วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 19:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สมัยพุทธกาลครั้งหนึ่ง

มีภิกษุแก่ กับภิกษุหนุ่ม ออกบิณฑบาตด้วยกันในตอนเช้าตรู่ ขณะเดินทางกลับ จะไปที่พัก ภิกษุแก่เกิดเป็นโรค ลม ต้องฉันอาหาร ข้าวยาคู เสียก่อนจึงจะหาย ท่่านจึงได้นั่งลง ฉันตรงระหว่างทางเดินนั้นเอง

ภิกษุหนุ่มเห็น การกระทำนั้นแล้ว เกิดความอาย ได้ต่อว่าภิกษุแก่ว่า ทำให้ตนต้องอายชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมา ด้วยอาการไม่สำรวมของท่านนี่แหละ

ภิกษุแก่ ฉันอาหารเสร็จแล้ว โรคลมก็บรรเทาลง และได้กล่าวถามภิกษุหนุ่มว่า ท่านมีอะไรเป็นเครื่องอยู่

ภิกษุหนุ่มตอบว่า เราบรรโสดาบันแล้ว

ภิกษุแก่จึงว่า ถ้างั้น ท่านก็อย่าได้คิดที่จะทำมรรคให้สูงขึ้นอีกเลย กล่าวเพียงเท่าีนี้

ภิกษุหนุ่มก็ได้สติ ก้มลงกราบขอขมา อภัยจาก ภิกษุแก่รูปนั้น

ภิกษุแก่จึงกล่าวว่า ท่านจงสำรวมระวังต่อไปเถิด

คงได้แง่คิดที่ดีๆ เหมือนกัน กับเรื่องที่เจ้าของกระทู้นำมานะครับ
---------------------------
กรรมที่บุคคลทำแล้วย่อมให้ผล

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ได้แต่บอกว่า "ความจริงในใจ..ของใครของมัน"

แม้พระพุทธเจ้าเอง จะทรงตรัสแต่"ความจริง"
แต่ก็เป็น"ความจริง" ที่จริงเฉพาะพระองค์
เมื่อความจริงเหล่านั้นไปสู่ปุถุชนแล้วก็กลายเป้นเท็จทั้งหมด
ดังทรงตรัสโดยใจความว่า ทรงเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ให้เดินไปเอง

สมัยพุทธกาลก็มีคนเยอะแยะที่แม้จะมีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรมจากพระโอษฐ์
แต่ไม่สามารถจะรองรับเอาอะไรไปใช้ได้เลย
แถมปรามาสส่งท้ายพระพุทธเจ้าอีก

สัจธรรมก็เป็นอย่างนี้ ของใครของมัน
คนไหนเอาไปใช้ได้จริง เขาก็ไม่หวั่นไหว ใช้ได้มาก ก็เห็นคุณค่ามาก
ผู้ใดใช้ประโยชน์ไม่ได้ เขาก็เห็นเป็นขยะ เป็นส่วนเกิน หาค่าไม่มี

สำหรับผม หลวงพ่อปราโมทย์เหมือนพ่อเหมือนแม่ผู้ให้กำเนิดสู่ธรรม
ผมยอมรับนับถือในพระพุทธเจ้าอย่างหมดหัวใจ ไม่คลอนแคลน ก็เพราะหลวงพ่อ
อยู่รอดปลอดภัยจากปากเหยี่ยวปากกาในโลกของธรรมก็เพราะหลวงพ่อ
เคยแต่คิดแต่ฝันว่าจะอยากเป้นนั่นเป็นนี่
แต่หลวงพ่อทำให้เหลือความฝันอันเดียวคือ นิพพาน

ชาติสยามมีความรู้อัน ก็พึงทราบว่ามาจากหลวงพ่อปราโมชแทบทั้งสิ้น
ก็เพราะหลวงพ่อนี่แหละ ผมถึงได้พบพระพุทธ พระธรรม

ผู้ใดอยากมีความรู้เหมือนชาติสยามก็ฟังหลวงพ่อปราโมทย์มากๆ
อันใดไม่รู้ก็ลองเชื่อๆทำๆไปก่อน
อันใดทำได้เองแล้ว ความเชื่อมันก็หายไป กลายเป็นความรู้ขึ้นมาเอง


ที่ท่าน ชาติสยามพูดมาก็มีส่วนถูก

แต่ผมเห็นอย่างชัดเจนว่า

พ่อแม่ที่ให้กำเหนิดลูกแต่ก็วางยาพิษใส่ลูกไปด้วย

พ่อแม่แบบนี้น่ารักมาก

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ที่ท่าน ชาติสยามพูดมาก็มีส่วนถูก

แต่ผมเห็นอย่างชัดเจนว่า

พ่อแม่ที่ให้กำเหนิดลูกแต่ก็วางยาพิษใส่ลูกไปด้วย

พ่อแม่แบบนี้น่ารักมาก


ก็น่ารักจริงๆ ผมก็รักของผม
จะชั่วจะโง่ยังไง ผมก้รักของผม

พ่อแม่จริงๆของผมก็วางยาพิษ เลี้ยงลูกผิดๆถูกๆ ประจำ
ตีก็มี ด่าก็มี มานะ โลภะ โทสะ ทั้งนั้น
บังคับให้ไปดูหมอสะเดาห์อะไรก็มี

แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ลูก ที่จะไปทำลายพ่อแม่ ด้วยเหตุเช่นว่านั้น

บางเรื่องพ่อแม่ก้รู้ดีกว่าเรา บางเรื่องเราก้รู้ดีกว่าพ่อกว่าแม่
อยู่ด้วยกัน ดูแลกัน
ไม่ใช่ต้องมาทำลายให้ราบคาบลงไป
เหยียบพ่อเหยียบแม่ลง แล้วได้อะไร?

ลูกคนไหนพัฒนาตัวเองได้ดีกว่าพ่อแม่ ก็มาพาพ่อพาแม่ให้เจริญในธรรมขึ้นไป
พระพุทธเจ้าท่านจะยกย่ิองว่าเป็นการตอบแทนพ่อแม่ที่แท้จริง


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 22 ก.พ. 2010, 22:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 22:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีพ่อแม่ที่ไหน..หากรู้..แล้ว..จะทำลงไปได้หรอกครับ

มีแต่..เพราะไม่รู้

ทุกวันนี้..พ่อแม่ที่ใส่ยาพิษเพราะ..ไม่รู้..มีเยอะ

เลี้ยงลูก..ให้ลูกเสียคน

ลูกร้องอยากกินขนม..ก็ตามใจเพราะไม่อยากยินเสียงร้อง..ร้องอีกก็ซื้ออีก
ลูกอยากเล่นเกม..ก็ซื้อมา..เพราะกลัวมันจะหนีไปเล่นข้างนอก..
ลูกอยาก......พ่อแม่ตาม....
ลูกอยาก......พ่อแม่ตาม....
ลูกอยาก......พ่อแม่ตาม....

จนลูกติด..ว่าอยากได้อะไร..ก็ต้องได้..อยากได้ก็ร้องเอา..เดียวพ่อแม่ก็ให้..จนได้

จนลูกทำอะไรเอง..ไม่เป็น

:b32: :b32: :b32:

พ่อแม่ใส่ยาพิษ..ของคุณขงเบ้งฯ..เป็นอย่างนี้หรือเปล่า

:b32: :b32:

หากไม่เป็น..ก็มองให้เป็น..ให้ได้ก็แล้วกัน

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 22:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

หากไม่เป็น..ก็มองให้เป็น..ให้ได้ก็แล้วกัน

:b12: :b12:


ไม่ยากเลย ทำดูเอา ทดลองดูเลย
จริงไม่จริง พิสูจน์กันไปเลย

ถามว่า ฟังคุณกบกับคุณขงอีกกัปหนึ่ง ผมจะได้อะไรไหม
เตี้ยอุ้มค่อมทั้งนั้นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จากท่านชาติสยาม จากกระทู้ viewtopic.php?f=2&t=22849

พระอรหันต์นั้นไม่ขัดกันด๊อกกก พี่น้อง
เพราะสัจธรรมนั้นมันเป็นของ สากล
เหมือนกัน รสเดียวกัน
ผู้ใดถึงแล้ว เห็นแล้ว ย่อมถึงและเห็นในสิ่งสิ่งเดียวกัน
แต่ว่าเป้นเราต่างหากที่ไปเข้าใจว่า ท่านสอนขัดกัน


ท่านชาติครับ คราวนี้ผมว่าระหว่างความปราโมท (http://www.wimutti.net/pramote/) กับความสงบ (http://www.sa-ngob.com ) นั้นแตกต่างกันแล้วนะครับ สำหรับพระุคุณเจ้าพระไพศาล วิสาโล ที่ได้อธิบายมานั้นก็เป็นความเห็นส่วนตัวโดยแท้มิไดพิเคราะห์ถึงสาเหตุ ดังที่พระอาจารย์สงบได้ชี้แจ้งแถลงไว้เช่น มิต้องจงใจ ว่างๆๆๆ อย่าไปบังคับบัญชา จิตเคลิ้ม จิตเยิ้ม ธรรมะสำหรับคนเมือง ฯลฯ
เมื่อก่อนผมก็ปวดเศียรเวียนเกล้ากับคำเหล่านี้มาก เลยไปอ่านประทีปส่งธรรม(3 รอบ) กับวิมุติมรรคที่ท่านแต่งยิ่งปวดเศียรเข้าไปใหญ่ว่าสอนอะไรแบบนี้หนอเล่นเอามึนและเสียเซ้วไปพักใหญ่ มีน้องบางคนโดนทักว่าสว่างแล้ว กลับมานั่งสัปงกบ้าง ฟังเพลงทั้งวัน ว่างไม่ได้ต้องเอาโทรศัพท์อันแสนแพงออกมากดติ๊ด เม๊ากับเพื่อนทั้งวัน ติดของเบรนเนมบ้าง ติดละคร พี่ที่ทำงานอีกคนไปบวชมา 4 เดือน ที่สวนฯ โดนทักว่าสว่างแล้วด้วยความตื่นเต้น ก็เลยเดินไปถามว่าปฏิบัติอย่างไรคำตอบคือ ว่างๆ นั่งไม่เคยเกิน 15 นาที เฮ้อเศร้าหมองโดยแท้ ผมก็นึกสว่างแล้วเป็นอย่างนี้หรือหนอ ถ้าจะให้ใจเป็นกลางก็น่าจะลองฟังที่พระป่าท่านทักท้วงบ้าง น่าจะดี โดยส่วนตัวธรรมะบ่มีทางลัด มิฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านคงสอนไปแล้ว มิต้องเพียรนั่งจนก้นแตกอย่างหลวงตา มิต้องเดินไปลำบากในป่าให้ยุงกัดอย่างหลวงปู่มั่น มิต้องทนเป็นไข้มาลาเรียอย่างหลวงปุ่แหวน หรือแม้ท่านพาหิยะเองในอดีตชาติก็ปฏิบัติจนตาย ฯลฯ

........กรรม มุนา วัตตะตี โลโก......... ในผู้ที่ปฏิบัติใหม่ผุ้ไม่เคยมาก่อน หรือผู้เคยแต่ปฏิบัติไม่จริงจัง ไม่ต่อเนื่อง พอไปเจอว่างๆ ก็จะติดใจเพราะง่ายดี แล้วก็รีบตัดสินใจทันทีว่าแบบนี้แหละสุโค่ย ใครเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง

เหอๆๆๆๆ กระทู้นี้จะโดนลบหรือไม่หนอ เคยไปโพสในลานธรรมถามเรื่องเพ่งพอตอบไม่ได้ลบโลด


อ้างคำพูด:
ที่องค์ฐานรานร้าวถึง9 แฉก
เผยอแยกยอดทรุดก็หลุดหัก
แต่เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก
เสียดายนัก นีกหน้าน้ำตาระเด็น
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีีมากแล้วยากเย็น
คิดก็เป็น อนิจจังเสียทั้งนั้น
http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%AA ... 27230.html


พระศาสนานี้เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกมาก โดยเฉพาะในหมวด สมาธิ และปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พ้นทุกข์โดยแท้จริง หากจะมีกรรมใดที่ข้าน้อยได้ทำไปด้วยเจตนาีที่จะดำรงรักษาไว้ซึ่งพระศาสนาให้คงอยู่ต่อไป ข้าน้อยก็ขอน้อมรับ

เจริญธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย อายะ เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 14:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอพูดตามตรง

อย่าปรามาสพระกันเลย อาจารย์ใครใครก็รัก ไม่เห็นด้วยก็ปล่อยไป... อย่ามาปรามาสกันแบบนี้ ไม่ดี T^T~


แก้ไขล่าสุดโดย kanalove เมื่อ 22 ก.พ. 2010, 23:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ถามว่า ฟังคุณกบกับคุณขงอีกกัปหนึ่ง ผมจะได้อะไรไหม


แม้..อาหยามนี้..นี้คำยอนะนี้.. :b22:

..กัปหนึ่ง..นี้นะ

ต้อง..

..ไม่รู้กี่กัปต่อกี่กัป..

นี้พอจะใกล้เคียง :b12: :b12:

อ้างคำพูด:
เตี้ยอุ้มค่อมทั้งนั้นแหละ


กบฯ..นะเตี้ย..แน่ ๆ

แต่อาหยาม..ดูไม่น่าจะค่อมเลยนะครับ :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
ขอพูดตามตรง

อย่าปรามาสพระกันเลย อาจารย์ใครใครก็รัก ไม่เห็นด้วยก็ปล่อยไป... อย่ามาปรามาสกันแบบนี้ ไม่ดี T^T~


เรียน ท่าน love กระผมมิได้เจตนาปรามาส ขนาดพระเสพยาบ้ากระผมยังใส่บาตรด้วยความเลื่อมใส แต่ในเรื่องคำสอนที่ทำใ้หคนตั้งใจปฏิบัติหนีทุกข์จำนวนมาก ไปติดอยู่นั้นไซร้ กระผมรับไม่ได้ที่จะทนดูอย่างเดียว


เจริญธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
ขอพูดตามตรง

อย่าปรามาสพระกันเลย อาจารย์ใครใครก็รัก ไม่เห็นด้วยก็ปล่อยไป... อย่ามาปรามาสกันแบบนี้ ไม่ดี T^T~


:b8: :b8:
อย่าว่าแต่เป็นอริยะบุคคล..เลยนะครับ

แม้แต่การไปปรามาส..ปุถุชน..ก็ได้แสดงตัวเลวของตัวเอง..ออกมาแล้ว

เคยเห็นตัวนี่กันบ้างไหมครับ...ตัวมานะ

ตัวร้าย..แบบเนียนลึก

:b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 22 ก.พ. 2010, 23:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


นั้นสินะคะ ถูกเลยคะ ><


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็ฟังแล้วที่หลวงพ่อสงบท่านเทศน์

คำว่า "ดูจิต"
หลวงพ่อสงบท่านเข้าใจว่า คือดูลงไปที่จิตที่เป้นธาตุรู้
ท่านจึงฟันธงทันทีว่า เป็นไปไม่ได้
จะเอาอะไรไปดูจิต ซึ่งถูกต้อง

แต่คำว่าดุจิต ของหลวงพ่อปราโมทย์ คือดูเจตสิก
ดุจิตคือสติระลึกรู้รูปนาม รู้ลงไปที่ปรมัตถ์
เมื่อบัญญัติต่างกัน ก็เป็นอย่างนี้

หลวงปู่เทสก์ใช้คำว่า "จิต" กับ "ใจ"
ภาษาเทคนิค คือ จิต กับเจตสิก

ภาษาพระป่าใช้คำว่า "ผู้รู้" แทนจิตที่เป้นธาตุรู้
และใช้คำว่า "สิ่งที่ถูกรู้" แทนเจตสิกธรรม หรือรูปนามที่ปรากฏแก่จิต

เห็นไหม ตรงไหนมันขัดกัน
ไม่เห็นมีขัดกัน หลวงพ่อสงบก็ถูกของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ก้ถูกของท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
แต่ในเรื่องคำสอนที่ทำใ้หคนตั้งใจปฏิบัติหนีทุกข์จำนวนมาก ไปติดอยู่นั้นไซร้ กระผมรับไม่ได้ที่จะทนดูอย่างเดียว

เจริญธรรม


:b8:

ด้วยความนับถือ..นะครับ..คุณอายะ

อย่าถือว่ากบฯ..สอนเลยนะครับ

คุณอายะ..ต้องฝ่าให้ผ่านด่านนี้นะครับ..ที่กำลังเป็นอยู่นี้แหละ

อะไรทุกข์......เพราะกิเลส..จึงทุกข์..
อะไรติด.......เพราะกิเลส...จึงติด..
อะไรรับไม่ได้..เพราะกิเลส..จึงรับไม่ได้..

ทักได้..ก็เขา..ทักไม่ได้..ก็เขา
สว่าง..ก็เขา..ไม่สว่าง..ก็เขา
ก้นจะแตก..ก็เขา..ก้นไม่แตก..ก็เขา

แต่ที่..ทุกข์..ทน..จนเครียด..นี้มันเรา

ผู้ที่สบายไปแล้ว..จะไปวิจารณ์ใคร..หรือ..ใครจะมาวิจารณ์..ท่านก็สบายของท่าน

เรายังไม่สบาย..จะไปทำเหมือนคนที่สบายไปแล้ว..คงไม่ใช่ฐานะ

โจทย์ข้อนี้..กบฯเอง..กำลังคลำไปสะเป๊ะสะป๊ะ..

ได้เท่าไร..ใจก็สบายเท่านั้น..

นับถือครับ :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 23 ก.พ. 2010, 00:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ผมก็ฟังแล้วที่หลวงพ่อสงบท่านเทศน์

คำว่า "ดูจิต"
หลวงพ่อสงบท่านเข้าใจว่า คือดูลงไปที่จิตที่เป้นธาตุรู้
ท่านจึงฟันธงทันทีว่า เป็นไปไม่ได้
จะเอาอะไรไปดูจิต ซึ่งถูกต้อง

แต่คำว่าดุจิต ของหลวงพ่อปราโมทย์ คือดูเจตสิก
ดุจิตคือสติระลึกรู้รูปนาม รู้ลงไปที่ปรมัตถ์
เมื่อบัญญัติต่างกัน ก็เป็นอย่างนี้

หลวงปู่เทสก์ใช้คำว่า "จิต" กับ "ใจ"
ภาษาเทคนิค คือ จิต กับเจตสิก

ภาษาพระป่าใช้คำว่า "ผู้รู้" แทนจิตที่เป้นธาตุรู้
และใช้คำว่า "สิ่งที่ถูกรู้" แทนเจตสิกธรรม หรือรูปนามที่ปรากฏแก่จิต

เห็นไหม ตรงไหนมันขัดกัน
ไม่เห็นมีขัดกัน หลวงพ่อสงบก็ถูกของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ก้ถูกของท่าน



มันไปผิดที่หลวงพ่อ ปราโมทย์ ล้มล้างคำสอนครูอาจารย์ว่า ไม่ต้องสัจธรรม ต้องของตัวเองถูก

ถ้าไปเจอวัดป่า แบบ นี้ เละงับ

ด้วยความหวังดี เรื่องนี้เงียบๆ ดีกว่างับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 06:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:50
โพสต์: 147

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ผมก็ฟังแล้วที่หลวงพ่อสงบท่านเทศน์

คำว่า "ดูจิต"
หลวงพ่อสงบท่านเข้าใจว่า คือดูลงไปที่จิตที่เป้นธาตุรู้
ท่านจึงฟันธงทันทีว่า เป็นไปไม่ได้
จะเอาอะไรไปดูจิต ซึ่งถูกต้อง

แต่คำว่าดุจิต ของหลวงพ่อปราโมทย์ คือดูเจตสิก
ดุจิตคือสติระลึกรู้รูปนาม รู้ลงไปที่ปรมัตถ์
เมื่อบัญญัติต่างกัน ก็เป็นอย่างนี้

หลวงปู่เทสก์ใช้คำว่า "จิต" กับ "ใจ"
ภาษาเทคนิค คือ จิต กับเจตสิก

ภาษาพระป่าใช้คำว่า "ผู้รู้" แทนจิตที่เป้นธาตุรู้
และใช้คำว่า "สิ่งที่ถูกรู้" แทนเจตสิกธรรม หรือรูปนามที่ปรากฏแก่จิต

เห็นไหม ตรงไหนมันขัดกัน
ไม่เห็นมีขัดกัน หลวงพ่อสงบก็ถูกของท่าน หลวงพ่อปราโมทย์ก้ถูกของท่าน

.....จริงๆแล้วมันต่างกันที่ พวกหนึ่งเห็นจิตมีดวงเดียวไม่เกิดดับ แต่อีกพวกเห็นจิตเป็นสภาวะ
ไม่เที่ยงเกิดดับ
ถ้าดูจิตตามความหมายของล.พ.ปราโมช ก็คือการที่จิตใหม่ไปดูจิตเก่าที่ดับไป
ที่ท่านชาติฯบอกดูเจตสิกความหมายคงเหมือนกัน เพราะเจตสิกเกิดพร้อมกับจิตและ
ดับไปพร้อมกับจิต
.....ส่วนอีกพวกที่ว่าจิตมีดวงเดียวไม่เกิดดับ และบอกว่าจิตเป็นธาตุรู้
อารมณ์ต่างๆที่เกิดเป็นเพียงอาการของจิต

......สรุปมันเป็นทิฐิครับ ทีนี้ก็ต้องดูว่าอันไหนเป็นสัมมา อันไหนเป็นมิจฉา
ต่างคนต่างเข้าใจในเรื่องจิตแตกต่างกันตั้งแต่ต้น การเอาบัญญัติมาอธิบายความ
ย่อมแตกต่างกัน มันเป็นหน้าที่เราเองที่จะวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลความเป็นไปได้
ของบัญญัติของแต่ละฝ่ายครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 112 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร