ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ตามหลักพระวินัย http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=29638 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 20 ก.พ. 2010, 08:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | ตามหลักพระวินัย |
ตามหลักพระวินัยมีว่า พระภิกษุบวชใหม่ ต้องอยู่กับพระอุปัชฌาย์ หรืออาจารย์ คือถือนิสัยอยู่ในการดูแลของท่านอย่างน้อย ๕ พรรษา เมื่อพ้น ๕ พรรษาแล้ว ถ้า ไม่สามารถดูแลตัวเอง คือ ทรงจำพระธรรมวินัย พระปาฏิโมกข์ไม่ได้ ก็ต้องถือ นิสัยอยู่กับพระอุปัชฌาย์หรือพระอาจารย์ไปเรื่อยๆ จนตลอดชีวิต ถ้าไม่ถือนิสัย ต้องอาบัติ ส่วนเรื่องของธุดงค์นั้น ก็ควรเข้าใจก่อนว่า ธุดงค์คืออะไร มีกี่ข้อ ทำไม ต้องธุดงค์ อยู่ที่อารามรักษาธุดงค์ได้ไหม รักษาได้กี่ข้อ การเดินป่าเป็นธุดงค์หรือ.. ถ้าอยู่กับพระอุปัชฌาย์ รักษาธุดงค์ไม่ได้หรือ... พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 274 พระพุทธานุญาตให้ถือสัย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้า มูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ ถือนิสัยอยู่ ๕ พรรษา และให้ภิกษุผู้ไม่ฉลาดถือนิสัยอยู่ตลอดชีวิต.... องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ นิสัยอยู่ ไม่ได้ คือ:- ๑. ไม่รู้จักอาบัติ. ๒. ไม่รู้จักอนาบัติ. ๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา. ๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก และ ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดี โดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสัย อยู่ ไม่ได้. องค์ ๖ แห่งภิกษุต้องถือนิสัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ นิสัยอยู่ไม่ได้ คือ:- ๑. ไม่รู้จักอาบัติ. ๒. ไม่รู้จักอนาบัติ. ๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา. ๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก. ๕. เธอจาปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดี โดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุ คะ โดยอนุพยัญชนะ ๖. มีพรรษาหย่อน ๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสัย อยู่ ไม่ได้. .. เพื่อ ความเข้าใจ "สภาพธรรมตามความเป็นจริง" ว่า "เป็นธรรมะ-แต่ละลักษณะ-ซึ่งกำลังเกิด-ปรากฏ-ตามปกติ-ขณะนี้" และ ไม่สามารถที่จะรู้ถึงความลึกซึ้งของ "ธรรมะ" ใด ๆ ได้เลย ถ้า "ขณะนี้"....ไม่เข้าใจ ว่า "ความเข้าใจธรรมะ" มี ๓ ขั้น. ขั้นปริยัติ คือ ความรอบรู้-ในสิ่งที่ได้ฟัง ไม่ได้หมายความว่า รู้-เรื่องราว-อรรถะ-พยัญชนะ-โวหาระ-ในพระไตรปิฎกและอรรถกถาทั้งหมด แต่ หมายความว่า แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" เพียงคำเดียว ที่ส่องถึง"ลักษณะที่มีจริง-ของธรรมะ" แม้จะเข้าใจจากการฟัง ว่า เป็น "ธรรมะ" ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ มีลักษณะเกิด-ดับอยู่ทุกขณะ....ก็ยังยากที่จะรู้ได้.? เพราะฉะนั้น "การฟัง" ก็เพื่อ "ละความไม่รู้" ไม่ใช่ฟังแล้ว-อยากเข้าใจทั้งหมดเลยทุกอย่าง-ที่ได้ฟัง ซึ่งเป็นไปไม่ได้.! แม้แต่คำว่า "ธรรมะ"....ก็ได้ฟังแล้วตั้งหลายครั้งว่า "ธรรมะ-ไม่ใช่เรา" ขณะที่ฟัง และ มีสภาพธรรม-กำลังปรากฏ เช่น ขณะนี้-มีการเห็น....? เพราะฉะนั้น "การฟัง" ที่เป็นประโยชน์ ก็คือ ในขณะที่ฟัง-ฟัง"เรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนั้น" แล้วเริ่มเข้าใจ"ความจริง" "ความจริง" ที่เข้าใจได้ คือ "ลักษณะจริง ๆ-ของสิ่งที่มีจริง ๆ" ในขณะที่กำลังฟังนั่นเอง.! ซึ่งยากมากที่จะประจักษ์ "ความจริง" นั้นได้....? เพราะว่า สะสมความไม่รู้สภาพธรรม-ตามความเป็นจริง-มานานมาก.! สีเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นรูปธรรมคือเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร สีไม่ดี ไม่ชั่วเพราะไม่ใช่นามธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล บุคคลจะประเสริฐหรือไม่ประเสริฐไม่ใช่ขึ้นอยู่กับสี แต่ขึ้นอยู่กับจิต บุคคลจะประเสริฐได้เพราะจิตที่บริสุทธิ์ จิตจะบริสุทธิ์ได้ด้วยการอบรมปัญญา คืออริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งก็ไม่พ้นจากการที่สติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ สีจึงไม่เป็นประมาณให้บุคคลบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ครับ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 11 ๔. พราหมณสูตร [๑๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ได้เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์ ออกจากกรุงสาวัตถี ด้วยรถเทียมม้าขาวล้วน ได้ยินว่า ม้าที่เทียมเป็นม้าขาว เครื่องประดับขาว ตัวรถขาว ประทุนรถขาว เชือกขาว ด้ามปฏักขาว ร่ม ขาว ผ้าโพกขาว ผ้านุ่งขาว รองเท้าขาว พัดวาลวัชนีที่ด้ามพัดก็ขาว ชน เห็นท่านผู้นี้แล้ว พูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ยานประเสริฐหนอ รูปของยานประเสริฐหนอ ดังนี้. [๑๓] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้าข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ข้าพระองค์เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์ออกจากกรุงสาวัตถี ด้วยรถม้าขาวล้วน ได้ยินว่า ม้าที่เทียมเป็นม้าขาว เครื่องประดับขาว ตัวรถขาว ประทุนรถ ขาว เชือกขาว ด้ามปฏักขาว ร่มขาว ผ้าโพกขาว ผ้านุ่งขาว รองเท้า ขาว พัดวาลวัชนีที่ด้ามก็ขาว ชนเห็นท่านผู้นี้แล้วพูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ทั้งหลาย ยานประเสริฐหนอ รูปของยานประเสริฐหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจทรงบัญญัติยานอันประเสริฐในธรรมวินัยนี้ได้ไหมหนอ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 12 [๑๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ อาจบัญญัติได้ คำว่ายานอันประเสริฐ เป็นชื่อของอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้เอง เรียก กันว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง รถพิชัยสงความอันยอดเยี่ยมบ้าง. [๑๕] ดูก่อนอานนท์ สัมมาทิฏฐิที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะ เป็นที่สุด. [๑๖] ดูก่อนอานนท์ สัมมาสังกัปปะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้ มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด. มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัด โมหะเป็นสุด. [๑๗] ดูก่อนอานนท์ สัมมาวาจาที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะ เป็นที่สุด. [๑๘] ดูก่อนอานนท์ สัมมากัมมันตะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้ มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัด โมหะเป็นที่สุด. [๑๙] ดูก่อนอานนท์ สัมมาอาชีวะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะ เป็นที่สุด. [๒๐] ดูก่อนอานนท์ สัมมาวายามะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้ มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัด โมหะเป็นที่สุด. [๒๑] ดูก่อนอานนท์สัมมาสติที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด. [๒๒] ดูก่อนอานนท์ สัมมาสมาธิที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะ เป็นที่สุด. [๒๓] ดูก่อนอานนท์ ข้อว่า ยานอันประเสริฐ เป็นชื่อของอริย- มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้เอง เรียกกันว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง รถพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมบ้าง นั้นพึงทราบโดยปริยายนี้แล. พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลง แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า [๒๔] อริยมรรคญาณนั้นมีธรรม คือ ศรัทธา กับปัญญาเป็นแอก มีศรัทธาเป็นทูบ มีหิริ เป็นงอน มีใจเป็นเชือกชัก มีสติเป็นสารถี ผู้ควบคุม รถนี้มีศีลเป็นเครื่องประดับ มี ฌานเป็นเพลา มีความเพียรเป็นล้อ มี อุเบกขากับสมาธิเป็นทูบ ความไม่อยากได้ เป็นประทุน กุลบุตรใดมีความไม่พยาบาท ความไม่เบียดเบียน และวิเวกเป็นอาวุธ มี ความอดทนเป็นเกราะหนัง กุลบุตรนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเกษมจากโยคะ พรหม ยานอันยอดเยี่ยมนี้ เกิดแล้วในตนของ บุคคลเหล่าใด บุคคลเหล่านั้นเป็นนัก- ปราชญ์ ย่อมออกไปจากโลกโดยความแน่ ใจว่า มีชัยชนะโดยแท้. จบพราหมณสูตรที่ ๔ เรื่อง บุคคลจะเศร้าหมองหรือผ่องแผ้วอยู่ที่จิตไม่ใช่ที่รูป พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 345 ข้อความบางตอนจาก คัททูลสูตร สัตว์เศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง บทว่า จิตฺตสงฺกิเลสา ความว่า ก็สัตว์ทั้งหลายแม้อาบน้ำดีแล้ว ก็ชื่อว่าเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมองนั่นแล แต่ว่าแม้ร่างกายจะ สกปรกก็ชื่อว่าผ่องแผ้วได้เพราะจิตผ่องแผ้ว. ด้วยเหตุนั้น โบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า :- พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหาพระคุณ อันยิ่งใหญ่มิได้ตรัสไว้ว่า เมื่อรูปเศร้าหมอง สัตว์ ทั้งหลายจึงชื่อว่า เศร้าหมอง เมื่อรูปบริสุทธิ์ สัตว์ ทั้งหลายจึงชื่อว่า บริสุทธิ์. (แต่) พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหา พระคุณอันยิ่งใหญ่ได้ตรัสไว้ว่า เมื่อจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายจึงชื่อว่าเศร้าหมอง เมื่อจิตบริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจึงชื่อว่าบริสุทธิ์ด้วย เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน อุทิศบุญกุศล ตื่นแต่ดึกมาศึกษาธรรม ฟังธรรม สักการะพระธาตุ ถวายข้าวพระพุทธรูป อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตอนเช้าตามถนนหนทาง และวันนี้คุณแม่กับพี่สาวได้ไปปฏิบัติธรรม 8 วัน 7 คืน อบรมวิปัสสนากรรมฐาน และววันี้ตั้งใจว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ กำหนดอิริยาบทย่อย ศึกษาการรักษาโรค ศึกษาธรรม ฟังธรรม เจริญสมถะภาวนา และสร้างบารมีให้ครบ ทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสร้างอาคารเรียน ณ โรงเรียนชุมชนบ้านเกาะสมอ ต.หัวหว้า อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี กำหนดการในวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 9.00 น.ตั้งกองผ้าป่า เวลา11.00น. ถวายภัตราหารเพล เวลา 11.30 น.ถวายผ้าป่า เวลา 12.00น. รับประทานอาหารร่วมกัน ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |