วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 11:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 13:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเช้าวันที่ 4 ม.ค. 2553 นี้เอง
ได้ฟังเรื่องเล่าจากพี่สาว เขาไปเที่ยวโรงเกลือที่สระแก้ว (เราก็ไปแต่ไปรถคนละคัน)
เค้าบอกว่า ตอนไปเห็นรถชนเต็มสองตาเลย
ขากลับ...
เค้าเห็นสุนัขตกจากหลังรถกระบะคันหนึ่ง
แล้วมันถูกผูกเชือกเอาไว้ที่คอ ตกจากรถแล้วก็ต้องวิ่งตามรถ(ซึ่งวิ่งเร็วมาก)
แต่ขาสุนัขมันก็วิ่งไม่ทันอยู่แล้ว ต่อให้เร็วขนาดไหน
มันก็เลยถูกลากเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร
จนเชือกมันขาด แต่โชคดีที่ไม่ตาย แต่คงสาหัส...
มันเลยนอนอยู่กลางถนนเลย และโชคดีอีกที่ไม่มีรถไปเหยียบ

ถ้าอย่างนี้เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่รู้สึกเวทนาสงสาร
เราสามารถแผ่เมตตาจิต หรืออุทิศส่วนกุศลไปได้หรือไม่?

เจริญในธรรมครับทุกท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้สิครับ
ทำจิตให้ตั้งมั่นในกุศล เช่นเมตตา
เมื่อตั้งมั่นในเมตตาดีแล้วก็สร้างความปารถนาไปยังผู้รับ
รับได้ไม่ไดเรื่องของเขา เพราะเราไม่รู้

เหมือนเราเป้นเสาส่งสัญญานทีวีน่ะครับ
บ้านไหนมีเครื่องรับ ก้รับได้
บ้านไหนไม่สามารถจะรับได้ ก็รับไม่ได้
เรียกว่าเราเพียรที่เหตุ คือส่งเมตตา

ถ้าสุนัขตัวนั้นอยู่ในฐานะจะรับได้ก็ได้รับเอง
ถ้าพระพุทธเจ้าผู้มีญานหยั่งรู้ ยังอยู่
ถ้าเราทูลถาม ถ้าพระองค์ทรงตอบ เราก็จะได้ทราบว่าเขารับได้ไหม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 14:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:


สาธุ แผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลให้ ควรแล้วครับ ดีที่สุด

เราไม่รู้ว่าจะถึงหรือไม่
แต่เราเรารู้ว่า เราได้ทำในสิ่งที่ควรทำ


ถึงยังไง ๆ พุทธภาษิตที่ว่า

ทายกาปิ อนิปผลา ผู้ให้ย่อมไม่ไร้ผล ยังคงยืนยันได้

ปัตติทานมัย บุญสำเร็จจากการให้ทาน ก็ยังคงยืนยันได้


โดยทั่วไปแล้ว การอุทิศบุญจะถึงนั้น
ตามหลัก ๑.ต้องมีบุญ ๒.ผู้ให้อุทิศให้ ๓.ผู้รับ ได้รับรู้และอนุโมทนา แบบนี้เต็ม ๆ
ถึงผู้รับ ไม่อนุโมทนา ผู้ให้ก็ได้บุญ
ถ้าผู้ส่งทำบุญใหญ่ มีเครื่องส่งคือจิตแรง ผู้รับ อาจจะได้รับ ครับ


ตอบด่วน ทำงานไปด้วย

ว่าง จะค้นมาตอบให้อย่างละเอียดครับ ถ้าต้องการ



วิโรจนมุนินฺโท



มัตตาสุขะปะริจจาคา ปัสเส เจ วิปุลัง สุขัง

จะเช มัตตาสุขัง ธีโร สัมปัสสัง วิปุลัง สุขัง

ถ้าบุคคลพึงเห็นสุขอันไพบูลย์ เพราะสละสุข พอประมาณเสีย

ผู้มีปัญญา เมื่อเห็นสุขอันไพบูลย์ ก็พึงสละสุขพอประมาณเสีย

จึงจะได้พบสุขอันไพบูลย์


:b53: :b53: :b53:


แก้ไขล่าสุดโดย ไวโรจนมุเนนทระ เมื่อ 04 ม.ค. 2010, 15:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุการณ์แบบนี้ชวนให้สังเวช เพื่อความไม่ประมาทในชีวิตมากกว่า เหตุปัจจัยมันไม่พร้อมให้เราอุทิศอะไร ความปราถนาดีมันดีอยู่แล้ว ใช้ตรงเหตุการณ์ สถานการณ์ย่อมสำเร็จประโยชน์เป็นที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองดูคุณดังตฤนอธิบายนะครับ
จาก http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003600.htm


อ้างคำพูด:
การแผ่เมตตา
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าการแผ่เมตตานั้น มีจุดประสงค์เพื่อละพยาบาท เช่นที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพระราหุลในราหุโลวาทสูตรมีความว่า…

ดูกรราหุล เธอจงเจริญเมตตาภาวนาเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ จักละพยาบาทได้

และ เมื่อเข้าใจแล้วว่าเราต้องการละพยาบาท ก็ต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดต่อไปอีกชั้นหนึ่ง ว่า "ความโกรธ" กับ "ความพยาบาท" นั้นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร สำหรับความโกรธนั้นคือตัวโกธะ ซึ่งอาจหมายถึงความขุ่นเคืองที่เกิดจากผัสสะกระทบใดๆ อาการทางจิตโดยทั่วไปจะเหมือนไฟไหม้ฟาง คือวูบหนึ่ง หรือระยะหนึ่งแล้วดับหายไป ส่วนความพยาบาทนั้นจะหมายเอาความแค้นใจ ความเจ็บใจ ความคิดร้าย ซึ่งเป็นตรงข้ามกับเมตตาโดยตรง พฤติของจิตจะเป็นไปในทางผูกใจคิดแก้แค้นเอาคืน หรือแม้ไม่ถึงขั้นลงมือเอาคืน ก็มีอาการขัดเคือง ขุ่นข้องค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น

เมื่อเข้าใจตรงนี้ ก็จะเห็นว่าตัวความโกรธอาจพัฒนาเป็นความพยาบาท หรืออาจจะหายไปเสียเฉยๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายต่อหลายประการ ดังนั้นเราเอาจแผ่เมตตาเพื่อระงับความโกรธ ตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อมิให้ลุกลามเป็นพยาบาทก็ได้ หรืออาจแผ่เมตตาเพื่อทำความพยาบาทที่ครอบงำจิตอยู่แล้วให้สูญไปก็ดี ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าการแผ่เมตตามิใช่การทำเชื้อแห่งความโกรธให้ดับลงสนิท เพราะนั่นเป็นงานวิปัสสนา เราแผ่เมตตาเป็นงานสมถะ เพื่อทำจิตให้มีคุณภาพพอจะต่อยอดเป็นวิปัสสนาในภายหลัง

และเมื่อทำ ความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้วว่าจุดประสงค์ของการแผ่เมตตาเป็นไปเพื่อละพยาบาท อันเป็นของครอบงำจิตระยะยาว ก็ต้องเห็นซึ้งยิ่งขึ้นไป ว่าการแผ่เมตตาเป็นเรื่องของการ "เปลี่ยนนิสัย" คือต้อง "ละพยาบาท" ให้ขาดจากจิต แม้โกรธขึ้นก็เหมือนจุดไฟดวงน้อย เรามีน้ำกลุ่มใหญ่ไว้สาดให้ดับพร้อมอยู่แล้ว

เมื่อแผ่เมตตาเป็น จะเกิดกระแสจิตอีกแบบหนึ่งที่ทำให้รู้ว่ากรรมฐานข้อนี้ต่างกับข้ออื่น คือถึงจุดหนึ่งแล้วเหมือนจิตฉายรัศมีเมตตาออกมาเองโดยไม่ต้องกำหนด เนื่องจากเมตตาเป็นธรรมชาติของจิตที่เปล่งประกายได้โดยปราศจากเจตจำนงบังคับ ตรงนั้นจะเห็นอานิสงส์ของการแผ่เมตตาตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในเมตตาสูตร

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการคือ ย่อมหลับเป็นสุข, ย่อมตื่นเป็นสุข, ย่อมไม่ฝันลามก, ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ทั้งหลาย, ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย, เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา, ไฟ ยาพิษ หรือศาตราย่อมไม่กล้ำกรายได้, จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว, สีหน้าย่อมผ่องใส, เป็นผู้ไม่หลงใหลทำกาละ, เมื่อไม่แทงตลอดคุณอันยิ่ง ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก

สำหรับ งานภาวนาในสติปัฏฐาน 4 คงหวังผลเด่นประการหนึ่งจากบรรดาอานิสงส์ทั้ง 11 ข้อข้างต้นนี้ นั่นคือ "จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว" ซึ่งสำหรับอานิสงส์ดังกล่าวย่อมรู้ได้โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เสียก่อน ใช้เหตุผลตามจริงที่ว่าเมื่อจิตสงบ อ่อนโยน มีความสุข ปราศจากการคุมแค้นอาฆาตใคร ไม่คิดจองเวรใคร ก็ย่อมปราศจากคลื่นความฟุ้งในหัว และพร้อมพอใจะเข้าสู่ความตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่ต้องการได้ง่ายๆ แน่นอน

การเจริญเมตตาภาวนานั้นแบ่งออกได้เป็นสองลักษณะใหญ่ๆตามวิธี ดำเนินจิต แบบแรกคือใช้จิตที่ยังคิดนึกส่งความปรารถนาดี ปรารถนาให้บุคคล สัตว์ หรือสิ่งของอันเป็นเป้าหมายมีความสุข แบบที่สองคือกำหนดจิตอันตั้งมั่นแล้ว แผ่กระแสเมตตาออกตามรัศมีจิต เริ่มต้นอาจจะเพียงในระยะสั้นเพียงสองสามเมตร ต่อมาเมื่อล็อกไว้ได้นาน ก็อาศัยกำลังอันคงตัวนั้น ยืดขยายระยะ หรือตั้งขอบเขตออกไปไกลๆ กระทั่งถึงความไม่มีประมาณ ทิศเดียวบ้าง หลายทิศพร้อมกันบ้าง ตลอดจนครอบโลกโดยปราศจากทิศคั่นแบ่งบ้าง เป็นผลพิสดารในภายในอันรู้ได้ด้วยตนเองเมื่อสามารถทำสำเร็จ

เมื่อ ทราบว่าการเจริญเมตตาภาวนาแบ่งออกเป็นสองวิถีทางอย่างนี้ ก็พึงทราบว่าการเจริญเมตตาไม่ได้ขึ้นอยู่กับจริตนิสัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครมีปัจจัยใดๆหนุนหลังหรือถ่วงรั้งเอาไว้ แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนสมควรฝึก สมควรทำให้เกิดขึ้นในตน เพื่อขจัดวัชพืชออกไปจากพื้นที่เพาะพันธุ์มรรคผลในจิตเรา

การฝึกเจริญเมตตาโดยอาศัยจิตสามัญ
ก่อน อื่นต้องสำรวจด้วยความตระหนักแบบไม่เข้าข้างตนเอง ว่าเป็นคนมักโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟง่าย กับผูกโกรธไว้เผาเราเผาเขาได้นานหรือเปล่า หากรู้ตามจริงว่าเป็นบุคคลเคราะห์ร้าย คือจัดอยู่ในพวกโกรธง่ายหายช้า ก็ให้ทราบว่าอย่างนั้นเป็นคนเมตตาอ่อน มีทุนน้อย จะเอามาใช้เจริญเมตตาเป็นภาวนาทันทีทันใดคงยาก

หลายคนได้รับคำแนะนำ ให้ภาวนา สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ ขอสัตว์โลกทั้งหลายอย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย ภาวนาอยู่เกือบสิบปี ยังหน้าตาเหี้ยมเกรียมอยู่เหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะตั้งความเข้าใจไว้ผิดพลาด ว่าแค่ท่องบ่นไปก็คือการเจริญเมตตาภาวนาแล้ว หรือหนักกว่านั้นคือนับเป็นการแผ่เมตตาแล้ว ขอให้เข้าใจว่าการเจริญเมตตานั้น เป็นอาการของจิตที่ส่งความปรารถนาดี ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วยใจจริง การท่องบ่นสาธยายมนต์นั้น ไม่ต่างกับนกแก้วนกขุนทองที่พูดได้คำสองคำ แต่หามีความเข้าใจหรือรับรู้ในภาษาที่ตนพูดไม่

ในมหาสีหนาทสูตรท่าน ตรัสกะชีเปลือยชื่อกัสสปะว่าเมตตาจิตนั้นคือจิตอันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ซึ่งหมายถึงการคิด การพูด และการทำอันไม่มีเวรกับใคร ไม่ได้เบียดเบียนใครให้เดือดร้อน ดังนั้นการ "สร้างทุน" คือเมตตาจิตนั้น ก็ต้องอาศัยการหมั่นสำรวจอย่างเข้มงวด ว่าชีวิตเราล่วงไปวันต่อวัน ขณะต่อขณะอยู่อย่างนี้ ด้วยอาการผูกเวร ด้วยอาการเบียดเบียนใครหรือไม่

หาก สำรวจตามจริง พบในขณะแห่งการคิด การพูด หรือการทำ ว่าเราเอาแล้ว ก่อเวรแล้ว เบียดเบียนใครเข้าแล้ว ก็ต้องรีบเปลี่ยนท่าทีให้เป็นตรงข้าม คือไม่แม้คิดก่อเวร ไม่แม้คิดเบียดเบียนใครๆด้วยประการใดๆเลย พูดง่ายๆคือถ้าถามตัวเองว่าตอนนี้คิดไม่ดีกับใครหรือเปล่า รู้ตัวแล้วก็เปลี่ยนให้เป็นตรงข้ามเสีย ด้วยความระลึกว่าการคิดไม่ดีย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อเมตตาจิต ระลึกไว้เพียงเท่านี้ก็จะเป็นบาทฐานอันมั่นคงไว้รองรับเมตตาจิตอันจะมาถึง เองข้างหน้าแล้ว

แรกๆเมื่อทำให้เมตตาจิตเกิดขึ้นในเรานั้น จะเป็นเรื่องของการฝืนใจ อาจไม่เห็นผลเป็นความสุขความเย็นทันใด บางทีถึงกับต้องสู้กับความรู้สึกได้เปรียบเสียเปรียบ อันนี้ถ้าเห็นว่ายากหรือเหลือบ่ากว่าแรงนัก ก็อาจเอาแค่ถือศีล 5 ให้ครบ ให้จิตใจสะอาด นั่นก็เรียกว่าสร้างเมตตาจิตอยู่กลายๆแล้ว เพราะเมื่อตีกรอบไว้ กำหนดเจตนาไว้ว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดลูกเขาเมียใคร ไม่มุสา และไม่ร่ำสุรา ก็คือระงับเหตุแห่งเวรและการเบียดเบียนทั้งปวงนั่นเอง สำรวจใจที่สะอาดด้วยรั้วคือศีล พอเห็นผลตามจริงก็จะเกิดโสมนัสขึ้นมา

หลัง จากเจริญเมตตาจิตด้วยการคิด การพูด การทำเป็นร้อยครั้งพันหน กระทั่งรู้สึกถึงกระแสฝ่ายดี กระแสเย็นใจชุ่มชื่นอันเกิดจากการระงับเวรทั้งปวงแล้ว ชนิดที่สามารถระบายยิ้มอ่อนๆออกมาได้เองโดยไม่ต้องฝืน พอกระแสนั้นเอ่อขึ้นมาเมื่อใดขณะไหนก็ตาม อยู่ในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม ให้ฝึกล็อกอยู่กับความรู้สึกภายในชนิดนั้นไว้ คือรู้ว่าเป็นสุขเย็น และความสุขไม่เคลื่อน ไม่เลื่อนไหลแปรปรวนเป็นอื่นง่าย กระทั่งชัดเต็มอยู่ในอกในใจ มีความตั้งมั่นไม่ต่างกับขณะแห่งการจ่อจิตไว้ที่ลมหายใจหรืออารมณ์ภาวนา อื่นๆ ถึงขั้นนี้เรียกว่ามีทุนไว้ต่อทุนในระดับต่อไปแล้ว

ยิ่งถ้าหาก มีพื้นนิสัยอ่อนโยน มีลักษณะแห่งเมตตาอยู่ในตัว คือนอกจากไม่ก่อเวรแล้ว ยังเป็นผู้ชอบสร้างสุขผูกไมตรีกับคนอื่น และนอกจากไม่เบียดเบียนแล้ว ยังเป็นผู้ชอบเอื้อเฟื้อเจือจานให้คนอื่นมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น ก็อาจใช้ทุนประจำตัวได้เลยทันที คือสังเกตว่าขณะที่ไม่ฟุ้งคิด จิตใจสงบสุขอยู่กับตนเอง บอกตนเองว่านี่เพราะเราไม่มีเวร ก็ไม่มีใครเบียดเบียนตอบ ให้ล็อกเอาความรู้สึกนั้นไว้ในใจ เป็นองค์ภาวนาเดี๋ยวนั้น

หากใครนึกเถียงอยู่ในใจว่าเมตตาแล้ว แต่ยังถูกเบียดเบียนอยู่ดี ก็ให้ตัดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบทิ้ง ยิ่งต้นเหตุยั่วยุให้เหมือนคลั่ง ก็ยิ่งเป็นแบบฝึกชั้นสูง เราจะเอาเป้าหมายเดียวคือเมตตาจิต ฉะนั้นต้องละจากการจองเวร ให้อภัยเป็นทานเสีย ผ่านขั้นยากได้เท่าไหร่ยิ่งเป็นอภัยทานชั้นเลิศขึ้นเท่านั้น เมื่อสำรวจแล้วว่าเราให้ทานเป็นการอภัยออกมาจากแก่นแท้ภายในแล้วมีความสุข ความสงบเย็นทันตาเห็น ก็ดูตามจริงว่านี่ก็คือลักษณะของเมตตาจิต ล็อกไว้อย่างนั้นเป็นองค์ภาวนาได้เช่นกัน

สรุปคือใช้ชีวิตประจำวัน นั่นแหละ ในการเจริญเมตตาภาวนาเบื้องต้น ตราบใดเรายังต้องคิด ต้องเจรจา ต้องมีกิจกรรมตอบโต้กับชาวโลก ตราบนั้นคือโอกาสในการเจริญเมตตาภาวนาของเราทั้งหมด ลองระลึกในทุกขณะว่าเมตตาเป็นด้านหัวของเหรียญ พยาบาทเป็นด้านก้อยของเหรียญ เราพลิกด้านหนึ่งขึ้นมา อีกด้านหนึ่งก็หายไปทันที ตัวที่พลิกจากคิดไม่ดีเป็นคิดดีกับผู้อื่นนั่นแหละตัวเมตตาอันเป็นที่รู้สึก ได้ชัด ระลึกไว้ง่ายๆอย่างนี้จะสำรวจความคิด คำพูด และการกระทำของตนเองถนัดขึ้น

การเจริญเมตตาโดยอาศัยสมาธิจิต
ใน เตวิชชสูตร พระพุทธองค์ตรัสกะวาเสฏฐะตอนหนึ่งมีความว่านิวรณ์เป็นทุกข์ เป็นโทษ และอุบายลัดทางอย่างง่ายที่สุดคือให้ "รู้" เข้ามาตรงๆถึงภาวะของนิวรณ์ อย่างเช่นเมื่อตระหนักว่าพยาบาทกำลังครอบงำจิต ก็ให้พิจารณาเปรียบเทียบว่า…

ดูกรวาเสฏฐะ เปรียบเหมือนผู้ป่วยหนัก บริโภคอาหารไม่ได้และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมาเขาพึงหายจากความป่วยไข้นั้น บริโภคอาหารได้ และมีกำลังวังชากลับคืนมา เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้ป่วย ถึงความลำบาก เจ็บหนัก บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้และมีกำลังกายเป็นปกติ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส โดยความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

เพียงคิด เทียบเสียได้ด้วยใจอันซื่อ ว่าความพยาบาทนั้นเหมือนโรค เหมือนความป่วย จิตก็เห็นโทษแห่งพยาบาทอย่างแจ่มชัด ถ้าเลิกพยาบาทได้ก็จะปลอดโปร่งโล่งสบาย กินอิ่มนอนหลับเหมือนหายป่วย พอเห็นข้อดีชัดเจนเข้า จิตก็ละพยาบาทอย่างไม่เสียดายเหมือนถ่มเสลดทิ้งจากปากคอ เมื่อทิ้งได้ ก็บังเกิดโสมนัสอันพร้อมน้อมมาใช้แผ่เมตตาขั้นสูงต่อไป

อีกนัยหนึ่ง เมื่อภาวนาจนจิตตั้งมั่น ผ่องใส อ่อนควรเพียงพอแล้ว ก็อาจพิจารณาว่าจิตมีลักษณะเช่นนั้นอยู่ได้ก็ด้วยเพราะปราศจากความพยาบาท หากมีความพยาบาทครอบงำจิตอยู่ ก็คงถึงซึ่งลักษณะตั้งมั่น ผ่องใส อ่อนควรเช่นนี้ไม่ได้ นี่ก็จะเป็นชนวนให้เกิดความโสมนัสในผลอันเป็นปัจจุบันเช่นกัน พระพุทธองค์ตรัสว่าเมื่อสำรวจได้เช่นนั้น พึงแผ่เมตตาออกดังนี้

เมื่อ เธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปิติ เมื่อมีปิติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอมีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องเฉียง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ ทุกเหล่าในทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่

กล่าวโดยวิเคราะห์เพื่อดำเนินจิตเข้าสู่การแผ่เมตตาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้ดังนี้
1) สำรวจว่าจิตยังมีพยาบาทอันเป็นนิวรณ์ชนิดหนึ่งหรือไม่ หากรู้แก่ใจว่ายังมีพยาบาท ให้ละเสียด้วยความคิดเปรียบเทียบพยาบาทเหมือนโรค คิดว่าถ้าจิตเป็นอิสระจากพยาบาท ก็เหมือนหายจากโรค คิดให้น้อย แต่รู้ตามจริงให้มาก
2) หากผ่านข้อก่อนได้สำเร็จ ก็จะมีกระแสสุขแบบที่เป็นเมตตาเกิดขึ้นทันที ดังกล่าวแล้วว่าของแบบนี้มีแต่ด้านหัวกับด้านก้อย คว่ำพยาบาทลงได้ก็เท่ากับหงายเอาเมตตาขึ้นแทน ให้ประคองรู้จิตอัน "ประกอบด้วยเมตตา" นั้นไว้สักครู่หนึ่ง แล้วจึงเริ่มแผ่เมตตาออก เริ่มจากทิศหนึ่งคือเบื้องหน้า ทิศสองคือเบื้องขวา ทิศสามคือเบื้องซ้าย ทิศสี่คือเบื้องหลัง แล้วจึงแผ่ไปยังเบื้องบน เบื้องล่าง ด้านทะแยง จากนั้นเมื่อชำนาญแล้ว จึงกำหนดจิตแผ่ครอบไปทุกทิศพร้อมกัน คือแผ่ไปตลอดโลก เป็นการแผ่สุขให้อย่างไม่เลือกหน้า ไม่เลือกภพเลือกภูมิว่าเป็นมนุษย์ สัตว์ เทวดา หรืออื่นๆ ลิ้มรสความวิเวกอันเกิดจากความไร้เวรภัย ตั้งมั่นในระดับที่เรียกว่า "อัปปมัญญาสมาบัติ"

บางคนอาจสงสัยว่าอุบายวิธีแผ่เมตตาของพระ พุทธเจ้าคงต้องรอให้โกรธหรือคิดพยาบาทมาดร้ายใครเสียก่อนกระมัง จึงจะถือเอามาใช้เป็นบทเริ่มต้นได้ ความจริงแล้วก็เหมือนคนเริ่มทำสมาธิด้วยวิธีสำรวจศีลของตนเองทีละข้อ วันไหนทราบชัดว่าศีลของตนสะอาดบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ก็ย่อมเกิดปราโมทย์ เกิดปีติ สงบสุขอยู่กับความผ่องแผ้วอันเป็นคุณลักษณ์ขณะนั้นแห่งจิตตน ทำนองเดียวกันนั้น เมื่อสำรวจแล้วว่าจิตเราปราศจากความดำริก่อเวร ปราศจากการคิดเบียดเบียนใคร เมื่อนั้นกระแสเมตตาย่อมรินรสอยู่ในภายในให้สำเหนียกได้ กำหนดเป็นตัวตั้งเพื่อใช้แผ่ออกตามทิศต่างๆได้

ว่าสำหรับการกำหนดจิตเพื่อแผ่ออกนั้น อาศัยปัจจัยหลักเพียง 3 ประการเป็นฐานเริ่ม ได้แก่
1. จิตอันประกอบด้วยเมตตา ดังกล่าวถึงวิธีก่อแล้วข้างต้น
2. ทิศทาง ขอให้กำหนดเป็นเบื้องหน้าก่อน เพราะเป็นไปตามธรรมชาติการมองออกด้วยสายตามาทั้งชีวิต จึงง่ายกว่าทิศอื่นทั้งหมด
3. ระยะ เริ่มต้นควรมีระยะที่แน่นอน เพื่อให้จิตรู้ว่าควรกำหนดไว้แค่ไหน แรกทีเดียวควรเป็นสัก 2-5 เมตร คือระยะระหว่างสายตากับผนังห้องนอนทั่วไปก็ดี

ด้วยองค์ประกอบทั้ง 3 ประการข้างต้นนี้ พอจะลำดับขั้นตอนได้ง่ายๆ คือให้นั่งตัวตรงสบายๆ สำรวจแน่ใจแล้วว่าจิตประกอบด้วยเมตตาชัดอยู่ในกระแสรู้สึกตรงกลางๆ ทอดตาตรงไปยังเป้าหมายใกล้ตาเบื้องหน้า อาจเป็นเสา อาจเป็นจุดใดจุดหนึ่งบนผนัง ขอให้ตาจับได้โดยไม่ก่อความคิดอันเป็นนิวรณ์ใดๆขึ้นก็แล้วกัน

มอง เป้าหมายนิ่งๆสัก 2-3 วินาทีแล้วปิดเปลือกตาลง โดยที่ยังรักษาอาการทอดตาจับนิ่งๆแบบไม่เพ่งจนเกินไป ขณะเดียวกันโฟกัสก็ไม่เลื่อนไหลไปมาให้นัยน์ตาหลุกหลิก แล้วกำหนดความรู้สึกมาที่กระแสเมตตากลางอกอันไม่คับแคบเป็นจุดเล็ก แต่คลุมๆอยู่ในความรู้สึกตัวทั่วถึง จากนั้นแนบกระแสเมตตาเป็นอันเดียวกับอาการทอดสายตาตรง จะเห็นคล้ายตัดความผูกโยงกับประสาทตามาที่กลางอก เสมือนเปิดแผ่นอกโล่งและฉายรัศมีสุขออกไปตรงๆ

ขอให้รักษาทิศทางและ ระยะไว้ดีๆ เพียงตั้งมั่นไม่นานจะสำเหนียกถึงอาการที่จิตล็อกอยู่กับกระแสสุขอย่าง ชัดเจน หาไม่แล้ว จิตที่ขาดทิศทางและระยะย่อมกระจายออก หรือวนๆอยู่ในตัว ทำให้ขาดความตั้งมั่นอย่างรวดเร็ว

ขอให้สังเกตการแผ่ที่ผิดพลาดให้ ทันตั้งแต่เบื้องแรก คือถ้ารู้สึกดันๆออกไป ตึงขมับ หรือเกร็งส่วนใดส่วนหนึ่ง นั่นอาจเป็นเพราะเราเพ่งมากเกิน ที่ถูกต้องมีเพียงกระแสสุขที่สาดตรงออกไปโดยปราศจากความเครียด และมีสติรู้ตั้งมั่นอยู่ที่กลางๆ

เมื่อจิตเริ่มทรงอยู่ในกระแสสุข ประกอบพร้อมด้วยทิศเบื้องหน้าและระยะใกล้จนชำนาญแล้ว จะเหมือนจิตแสวงความโล่งเป็นระยะไกลขึ้นเอง เพียงกำหนดรู้ตามว่ารัศมีสุขเริ่มขยายออกไป สติก็จะดำเนินตามพัฒนาการของการแผ่เมตตา ที่มีแต่ทิศเบื้องหน้าเป็นกำหนด แต่ขอบเขตจำกัดไม่มี คล้ายมองขอบฟ้าลิบโลก หรือไปไกลถึงอนันต์ เพียงประคองไว้ได้สักนาทีเดียว จิตจะดึงดูดเข้าสู่ความมั่นคงระดับอุปจารสมาธิ มีปีติเย็นวิเวกแปลกกว่าสุขแม้ในสมาธิทั่วไป

ขอให้ฝึกจนกระแสมั่นคง ในทิศเบื้องหน้าแล้ว จิตรู้กระแสเมตตาอันเป็นนามธรรมว่าต่างหากจากกายแล้ว ไม่ผูกกับสายตาแล้ว จึงค่อยย้ายมาฝึกแผ่ไปทางทิศเบื้องขวา คล้ายนึกในใจถึงวัตถุที่อยู่ด้านขวาโดยไม่ต้องเหลือบแลสายตาตามอาการนึก และมีระยะทางที่แน่นอนใกล้ตัวก่อน เมื่อสามารถตามกระแสเมตตาได้จนเหมือนไกลถึงขอบฟ้าด้านขวา จึงเป็นอันใช้ได้ หากทำทางทิศเบื้องหน้าชำนาญแล้วจะเห็นการกำหนดทิศด้านข้างง่ายดายและรวดเร็ว มาก

เมื่อได้ด้านขวาชำนาญก็ฝึกกำหนด้านซ้าย เมื่อฝึกด้านซ้ายชำนาญก็ให้ลองกำหนดแผ่ซ้ายขวาพร้อมกัน จะมีกระแสแผ่ออกเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ

เมื่อ สามารถแผ่สามทิศได้พร้อมกันแล้ว จะเหมือนมีกระแสสุขเป็นตัวเป็นตนเด่นชัดขึ้นให้รู้สึกได้ และจิตจะรักความไม่มีเวร ไม่มีการเบียดเบียน คือไม่อยากเป็นศัตรูกับใคร ไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกับใคร และเหตุการณ์ในชีวิตก็เหมือนจะเริ่มเข้าข้างกระแสเมตตาภายในเรา

สำหรับ การแผ่ทางทิศเบื้องหลังนั้นจะยากกว่าสามทิศแรก เหตุเพราะมนุษย์เรามีอายตนะส่งจิตออกกระทบวัตถุเป็นสายตา ซึ่งเล็งไปเบื้องหน้า และเป็นแก้วหู ซึ่งเล็งหนักไปทางซ้ายขวา

การ ที่จะกำหนดแผ่เมตตาทางทิศเบื้องหลัง จำเป็นต้องอาศัยความรู้สึกในแผ่นหลัง ประกอบกับจิตนึกทวนทิศของอายตนะหยาบ ขอให้ลองนึกถึงแผ่นหลังก่อน แล้วนึกถึงวัตถุสักชิ้น อาจเป็นผนังระยะใกล้ซึ่งอยู่ด้านหลัง นึกเฉยๆโดยไม่ต้องกำหนดกระแสเมตตาก่อนก็ได้ เมื่อแน่ใจแล้วว่านึกเป็น จึงค่อยกำหนดกระแสเมตตาประกอบการนึกย้อนหลังดังกล่าว หากเป็นไปตามลำดับก็จะพบว่าไม่ยากเย็นนัก

หากกำหนดแผ่เมตตาได้ถึงขอบ ฟ้าเบื้องหลังสำเร็จ จะเหมือนเปิดจิตโล่งออกไปได้ทุกทิศทุกทางไม่จำกัด ทิศเบื้องบน เบื้องล่าง และเบื้องเฉียงทั้งหมด ก็ไม่เหลือวิสัยอีกเลย จะเหมือนมีกระแสเมตตาหลั่งรินออกมาตลอดเวลาโดยไม่ต้องกำหนด พฤติกรรมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคิด พูด หรือทำ ก็ถูกล้อมไว้ด้วยทะเลเมตตาจากจิตนั่นเอง อานิสงส์ทั้ง 11 ประการตามพระพุทธองค์ตรัสแสดงจะปรากฏชัดให้ทราบได้อย่างปราศจากกังขา

ถึง ตรงนั้น ของแถมที่ตามมาอันรู้ได้เองอาจเป็นการรู้ว่าเมตตาอันเป็นรัศมีจิตของเรามี กำลังใหญ่ โทสะและพยาบาทของคนรอบข้างมีกำลังน้อย ถูกกลบกลืนด้วยสนามพลังเมตตาของเราโดยง่าย ก็จะเป็นการช่วยผู้อื่นให้พ้นนรกในอกได้อ้อมๆ และอาจเป็นสื่อโน้มนำเขามาเข้ากระแสที่ถูกต้องต่อไป หากใครมีไฟร้อนอยู่ในเรือน ก็อาจดับร้อนด้วยจิตตนนี้เอง

ปกติจิตคน เราชอบคิดกักตัวเองไว้ในหัวเหมือนมีกรงขังเล็กๆในโพรงกะโหลก เมื่อเริ่มแผ่เมตตาจึงอาจรู้สึกว่ายาก แต่เมื่อแผ่เป็น ก็จะเห็นความเคยชินเก่าๆเริ่มแปรไป คือจิตเหมือนเป็นอิสระออกมาจากกรงขังเป็นมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม นับเป็นการเกื้อกูลต่อการปฏิบัติสติปัฏฐานได้อีกทางหนึ่ง

นักภาวนา ที่ประสบปัญหานอนไม่หลับเพราะตาแข็งจากสมาธิอาจชื่นชมอานิสงส์ของการแผ่ เมตตาเป็นพิเศษ เมื่อนอนหงายปิดตา กำหนดสุขในอก แผ่ออกไปยังทิศเบื้องบน อาจจับแค่ระยะเพดานห้องนอนก่อน หรือจะเป็นด้านข้างก็ได้ แล้วแต่ถนัด ถ้าจิตล็อกนิ่งแล้วหลับลงในอาการนั้น จะมีแต่ความสุขสบาย และเหมือนเข้าสมาธิอยู่แบบกึ่งเคลิ้มกึ่งรู้ตัว ถึงจะตื่นเร็วเกินเหตุก็เป็นการนอนหลับเต็มตา ไม่เหนื่อยล้าภายหลัง

อย่าง ไรก็ตาม ความสุข ความสว่างแจ้งในเมตตาเป็นรสอันยากจะเปรียบ ตรงนี้ก็ต้องย้อนกลับไปดูวิธีพิจารณาสุขเวทนาในหมวดเวทนานุปัสสนาดีๆ เพื่อความไม่ยึดติดจนเกินไป ขอให้ระลึกว่าเราแผ่เมตตาเพื่อผลคือละพยาบาทเป็นหลัก มิใช่เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือไปจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุประสงค์อันจะพาออกนอกทางสติปัฏฐานเพื่อพ้นทุกข์ พ้นความยึดติดแม้สุขอันเลิศรสใดๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 66 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร