วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 18:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนอืนต้องรู้ก่อนว่า การให้ทานคืออะไร?

การให้ทานที่แปลว่า การให้,การเสียสละ,การบริจาคdana:gift;giving;charity;liberality

ในทัศนะของผม การให้ทานในความหมายของต้น แท้จริงก็คือ การช่วยลดวิบากกรรมของคนอิ่น เพื่อจะให้เห็นภาพชัด ผมขอยกตัวอย่างการให้ที่เป็นการให้ทานจำนวนมาก เช่น เราให้เงินขอทาน 1 ล้านบาท คนที่เราให้ทานเขา กรรมของเขา กำหนดให้เขาเป็นขอทาน หาเลี้ยงชีพด้วยการขอเงิน

พอเราให้ทานเขา 1 ล้านบาท เขาเลยกลายเป็นคนมีฐานะไป ความเป็นอยู่เขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

ด้วยเหตุนี้ การให้ทานที่แปลว่า การให้,การเสียสละ,การบริจาค Dana:gift;giving;charity;liberality จึงเป็นการแก้กรรมให้คนอื่น หรือการช่วยลดวิบากกรรม ที่เกิดขึ้นกับคนอิ่น การเสียสละก็คือ ช่วยลดวิบากกรรมของคนอื่นนั่นเอง

ทำบุญกุศล ก็คือ สิ่งนี้ "การให้ทาน" หรือใจที่คิดเสียสละ แล้วกระทำลงไป ส่วนทำบาปอกุศล ก็คือ ใจที่คิดเบียดเบียนคนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่อ่านหนังสือธรรมะมา เราไม่เคยได้ยินคำว่า การให้ทานในความหมายของต้น แท้จริงก็คือ การช่วยลดวิบากกรรมของคนอิ่น น่ะ ก็เลยไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่า

แต่ว่า การให้ก็คือการเกื้อนุ่นสงเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นทางที่น่าส่งเสริม

แต่การที่

อ้างคำพูด:
ด้วยเหตุนี้ การให้ทานที่แปลว่า การให้,การเสียสละ,การบริจาค Dana:gift;giving;charity;liberality จึงเป็นการแก้กรรมให้คนอื่น หรือการช่วยลดวิบากกรรม ที่เกิดขึ้นกับคนอิ่น การเสียสละก็คือ ช่วยลดวิบากกรรมของคนอื่นนั่นเอง

มันไม่แน่เสมอไป ไม่แน่เขาอาจจะเอาเงินที่ได้จากเราไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย ไปกินเหล้าไปเสพยาเสพติดก็ได้ เพราะเงินที่ได้มานั้นเป็นเงินที่ได้มาง่ายๆ ก็เลยไม่รู้คุณค่าของเงินนั้นเอง

อ้างคำพูด:
พอเราให้ทานเขา 1 ล้านบาท เขาเลยกลายเป็นคนมีฐานะไป ความเป็นอยู่เขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

เรามองว่า เป็นช่วงจังหวะบุญของเขาที่มา ก็เลยมีบุญที่จะได้ถือเงินล้าน ถ้าไม่ใช่ได้มาด้วยบุญที่เขาเคยสั่งสมมาล่ะก็ เขาจะไม่มีทางได้ ตามในพุทธประวัติที่หลายๆครั้งเคยอ่านเจอ

ทำอะไรไว้ ย่อมได้รับอย่างนั้น

อันนี้ก็เช่นกัน

เดสซึ.. (เจ้าคะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 00:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเราจะให้ทาน..1 ล้าน

แต่..คนทั้งโลก..มีตั้งมากมาย

แล้วทำไม..จึงเป็นคน ๆ นั้น..ที่ได้รับ..ละ

นั้นไม่ใช่เพราะ..มันเป็นบุญ..ของเขาเองดอกหรือ?

เป็นกระแส..เหนี่ยวนำ..ทำให้..ได้ทานจากเรา
:b12: :b12: :b12:

จึงไม่เชื่อ..หรอกว่า..ทานของเรา..จะไปลดกรรมของใคร
ลองคิดให้ดี ๆ นะทาน

สั้น ๆ ง่าย ๆ

เพราะทาน..เราจึงได้บุญ
เพราะบุญ..เขาจึงได้รับ..ทาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove: มันไม่แน่เสมอไป ไม่แน่เขาอาจจะเอาเงินที่ได้จากเราไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย ไปกินเหล้าไปเสพยาเสพติดก็ได้ เพราะเงินที่ได้มานั้นเป็นเงินที่ได้มาง่ายๆ ก็เลยไม่รู้คุณค่าของเงินนั้นเอง

เวลาคุณให้เงินขอทานไป คุณหวังว่าเขาจะไปซื้อข้าวกิน แต่เขากลับเอาเงินนั้นไปซื้อยาบ้า นั่นมันเรื่องของเขา เราก็ทำในส่วนของเรา

kanalove: เรามองว่า เป็นช่วงจังหวะบุญของเขาที่มา ก็เลยมีบุญที่จะได้ถือเงินล้าน ถ้าไม่ใช่ได้มาด้วยบุญที่เขาเคยสั่งสมมาล่ะก็ เขาจะไม่มีทางได้ ตามในพุทธประวัติที่หลายๆครั้งเคยอ่านเจอ

ทำอะไรไว้ ย่อมได้รับอย่างนั้น

อันนี้ก็เช่นกัน


มันก็เป็นได้ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี เราไม่มีทางทราบได้ แต่กรณีของผม ไม่ใช่เช่นนั้น

ตัวอย่าง

คุณโดนตีหัวแตก คุณก็ไม่รู้ว่า ชาติก่อนคุณไปตีหัวเขาแตก เลยต้องรับกรรม หรือว่าชาตินี้คนที่ตีหัวคุณแตก เขากำลังทำกรรมใหม่อยู่

คุณได้เลื่อนขั้น คุณก็ไม่รู้ว่า เป็นผลจากกรรมดีในชาติก่อนส่งเสริม หรือว่าชาตินี้คุณขยัน เจ้านายเลยเห็นผลงาน เขาก็ทำกรรมใหม่ โดยpromoteคุณ

พระสารีบุตรเคยทำบุญทำทานให้พระองค์หนึ่งที่ทำกรรมหนัก ชาตินั้นจะไม่มีทางได้กินอาหารดีๆ อิ่มสบายแม้แต่มื้อเดียว พระสารีบุตรก็นำอาหารไปให้เขา ถือให้เขากินจนอิ่ม ด้วยอำนาจแห่งพระอรหันต์ อาหารนั้นก็ไม่ได้หายไป นี่ไม่ใช่เป็นผลบุญที่พระองค์นั้นทำมา จึงได้กินอิ่มแต่อย่างใด แต่เป็นผลจากการกระทำสงเคราะห์ของพระสารีบุตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 00:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


และ..เป็นเพราะกรรม..ที่พระองค์นั้น..ไม่ควรจะได้

ท่านจึงมาตาย..เพราะการกิน
:b16:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 14 ก.พ. 2010, 00:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 00:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เมื่อเราจะให้ทาน..1 ล้าน

แต่..คนทั้งโลก..มีตั้งมากมาย

แล้วทำไม..จึงเป็นคน ๆ นั้น..ที่ได้รับ..ละ

นั้นไม่ใช่เพราะ..มันเป็นบุญ..ของเขาเองดอกหรือ?

เป็นกระแส..เหนี่ยวนำ..ทำให้..ได้ทานจากเรา
:b12: :b12: :b12:

จึงไม่เชื่อ..หรอกว่า..ทานของเรา..จะไปลดกรรมของใคร
ลองคิดให้ดี ๆ นะทาน

สั้น ๆ ง่าย ๆ

เพราะทาน..เราจึงได้บุญ
เพราะบุญ..เขาจึงได้รับ..ทาน


ก็อย่างที่ตอบุคุณkanaloveไป มันเป็นไปได้ 2 กรณี เรื่องกรรมเป็นเรื่องอจินไตย มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า บุญเก่าของเขาเหนี่ยวนำ หรือเราทำบุญใหม่เพื่อลดวิบากกรรมของเขา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 00:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
และ..เป็นเพราะกรรม..ที่พระองค์นั้น..ไม่ควรจะได้

ท่านจึงมาตาย..เพราะการกิน
:b16:


ผมจำได้ว่า พระองค์นั้นบรรลุอรหันต์หลังจากได้กินข้ามอิ่มในม้อนั้นก่อนตายนะครับ ท่านอาจจะเห็นกฎแห่งกรรม และกฎแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลังกินอิ่มก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 00:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมเก่า..นี้นะคุณ

มันไม่จำเป็นต้องเป็นของชาติที่แล้วหรอก

เมื่อปีที่แล้ว..ก็กรรมเก่า
เมื่อเดือนที่แล้ว..ก็กรรมเก่า
แม้แต่..เมื่อตะกี้..ก็กรรมเก่า

เรื่องกรรม..เป็นของละเอียด..มิเช่นนั้น..พระพุทธองค์คงไม่ทรงห้ามคิดมากกับกรรม..เพราะเป็นพุทธวิสัย..จะรู้แจ้งแทงตลอดในกรรมใด ๆ ได้มีเฉพาะพระพุทธเจ้า..เท่านั้น

ที่พูด ๆ กันอยู่นี้..ก็มีแต่..กรรมคิด..กรรมเดา..ทั้งนั้น :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 02:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยได้ยินคำว่า กงกรรมกงเกวียนกันมาแล้วสินะ...

นั้นแหละ

ตัวอย่างให่ดูชัดเจนขึ้น ก็อย่างเช่น

ถ้ามีชายคนหนึ่งตีหัวเรา นั้นหมายความว่า เรากำลังใช้กรรมเก่าอยู๋ และเขาก็กำลังสร้างกรรมใหม่

แล้วถ้าสมมุติ เราไปตีเขาคืน เราก็สร้างกรรมใหม่ และเขาก็สร้างกรรมใหม่
ต่างคนต่างไม่ยอมกัน พอเริ่มๆลามไปเบียดเบียนผู้อื่น กรรมมันก็เลยไม่จบไม่สิ้น

นี่แหละ ความน่ากลัวของกรรม

กงกรรม กงเกวียน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 11:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การให้ ทาน เสียสละ จะมากน้อย เป็นข้าวของเงินทอง สิ่งนั้นนี้ รวมไปถึงร่างกาย จะเป็นเรี่ยวแรงหรือร่างที่ไร้จิตวิญญาณก็ตามที เมื่อมีการให้เสียสละไป ส่วนที่ลดไปจริงๆคือการยึดมั่นถือมั่น สำคัญเรา ของเรา ก็จะลดหรือออกไปพร้อมการให้เสียสละไปทุกๆครั้ง เมื่อคลายจากการยึดติดจึงเบาจิต เบาใจ เย็นจิต เย็นใจ ไปอย่างนี้เรื่อยๆ และที่สำคัญคือให้ก็ให้แล้วๆไป ไม่อะไรกับอะไรอีก ไม่มีหวังผลใดๆจึงจะเป็นการดำเนินตามรอย การให้ของพระโพธิสัตว์และองค์พุทธะทั้งหลาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


yodchaw เขียน:
การให้ ทาน เสียสละ จะมากน้อย เป็นข้าวของเงินทอง สิ่งนั้นนี้ รวมไปถึงร่างกาย จะเป็นเรี่ยวแรงหรือร่างที่ไร้จิตวิญญาณก็ตามที เมื่อมีการให้เสียสละไป ส่วนที่ลดไปจริงๆคือการยึดมั่นถือมั่น สำคัญเรา ของเรา ก็จะลดหรือออกไปพร้อมการให้เสียสละไปทุกๆครั้ง เมื่อคลายจากการยึดติดจึงเบาจิต เบาใจ เย็นจิต เย็นใจ ไปอย่างนี้เรื่อยๆ และที่สำคัญคือให้ก็ให้แล้วๆไป ไม่อะไรกับอะไรอีก ไม่มีหวังผลใดๆจึงจะเป็นการดำเนินตามรอย การให้ของพระโพธิสัตว์และองค์พุทธะทั้งหลาย

ละอัตตา ละตัวตน เป็นการให้ทานของผุ้ที่ไม่ยึดติดกับโลกแล้ว เพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพานด้วย
สาวกก็ควรให้ทานเช่นนี้ สละทุกสิ่งเพื่อจะไปนิพพานได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
yodchaw เขียน:
การให้ ทาน เสียสละ จะมากน้อย เป็นข้าวของเงินทอง สิ่งนั้นนี้ รวมไปถึงร่างกาย จะเป็นเรี่ยวแรงหรือร่างที่ไร้จิตวิญญาณก็ตามที เมื่อมีการให้เสียสละไป ส่วนที่ลดไปจริงๆคือการยึดมั่นถือมั่น สำคัญเรา ของเรา ก็จะลดหรือออกไปพร้อมการให้เสียสละไปทุกๆครั้ง เมื่อคลายจากการยึดติดจึงเบาจิต เบาใจ เย็นจิต เย็นใจ ไปอย่างนี้เรื่อยๆ และที่สำคัญคือให้ก็ให้แล้วๆไป ไม่อะไรกับอะไรอีก ไม่มีหวังผลใดๆจึงจะเป็นการดำเนินตามรอย การให้ของพระโพธิสัตว์และองค์พุทธะทั้งหลาย

ละอัตตา ละตัวตน เป็นการให้ทานของผุ้ที่ไม่ยึดติดกับโลกแล้ว เพื่อเป็นหนทางไปสู่พระนิพพานด้วย
สาวกก็ควรให้ทานเช่นนี้ สละทุกสิ่งเพื่อจะไปนิพพานได้


ผมไม่สละทุกสิ่งเพื่อจะไปนิพพานหรอกครับ มันไม่ใช่วิสัยของผม ตราบเท่าที่ยังมีสรรพชีวิตจำนวนมาก ยังไม่เข้าใจศาสนาที่แท้จริง ทำให้ต้องวนเวียนในสังสารวัฏฏ์ต่อไป ผมก็จำเป็นต้องวนเวียนในสังสารวัฏฏ์ต่อไปเหมือนกัน เพื่อชี้ทางให้เขาไปนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 13:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote="คนดีที่โลกลืม

ผมไม่สละทุกสิ่งเพื่อจะไปนิพพานหรอกครับ มันไม่ใช่วิสัยของผม ตราบเท่าที่ยังมีสรรพชีวิตจำนวนมาก ยังไม่เข้าใจศาสนาที่แท้จริง ทำให้ต้องวนเวียนในสังสารวัฏฏ์ต่อไป ผมก็จำเป็นต้องวนเวียนในสังสารวัฏฏ์ต่อไปเหมือนกัน เพื่อชี้ทางให้เขาไปนิพพาน[/quote]
มันสองนัย สองเรื่องแบบนี้ ที่มีเยอะคือหนึ่งปุถุชน ภาวะของผู้บำเพ็ญเมื่อละ ปลง วางมาได้ระดับหนึ่งแล้ว เมื่อรู้นิพพานว่า ดับ แล้ว ก็กลัวนิพพาน ไม่อยากไปนิพพาน แล้วหาข้ออ้าง หลอกตัวเองว่าจะต้องอยู่เพื่อโปรดสรรพสัตว์ แท้จริงคือปลง ไม่ได้ ยัง อ้อยอิ่ง อาลัยอาวรณ์ โลกสังสารวัฏ(ยังอยากสนุกอยู่ ) ยังมีอะไรกับอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ หลอกตัวเอง จนคลายความเพียร การบำเพ็ญเสียก็มี หลงว่าเป็นพระโพธิสัตว์
สอง คือในภาวะของ พระโพธิ์สตว์ มหาโพธิสัตว์ ท่านทั้งหลาย ที่มีจิตเมตตา มหาเมตตา กรุณา มหากรุณา ที่ท่านมีจิตที่เป็นเนื้อหานิพพานอยู่แล้ว การโปรดของท่านจึงขึ้นอยู่กับปณิธาณของท่านเหล่านั้นและการทำหน้าที่ ที่สอดคล้องกับหมู่เหล่าสรรพสัตว์หมู่ใด ในยุคใด ในสมัยใด ชึ่งจริงๆแล้วท่านจะไม่มาเกิดอีกก็ได้ ไม่มาก็ได้ แบบนี้จึงเรียกได้ว่า โพธิสัตว์ของจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
เคยได้ยินคำว่า กงกรรมกงเกวียนกันมาแล้วสินะ...

นั้นแหละ

ตัวอย่างให่ดูชัดเจนขึ้น ก็อย่างเช่น

ถ้ามีชายคนหนึ่งตีหัวเรา นั้นหมายความว่า เรากำลังใช้กรรมเก่าอยู๋ และเขาก็กำลังสร้างกรรมใหม่

แล้วถ้าสมมุติ เราไปตีเขาคืน เราก็สร้างกรรมใหม่ และเขาก็สร้างกรรมใหม่
ต่างคนต่างไม่ยอมกัน พอเริ่มๆลามไปเบียดเบียนผู้อื่น กรรมมันก็เลยไม่จบไม่สิ้น

นี่แหละ ความน่ากลัวของกรรม

กงกรรม กงเกวียน


ผมว่าคุณยังไม่เข้าใจนะครับ เราโดนตีหัวอาจจะเกิดจาก
1. เรากำลังใช้กรรมเก่าอยู๋
2. เราไม่ได้ใช้กรรมเก่า แต่เขากำลังสร้างกรรมใหม่กับเรา

คนเราเกิดมาเพื่อรับกรรมเก่า และก็เกิดมาเพื่อสร้างกรรมใหม่ด้วย ไม่ได้เกิดมาเพื่อรับกรรมเก่าอย่างเดียว กรรมเก่าอาจไม่ส่งผลก็ได้ ถ้าคนที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา ไม่ยอมทำกรรมโดยการตีหัวเรา

กงกรรม กงเกวียน เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมในอดีตที่ส่งผลมาในปัจจุบัน = พรหมลิขิต
แต่กฎแห่งกรรม เป็นเรื่องวิวัฒนาการด้วย คือ เป็นเรื่องการทำกรรมใหม่ ลดวิบากกรรมเก่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


yodchaw เขียน:

มันสองนัย สองเรื่องแบบนี้ ที่มีเยอะคือหนึ่งปุถุชน ภาวะของผู้บำเพ็ญเมื่อละ ปลง วางมาได้ระดับหนึ่งแล้ว เมื่อรู้นิพพานว่า ดับ แล้ว ก็กลัวนิพพาน ไม่อยากไปนิพพาน แล้วหาข้ออ้าง หลอกตัวเองว่าจะต้องอยู่เพื่อโปรดสรรพสัตว์ แท้จริงคือปลง ไม่ได้ ยัง อ้อยอิ่ง อาลัยอาวรณ์ โลกสังสารวัฏ(ยังอยากสนุกอยู่ ) ยังมีอะไรกับอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ หลอกตัวเอง จนคลายความเพียร การบำเพ็ญเสียก็มี หลงว่าเป็นพระโพธิสัตว์
สอง คือในภาวะของ พระโพธิ์สตว์ มหาโพธิสัตว์ ท่านทั้งหลาย ที่มีจิตเมตตา มหาเมตตา กรุณา มหากรุณา ที่ท่านมีจิตที่เป็นเนื้อหานิพพานอยู่แล้ว การโปรดของท่านจึงขึ้นอยู่กับปณิธาณของท่านเหล่านั้นและการทำหน้าที่ ที่สอดคล้องกับหมู่เหล่าสรรพสัตว์หมู่ใด ในยุคใด ในสมัยใด ชึ่งจริงๆแล้วท่านจะไม่มาเกิดอีกก็ได้ ไม่มาก็ได้ แบบนี้จึงเรียกได้ว่า โพธิสัตว์ของจริง


พระพุทธเจ้าเคยมาหาผมในนิมิต เป็นคนแจวเรือเพื่อพาผมเข้านิพพาน แต่เมื่อผ่านวัดหนึ่ง ผมขอลงก่อน เนื่องจากเห็นว่า พระต่างๆกำลังสอนพุทธศาสนาผิดพลาด คนแจวเรือเลยแจวเรือเข้านิพพานไป ผมวิ่งตามไปสักพัก ระลึกได้ว่า เราก็รู้ทางเข้านิพพาน เดินไปตามถนนก็ได้ เสียเวลานานสักนิดก็ไม่เป็นไร


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 14 ก.พ. 2010, 14:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ธรรมโฆษ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร