเจ้าพิมพ์ดีดไม่เป็น...ตั้งใจบรรจงนั่งจิ้มดีดทีละตัว... ...ช้าหน่อยนะเจ้าคะ...ช้าๆได้พร้าเล่มงาม... ![]() สุคติภูมิ ...สุคติภูมิเป็นภูมิแห่งความสุข...เพราะเป็นแดนเกิด... ...แห่งสัตว์ที่ได้รับผลแห่งกรรมดีที่ตนเองได้กระทำไว้... ...มากน้อยตามเหตุแห่งกุศลธรรม... ...ประกอบด้วย... ![]() 1)มนุสสภูมิ หรือ โลกมนุษย์ ...มนุสสภูมิ แปลว่า ภูมิที่อยู่อาศัยของสัตว์ผู้มีใจสูง...ซึ่งหมายถึงความมีใจสูงในเชิงกล้าหาญ... ...คือมีความองอาจกล้าหาญกระทำกรรมได้ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว...กล่าวคือสามารถกระทำได้... ...ทั้งกรรมดีอันยิ่งใหญ่จนถึงมรรคผลนิพพาน...และสามารถกระทำกรรมชั่วที่เลวร้ายสุดๆ... ...จนถึงขั้นครุกรรม...ซึ่งไม่มีภพภูมิอื่นจะกระทำได้เยี่ยงมนุษย์เราเช่นที่กล่าวนี้... ![]() ...หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นภพภูมิผู้ก่อหรือสร้างเหตุแห่งผลกรรมต่างๆได้มากที่สุด... ...คือได้ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว...ดังนั้นจึงเป็นภพภูมิที่เหมาะสมกับการสร้างบุญบารมี... ...จนหลุดพ้นมากที่สุด...ดังนั้นในกาลที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาอุบัติตรัสรู้... ...จึงทรงอุบัติมาเกิดในมนุสสภูมิของเรา...เพื่ออบรมสั่งสอนมนุษย์เราเป็นส่วนใหญ่นั่นเอง... ![]() ...ดังนั้น...จึงถือว่าเป็นโชควาสนาที่พวกเราทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้... ...จึงไม่ควรประมาทในการแสวงหาและกระทำแต่กรรมดีสะสมไว้...โดยเฉพาะมนุษย์... ...ที่ได้มีโอกาสพบหรือรู้จักกับพระพุทธศาสนา...อันเป็นที่พึ่งใหญ่เป็นประโยชน์ใหญ่... ...แก่เหล่าสัตว์ทั้งปวง...ยากที่จะหาได้จากที่อื่นได้...อย่าได้กระทำตัวเหมือนลิงได้แก้ว... ...หรือไก่ได้พลอย...จนสิ้นชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย...เพราะโอกาสจะกลับมาเกิด... ...ในโลกมนุษย์อีกครั้งก็เป็นเรื่องที่ยาก...สำหรับบุคคลที่เป็นผู้ประมาทเพลิดเพลิน... ...ในการทำอกุศลกรรมอยู่ตลอดเวลา… ![]() ...ความเป็นอยู่...ยศศักดิ์...ความฉลาด...ความโง่...รวย...จน... ...รูปร่าง...หน้าตา...และผิวพรรณของมนุษย์แต่ละคน... ...ก็มีความแตกต่างกันมาก...ตามเหตุแห่งผลกรรมดีหรือกรรมชั่ว... ...ซึ่งเป็นสิ่งจำแนกแยกแยะคนให้มีความแตกต่างกัน...ดังนั้นบุคคลบางคน... ...ก็ประสบพบแต่ความสุขความเจริญในชีวิต...ในขณะที่อีกหลายคนก็พบแต่... ...เคราะห์กรรมความทุกข์ความทรมานก็มีแตกต่างกันไปตามผลกรรมที่ส่งผล... ...มนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับความสุข...ความชื่นชมยินดีจากกามคุณทั้ง5 คือ... ...รูป รส กลิ่น เสียง การสัมผัสที่น่ายินดีที่ชอบใจนั่นเอง... ![]() ...คราวหน้าต่อด้วยเทวภูมิ หรือโลกสวรรค์... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ...ผู้ให้ของชอบใจ.....ย่อมได้ของชอบใจ ...ผู้ให้ของเลิศ.........ย่อมได้ของเลิศ ...ผู้ให้ของดี............ย่อมได้ของดี ...ผู้ให้ของประเสริฐ...ย่อมถึงฐานะอันประเสริฐ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Bwitch [ 04 ธ.ค. 2009, 16:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() |
เจ้าของ: | Bwitch [ 04 ธ.ค. 2009, 16:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 09 ธ.ค. 2009, 12:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() สุคติภูมิ (ต่อ) ![]() 2)เทวภูมิ หรือโลกสวรรค์... ![]() ...เทวภูมิ แปลว่าภูมิที่อยู่แห่งทวยเทพทั้งหลาย...เทวโลกเป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสุขล้วนๆ... ...ปราศจากความทุกข์ความเดือดร้อนโดยสิ้นเชิง...เป็นโลกที่มากไปด้วยความสุขในโลกียารมณ์... ...ยิ่งกว่าโลกไหนๆ...เป็นโลกทิพย์...ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยแห่งผู้มีกายทิพย์มีรัศมีพุ่งเรืองรองสว่างไสว... ...ออกจากกาย...ไม่ต้องประกอบการงานใดๆทั้งสิ้น...มีแต่ความสนุกสนานเพลิดเพลินไปด้วย... ...โลกียารมณ์คือกามคุณ5...ตลอดเวลา...บางครั้งจึงเรียกว่า...เทวภูมิ ซึ่งแปลว่า ...ภูมิเป็นที่อยู่ของกายทิพย์...ผู้เพลิดเพลินสนุกสนานไปด้วยเบญจพิธกามคุณารมณ์... ...อันเนื่องมาจากผลแห่งการกระทำกามาวจรกุศลกรรม...โดยมีชีวิตความเป็นอยู่ดังนี้... ![]() ...การเกิดในเทวโลกจะเป็นลักษณะอุบัติเป็นเทวดาในทันทีทันใด...โดยไม่ต้องอยู่ในครรภ์... ...มีรูปร่างสวยสดงดงามอยู่ในวัยหนุ่มสาวเป็นเทพบุตรเทพธิดาทันที...โดยได้รับความสุขมากน้อย... ...ตามชั้นภูมิและผลกรรมแห่งตน...บ้างก็มีวิมานเป็นของตัวเอง...บ้างก็เกิดในฐานะบาทบริจาริกา... ...หรือในฐานะบุตร-ธิดาแห่งเทพองค์อื่นหรือเป็นเพียงเทพบริษัทบริวารของเทพผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่... ...หากว่าตนได้เคยสร้างบุญกุศลไว้มากมาย...ย่อมอุบัติเกิดเป็นเทวดาอิสรเสรีโดยลำพัง... ...ก็ย่อมจักไปเกิดยังวิมานของตนเอง...เพราะมีปราสาทวิมานพร้อมทั้งเทพบริวาร... ...ซึ่งเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิบากแห่งบุญกุศลคอยต้อนรับอยู่แล้ว...โดยไม่ต้องเป็นบุตร-ธิดา ...หรือเทพรับใช้แห่งเทพองค์ใด... ![]() ...เทพทุกองค์ล้วนมีรูปโฉมผิวพรรณสัณฐานเป็นทิพย์สวยงามหนักหนา... ...สรีรร่างกายบริสุทธิ์สะอาดปราศจากเหงื่อกลิ่นตัวเช่นมนุษย์เรา...นุ่งห่มผ้าอาภรณ์ทิพย์... ...อันมีรัศมีเรืองรอง...สามารถเนรมิตกายให้เล็กหรือใหญ่โตได้ตามประสงค์...เป็นอยู่โดย... ...การบริโภคอาหารทิพย์ทุกวัน...ซึ่งไม่ต้องมีกากอาหารต้องขับถ่ายเหมือนพวกเราตลอดชีวิต... ...ตลอดชีวิตในแดนเทวโลกจะไม่มีภัยอันตรายใดๆหรือโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น... ...มีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญชื่นบาน...รัศมีอันเรืองรองจากกายจากอาภรณ์...จากปราสาท... ...และจากรัศมีแห่งแก้วเก้าเนาวรัตน์อันเป็นทิพยสมบัติ...ย่อมทำให้เมืองสวรรค์... ...สว่างเรืองรองอยู่ตลอดเวลาไม่มีราตรีค่ำมืดเหมือนโลกเรา... ![]() ...การจุติตายไปของเหล่าเทวดาจากเทวโลก...ถึงแม้ภพภูมิเทวดาทั้งหลาย... ...จะมีอายุยืนนานและมีความสุขที่มั่นคงเป็นเนืองนิตย์ก็ตาม... ...แต่ก็ยังอยู่ในกฎแห่งไตรลักษณ์...คือการเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง... ...ดังนั้นเทพเทวดาจึงมีการจุติตายไปทั้งสิ้น...ด้วยเหตุ 4 ประการคือ... ![]() ...1)อายุกขยะ...จุติเพราะหมดอายุ...ก็คือหมดผลแห่งกรรมดี...ประกอบด้วย... ...ทานและศีลเป็นประมาณยิ่งแต่ไม่ได้ประกอบการภาวนาที่เรียกว่า...กามาวจรกุศลกรรม... ...ที่ชักนำให้มาอุบัติเกิดในเทวโลกนี้...จนครบอายุทิพย์ในทวโลกแต่ละชั้น... ...ก็จำต้องจุติหรือหมดอายุขัย...ไปอุบัติในภพภูมิใหม่ตามผลกรรมแห่งตนสืบไป... ![]() ...2)ปุญญักขยะ...จุติเพราหมดบุญก่อนอายุขัย...อันเนื่องจากผลบุญกุศลที่ตนได้กระทำไว้... ...มีประมาณน้อย...เมื่อผลบุญที่ชักนำให้มาบังเกิดหมดสิ้นแล้ว...ก็จำต้องจุติตายไป... ...เกิดในภพภูมิอื่นก่อนครบอายุขัย... ![]() ...3)อาหารักขยะ...จุติเพราะหมดอาหาร...อันเนื่องจากทวยเทพทั้งหลาย... ...จำเป็นต้องทานอาหารทิพย์เพื่อเป็นปัจจัยเกื้อหนุนแก่ทิพยกายของตน... ...เทวดาบางองค์หลงเพลิดเพลินการเสวยความสุขจากกามคุณ5 อันเป็นทิพยสมบัติ... ...จนลืมบริโภคอาหารทิพย์...จนเป็นเหตุให้ต้องจุติตายไปเนื่องจากหมดอาหาร... ![]() ...4)โกธาพลักขยะ...จุติเพราะความโกรธ...อันเนื่องจากเทวดาบางองค์มีจิตอิจฉาริษยา... ...สิริสมบัติทิพย์ของเทพองค์อื่น...หาเหตุพาลทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน... ...ถ้าเทพองค์ใดไม่มีขันติธรรมถูกความโกรธเข้าครอบงำจิตใจมีใจเสมือนไฟแล้ว... ...ย่อมลุกเป็นไฟไหม้กายทิพย์แห่งตนให้วอดวายต้องจุติไปสู่ภพภูมิอื่น... ...ด้วยกำลังแห่งความโกรธ... ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Bwitch [ 09 ธ.ค. 2009, 16:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() มีใครเคยไปเห็นมาบ้างมั้ยคะ ว่าเป็นยังไง |
เจ้าของ: | แสนปีแสง [ 09 ธ.ค. 2009, 16:49 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
อนุโมทนาครับ |
เจ้าของ: | Rosarin [ 09 ธ.ค. 2009, 17:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ...เทวโลกประกอบด้วยเมืองสวรรค์ที่ตั้งอยู่ในชั้นต่างๆ...มีด้วยกันทั้งหมด 6 ชั้น... ...เรียงลำดับจากล่างสุดไปหาชั้นสูงสุดได้ดังนี้... ![]() 2.1)สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ (อายุ 500 ปีทิพย์เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์) ...สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพซึ่งมีท้าวจาตุมหาราชทรงเป็นอธิบดี... ...อยู่สูงขึ้นไปจากโลกมนุษย์ 42,000 โยชน์(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กิโลเมตร)... ...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กิโลเมตร)...เป็นแดนสุขาวดีโลกชั้นที่1... ... ซึ่งตั้งอยู่ ณ ตอนกลางแห่งสิเนรุราชบรรพต...โดยมีเทพนครใหญ่อยู่ 4 พระนคร... ![]() ...แต่ละพระนครมีปราการกำแพงทองทิพย์รุ่งเรืองเหลืองอร่ามแลดูงดงาม... ...ประดับประดาด้วยสัตตรัตนะแก้ว 7 ประการ...บานประตูประกอบด้วยแก้วอันวิเศษ... ...และมีปราสาทวิมานสวยงามอยู่เหนือประตูทุกๆประตู...ภายในนครมีวิมานแก้ว... ...ซึ่งเป็นที่อยู่ของทวยเทพ...เรียงรายอยู่มากมาย...บนพื้นแผ่นสุพรรณทองคำที่ราบเรียบ... ...เรืองรองและมีความอ่อนนิ่มดุจฟูกผ้า...และมีสวนทิพย์...สระโบกขรณีที่มีน้ำใสยิ่งกว่าแก้ว... ...เต็มไปด้วยปทุมชาติอันเป็นทิพย์นานาชนิด...ส่งกลิ่นทิพย์หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ... ...มีดอกไม้นานาพรรณสีสันวิจิตรตระการตา...พร้อมรุกขชาติต้นไม้สวรรค์อันมีผลทิพย์รสโอชา... ...ออกผลตามฤดูกาล...ไม่มีวันร่วงโรยหรือหมดไป... ![]() ...ซึ่งเทพนครทั้ง4 ที่ตั้งอยู่ในทิศต่างๆ จะมีเทวาธิราชผู้มีศักดิ์และอำนาจใหญ่เป็นผู้ปกครองป้องกันดังนี้ 2.1.1)ธตรฐมหาราช...ปกครองเทพนครในทิศตะวันออก...และปกครองหมู่เทพ...คนธรรพ์... 2.1.2)วิรุฬหกมหาราช...ปกครองเทพนครในทิศใต้...และปกครองหมู่เทพ...กุมภัณฑ์... 2.1.3)วิรูปักษ์มหาราช...ปกครองเทพนครในทิศตะวันออก...และปกครองหมู่เทพ...นาค 2.1.4)เวสสุวัณมหาราชหรือท้าวกุเวรเทพ..ปกครองเทพนครในทิศเหนือ...และปกครองหมู่เทพ...ยักษ์ ![]() ...เหตุแห่งกรรมที่ได้มาเกิดในเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกานี้...มีกล่าวไว้ในบุญกิริยาวัตถุสูตร ดังนี้... ![]() “ ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย...บุคคลบางคนในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน... ...อันมีประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลอันมีประมาณยิ่ง... ...แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย...เมื่อเขาผู้นั้นถึงกาลกิริยาตายไปแล้ว... ...เขาย่อมจักเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา... ![]() ...ส่วนท้าวมหาราชทั้ง 4 ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานั้น... ...พระองค์ได้ทรงกระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานอันเป็นอดิเรก... ...ได้ทรงทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลอันเป็นอดิเรก ฉะนั้นพระองค์จึงทรงเจริญรุ่งเรือง... ...ก้าวล่วงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิทั้งหลาย โดยฐานะ 10 ประการ คือ อายุทิพย์1 ... ...วรรณทิพย์1 สุขทิพย์1 ยศทิพย์1 อธิปไตยทิพย์1 รูปทิพย์1 เสียงทิพย์1 กลิ่นทิพย์1 ... ...รสทิพย์1 โผฐัพพทิพย์1 ดังนี้ ”... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() 2.2)สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ (อายุ 1,000 ปีทิพย์เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์) ...สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพซึ่งมีเทพเจ้า 33 พระองค์ทรงเป็นอธิบดี... ...หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า... “ ไตรตรึงษ์ ” หรือ “ ดาวดึงส์ ” อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์... ...ชั้นจาตุมหาราชิการประมาณ 42,000 โยชน์...มีเทพนครเมืองใหญ่นามว่า...สุทัสสนเทพนคร... ...เป็นเทพนครที่สวยสดงดงาม...ปรางค์ปราสาทประดับประดาไปด้วยแก้วอันเป็นทิพย์... ...มีปราการกำแพงแก้วอันเป็นทิพย์...มีประตูรอบพระนคร 10,000 ประตู...โดยมีปราสาทยอด... ...ทรงรัศมีสว่างไสวงดงามอยู่เหนือทุกประตู...เวลาเปิดประตูจะปรากฏเสียง... ...อันไพเราะน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง... ![]() ...ปราสาทพิมานที่สำคัญสวยงามเป็นอย่างยิ่งในสวรรค์ชั้นนี้คือ...ไพชยนตปราสาทพิมาน... ...ซึ่งเป็นที่ประทับของ...สมเด็จพระอมรินทราธิราช หรือที่เราชอบเรียกว่า “ พระอินทร์ ” ...ซึ่งองค์ปัจจุบันคือท้าวสักกอมรินทราธิราช...ซึ่งเป็นผู้มีบุญสิริบุญญานุภาพมากมาย... ...เป็นผู้ปกครองเมืองสวรรค์ชั้นนี้...ทรงมีพระหฤทัยฝักใฝ่กระทำบุญกุศล... ...และกิจอันเป็นประโยชน์อยู่เนืองนิตย์...ด้วยบุญญาธิการอันมากเช่นนี้... ...จึงทำให้สวรรค์ชั้นนี้มีชื่อเสียงเรื่องความเป็นอยู่ที่น่ารื่นเริงบันเทิงใจเป็นอย่างยิ่ง... ...น่าเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง...จึงปรากฏว่าโยคีฤาษีผู้ได้ฌานอภิญญาย่อมถือโอกาส... ...มาเที่ยวชมทัศนาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่เสมอๆ... ![]() ...บรรดาทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นนี้...ที่ขึ้นชื่อได้แก่สวนขวัญอุทยานทิพย์ซึ่งประกอบด้วยแมกไม้... ...ดอกไม้สวรรค์และสระโบกขรณีที่สวยสดงดงามน่ารื่นรมย์ตั้งอยู่มากมาย...แต่ที่เลื่องชื่อเป็นพิเศษ... ...มีดังนี้คือ...สวนมหาวัน...สวนนันทวัน...สวนจิตรลดาวัน...สวนมิสกวัน...สวนผารุสกวัน...และ... ...สวนปุณฑริกวัน...ซึ่งมีต้นทองหลางทิพย์นามว่า “ ปาริชาตกัลป์ปพฤกษ์ ” ซึ่งดอกปาริชาตนี้... ...จะบานสะพรั่งทุก 100 ปี...เมื่อบานแล้วจะมีรัศมีแสงอันรุ่งเรืองงดงามและส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปไกล... ![]() ...ภายใต้ต้นไม้ทิพย์ปาริชาตมีแท่นศิลาแก้วนามว่า “ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ” เป็นศิลาทิพย์... ...สีแดงดังดอกชบามีลักษณะอ่อนนุ่มเหมือนผ้าฟูก...เมื่อองค์อัมรินทราธิราชทรงประทับนั่งพักผ่อน... ...แท่นศิลาก็จะอ่อนยุบลงไป...และกลับฟูขึ้นตามเดิมเมื่อพระองค์เสด็จลุกขึ้น....นอกจากนี้... ...ยังมีศาลาทิพย์กว้างใหญ่สวยงามชื่อ...สุธรรมมาเทวสภา...ซึ่งเป็นที่ประชุมฟังธรรม... ...ของเหล่าเทวดาผู้มีสัมมาทิฐิทั้งหลาย...มีธรรมาสน์แก้วสวยงามวิจิตรตระการตานักหนา... ...เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจเป็นอย่างยิ่งเพราะอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้สวรรค์นานาชนิดอยู่ตลอดเวลา... ![]() ...ในสวรรค์ชั้นนี้ยังมีเจดีย์ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ...พระเกศจุฬามณีเจดีย์เจ้า... ...ซึ่งมีความประเสริฐวิเศษเป็นมโหฬารและศักดิ์สิทธิ์...เพราะเป็นเจดีย์ที่บรรจุ... ...พระเมาลี(ผม)แห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า...เมื่อทรงตัดทิ้งในคราวเสด็จออกสู่... ...มหาภิเนษกรมณ์(ออกบวช)...และเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวา... ...แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูแห่งพวกเราทั้งหลาย... ...จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทวยเทพทุกชั้นฟ้าต่างพากันมาถวายนมัสการกระทำสักการบูชา... ...องค์พระมหาเจดีย์ด้วยความเคารพเลื่อมใสอยู่เป็นเนืองนิตย์... ![]() ...ความวิจิตรงดงามและความสุขอันเป็นทิพยสมบัติ...ในสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้... ...ไม่สามารถที่จะบรรยายให้หมดสิ้นไปได้...สมบัติต่างๆในมนุษยโลกย่อมไม่สามารถ... ...นำมาเทียบกับเทวสมบัติซึ่งเป็นทิพย์ได้... ![]() ...บุพกรรมที่ทำให้ท่านท้าวสักกะได้มาอุบัติเป็นองค์อัมรินทราธิราช...ผู้เป็นใหญ่ปกครอง... ...สวรรค์ชั้นนี้พร้อมทั้งเทพสหายรวม 33 พระองค์...คือชาติก่อนเคยเกิดเป็นมนุษย์... ...ในยุคก่อนพระสมณโคดมจะมาตรัสรู้ประกาศธรรม...เป็นคนมีศรัทธา... ...ประกอบแต่กุศลกรรมต่างๆชั่วชีวิต...เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและสาธารณประโยชน์... ...อาทิ...ขุดสระ...สร้างศาลา...ที่พักอาศัย...ถนนหนทางเป็นต้น...โดยมีสหายร่วมอุดมการณ์... ![]() ...ในการกระทำบุญกุศลเช่นนี้รวม 33 คน และยังประพฤติตนอยู่ในวัตตบท 7 ประการ... ...อย่างเคร่งครัดคือ1)เลี้ยงดูบิดามารดา2)เคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล3)กล่าววาจา... ...อ่อนหวาน4)ไม่กล่าวคำส่อเสียด5)ไม่มีความตระหนี่6)มีความสัตย์กล่าวคำที่เป็นจริง... ...7)ระงับความโกรธไว้ได้ ![]() ...ท่านตั้งตนอยู่ในคุณธรรมทั้ง 7 ประการนี้เสมอเป็นนิตย์...ครั้นถึงกาลสิ้นชีพจากโลกมนุษย์... ...ผลแห่งกุศลกรรมนี้จึงนำพาให้มาอุบัติเกิดเป็นองค์อัมรินทราธิราชเช่นปัจจุบันนี้... ...ชาติก่อนพระองค์เกิดในยุคนอกพระพุทธศาสนา...เป็นเหตุให้ไม่มีโอกาสได้กระทำ... ...บุญกุศลที่มีอานิสงส์มายิ่งกับพระพุทธศาสนาได้...ทำให้พระองค์บางทีก็นึกน้อยใจที่ไม่มีวาสนา... ...ได้เกิดเป็นมนุษย์ในยุคแห่งพระพุทธศาสนา...มีบุญญาธิการรัศมีรุ่งเรืองยิ่งกว่าพระองค์ในบางองค์... ![]() ...ทำให้พระองค์ทรงมีความขวนขวายฝักใฝ่ในการกระทำบุญกุศลกับพระพุทธศาสนาทุกประการ... ...ที่สามารถจะกระทำได้เป็นอย่างยิ่ง...แม้กระทั่งเคยเนรมิตพระองค์ปลอมเป็นชายชราผู้ยากจน... ...เพื่อจะได้ถวายบิณฑบาตทานแก่พระมหากัสสปเถรเจ้า...ซึ่งเป็นพระอรหันต์ในวันที่ท่านออกจาก... ...นิโรธสมาบัติและตั้งใจจะสงเคราะห์ผู้ยากไร้...เนื่องจากบิณฑบาตทานที่ถวายแก่พระขีณาสพ... ...ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ...ย่อมมีผลใหญ่มีอานิสงส์มากสุดจะคณานับได้... ![]() ...ปัจจุบันจากผลแห่งการถวายทานแก่พระมหากัสสปเถรเจ้า...และการได้สดับฟังพระสัทธรรมเทศนา... ...ในสำนักแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงขึ้นไปเทศนาโปรดพุทธมารดาในสรวงสวรรค์... ...จนพระองค์ได้สำเร็จเป็นอริยบุคคลในพรพุทธศาสนาชั้นพระโสดาบัน...และมีบุญญาธิการ... ...มีรัศมีรุ่งเรืองรอง...มีศักดาใหญ่เหนือกว่าเทพทั้งปวงในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้และตามคำพยากรณ์... ...ในอนาคตกาลก็จะไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปตามลำดับจนเข้าสู่แดนนิพพานในที่สุด... ![]() ...ดังนั้นพวกเราทั้งหลายที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์...และได้พบกับพระพุทธศาสนาแล้ว... ...อย่าได้เป็นผู้ประมาทในชีวิตอันน้อยนิดนี้เลย...ควรเร่งกระทำบุญกุศลสะสมไว้... ...ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่...และยังมีกำลังความสามารถที่จะกระทำได้...ทั้งนี้เพื่อประโยชน์... ...เพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่และยาวนานมากกว่าชีวิตในโลกมนุษย์ที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย... ...ที่จะมีเกิดแก่บุคคลผู้กระทำกุศลกรรมนี้ในทุกภพทุก๙ติเบื้องหน้า...และเป็นกำลังหนุนเนื่อง... ...เข้าสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่แดนนิพพานในที่สุด... ![]() ![]() ...คราวหน้าต่อด้วยสวรรค์ชั้นยามาภูมิ... ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Rosarin [ 15 มิ.ย. 2010, 15:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() ...เพิ่งหาหนังสือเจออ่ะค่ะ...อ่านต่อกันดีกว่าค่ะ... ![]() 2.3)สวรรค์ชั้นยามาภูมิ (อายุ 2,000 ปีทิพย์เท่ากับ 144 ล้านปีมนุษย์) ...สวรรค์ชั้นยามาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่อยู่แห่งทวยเทพผู้ปราศจากความลำบาก... ...มีพระสุยามเทวาธิราชเป็นอธิบดี...อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ 42,000 โยชน์... ...(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กิโลเมตร)...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กิโลเมตร)... ...เป็นเทพนครตั้งอยู่บนนภากาศ มีปราสาทวิมาฯเงินและทองมากมาย... ...งามประณีตวิจิตรตระการตายิ่งกว่าในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์...เพราะภพภูมิสวรรค์ที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ... ...จะมีความสุข ความรื่นรมย์ และทิพยสมบัติต่างๆ ย่อมละเอียดปราณีตขึ้นไปเป็นลำดับชั้น... ...ดังนั้นในชั้นนี้จึงมีเฉพาะเทวดาประเภท อากาสัฏฐกเทวดา คือ เทวดาที่บนนภากาศจำพวกเดียวกัน... ![]() ...ผลแห่งกุศลกรรมมีทานและสีลเป็นต้น...ชักนำมาอุบัติเกิดในสรวงสวรรค์ชั้นนี้... ...เทพเจ้าทั้งหลายย่อมมีรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามมีรัศมีออกจากกายรุ่งเรืองนักหนา... ...มีชีวิตอันผาสุก เสวยทิพยสมบัติตามสมควรแก่อัตภาพ... ![]() ![]() ![]() ...บุพกรรม...เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน... ...ให้ทานโดยไม่หวังในผลของทาน โดยความคิดดว่าสืบทอดประเพณีตามบรรพบุรุษ... ...รักษาศีล...มีจิตขวนขวายในธรรม...ทำความดีด้วยใจจริง... |
เจ้าของ: | Rosarin [ 15 มิ.ย. 2010, 16:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() 2.4)สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ (อายุ 4000 ปีทิพย์ เท่ากับ 576 ล้านปีมนุษย์) ...สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพผู้มียินดีแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์... ...ซึ่งมีพระสันดุสิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นยามาภูมิประมาณ... ...42,000โยชน์(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กม.)...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กม.)... ![]() ...เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่กลางนภากาศ ประกอบด้วยวิมานแก้ว วิมานทอง และวิมานเงิน... ...เรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม มีความวิจิตรพิสดาร พร้อมสวนขวัญอุทยานทิพย์... ...เทวดาในชั้นนี้มีจิตใจใฝ่ธรรมเป็นยิ่งนัก เพราะมีจิตยินดีในการสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนา... ...เป็นยิ่งนัก โดยมีสมเด็จพระสันดุสิตเทวาธิราชผู้เป็นเทพยสภาบดี ผู้เป็นพหูสูต เป็นผู้รู้ธรรมมาก... ...เป็นผู้นำในการแสดงธรรมบ้าง เป็นผู้นำในการพาสดับตรับฟังพระธรรมเทศนาบ้าง... ![]() ...ในสวรรค์ชั้นนี้มีความพิเศษคือ จะเป็นที่สถิตอยู่แห่งเทพบุตรโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี... ...จนเต็มเปี่ยมก่อนที่จะลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์เพื่อตรัสรู้สำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ... ...เป็นภพชาติสุดท้าย ดังเช่นในปัจจุบันนี้ก็เป็นที่สถิตของ สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์... ...ผู้จะมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตอันตรกัปที่ 13 แห่งภัทรกัปนี้... ...จึงมักได้รับการอาราธนามาเป็นองค์แสดงธรรมอยู่เป็นนิตย์... ![]() ...1 อันตรกัป เท่ากับ 1 รอบอสงไขยปี เท่ากับ เลขหนึ่งตามด้วยศูนย์ 140 ตัว... ...อสงไขยปีนับอายุจากยุคเริ่มต้นเกิดมีสิ่งมีชีวิตไปจนกระทั่งเกิดการล้างโลกราบเป็นหน้ากลอง... ...ไปจนถึงเริ่มเกิดมีสิ่งมีชีวิตในยุคเริ่มต้นอีกครั้งคือนานจนนับไม่ได้ 1 รอบเจ้าค่ะ... ![]() ![]() ![]() ...เพิ่มเติมบุพกรรม...เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน... ...ให้ทานโดยไม่หวังในผลของทาน โดยความคิดดว่าสืบทอดประเพณีตามบรรพบุรุษ... ...เราต้องหุงหาอาหารให้แก่สมณะหรือพราหมณ์ที่หุงหาอาหารเองไม่ได้...ทรงศีล...ทรงธรรม... ...ชอบฟังพระธรรมเทศนาหรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก ฯลฯ... |
เจ้าของ: | Rosarin [ 16 มิ.ย. 2010, 11:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฏสงสาร |
![]() ![]() 2.5)สวรรค์ชั้นนิมมานรตีภูมิ (อายุ 8000 ปีทิพย์ เท่ากับ 2,304 ล้านปีมนุษย์) ...สวรรค์ชั้นนิมมานรตีภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพผู้มีความเพลิดเพลิน... ...ในกามคุณารมณ์ที่ตนเนรมิตขึ้น...อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นดุสิตประมาณ 42,000โยชน์... ...(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กม.)...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กม.)... ![]() ...เป็นเทพนครที่ตั้งอยู่กลางนภากาศ ประกอบด้วยวิมานเงิน วิมานทอง และวิมานแก้ว... ...มีความสุข และทิพยสมบัติประณีตยิ่งขึ้น...เทพแต่ฃะองค์มีรูปทรงสวยงามน่าดู... ...หากมีความประสงค์ใคร่สวยสุขด้วยกามคุณารมณ์สิ่งใดก็เนรมิตให้มีขึ้นได้ดังใจปรารถนา... ...ดังนั้นในสวรรค์ชั้นนี้จึงไม่มีคู่ครองประจำตนเหมือนกับสวรรค์ในชั้นก่อนหน้านี้... ...เพราะสามารถเนรมิตคู่ครองขึ้นได้ทุกครั้งที่ปรารถนา... ![]() ...ในแผนผัง 31 ภพภูมิให้รายละเอียดว่า สวรรค์ชั้นนิมมานรตีมีท้าวสุนิมมิตเทวราชปกครอง... ...บุพกรรม...เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ ยินดียิ่งในการบริจาคทาน ให้ทานโดยไม่หวังในผลของทาน... ...ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ พยายามรักษาศีลไม่ให้ขาด มีใจสมบูรณ์ด้วยศีล และมีวิริยะอุตสาหะ... ...ในการบริจาคทานเป็นอันมาก ด้วยผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงนั้นจึงอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ได้... ![]() 2.6)สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ (อายุ 16,000 ปีทิพย์ เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์) ...สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ แปลว่า ภูมิที่สถิตอยู่แห่งทวยเทพผู้ได้เสวย... ...กามคุณารมณ์ที่ผู้อื่นซึ่งรู้ความต้องการของตนแล้วเนรมิตให้โดยสมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราช... ...ทรงเป็นอธิบดีอยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์สวรรค์ชั้นนิมมานรตีภูมิ ประมาณ 42,000โยชน์... ...(1โยชน์ประมาณเท่ากับ 16 กม.)...(42,000โยชน์เท่ากับ 672,000 กม.)... ![]() ...โดยมีเทพนครตั้งอยู่บนนภากาศ เป็นแดนสวรรค์ที่เสวยความสุขประณีตละเอียดที่สุด... ...เนื่องจากเป็นยอดแห่งกามาพจรสวรรค์ทั้งหกชั้น โดยเมื่อไหร่มีความต้องการเสวย... ...กามคุณารมณ์ใดๆเกิดขึ้น...ก็จะมีเทวดาบริวารเนรมิตให้ตามความต้องการทุกประการเป็นนิตย์... ...จึงไม่มีคู่ครองประจำเช่นเดียวกับเทวดาชั้นนิมมานรตี... ![]() ...ในแผนผัง 31 ภพภูมิให้รายละเอียดว่า สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ แบ่งเป็น2ฝ่าย... ...ฝ่ายเทพมีท้าวปรนิมมิตเทวราชปกครอง กับ ฝ่ายมารมีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราชปกครอง... ...บุพกรรม...เมื่อเป็นมนุษย์มีจิตบริสุทธิ์ อุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่เป็นอุกฤษฎ์... ...อบรมจิตใจสูงส่งไปด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีลก็ทำอย่างจริงๆ มากไปด้วย... ...ศรัทธาปสาทะอย่างยิ่งยวดและถูกต้อง ในการให้ทานเป็นผู้ไม่หวังในผลแห่งทานแล้วให้ทาน... ...ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยความคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราเลื่อมใส... ...จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส ด้วยผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงยิ่งเท่านั้นจึงอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ได้... ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |