ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ผู้ที่ศึกษา http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=29080 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 28 ม.ค. 2010, 18:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | ผู้ที่ศึกษา |
ผู้ที่ศึกษาพระธรรมจนเข้าใจระดับหนึ่งแล้ว เริ่มศึกษาตัวสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ยังไม่แล้ว คือ ต้องค่อยๆสะสมอบรมความเข้าใจ สะสมสติสัมปชัญญะไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์ จนถึงความเป็นพระอริยะขั้นพระอรหันต์ ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่ ร้อย อีกกี่พัน อีกกี่แสนชาติ หรืออีกกี่กัป ก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นการศึกษา การฟังก็ต้อง มีต่อไปเรื่อยๆ ครับ คำว่า สติปัฏฐาน มี ๓ ความหมาย คือ ๑. สติปัฏฐาน เป็นปรมัตถอารมณ์ คือ นามธรรมและรูปธรรมที่สติ ระลึกรู้ (สติปัฏฐาน ๔) ๒. สติปัฏฐาน เป็นสติเจตสิกที่เกิดกับกามาวจรญาณสัมปยุตตจิต ซึ่งระลึกรู้อารมณ์ที่เป็นสติปัฏฐาน ๓. สติปัฏฐาน เป็นหนทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระ อริยสาวกดำเนินไปแล้ว สติปัฏฐาน ก็คือ วิปัสสนา หากเจริญให้มากจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะละ สักกายทิฏฐิ ได้ จนไปถึงระดับที่เป็นพระอริยบุคคลได้ครับ หากเป็นพระอริยบุคคลแล้วถามว่าจะทำอะไรต่อไป ตอบว่าก็ขึ้นอยู่กับอัธยาศัยของผู้นั้นแล้วหละครับ ว่าจะเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นผู้ยังไม่ถึงความเป็นอริยบุคคลหรือไม่ ? หากได้เป็นถึงระดับพระอรหันต์ แต่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็จะดับขันธ์เองภายใน 7 วัน แต่หากเป็นภิกษุ จะยังไม่ดับขันธ์ก่อน เพราะมีหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไปครับ จะเห็นว่าความเข้าใจพระธรรม คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ได้ขึ้น กับเชื้อชาติ หรือสถานที่เลย แต่ขึ้นอยู่กับการสะสมปัญญามาพอที่จะเข้าใจพระธรรมที่ สุขุมลุ่มลึก ยากจะรู้ตามเช่นนี้ ได้หรือไม่ แม้ชาวพุทธเองก็ยังแบ่งแยกออกไปหลาย นิกาย นำคำสอนของพระองค์ไปประยุกต์ตามความเชื่อ ความเข้าใจของตน แม้แต่ นิกายเดียวกัน ความเข้าใจที่ไม่ลึกซึ้งพอ ก็ยังนำพระธรรมมาสอนตามความเข้าใจของ ตน และมีผู้นับถือมากมาย แต่อย่าลืมว่า พระพุทธศาสนานั้นคือศาสนาของผู้รู้ เมื่อไม่รู้ จริง ก็เป็นเพียงความเชื่ออย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่พระพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนนั้น ไม่สาธารณะสำหรับทุกคนจริงๆ แม้ในครั้งพุทธกาลก็ยังมีความเชื่อหลากหลาย บัดนี้ เวลาผ่านไปสองพันกว่าปี จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุการณ์ของครูทั้ง ๖ ในสมัย พุทธกาลก็ยังมีปรากฏอยู่ "...แต่อย่าลืมว่า พระพุทธศาสนานั้นคือศาสนาของผู้รู้ เมื่อไม่รู้ จริง ก็เป็นเพียงความเชื่ออย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่พระพุทธศาสนา พระธรรมคำสอนนั้น ไม่สาธารณะสำหรับทุกคนจริงๆ..." และ "...ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานั้น ต้องเป็นอนัตตาแต่เริ่มต้นทีเดียว ไม่ใช่ไปบังคับว่าต้องมีวิธีทำอย่างนั้น อย่างนี้ ปัญญาจึงจะเกิด แต่เพราะศึกษาพระธรรมมากพอที่จะเข้าใจคำสอน... ......จึงจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง แล้วปัญญาจึงจะรู้ชัดในลักษณะนั้นๆ ตรง ตามที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และ ธรรมนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ บุคคล ไม่ใช่ตัวตน คืออย่างไร..." "...ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตานั้น ต้องเป็นอนัตตาแต่เริ่มต้นทีเดียว ไม่ใช่ไปบังคับว่าต้องมีวิธีทำอย่างนั้น อย่างนี้ ปัญญาจึงจะเกิด แต่เพราะศึกษาพระธรรมมากพอที่จะเข้าใจคำสอน... ......จึงจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง แล้วปัญญาจึงจะรู้ชัดในลักษณะนั้นๆ ตรง ตามที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และ ธรรมนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ บุคคล ไม่ใช่ตัวตน คืออย่างไร..." พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒-หน้าที่ 277 การปรินิพพานของพระอานนท์ ดังได้สดับมา พระอานนทเถระ พิจารณาดูอายุสังขารในกาลที่มี อายุได้ ๑๒๐ ปี ทราบความที่อายุนั้นสิ้นไปรอบ จึงบอกว่า " เราจัก ปรินิพพานในวันที่ ๗ แต่วันนี้." บรรดามนุษย์ผู้อยู่ที่ฝั่งทั้งสองแห่ง แม่น้ำโรหิณี ทราบข่าวนั้นแล้ว ผู้ที่อยู่ฝั่งนี้ กล่าวว่า "พวกเรา มี อุปการะมากแก่พระเถระ, พระเถระจักปรินิพพานในสำนักของพวกเรา." ผู้ที่อยู่ฝั่งโน้นก็กล่าวว่า " พวกเรามีอุปการะมากแก่พระเถระ, พระเถระ จักปรินิพพานในสำนักของพวกเรา." พระเถระฟังคำของชนเหล่านั้นแล้ว คิดว่า "แม้พวกชนผู้ที่อยู่ฝั่งทั้งสองก็มีอุปการะแก่เราทั้งนั้น. เราไม่อาจ กล่าวว่า ' ชนเหล่านี้ไม่มีอุปการะ' ได้, ถ้าเราจักปรินิพพานที่ฝั่งนี้, ผู้อยู่ฝั่งโน้นจักทำการทะเลาะกับพวกฝั่งนี้ เพื่อจะถือเอา (อัฐิ) ธาตุ; ถ้าเราจักปรินิพพานที่ฝั่งโน้น, พวกที่อยู่ฝั่งนี้ ก็จักทำเหมือนอย่างนั้น; ความทะเลาะแม้เมื่อจะเกิด ก็จักเกิดขึ้นอาศัยเราแน่แท้, แม้เมื่อจะสงบ ก็จะสงบอาศัยเราเหมือกัน" ดังนี้แล้ว กล่าวว่า "ทั้งพวกที่อยู่ฝั่งนี้ ย่อมมีอุปการะแก่เรา, ทั้งพวกที่อยู่ฝั่งโน้น ก็มีอุปการะแก่เรา. ใคร ๆ ชื่อว่าไม่มีอุปการะไม่มี; พวกที่อยู่ฝั่งนี้จงประชุมกันที่ฝั่งนี้แหละ, พวก ที่อยู่ฝั่งโน้นก็จงประชุมกันที่ฝั่งโน้นแหละ." ในวันที่ ๗ แต่วันนั้น พระเถระนั่งโดยบัลลังก์ในอากาศประมาณ ๗ ชั่วลำตาล ในท่ามกลางแห่ง แม่น้ำ กล่าวธรรมแก่มหาชนแล้วอธิษฐานว่า "ขอสรีระของเราจงแตก ในท่ามกลาง, ส่วนหนึ่งจงตกฝั่งนี้, ส่วนหนึ่งจงตกฝั่งโน้น" นั่งอยู่ตาม ปกตินั่นแหละ เข้าสมาบัติมีเตโชธาตุเป็นอารมณ์. เปลวไฟตั้งขึ้นแล้ว. สรีระแตกแล้วในท่ามกลาง. ส่วนหนึ่งตกฝั่งนี้; ส่วนหนึ่งตกที่ฝั่งโน้น. มหาชนร้องไห้แล้ว. เสียงร้องไห้ ได้เป็นราวกะว่าเสียงแผ่นดินทรุด น่าสงสาร แม้กว่าเสียงร้องไห้ในวันปรินิพพานแห่งพระศาสดา. พวก มนุษย์ร้องไห้ร่ำไรอยู่ตลอด ๔ เดือน เที่ยวบ่นเพ้ออยู่ว่า " เมื่อพระเถระ ผู้รับบาตรจีวรของพระศาสดายังดำรงอยู่, ได้ปรากฏแก่พวกเรา เหมือน การที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่, บัดนี้ พระศาสดาของพวกเรา ปรินิพพานแล้ว." เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน กำหนดอิริยาบทย่อย สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม อนุโมทนากับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทางหลายสาย สักการะพระธาตุ ถวายข้าวพระพุทธรูป ได้ฟังธรรม วันนี้ได้ไปปฏิบัติธรรมนอกสถานที่ ซึ่งป็นป่าไม้ร่มรื่น และได้อุทิศบุญกุศลเจริญอนุสติ 8 อย่าง และเราตั้งใจว่าจะทำกิจต่างๆของตนเองให้ครบถ้วนตามที่ได้ตั้งไว้เพื่อเป็นการ ตั้งสัจจะแก่ตนเอง และเพื่อที่จะไม่ทำให้เสียสัจจะในตนเอง และวันนี้ก็ได้รักษาผู้ป่วยฟรี และตั้งใจว่าจะศึกษาตำราการรักษาโรคต่อไป และวันนี้ก็ได้. ศึกษาการรักษาโรคจนทำให้เหนื่อยอ่อนเพลียไปตามตามกัน ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องมีวิริยะเพื่อที่จะได้บารมีมาครบทั้ง 10 อย่าง และหลังจากได้บารมีตรงนี้มาแล้วก็ทำการอุทิศตลอด และได้อฐิษฐานจิต ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญทัวว์ทำบุญกับวัดป่ากรรมฐานกับ สทท สัญจรจังหวัด เลย หนองบัวลำถู อุดรธานี สกลนคร และได้นมัสการสังเวชนียสถาน ในวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์-วันอังคารที่ 2 มีนาคม 2553 สนใจติดต่อสำรองที่นั่งได้ที่ 022592751, 0891431422 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |