ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=27546 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | autta [ 07 ธ.ค. 2009, 14:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
สวัสดีครับทุกท่าน ผมเป็นสมาชิกใหม่ที่มีความสนใจในด้านธรรมะอยู่เป็นเนืองนิด และกำลังหาคนคุยด้วยที่มีความเข้าใจในหลักธรรมะ ที่มาจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามความคิดของแต่ละบุคคลนะครับ ซึ่งผมเองก็ได้ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมะมาเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง จึงต้องการที่จะเสวงหาความรู้เพิ่มเติม หวังว่าคงจะได้รับความอนุเคราะห์จากทุกท่านที่เข้ามาอ่านเป็นอย่างดีนะครับ ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ในครังนี้เป็นครั้งแรกที่ผมตั้งกระทู้ ผมจึงอยากที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหัวข้อเรื่อง ( ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง) ตามความเข้าใจส่วนตัวแล้ว หากไม่มีขาวเราย่อมไม่รู้จักดำและหากไม่มีดำแล้วเราย่อมไม่รู้จักขาว ไม่มีความดีย่อมไม่รุ็จักความชั่ว ไม่มีความชั่วย่อมไม่รู้จักความดี ไม่มีความมืดย่อมไม่รู้จักแสงสว่าง ไม่มีแสงสว่างย่อมไม่รู้จักความมืด [b]ไม่มีการเิกิดย่อมไม่มีการตาย ไม่มีการตายย่อมไม่มีการเกิด[/b] และผมคิดว่าพระพุทธองค์ทรงต้องการให้เหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลายได้หลุดพ้นจาก การเวียนว่ายตายเกิดนี้ แต่นี้มิใช่เรื่องที่ง่ายๆและก็มิใช่เรื่องที่ยากจนเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ซึ่งผมคิดว่าในชาติหนึ่งๆที่เราได้เกิดมาเป็นคนนับได้ว่าดี และร้าย (ที่ต้องพูดอย่างนี้ก็นั่นต้องขึ้นอยู่กับการกระทำของคนๆนั้น ในชาติๆนั้นด้วย ) ซึ่งเราหากเกิดมาแล้วกระทำแต่ความดี ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ทำร้ายและเบียดเบียนิสิ่งต่างๆ และมุ่งสู่การปฏิบัติการเจริญภาวนาสมาธิเป็นเนื่องนิดก็จะมุ่งสู่หนทางแห่งการหลุดพ้นได้โดยมิยาก แต่จะต้องคงอาศัยจิตเิดิมสะสมบารมีและปฏิบัติเช่นนี้ในทุกชาติที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นคน ก็จะพบการหนทางแห่งการรู้แจ้งและเมื่อใดที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้วก็จะเข้าสู่นิพพาน แต่หากชาติที่แล้วเราสะสมบุญบารมีมามากและเกิดได้เกิดเป็นคนในชาตินี้ยังคงไม่ปฏิบัติภาวนาสมาธิเพื่อสร้างสมบุญกุศลแล้วกลับกระทำกรรมต่างๆ เป็นเนื่องนิด ก็จะทำในจิตตกต่ำและก็จะพบกับการเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ตลอดไป ตราบในที่จิตยังคงไม่เข้าสู่ขบวนการเช่นที่กล่าวมาข้างต้น จิตเดิมของคนหากเปรียบไปแล้วเหมือนกับผ้าขาวผืนหนึ่ง หากเรานำออกมาแขวนไว้ในที่โล่งๆ ทุกวันก็จะกระทบต่อสิ่งต่างๆ เช่นฝุ่นละออง แดด ลม ฝน หากเรามันแขวนไว้โดยไม่เหลียวแลนานๆเข้าผ้าขาวก็กลายเป็นผ้าสีขุ่นๆมัวๆ และในที่สุดก็กลายเป็นผ้าที่ดำจนยากที่จะซักให้ขาวสะอาดดังเดิมได้ จิตก็คงเหมือนกับผ้าผืนนี้เองแหละครับ หากท่านสามารถให้ความรู้และอยากคุยกับผมก็เข้ามาได้ที่ num.pa22@hotmail.com ขอบคุณมากครับ |
เจ้าของ: | chulapinan [ 07 ธ.ค. 2009, 14:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
อ้างคำพูด: ตามความเข้าใจส่วนตัวแล้ว หากไม่มีขาวเราย่อมไม่รู้จักดำและหากไม่มีดำแล้วเราย่อมไม่รู้จักขาว อันนี้ยังไม่ใช่ค่ะ ถ้าไม่มีขาว เรารู้จักดำได้ และถ้าไม่มีดำ เราก็รู้จักสีอื่น ตัวอย่างง่าย แม่สี แดง น้ำเงิน เขียว สามสีนี้รวมกันเป็นขาว อะไรแบบนั้นค่ะ อ้างคำพูด: ไม่มีความดีย่อมไม่รุ็จักความชั่ว ไม่มีความชั่วย่อมไม่รู้จักความดี ไม่มีความมืดย่อมไม่รู้จักแสงสว่าง ไม่มีแสงสว่างย่อมไม่รู้จักความมืด ไม่มีการเิกิดย่อมไม่มีการตาย ไม่มีการตายย่อมไม่มีการเกิด ถูกเลยค่ะ แต่อยากให้แยกกันมากกว่า ดีคือดี ชั่วคือชั่ว ไม่มีทางที่ดีจะกลายเป็นชั่ว ไม่มีทางที่เกิดตพกลายเป็นตาย ไม่มีความสว่างที่กลายเป็นความมืด อะไรประมาณนั้นค่ะ อ้างคำพูด: และผมคิดว่าพระพุทธองค์ทรงต้องการให้เหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลายได้หลุดพ้นจาก การเวียนว่ายตายเกิดนี้ แต่นี้มิใช่เรื่องที่ง่ายๆและก็มิใช่เรื่องที่ยากจนเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ซึ่งผมคิดว่าในชาติหนึ่งๆที่เราได้เกิดมาเป็นคนนับได้ว่าดี และร้าย (ที่ต้องพูดอย่างนี้ก็นั่นต้องขึ้นอยู่กับการกระทำของคนๆนั้น ในชาติๆนั้นด้วย ) ซึ่งเราหากเกิดมาแล้วกระทำแต่ความดี ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ทำร้ายและเบียดเบียนิสิ่งต่างๆ พระพุทธองค์ทรงเมตตามาสอนค่ะ พระองค์ไม่ได้มีหรือไม่มีความต้องการอีกแล้ว ทรงสิ้นแล้วซึ่งกิเลสทุกอย่างค่ะ แม่แต่ 'ความต้องการ' พระพุทธองค์ก็ไม่มีค่ะ พระองค์ทรงมาเผยแพร่ทางพ้นทุกข์ สอนวิธีค่ะ ใครทำได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเพียร เกิดมาเป็นคนน่ะ ดีที่สุดแล้วค่ะ ได้มีโอกาสรู้จักศาสนายิ่งดีใหญ่ คนทำความดีได้ สร้างบุญได้ เข้าึถึงธรรมได้ง่ายกว่าสัตว์หรือแม้แต่เทวดา อ้างคำพูด: และมุ่งสู่การปฏิบัติการเจริญภาวนาสมาธิเป็นเนื่องนิดก็จะมุ่งสู่หนทางแห่ง การหลุดพ้นได้โดยมิยาก แต่จะต้องคงอาศัยจิตเิดิมสะสมบารมีและปฏิบัติเช่นนี้ในทุกชาติที่ยังคงเวียน ว่ายตายเกิดมาเป็นคน ก็จะพบการหนทางแห่งการรู้แจ้งและเมื่อใดที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้วก็ จะเข้าสู่นิพพาน แต่หากชาติที่แล้วเราสะสมบุญบารมีมามากและเกิดได้เกิดเป็นคนในชาตินี้ยังคง ไม่ปฏิบัติภาวนาสมาธิเพื่อสร้างสมบุญกุศลแล้วกลับกระทำกรรมต่างๆ เป็นเนื่องนิด ก็จะทำในจิตตกต่ำและก็จะพบกับการเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ตลอดไป ตราบในที่จิตยังคงไม่เข้าสู่ขบวนการเช่นที่กล่าวมาข้างต้น การจะหลุดพ้นได้เป็นสิ่งที่ยากมาก แค่เจริญภาวนาสมาธิเป็นเนืองนิด ไม่ทำให้หลุดพ้นค่ะ แต่เป็นการทำตามทางสายกลางต่างหากที่จะเป็นทางไปสู่การหลุดพ้น ศีล สมาธิ ปัญญา ค่ะ เมื่อถือศีลโดยบริสุทธิ์ใจ ใจจะเบิกบานทางธรรมค่ะ แล้วพอทำสมาธิ จากนั้นเมื่อบุญถึง ปัญญาธรรมจะมาหาคุณ นั่นแหละค่ะจะทำให้คุณรู้หลักการหลุดพ้น คนก้าวเข้าโสดาบันได้เท่านั้นค่ะ ที่จะมีบุญพอถึงการนำตัวเองไปสู่การหลุดพ้น ต้องทำเองนะคะ ไม่ใช่รอแต่บุญบารมีถึง ทำโดยการสร้างบุญบารมีด้วยการ เพียรปฏิบัติอย่างพอดีๆเท่านั้นค่ะ อ้างคำพูด: จิตเดิมของคนหากเปรียบไปแล้วเหมือนกับผ้าขาวผืนหนึ่ง หากเรานำออกมาแขวนไว้ในที่โล่งๆ ทุกวันก็จะกระทบต่อสิ่งต่างๆ เช่นฝุ่นละออง แดด ลม ฝน หากเรามันแขวนไว้โดยไม่เหลียวแลนานๆเข้าผ้าขาวก็กลายเป็นผ้าสีขุ่นๆมัวๆ และในที่สุดก็กลายเป็นผ้าที่ดำจนยากที่จะซักให้ขาวสะอาดดังเดิมได้ จิตก็คงเหมือนกับผ้าผืนนี้เองแหละครับ จิตเรามัวหมองเพราะหลงไปกับกิเลสค่ะ เทียบฝุ่นเป็นกิเลส จิตที่ใสสะอาดจะไม่มีวันติดฝุ่นกิเลสน่ะค่ะ ถ้าไม่หลงไปกับมัน และเมื่อหลงไปกับมัน ก็จะมีการกระทำเกิดขึ้น บุญบาปเริ่มที่ตรงนั้นค่ะ |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 07 ธ.ค. 2009, 15:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
พระอาจารย์ที่ผมเคารพ (หลวงพ่อปราโมชย์ ปาโมชโช)ท่านสอนว่า ธรรมทั้งปวงนั้นเป็นคู่ เรียนรู้ไปเป็นคู่ๆ ธรรมที่ไม่มีคู่ มีอย่างเดียว คือพระนิพพาน ให้เรียนธรรมที่เป็นคู่ๆนี่แหละ แล้วจะแจ้งใน"ธรรมหนึ่ง" เอง ถ้าไงลองอ่านหนังสือของท่านฟรีๆ "เรียนธรรมคู่ เพื่อรู้ธรรมหนึ่ง" ![]() http://00.wimutti.net/pramote/books/reanthamkoo.pdf |
เจ้าของ: | natdanai [ 11 ธ.ค. 2009, 09:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
อ้างคำพูด: ไม่มีการเิกิดย่อมไม่มีการตาย ไม่มีการตายย่อมไม่มีการเกิด ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | kanalove [ 11 ธ.ค. 2009, 09:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
เข้ามาหาผู้ปฎิบัติธรรมที่นี้เพื่อหวังว่าจะแลกเปลี่ยนความรู้นี่ เป็นเรื่องดีนะคะ แต่ว่า ที่นี้ก็เหมือนสังคมทั่วไปอะคะ ที่มีทั้งผู้ที่หลงทาง กับผู้ที่เห็นความจริงอะคะ ถ้าจะเลือกใครสักคนเป็นผู้แลกเปลี่ยนความรู้ ก็ขอให้เลือกให้ดีๆนะคะ >< และพิจารณาอะคะ ว่าสมควรเชื่อถือหรือไม่ |
เจ้าของ: | bbb [ 11 ธ.ค. 2009, 12:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
natdanai เขียน: อ้างคำพูด: ไม่มีการเิกิดย่อมไม่มีการตาย ไม่มีการตายย่อมไม่มีการเกิด ![]() ![]() ![]() เขาหมายถึงพระนิพพานหรือเปล่าคับ ![]() กิเลสตาย ปัญญาเกิดแน่ครับ อนุโมทนาครับทุกท่าน ![]() |
เจ้าของ: | kanalove [ 11 ธ.ค. 2009, 12:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
อ้างคำพูด: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง) ตามความเข้าใจส่วนตัวแล้ว หากไม่มีขาวเราย่อมไม่รู้จักดำและหากไม่มีดำแล้วเราย่อมไม่รู้จักขาว ไม่มีความดีย่อมไม่รุ็จักความชั่ว ไม่มีความชั่วย่อมไม่รู้จักความดี ไม่มีความมืดย่อมไม่รู้จักแสงสว่าง ไม่มีแสงสว่างย่อมไม่รู้จักความมืด ในความมืดยังคงต้องการแสงสว่าง ในที่นี้หมายถึงแบบไหนกันล่ะ ถ้าความมืดนั้นไม่ต้องการแสงสว่าง ต่อให้จะเอาดวงอาทิตย์มาวางไว้เบื้องหน้า เขาก็จะมองไม่เห็นแสงสว่างอยู่ดี แต่ถ้าความมืดนั้นโหยหาแสงสว่าง แต่เขาหาแสงสว่างเองไม่เจอ ต้องให้คนไปแนะแนวทางเขาก็จึงจะสามารถขึ้นมาได้ โค้ด: [b]ไม่มีการเิกิดย่อมไม่มีการตาย ไม่มีการตายย่อมไม่มีการเกิด[/b] และผมคิดว่าพระพุทธองค์ทรงต้องการให้เหล่ามวลมนุษย์ทั้งหลายได้หลุดพ้นจาก การเวียนว่ายตายเกิดนี้ แต่นี้มิใช่เรื่องที่ง่ายๆและก็มิใช่เรื่องที่ยากจนเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว ซึ่งผมคิดว่าในชาติหนึ่งๆที่เราได้เกิดมาเป็นคนนับได้ว่าดี และร้าย (ที่ต้องพูดอย่างนี้ก็นั่นต้องขึ้นอยู่กับการกระทำของคนๆนั้น ในชาติๆนั้นด้วย ) ซึ่งเราหากเกิดมาแล้วกระทำแต่ความดี ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ทำร้ายและเบียดเบียนิสิ่งต่างๆ และมุ่งสู่การปฏิบัติการเจริญภาวนาสมาธิเป็นเนื่องนิดก็จะมุ่งสู่หนทางแห่งการหลุดพ้นได้โดยมิยาก แต่จะต้องคงอาศัยจิตเิดิมสะสมบารมีและปฏิบัติเช่นนี้ในทุกชาติที่ยังคงเวียนว่ายตายเกิดมาเป็นคน ก็จะพบการหนทางแห่งการรู้แจ้งและเมื่อใดที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้วก็จะเข้าสู่นิพพาน แต่หากชาติที่แล้วเราสะสมบุญบารมีมามากและเกิดได้เกิดเป็นคนในชาตินี้ยังคงไม่ปฏิบัติภาวนาสมาธิเพื่อสร้างสมบุญกุศลแล้วกลับกระทำกรรมต่างๆ เป็นเนื่องนิด ก็จะทำในจิตตกต่ำและก็จะพบกับการเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ตลอดไป ตราบในที่จิตยังคงไม่เข้าสู่ขบวนการเช่นที่กล่าวมาข้างต้น จิตเดิมของคนหากเปรียบไปแล้วเหมือนกับผ้าขาวผืนหนึ่ง หากเรานำออกมาแขวนไว้ในที่โล่งๆ ทุกวันก็จะกระทบต่อสิ่งต่างๆ เช่นฝุ่นละออง แดด ลม ฝน หากเรามันแขวนไว้โดยไม่เหลียวแลนานๆเข้าผ้าขาวก็กลายเป็นผ้าสีขุ่นๆมัวๆ และในที่สุดก็กลายเป็นผ้าที่ดำจนยากที่จะซักให้ขาวสะอาดดังเดิมได้ จิตก็คงเหมือนกับผ้าผืนนี้เองแหละครับ บนนิพพานไม่มีการตาย จึงไม่มีการเกิดอีก |
เจ้าของ: | เช่นนั้น [ 11 ธ.ค. 2009, 13:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
อ้างคำพูด: สวัสดีครับทุกท่าน ผมเป็นสมาชิกใหม่ที่มีความสนใจในด้านธรรมะอยู่เป็นเนืองนิด สวัสดีครับ คุณ autta เช่นกัน อนุโมทนาในการมีใจใฝ่ในธรรม อ้างคำพูด: และ กำลังหาคนคุยด้วยที่มีความเข้าใจในหลักธรรมะ ที่มาจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามความคิดของแต่ละบุคคลนะครับ ในลานนี้เปิดกว้าง ทั้งผู้มาใหม่ และผู้คร่ำหวอด และผู้ก่อหวอด ^U^** อ้างคำพูด: ซึ่งผมเองก็ได้ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมะมาเพียงน้อยนิดเท่านั้น เอง เช่นนั้น ก็เช่นกัน เป็นเพียงแสงไฟจากหัวไม้ขีด และยินดีที่ได้สนทนากัน อ้างคำพูด: จึงต้องการที่จะเสวงหาความรู้เพิ่มเติม หวังว่าคงจะได้รับความอนุเคราะห์จากทุกท่านที่เข้ามาอ่านเป็นอย่างดีนะครับ ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ การมีกัลยาณมิตร เป็นบุพพนิมิตแห่งพรหมจรรย์ ขอบคุณ คุณ autta เช่นกันที่มาร่วมสนทนา อ้างคำพูด: ในครังนี้เป็นครั้งแรกที่ผมตั้งกระทู้ ผมจึงอยากที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหัวข้อเรื่อง ( ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง) เห็นด้วยนะครับ คุณautta จะเป็นผู้ถือตะเกียง หรือเป็นผู้จุดตะเกียง ล่ะครับ เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปครับ |
เจ้าของ: | kanalove [ 11 ธ.ค. 2009, 13:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
อ้างคำพูด: ในลานนี้เปิดกว้าง ทั้งผู้มาใหม่ และผู้คร่ำหวอด และผู้ก่อหวอด ^U^** ถูกใจจังเลย หัวเราะก๊ากก ><~ +1 |
เจ้าของ: | autta [ 22 ธ.ค. 2009, 13:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
ขอขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของทุกท่านมากๆ นะครับ ขอสิ่งดีๆจงมีแด่ทุกท่านครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | มหาราชันย์ [ 22 ธ.ค. 2009, 17:00 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
autta เขียน: จิตเดิมของคนหากเปรียบไปแล้วเหมือนกับผ้าขาวผืนหนึ่ง หากเรานำออกมาแขวนไว้ในที่โล่งๆ ทุกวันก็จะกระทบต่อสิ่งต่างๆ เช่นฝุ่นละออง แดด ลม ฝน หากเรามันแขวนไว้โดยไม่เหลียวแลนานๆเข้าผ้าขาวก็กลายเป็นผ้าสีขุ่นๆมัวๆ และในที่สุดก็กลายเป็นผ้าที่ดำจนยากที่จะซักให้ขาวสะอาดดังเดิมได้ จิตก็คงเหมือนกับผ้าผืนนี้เองแหละครับ หากท่านสามารถให้ความรู้และอยากคุยกับผมก็เข้ามาได้ที่ num.pa22@hotmail.com ขอบคุณมากครับ สวัสดียามเย็นครับคุณautta ในความเป็นจริง จิตเดิมของคนเป็นเหมือนผ้าเปื้อนครับ เปื้อนราคะ เปื้อนโทสะ เปื้อนโมหะ ในกามภพ ในรูปภพ และในอรูปภพ การปฏิบัติธรรมของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เป็นการซักล้างจิตเดิมของคนที่เป็นเหมือนผ้าเปื้อน ให้เป็นผ้าที่สะอาด ปราศจากธุลีมลทิน และคุ้มครองรักษาไม่ให้ธุลีมลทินมาแปดเปื้อนได้อีก จิตเดิมของคนที่เป็นเหมือนผ้าเปื้อน จะกลายเป็นจิตใหม่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ขาวรอบ เป็นจิตที่ตั้งมั่น เป็นจิตที่มีอำนาจ อ่อน ควรแก่การงาน ได้แก่โสดาปัตติมัคคจิต โสดาปัตติผลจิต สกทาคามีมัคคจิต สกทาคามีผลจิต อนาคามีมัคคจิต อนาคามีผลจิต อรหัตตมัคคจิต และอรหัตตผลจิตครับ ราคะเรากล่าวว่าเป็นธุลี มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี ธุลีเป็นชื่อของราคะ บัณฑิตทั้งหลายละธุลีนี้แล้ว ย่อมเจริญอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี โทสะเรากล่าวว่าเป็นธุลี มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี ธุลีเป็นชื่อของโทสะ บัณฑิตทั้งหลายละธุลีนี้แล้ว ย่อมเจริญอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี โมหะเรากล่าวว่าเป็นธุลี มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี ธุลีเป็นชื่อของโมหะ บัณฑิตทั้งหลายละธุลีนี้แล้ว ย่อมเจริญอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี เจริญในธรรมครับ |
เจ้าของ: | yodchaw [ 22 ธ.ค. 2009, 19:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
ความเป็นเดิมแท้ของสรรพสิ่ง หรือจิตเดิมแท้ นั้นไม่ใช่อะไร ไม่มีความเห็นหรือความหมายจะมาว่าเอาได้ หรือที่ท่านเรียกว่าอนัตตานั่นเอง ยิ่งให้ค่าความเห็นความหมายเป็นผ้าขาว เป็นอะไรมันก็เกินความเป็นจริงไปแล้ว ไปทำให้สิ่งที่ไม่มีตัวตนให้มีตัวตน สร้างอัตตาทิฐิขึ้นมา |
เจ้าของ: | yodchaw [ 22 ธ.ค. 2009, 19:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในความมืดมิดยังคงต้องการแสงสว่าง |
ดวงอาทิตย์ ที่สายแสงตลอดเวลา แม้มีเมฆ หมอกมาบัง ดวงอาทิตย์หาได้มี่อุปทานคอยไปขับไล่เมฆ หมอก ออกไปหรือจะพยายาม ที่จะส่องแสงขึ้นกว่าเมฆ หมอกแต่อย่างใด แต่ด้วยไม่สร้างเหตุนี้ ด้วย ความเป็นอนิจจัง ไม่นานเมฆ หมอก ก็จางหายไปเอง ความสว่างนี้ก็คงดังเดิมตลอดเป็นอย่างเนืองนิจอยู่เองแล้ว |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |