วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 23:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2009, 15:11
โพสต์: 240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาระธรรมบรรยาย พระปสันโน ภิกขุ
(ศิษย์ชาวแคนาดาของ พระอาจารย์หลวงพ่อชา สุภัทโท)

เรื่อง“ จิตใส ใจสุข เมื่อมีทุกข์ ”

วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น ๔ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ


นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นะมัสสามิ

ต่อจากนี้ไปขอให้ญาติโยมตั้งใจฟังธรรมะ กิจอย่างหนึ่งที่สำคัญที่ควรทำก่อนที่จะฟังธรรมะ
คือ ปิดโทรศัพท์ไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ตัวเอง และให้ผู้อื่นที่ใกล้เคียงด้วย
อาตมาได้รับการนิมนต์ให้มาแสดงธรรมเทศนาหัวข้อ “จิตใส ใจสุขเมื่อมีทุกข์”
เป็นหัวข้อที่ดี ในวันนี้อาตมาเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองไทย มาจากอเมริกา
ก็มีการประชุมกิจกรรมบางอย่างที่ทำไว้แล้วเช่น มีการประชุมเจ้าอาวาสของสาขาต่างประเทศ
สายลูกศิษย์หลวงพ่อชา คือเรารวมกันเป็นครั้งคราว มาพบกันประชุมกัน เห็นหน้ากัน
ก็เป็นประโยชน์อย่างมาก หลังประชุมเสร็จ ก็ได้ชวนโยมแม่ของอาตมาเองมาเมืองไทย
โยมแม่ก็เคยมาเป็นครั้งที่ ๓ แต่ความประสงค์ของอาตมาคือ ปกติอาตมามาเมืองไทย
จะรีบกลับก่อนปีใหม่ เพราะว่าการเข้ากรรมฐานที่วัดอภัยคีรี จะเริ่มตอนปีใหม่
เราจะเข้ากรรมฐาน๓เดือนเหมือนเข้าพรรษา คือช่วงพรรษาตามพระวินัย
เป็นช่วงตามเวลาฤดูกาลแต่หน้าร้อนและหน้าแล้งที่สหรัฐอเมริกา
เป็นเวลาที่ฝนไม่ตก มักเป็นเวลาที่คนที่โน้นจะพักร้อนกันแล้วอยากมาวัด
อีกอย่างฝนไม่ตกเหมาะกับการก่อสร้าง หรือซ่อมแซมไม่มีงานทำในช่วงเวลานั้น
แต่เราก็เข้าพรรษาตามพระวินัย เราก็มีเวลาที่ตรงกับกรรมฐานเดือนมกราคม
ก็ได้มีเวลาส่วนตัว แต่ก็ไม่ค่อยเต็มที่ ยิ่งโดยเฉพาะในสายวัดป่า สายกรรมฐาน
พรรษาเป็นอะไรที่ต้องมุ่งสมถะ มุ่งในการปฏิบัติเลยช่วงหน้าหนาวตามฤดูกาล
เป็นเวลาฝนตก ฝนตกเป็นส่วนใหญ่นานๆทีมีหิมะลงเลย ช่วงเวลานั้น
มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ๓ เดือนนี้เราจะปิดวัดไม่รับแขกจากด้านนอก
ไม่มีกิจนิมนต์ข้างนอกเราก็จะอยู่เพื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง แต่ปกติต้องรีบกลับ
ให้ทันปีใหม่ แต่ปีนี้มีประชุมได้มาพร้อมกัน ซึ่งพวกเราก็ได้ช่วยกันดูแล
วัดอภัยคีรีตั้งแต่ริเริ่มการก่อตั้ง เพราะเราต้องอยู่ในเมืองไทย
แล้วต้องประชุมเจ้าอาวาสอยู่ถึงงานของหลวงพ่อชา
วันที่ ๑๒-๑๖ มกราคม เป็นงานประจำปีที่ลูกศิษย์หลวงพ่อชา
จะรวมกันที่วัดหนองป่าพง เราจะได้แสดงความกตัญญูต่อหลวงพ่อชา
ที่ท่านได้สั่งสอน อบรมพวกเราลูกศิษย์ของท่าน ในเมื่อมีงานอย่างนี้
อาตมาก็คิดวิธีถ้าสามารถเอาแม่มาด้วย มาได้เห็น ก็จะเป็นภาพนิมิตที่ดี
เพราะว่าเวลามีงานที่วัดหนองป่าพง พระรวมกันก็ประมาณ ๑,๐๐๐ รูป
ญาติโยมหลายพันคนเป็นสิ่งที่หาได้ยาก โดยความตั้งใจทำวัตร
สวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรมะ แสดงความเคารพ ก็เป็นภาพที่น่าประทับใจ
อยู่กันอย่างสงบเพื่อแสดงความเคารพต่อครูบาอาจารย์ เป็นสิ่งที่เรียกว่า
หาได้ยากที่จะได้เห็นในโลกนี้ อยากให้แม่ได้เห็นเพราะแม่อายุมากแล้ว
อายุย่างเข้า ๘๗ ก็ยังแข็งแรงแต่เมื่อวานแม่ก็ยังอุตส่าห์ออกไปตีกอล์ฟ (หัวเราะ)
ออกกำลังกาย ที่มานี่ส่วนหนึ่งก็เพื่อประโยชน์ผู้อื่น
และคิดว่าเป็นประโยชน์ของตนเองด้วย ลักษณะที่ว่าเรามาด้วยเจตนาให้สิ่งที่ดี
ให้แม่โดยเฉพาะในฐานะที่อาตมาเป็นนักบวช ก็ไม่มีอะไร จีวร บาตร ย่าม
ของทั้งหลายไม่มีอะไรที่จะให้แม่เป็นวัตถุสิ่งของ แต่ว่าการที่ให้มารดา
ได้เห็นตัวอย่างของชีวิตที่มีคุณธรรม เป็นสิ่งที่สมควรในการแสดงความกตัญญู
และเราชาวพุทธทั้งหลาย เราก็มีโอกาสเหมือนๆ กัน คือเรามีชีวิตกันอยู่
เราก็มีพ่อแม่พี่น้องทุกคน เรามีญาติทุกคน อย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่ญาติที่แท้แต่ก็เป็นญาติธรรม ญาติทางจิตใจ สิ่งที่เราควรจะให้ซึ่งกันและกัน
คือคุณธรรม อย่างในเมืองไทย ก็มีค่านิยมในการให้ในทางบริจาค
จะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ในสังคมไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงาม แต่แง่หนึ่งในการให้
เราก็ควรจะนึกถึงการให้ในสิ่งที่เป็นคุณธรรม เราช่วยเหลือ ให้การเอื้อเฟื้อ
หรือให้การแนะนำ หรือให้โอกาสที่จะสัมผัสสิ่งที่ดีงาม ก็เป็นการให้
จะเรียกว่า ธรรมทานก็ว่าได้ บางครั้งเราก็คิดว่าธรรมทาน
เราให้หนังสือธรรมะก็จบ แต่มันหลากหลายมากกว่านั้น
การให้ธรรมะเป็นทานมีวิธีการ มีโอกาสเยอะแยะมากมายที่น่าคิด
ทำอย่างไรถึงจะอยู่อย่างให้ธรรมทานซึ่งกันและกัน คนทั่วๆไปคิดว่า
ต้องเป็นธรรมเทศนา หรือเป็นธรรมะที่อยู่ในคัมภีร์
แท้จริงอย่างที่หลวงพ่อชาท่านได้ตีความ ธรรมะคือความถูกต้อง
เวลาเราอยู่ด้วยความถูกต้องเราก็อยู่ด้วยธรรมะ เวลาเราให้ในสิ่งที่ถูกต้อง
ก็เป็นการให้ธรรมะ เพราะฉะนั้นเราก็มีโอกาสที่จะอาศัยธรรมทาน
เพราะเรากลับมาอาศัยหลักว่าอันไหนถูกต้องจึงจะได้ธรรมะ
เวลาเราอาศัยสิ่งที่ถูกต้อง มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเกิดความผ่องใส
อันนี้เป็นลักษณะ คือลักษณะของธรรมชาติเวลาเราทำอะไรด้วยธรรมะเป็นพื้นฐาน
มีโทษน้อย มีคุณมาก มีประโยชน์ แล้วมีความสดใส แทนที่จะมีความขุ่นมัว
เป็นลักษณะธรรมชาติ แต่เรารักษาความถูกต้องไว้ ก็เป็นวิธีการที่นำจิตใจที่สดใส
หรือใสสะอาดเข้าสู่ชีวิตของตน ในที่ว่าจิตใส ใจสุข ก็เป็นลักษณะธรรมชาติ
ที่เราอยู่อาศัยธรรมะ หรือเรานำความถูกต้องมาอยู่ในชีวิตของเรา

เบื้องต้นพูดเรื่องการให้ ลักษณะการให้ในอีกแง่หนึ่ง คือการอยู่ด้วยศีลเป็นพื้นฐาน
คือลักษณะให้ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นการให้ที่ประเสริฐ เพราะอะไร
เพราะว่าผู้ใดที่อยู่ด้วยศีลเป็นพื้นฐาน มีศีลที่บริสุทธ์ มีการกระทำที่อยู่ในศีล ๕
หรือการกระทำที่ไม่สร้างความเดือนร้อนให้ใคร ไม่ทำให้คนรู้สึกว่ากลัว
หรือมีความกังวล สงสัยเวลาเราเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตของเรา อาศัยศีลที่ปกติ
ในการกระทำของเรา เป็นการสร้างความไว้ใจ ความมั่นใจต่อผู้อื่น
เพราะเราไม่ทำให้เขากลัว เขาระแวงสงสัย เป็นการให้เลิศประเสริฐ
เพราะว่าในปกติมนุษย์เราอยู่ด้วยกัน มักมีความกลัว ความกังวล
มีความรู้สึกว่าจะไว้ใจคนนี้ได้ไหม มีอะไรที่เขาจะเอาเปรียบเราไหม
จะสร้างความเดือดร้อนให้เราหรือเปล่า ก็เป็นสิ่งที่ไม่คิดไม่นึก
แต่ก็เป็นความรู้สึกที่สงสัย เวลาเราอยู่ด้วยกัน เขาไม่มีพื้นฐานของกระแสจิตเรา
ก็มีความกลัว แต่ว่าเวลาที่เราเจอคนที่มีศีล ก็จะทำให้เรามั่นใจ ไม่กลัว
ซึ่งเป็นการให้ที่มีอานิสงส์มาก มีความสำคัญมาก บางคนมีเงินมีทองมากมายแค่ไหน
แต่ถ้าหากต้องอยู่ด้วยความกลัว ความระแวง ก็ไม่มีความสุขสบาย
แต่หากอยู่ด้วยความรู้สึกไม่กลัว ไม่กังวลเรื่องอะไร ไปไหนก็รู้สึกสบาย
ไปไหนเจอใครเหมือนเป็นมิตรซึ่งกันและกัน เรียกว่าเป็นสมบัติที่เลิศประเสริฐมาก

การอยู่ด้วยธรรมะเป็นพื้นฐานความถูกต้อง วิธีที่ทำให้จิตใจมีความสดใส
มีความสุขและการให้กับผู้อื่นจะเป็นญาติของเราก็ดีจะเป็นมิตรก็ดี
เราให้ความรู้สึกไม่กังวลก็เป็นเรื่องที่น่าคิด อย่างครั้งหนึ่งมีโยมคนหนึ่งที่สหรัฐอเมริกา
เขาเล่าให้ฟังคือเขาทำงานขายที่ดิน เป็นนายหน้าขายที่ดิน
เขาอยู่แถวซานฟรานซิสโก ซึ่งก่อนนี้ซานฟรานที่ดินแพง
คนต้องการมากราคาก็เลยสูง เขาเองฐานะก็ปานกลาง
อายุประมาณ ๓๐ กลางๆ เขาได้หย่ากับสามี มีลูกคนหนึ่ง ลูกชาย ๑๐ ขวบ
เขาเลี้ยงลูกเอง เขามีจังหวะที่ได้ที่ มีคนหนึ่งจะขายที่บ้านของเขา
เขาได้รับซื้อและจัดการ พอดีคนนี้เขามีความจำเป็นที่จะขายอยู่แล้ว
เขาก็ขายถูกซึ่งถูกกว่าปกติ เพราะเขาร้อนใจที่จะขาย
พอดีเขากำลังกรอกแบบฟอร์มให้กับบริษัท เขาคิดดูราคาทั่วๆไปที่ขายตามท้องตลาด
เพราะบ้านหลังนี้จะขายแพงกว่าประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ เหรียญ เกือบ ๑๐ ล้านบาท
เขาก็เกิดกิเลสเพราะหากเขาลงในแบบฟอร์มว่าขายได้ราคานี้
เขาสามารถที่จะเก็บไว้ ๓๐๐,๐๐๐ เหรียญโดยที่บริษัทไม่รับรู้
ทำให้เขาเกิดความร้อนใจขึ้นมา คืนนั้นเขานอนไม่ได้ เขาก็ตัดสินใจเอาไม่ได้
เขาบอกลูกให้มาดูในบทเรียนเพื่อรับทราบ เพราะว่าแม่เคยทำประจำ
เขาเคยฝึกเด็กทำการบ้านประจำ เวลาคิดตัวเลข เขาชี้แจงให้เห็นว่า
นี่แหละราคาบ้านปกติจะราคาประมาณนี้ ถ้าแม่ลงอย่างนี้เราจะได้ ๓๐๐,๐๐๐ เหรียญ
โดยไม่มีใครรู้ บริษัทจะขายแบบนั้นตามท้องตลาด แล้วเขาก็ถามลูกว่าสมควรที่จะทำไหม
ลูกก็อึดอัดเพราะว่าถ้าเขาได้ก็จะมีบ้านหลังใหญ่ๆแทนอพาร์ทเมนท์จะได้มีสิ่งของใช้
แต่แม่รีบบอกทั้งที่สามารถทำได้ เราจะไม่ทำ เพราะอะไร เพราะหากเราโกหกอย่างนี้
ถึงคนอื่นไม่รู้ เราก็จะรู้ตลอดชาตินี้ แล้วจะเป็นมลทินในจิตใจของเรา
ไปที่ไหนก็ต้องกังวลว่าเขาจะรู้ไหม สิ่งที่เราปิดบังเราสามารถที่จะปกปิดได้ตลอดไหม
เขาก็สอนลูก การที่เป็นผู้ที่ซื่อตรง สุจริตคือบ้านแค่ไหน อยู่ที่ไหนก็พออยู่ได้คือเราอยู่ได้
ไม่เดือดร้อน คนอื่นที่อยู่ละแวกนี้เขาก็เดือดร้อนกว่าเราเยอะ คนที่ร่ำรวยก็เยอะแยะ
แต่ว่าบางทีดูข้างนอกเขาก็มีข้าวมีของ ไม่รู้ว่าจิตใจของเขาเป็นอย่างไร
ถึงเขามีความสะดวกสบาย ถ้าหากจิตใจไม่ได้แจ่มใส สดใส ใสสะอาด
ก็อยู่อย่างมีสุขสบายยาก มีความทุกข์แทรกมาเรื่อย ความอยากของเขา
และประสบการณ์ของเขาให้เป็นบทเรียน ให้ลูก อาตมาคิดว่าอันนี้จะเป็นของขวัญ
ของแม่ให้ลูกที่ให้ผลตลอดชาติ ดีกว่า ๓๐๐,๐๐๐ เหรียญ ๆ เดี๋ยวก็หมด
แต่ส่วนที่ให้เป็นของขวัญและคุณธรรม และเหตุผลที่ให้ความมีคุณธรรม
อยู่อย่างไม่กลัว ไม่กังวล ไม่เศร้าหมอง เป็นสิ่งที่มีอานิสงส์ ตอนนั้นอายุ ๑๐ ขวบ
คุณค่าของผลนี้ก็จะให้อยู่ตลอด เขาเป็นหนุ่มก็ดี มีครอบครัวก็ดีเขาจะเป็นตัวอย่าง
ที่มีคุณค่าจริงๆ เป็นผู้อยู่โดยไม่กลัว ผู้ที่อาศัยจิตใจที่ดี สดใส สะอาด
เป็นสิ่งที่เกินสิ่งที่เราจะนับคุณค่ามากน้อยแค่ไหน

อีกแง่หนึ่งเราดูเครื่องวัดเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างคนไทยเรารู้อยู่ว่าบุญกับบาป
บุญเป็นสิ่งที่ดี บาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งเป็นอันหรือเป็นก้อนสักอย่าง
มันเป็นเรื่องคุณภาพของจิตใจ เหมือนหัวข้อจิตใสเป็นบุญ จิตขุ่นเป็นบาป
คิดแค่นี้แหละ จิตใจใสสะอาดเป็นบุญ ใจขุ่นมันขุ่นมันมัว อันนี้เป็นบาป แค่นี้แหละ
ถ้าเราจะรักษาจิตใจที่สดใส เราเป็นผู้รักษาบุญ เมื่อเราปล่อยให้จิตใจขุ่นมัว
ทับถมด้วยอารมณ์ของความไม่พอใจ ด้วยความอิจฉา ความรู้สึกเกลียดชัง กังวล
อย่างนี้ทำให้เราเอาบาปมาทับถมจิตใจของตนเอง ในการทำบุญไม่ใช่ไปวัด
อาทิตย์ละครั้ง หรือเฉพาะวันพระไปทำบุญ เป็นเรื่องที่เราต้องทำทุกๆวัน
เราต้องเป็นผู้ทำบุญ คือเราทำจิตใจให้สดใส แล้วก็รู้จักรักษาบุญของตนเองด้วย
บางทีถ้าทำบุญก็ไม่อยาก แต่เรารักษาบุญไว้ การทำจิตใจให้ระลึกถึงคุณงามความดี
ความตั้งใจ บางทีตั้งใจที่จะปฏิบัติ ที่จริงหาคนตั้งใจจะปฏิบัติไม่ยากหรอก
แต่หาคนที่ตั้งใจแล้วได้ไปปฏิบัติอันนี้ยากกว่า มนุษย์เราเก่งกับความตั้งใจ
จะเป็นฆราวาสก็ดีเป็นบรรพชิตก็ดี เราก็ชอบตั้งใจกันอยู่เรื่อย
แต่จะรักษาความตั้งใจทำอย่างสม่ำเสมออันนี้ยากหน่อย แต่ว่าสิ่งที่ต้องทำ
เวลาเราตั้งใจทำความดี ตั้งใจแล้วก็พยายามที่จะรักษาความดีนั้นไว้
ตั้งใจทำบุญรักษาบุญนั้นไว้ รักษาจิตใจที่ใสสะอาด รักษาไว้หรือเวลาเราตั้งใจปฏิบัติ
คือเราตั้งใจพยายามให้สม่ำเสมอ กับการปฏิบัติ ผลของการปฏิบัติไม่ต้องพูดถึง
เพราะบางครั้งเวลาปฏิบัติจิตใจเกิดความสงบได้ บางทีก็เกิดความวุ่นวายได้
อันนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่ สำคัญที่ว่าเราทำ ลงมือเหมือนกับที่หลวงพ่อชาท่านพูด
คือขยันก็ต้องปฏิบัติ ขี้เกียจก็ต้องปฏิบัติ คือบางครั้งเราขยันเราก็ปฏิบัติ
บางครั้งเราขี้เกียจเราก็ได้ปฏิบัติ อันนี้ก็ดีนะ เรารู้จักฝืน เวลาเราฝืนก็เห็นว่ามีผล
มีอานิสงส์ แต่เราก็ได้รู้จักรักษาการปฏิบัติไว้ ทำคุณงามความดีอย่างไร
มีความตั้งใจแล้ว เราก็พยายามรักษาไว้ให้สม่ำเสมอ ในการกระทำ
เรามีประสบการณ์ในการฝึกหัดตัวเอง จิตใจก็จะมีความสม่ำเสมอมาก
โลกธรรมเกิดขึ้นแต่ก็ไม่หวั่นไหว มีความสุข อยู่ได้ ปฏิบัติได้มีความสบายได้
แต่ไม่ใช่มีความสุขฝ่ายเดียวความทุกข์ก็มีด้วย เลยเป็นเหตุเมื่อมีทุกข์
เราก็รู้จักรักษาจิตใส ใจสุข นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราค่อยฝึกค่อยหัด
เราก็ได้ทำหน้าที่ของเรา เขานินทาเรา เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา
เราก็พยายามกลับมาดูหลักของความถูกต้อง สิ่งที่เราทำก็ดี พูดก็ดี
เป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม เป็นสิ่งที่ลงรอยกับธรรมะ เราต้องเอาธรรมะเป็นเกณฑ์
ไม่ใช่เอาโลกภายนอกเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่เราไม่ฟังโลกภายนอก
แต่ที่เรารักษาเครื่องวัดของเรา เครื่องวัดอยู่ที่ธรรมะ ความถูกต้อง
เวลาเราเอาธรรมะความถูกต้องเป็นเครื่องวัด ที่เป็นพื้นฐานชีวิตจิตใจอย่างนี้
ไปไหนทำอะไร มันก็มีความมั่นคง มีความสุข แต่เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการฝึกหัด
อาศัยการกระทำ เป็นสิ่งที่เราต้องลงมือฝึกลงมือกระทำ
ทำแล้วเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นปัจตังเกิดขึ้นเฉพาะตน
เป็นลักษณะของธรรมของพระพุทธเจ้า คือเรารู้เฉพาะตน เวลาเรารู้เฉพาะตน
มันเป็นสิ่งที่เราเองจะมีความมั่นใจมากขึ้น ถ้าคนอื่นเขาบอก
เขากล่าวหรือยืนยันรับรองเท่าไหร่ บางทีเราสงสัยหรือเราเชื่อ
อาจจะเป็นการเชื่อแบบงมงายอาศัยผู้อื่น แต่เวลาเรามีประสบการณ์
การทำตามผลเกิดขึ้นในชีวิตของตนเอง เราก็รู้ รู้โดยตนเอง เราก็จะมีความมั่นใจ
คนอื่นเขาแย่งไม่ได้ เขาเอาออกจากเราไม่ได้ เป็นของเรา เวลาเราเกิดอะไร
ในจิตใจที่สดใสใสสะอาดนั้น ก็เป็นของเรา ด้วยประสบการณ์หรือด้วยธรรมชาติ
ที่เรารู้เข้าใจในตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความมั่นใจ เรียกว่ามีความไม่กลัว
ไม่กังวล ซึ่งเป็นคุณธรรมในจิตใจที่เราทุกคนควรที่จะให้ความสนใจ
เพราะการอยู่ด้วยความไม่กลัว ไม่กังวลและทำให้คนอื่นอยู่ด้วยความไม่กลัวและกังวล
เช่น เราอยู่ด้วยศีล นั่นก็เป็นการให้ ดั่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า เป็นสิ่งที่เลิศประเสริฐ

อาตมาก็ให้ธรรมะเป็นเวลาพอสมควรขอยุติลงเพียงเท่านี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2009, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 117 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร