ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
สงสัย ครับ พ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่ากันครับ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=29667 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | witta [ 22 ก.พ. 2010, 13:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | สงสัย ครับ พ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่ากันครับ |
ได้คำตอบแล้วครับ ผมไม่ควรสงสัยเลย ได้รับคำชี้แนะมาครับว่า "เปรียบเหมือนถามว่า หูซ้ายกับหูขวา หูข้างไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน" ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ทั้งมารดา และบิดา เป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของบุตร เป็นผู้ควรรับของคำนับของบุตร และว่าเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร ๗. พรหมสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0 [๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใด บุตรบูชามารดาและบิดาอยู่ใน เรือนของตน ตระกูลนั้นชื่อว่ามีพรหม มีบุรพเทวดา มีบุรพาจารย์ มีอาหุไนย บุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหม เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพ- *เทวดา เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพาจารย์ เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าอาหุไนยบุคคล เป็นชื่อของมารดาและบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ มารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ถนอมเลี้ยง เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ มารดาและบิดาเรากล่าวว่า เป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ เป็น อาหุไนยบุคคลของบุตร เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร เพราะ เหตุนั้นแหละ บัณฑิตพึงนอบน้อมและพึงสักการะมารดาและ บิดาทั้งสองนั้น ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การขัดสี การ ให้อาบน้ำ และการล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ บุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว เพราะการปฏิบัติในมารดาและบิดา บุคคลนั้นละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... 943&Z=1157 ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒ ๒. โสณนันทชาดก เรื่องพระราชาไปขอขมาโทษโสณดาบส [๑๖๒] มารดาหวังผลคือบุตร จึงนอบน้อมแก่เทวดา และไต่ถามถึงฤกษ์ ฤดู และปีทั้งหลาย เมื่อมารดานั้นมีระดู ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ก็ย่อมมี เพราะสัตว์เกิดในครรภ์นั้นมารดาจึงแพ้ท้อง เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่าเป็นผู้มีใจดี มารดาบริหารครรภ์อยู่หนึ่งปี หรือหย่อนกว่าปีแล้วจึงคลอด เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ชนยนตีและชเนตตี ผู้ยังบุตรให้เกิด มารดาย่อมปลอบบุตรผู้ร้องไห้อยู่ ให้รื่นเริง ด้วยการให้ดื่มน้ำนมบ้าง ด้วยการขับกล่อมบ้าง ด้วยการอุ้ม แนบไว้กับอกบ้าง เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ปลอบบุตร ให้รื่นเริง ต่อแต่นั้น มารดาเห็นบุตรผู้ยังเป็นเด็กอ่อน ไม่รู้จักเดียงสา เล่นอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดดอันกล้าก็เข้ารับขวัญ เพราะเหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า โปเสนตี ผู้เลี้ยงดูบุตร มารดาย่อม คุ้มครองทรัพย์แม้ทั้งสองฝ่าย คือ ทรัพย์ของมารดาและทรัพย์ของบิดา เพื่อบุตรนั้น ด้วยตั้งใจว่า ทรัพย์ทั้งสองฝ่ายพึงเป็นของบุตรแห่งเรา มารดายังบุตรให้ศึกษาดังนี้ว่า อย่างนี้ซิลูกอย่างโน้นซิลูก ย่อมลำบาก เมื่อบุตรกำลังรุ่นหนุ่มคะนอง มารดาย่อมคอยมองดูบุตรผู้หลงเพลิดเพลิน ในภรรยาผู้อื่น จนพลบค่ำก็ยังไม่กลับมา ย่อมเดือดร้อนด้วยประการ ฉะนี้ บุตรผู้อันมารดาเลี้ยงดูมาแล้ว ด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุง มารดา บุตรนั้นชื่อว่าประพฤติผิดในมารดา ย่อมเข้าถึงนรก บุตรผู้ อันบิดาเลี้ยงมาด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุงบิดา บุตรนั้นชื่อว่า ประพฤติผิดในบิดา ย่อมเข้าถึงนรก เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุง มารดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย หรือบุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุง บิดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย หรือ บุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น ความรื่นเริง ความบันเทิง และความ หัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงมารดา ความรื่นเริงความบันเทิง และความหัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้ รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงบิดา สังคหวัตถุ ๕ ประการนี้คือทาน การให้ ๑ ปิยวาจา เจรจาคำน่ารัก ๑ อัตถจริยา การประพฤติ ประโยชน์ ๑ สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลาย ตามสมควร ในที่นั้นๆ ๑ ย่อมมีในโลกนี้ เหมือนเพลารถย่อมมี แก่รถที่กำลังแล่นไป ฉะนั้น ถ้าว่าสังคหวัตถุเหล่านี้ไม่พึงมีไซร้ มารดา ก็จะไม่พึงได้รับความนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร หรือ บิดาก็จะไม่พึงได้ความนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร ก็เพราะ บัณฑิตทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นสังคหวัตถุนี้ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้น ย่อมถึงความเป็นผู้ประเสริฐ และเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์พึงสรรเสริญ **** มารดาและบิดาบัณฑิตเรียกว่าเป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของ บุตร เป็นผู้ควรรับของคำนับของบุตร และว่าเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร เพราะเหตุนั้นแล บุตรผู้เป็นบัณฑิต พึงนอบน้อมและสักการะมารดา บิดาทั้ง ๒ นั้นด้วย ข้าว น้ำ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่นอน การขัดสี การ ให้อาบน้ำ และการล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุตรนั้น ด้วยการบำรุงในมารดาบิดาในโลกนี้ ครั้นบุตรนั้นละโลกนี้ไปแล้ว ย่อม บันเทิงในสวรรค์.**** ขอบคุณมากครับที่ชี้แนะ ขอขอบคุณทุก ๆ ท่านมากครับ |
เจ้าของ: | -dd- [ 22 ก.พ. 2010, 18:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สงสัย ครับ พ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่ากันครับ |
มารดาบิดาใครมีบุญคุณมากกว่ากัน ? เป็นการยากที่จะกล่าวว่า ใครมีคุณมากกว่าใคร มารดาต้องลำบากในการรักษาบริหารครรภ์ บิดาก็ลำบากในการทำงาน หาทรัพย์มาบำรุงเลี้ยงทั้งมารดาและบุตร มารดาต้องได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัสในการคลอดบุตร แต่ในเวลามารดาคลอดบุตร บิดาโดยทั่วไปก็ไม่อาจนั่งสบายใจอยู่ได้ เพราะจิตใจเป็นห่วง เป็นกังวลในมารดา เกรงว่ามารดาและบุตรจะไม่ปลอดภัย บางคนถึงกับนั่งไม่ติดที่ เพราะความกระวนกระวายใจ ฉะนั้น บิดาจึงเป็นทุกข์ไม่น้อยไปกว่ามารดา มารดาต้องลำบากในการเลี้ยงดูบุตรอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เล็กจนโต แต่บิดาก็ลำบากในการทำงานนอกบ้าน เพื่อหาทรัพย์มาบำรุงเลี้ยงดูบุตรในด้านการทำงาน มารดาและบิดาทำหนักเท่าๆ กัน ต่างกันแต่ประเภทของงานและสถานที่ทำงานเท่านั้น มารดาทำงานบ้านที่บ้าน เช่น การเลี้ยงลูก การทำกับข้าว การทำความสะอาดบ้าน และเครื่องใช้ไม้สอย ตลอดถึงเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ส่วนบิดาทำงานที่ต้องใช้กำลังกาย และกำลังความคิดภายนอกบ้าน ส่วนด้านความรักความหวังดีที่มีต่อบุตรนั้น มารดาบิดามีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ฉะนั้น จึงเป็นการยากที่จะกล่าวว่า ใครมีบุญคุณมากกว่ากัน ถ้าจะกล่าวว่ามีเท่ากันก็คงไม่ผิดเสียทีเดียว ที่มา: http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=12145 |
เจ้าของ: | kanalove [ 22 ก.พ. 2010, 18:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สงสัย ครับ พ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่ากันครับ |
พ่อแม่เปรียบเสมือนพระอรหันต์ของบ้านน่ะคะ มีความสำคัญ มีพระคุณเท่ากัน คะ เปรียบกันไม่ได้หรอกคะ ^^ ท่านมีพระคุณกับเราก็พอแล้ว เราจึงต้องทดแทนบุญคุณให้ดีที่สุด |
เจ้าของ: | จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ [ 22 ก.พ. 2010, 20:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สงสัย ครับ พ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่ากันครับ |
witta เขียน: สงสัย ครับ พ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่ากันครับ 1.เคยได้ยินว่า พระคุณพ่อ 20 พระคุณแม่ 12 รวมกันเป็น 32 คือยังไงหรอครับ 2.พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ (ที่มีอยู่ในพระไตรปิฏก) ขอบคุณมากครับที่ชี้แนะ เมื่อท่านทั้งหลายได้อ่านคำตอบที่ข้าพเจ้าจะตอบต่อไปนี้ จงทำความเข้าใจไว้ว่า เป็นการตอบตามประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มา ตามหลักวิชาการหลายๆด้าน ไม่ถือเป็นข้อยุติ แต่ให้ท่านทั้งหลายได้ใช้วิจารณญาณ และสมองสติปัญญาในการทำความเข้าใจนะขอรับ คำตอบ.... พ่อและแม่ มีพระคุณ ต่อลูก เท่าเทียมกันขอรับ ตอบ..ข้อ ๑... สิ่งที่คุณเคยได้ยินมา นั้นถูกต้องตามคตินิยมดูเหมือนจะเป็นทางคตินิยมทางภาคเหนือตอนบนนะขอรับ แต่คุณมีความเข้าใจไม่ถูกต้องขอรับ เพราะสิ่งที่คุณได้ยินมานั้น เป็นการเข้าใจผิดของคนที่รู้มาผิดๆ แล้วก็พูดกันผิดๆ ก็เลยผิดกันมาโดยตลอด ที่ถูกต้อง ต้องกล่าวว่า พระคุณพ่อมีกำลัง ๒๑ (ไม่ใช่ ๒๐) พระคุณแม่มีกำลัง ๑๒ หมายถึง การระลึกถึงคุณบิดามารดานั้น จะสร้างพละกำลังให้กับตัวเรา เพิ่มขึ้น เป็น ๒๑ เท่า หรือ ๑๒ เท่าจากกำลังของเรา ทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ขอรับ ไม่ได้หมายความว่า พระคุณของพ่อมีมากกว่าแม่ แต่หมายถึง กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ที่จะเกิดมีต่อบุคคลที่ระลึกถึงคุณบิดามารดา หรือบุคคลที่มีความกตัญญูกตเวที ต่อบิดามารดาอยู่เป็นนิจ คนทางภาคเหนือ จะนิยมสักไว้ที่หัวไหล่ด้านหน้าทั้งสองด้าน คือ พ่อด้านหนึ่ง แม่ด้านหนึ่งขอรับ ท่านทั้งหลายอ่านแล้ว โปรดได้ทำความเข้าใจให้ดีและทำความเข้าใจให้ถูกต้องนะขอรับ คำตอบสำหรับข้อสอง ในพระไตรปิฎก มีสอนไว้ แต่ข้าพเจ้ายังไม่ได้อ่าน คือ เคยอ่านในวารสารฉบับหนึ่งหรือหนังสืออะไร จำไม่ค่อยได้ แต่มีสอนไว้อย่างแน่นอนขอรับ คือมี ภิกษุ รูปหนึ่ง มีแม่หรือบิดาที่แก่ชราแล้ว แต่ท่านมีจิตศรัทธาในพระพุทธองค์ จึงได้ออกบวช แต่ยังไม่บรรลุธรรมชั้นอริยะบุคคล จึงเข้าไปถามพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับเรื่องบิดามารดา พระพุทธองค์ จึงตรัสอนุญาตให้ พระภิกษุรูปนั้น สามารถเลี้ยงบิดามารดาผู้แก่ชราได้ โดยการบิณฑบาตแล้วนำมาให้บิดามารดารับประทานก่อน เมื่่อเหลือ พระภิกษุรูปนั้น จึงฉันอาหาร ต่อจากบิดามารดาขอรับ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |