วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




buddha.jpg
buddha.jpg [ 63.59 KiB | เปิดดู 1802 ครั้ง ]
tongue

เห็นทุกข์และรายละเอียดของทุกข์

เห็นเหตุเกิดทุกข์ และรายละเอียดของเหตุทุกข์ เห็นว่า สัพเพธัมมา อนัตตา

เห็นทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์

เห็นและเข้าถึงความดับทุกข์


ทั้งหมดรวมเป็น สัมมาทิฐิ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งชี้วัดว่าใครมีสัมมาทิฏฐิและใครมีมิจฉาทิฏฐิคือปัญญาธรรมค่ะ ปัญหาธรรมที่ได้จากการเจริฐสมถะสมาธิ เป็นตัวรู้อย่างแท้จริงค่ะ รู้อย่างปราศจากอคติใดๆทั้งสิ้นค่ะ

แต่ถ้าง่ายๆ
คนมีมิจฉาทิฏฐิก็เป็นพวกที่คิดไม่ดีทำไม่ดี หรือ คิดไม่ถูกแต่นึกว่าถูก อะไรประมาณนั้นค่ะ สาเหตุเพราะทิฏฐิเอาความเห็นตัวเองเป็นใหญ่

คนมีสัมมาทิฏฐิก็เป็นพวกที่คิดดีทำดี และ รู้จักละวางทิฏฐิโดยการพิจารณาตัวเองด้วยใจที่ปราศจากอคติค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ

ใครเป็นมิจฉาทิฏฐิ ใครเป็นสัมมาทิฏฐิ
หากถามคนที่ปฏิบัติธรรมเคร่งๆ หรือ พระวิปัสนาจารย์ ท่านจะตอบว่า
ใครที่เห็นอะไรที่ชื่อว่าเป็นคำสอนของพระตถาคตเจ้า ขึ้นชื่อว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ และ ใครที่เห็นอะไรที่ไม่ใช่คำสอนของพระตถาคตเจ้า นั่นขึ้นชื่อว่ามิจฉาทิฏฐิ
แต่หากถามว่า็คนนั้นคนนี้ใครเป็นสัมมาทิฏฐิ กระผมก็แน่ใจว่า วิปัสนาจารย์หลายๆท่านจะตอบว่า
ไม่รู้
ทำไมถึงตอบว่าไม่รู้ ?
ที่ตอบว่าไม่รู้เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา หลักในการปฏิบัติธรรมท่านบอกว่า
เอตาปิ สติมา สัมปชาโน จิตจดจ่อ มีสติกำหนดรู้ รู้กายทั่วพร้อม
พูดง่ายๆก็คือ เอาใจใส่ ดูแลตัวเราเอง
และการที่เราไปวิพากษ์วิจารณ์ใครคนใดคนหนึ่ง บางทีต้องคิดจนถึงขนาดว่าขอยอมรับผิดในเบื้องหน้า
หมายความว่าอย่างไร?
การที่เราไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น หรือ นินทาคนอื่น นั่นก็ถือเป็นกรรมอย่าง ๑
ลองคิดตามนะครับ เราฆ่ามด ๑ ตัวโดยเจตนากรรมส่งผลไหมครับ ส่งผลใช่ไหมครับ นี่เป็นถึงมนุษย์
เพียงแต่เราแค่ก่อวจีกรรม ถ้าคนๆนั้นเขาทำศีล ๕ ได้ ๑ ข้อสมมติว่าเขาไม่ผิดศีลข้อกาเม แต่เขาเป็นคนขี้ขโมย เราไปด่าว่าเขาขี้ขโมย ก็เท่ากับว่า เราด่าคนที่มีศีล ๑ ข้อ
หรือบางคนชอบวิจารณ์พระ ที่ทำอาบัติปราชิก ท่านทำผิดข้อเดียว แล้วเราไปวิจารณ์กัน ก็เท่ากับว่า
เราวิพากษ์วิจารณ์พระที่ถือศีลได้ ๒๒๖ ข้อ
อย่างทีี่กระผมวิพากษ์วิจารณ์อนุตรธรรม กระผมชั่งดูแล้วว่ามันสมควรทำกระผมก็เลยทำเพราะคิดว่า
เป็นการเพิ่มสติปัญญาให้กับบางคนที่อาจเตรียมจะเกือบหลงทางแบบกระผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเกือบหลงทาง เขียน:
ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ



อ่านมาหลายกระทู้...ชอบความเห็นของคุณ...จังแฮะ...

ดู...ตรง ๆ และ...ออกจะ เปิดเผย...คือ...เหมือนคนโผงผาง...หง่ะ...

:b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




bug02-1024.jpg
bug02-1024.jpg [ 124.8 KiB | เปิดดู 1740 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
เอตาปิ สติมา สัมปชาโน จิตจดจ่อ มีสติกำหนดรู้ รู้กายทั่วพร้อม


อาตาปี สัมปะชาโน สติมา

อาตาปี = มีความเพียรจดจ่อต่อเนื่องไม่ลดละ

สัมปะชาโน = มีความรู้ตัวทั่วพร้อม (มีปัญญาเฝ้าดู เฝ้าสังเกต พิจารณา)

สติมา = มีความรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ระลึกได้ ไม่ลืม

งานสำคัญที่จะต้องไม่ลืมคือ

วิเนยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง = เอาออกเสียให้ได้ ซึ่งความยินดี ยินร้าย ในโลก (ความยินดี ยินร้าย ในผัสสะทั้ง 6)


:b8: :b8: :b27: :b27:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 18:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:43
โพสต์: 20

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เครื่องวัดว่าใครเป็นมิจฉา หรือเป็นสัมมา

น่าจะดูตรงที่ ความรู้นั้นมีผลทำให้ปล่อยวางอะไรได้บ้าง
ราคะ โทสะ โมหะ ลดลงบ้างรึเปล่า

ชีวิตมีความสงบเย็นลงบ้างหรือไม่
และ มีชีวิตที่ทรงความปกติ เช่นปกติ อย่างปกติ เหมือนคนปกติทั่วไปได้รึเปล่า

คุมความรู้ที่มีได้หรือไม่ ธรรมะพรั่งพรูมากมายอย่างพร่ำเพรื่อ
ไม่เลือกกาลไม่เลือกบุคคลหรือเปล่า

และที่สำคัญ มีความคิดว่าตน รู้ ตนเห็น
ตนล้ำเลิศประเสริฐกว่าใครๆเขารึเปล่า

หากว่า ความรู้ที่มี ทำให้เรากลายเป็นคนปกติไม่ได้
ความรู้นั้น ยังไม่ควรนับว่าเป็นสัมมา


............................................................


แก้ไขล่าสุดโดย ลูคาร์ บราซี่ เมื่อ 13 มี.ค. 2010, 21:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร