วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 12:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 19:03
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอถามเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องดวง กับศาสนาพุทธค่ะ

อยากทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการทำนายดวง ฯลฯ ไว้บ้างหรือไม่คะ
แล้วเคยได้ยินมาว่า คนที่ปฏิบัติธรรมจะทำให้ดวงเปลี่ยน ใครทำนายก็ไม่แม่น ตรงนี้มีความหมายว่าอย่างไรคะ จริงหรือไม่

ขอบคุณมากค่ะ tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า

สอนว่า ให้เชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม

ไม่ให้เชื่อ หมอดูผูกดวง ดูฤกษ์ยาม ไม่ให้เชื่อ สิ่งที่งมงาม

ที่ให้เชื่อโดยใช้ปัญญาไร่ตรอง

การดูดวงที่ว่า แล้วมาปฏิบัติธรรมแล้วจะไม่แม่นเพราะ

คนปฏิบัติธรรมไม่กลัวตาย

เพราะความตายไม่น่ากลัว

ไม่กลัวเสียเงิน ทอง

ไม่กลัวมีเคราะห์

เชื่อกรรมแท้แน่นอน

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Image-05x.jpg
Image-05x.jpg [ 275.98 KiB | เปิดดู 12609 ครั้ง ]
พระวังคีสะ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญเติบโตแล้ว ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์ในลัทธิของพราหมณ์ จนจบไตรเพท และได้เรียนมนต์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ฉวสีสมนต์ เป็นมนต์สำหรับพิสูจน์กะโหลหศีรษะของซากศพ แม้ตายแล้วหลายปีสามารถรู้ได้ว่าไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน วังคีสพราหมณ์ได้อาศัยมนต์นั้นเป็นเครื่องหาทรัพย์เลี้ยงชีวิต ในตอนแรกได้แสดงมนต์นั้นให้พวกชนชาวพระนครได้ดูกัน ต่อมาพวกพราหมณ์ทั้งหลายได้เห็นแล้วคิดกันว่า พวกเราอาศัยวังคีสพราหมณ์นี้เลี้ยงชีวิตได้ จึงได้พาเที่ยวไปสู่ชนบทน้อยใหญ่ประกาศแก่หมู่มนุษย์เหล่านั้นว่า วังคีสพราหมณ์นี้รู้มนต์วิเศษ คือ เมื่อร่ายมนต์แล้วใช้เล็บเคาะที่กะโหลกศีรษะแห่งสัตว์ที่ตายแล้วสามารถรู้ได้ว่า ผู้นี้ไปเกิดในนรก ผู้นี้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ผู้นี้ไปเกิดในเปรตวิสัย ผู้นี้ไปเกิดในเทวโลก เมื่อพวกมนุษย์ได้ยินประกาศอย่างนั้น มีความประสงค์จะถามถึงพวกญาติของตน ๆ บ้าง จึงจ่ายทรัพย์ให้ตามกำลังของตนมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วถามถึงที่เกิดของพวกญาติของตน ๆ

พวกพราหมณ์เหล่านั้นพาวังคีสพราหมณ์เที่ยวไปในนิคมและชนบทอย่างนี้แล้วกลับมาถึงพระนครสาวัตถี พักอยู่ในที่ใกล้พระเชตวันมหาวิหาร เช้าวันหนึ่งพวกพราหมณ์เหล่านั้นเห็นมนุษย์เป็นอันมากถือดอกไม้ธูปเทียนไปเพื่อจะฟังเทศน์ในพระเชตวันมหาวิหาร จึงถาม ครั้นทราบความนั้นแล้วจึงพูดว่า พวกท่านจะไปที่นั่นทำไม เพราะคนที่จะดีวิเศษเช่นกับวังคีสพราหมณ์ของพวกเราหาไม่ได้อีกแล้ว เพราะเธอเรียนรู้มนต์มาก พวกมนุษย์ก็เถียงว่า วังคีสพราหมณ์จะรู้อะไร คนที่จะเหมือนกับพระบรมศาสดาของพวกเราก็หาไม่ได้เหมือนกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างก็เถียงกันแต่ก็ตกลงกันไม่ได้ จึงได้พร้อมกันไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร

พระบรมศาสดาทรงทราบว่า พวกวังคีสพราหมณ์มาสู่ที่ประทับพระองค์จึงรับสั่งให้นำกะโหลกศีรษะคนตายมา ๕ กะโหลก คือ กะโหลกของสัตว์ที่เกิดในนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน มนุษยโลก เทวโลก อย่างละกะโหลก และกะโหลกศีรษะของพระขีณาสพอีกหนึ่งกะโหลก ตั้งเรียงไว้โดยลำดับ เมื่อวังคีสพราหมณ์เข้ามาเฝ้าแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่าเราได้ทราบว่า ท่านร่ายมนต์แล้วใช้เล็บเคาะกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่ตายแล้ว สามารถรู้ที่เกิดของเขาได้หรือ ? วังคีสพราหมณ์ กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์รู้ พระองค์จึงตรัสถามกะโหลกศีรษะของสัตว์ที่เกิดในที่ทั้งสี่ วังคีสพราหมณ์ก็ตอบได้ถูกต้องทั้งหมด พระองค์จึงตรัสประทานสาธุการว่าดีละ ๆ ถูกต้องละ จากนั้นพระองค์จึงตรัสถามกะโหลกที่ห้าว่า ผู้นี้ไปเกิดที่ไหน ? วังคีสพราหมณ์ร่ายมนต์แล้วเคาะกะโหลกแต่ไม่สามารถรู้ที่เกิดได้ เพราะเป็นกะโหลกศีรษะของพระอรหันต์ จึงนิ่งเฉยอยู่ พระบรมศาสดาตรัสถามว่า เธอไม่รู้หรือวังคีสะ ? ครั้นวังคีสพราหมณ์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้ พระองค์จึงตรัสว่าแต่เรารู้ เขาทูลถามต่อไปอีกว่าพระองค์รู้ด้วยอะไร ? พระพุทธองค์ประทานคำตอบว่า รู้ด้วยกำลังมนต์ของเรา

เมื่อวังคีสพราหมณ์ได้ทราบเช่นนั้นจึงได้ทูลขอเรียนมนต์นั้น พระองค์จึงตรัสว่าคนที่ไม่บวชเราให้เรียนไม่ได้ วังคีสพราหมณ์จึงคิดว่า ถ้าเราเรียนมนต์นี้ได้แล้ว เราจักเป็นใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ครั้นแล้วจึงได้ส่งพวกพราหมณ์ที่เหลือเหล่านั้นไปพร้อมกับสั่งว่า พวกท่านจงกลับไปรอเราอยู่ที่นั่นแหละสักสองสามวัน เราจักบวชในสำนักของพระบรมศาสดา ครั้นวังคีสพราหมณ์ได้อุปสมบทแล้ว พระบรมศาสดาประทานกรรมฐานมีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ ตรัสสั่งให้ท่องบ่นบริกรรมซึ่งมนต์นั้น ครั้นท่านสาธยายมนต์นั้นอยู่อย่างนี้ พวกพราหมณ์ก็คอยมาถามอยู่ว่าเรียนมนต์จบแล้วหรือยัง ? ก็ได้รับคำตอบว่า กำลังเรียนอยู่ ต่อมาไม่นานท่านพระวังคีสะก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

ครั้นท่านได้บรรลุพระอรหัตตผล เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ณ ที่ใด ๆ ก็ตาม ย่อมกล่าวคาถาสรรเสริญพระพุทธคุณของพระองค์บทหนึ่ง ๆ ก่อนเสมอ ด้วยเหตุนี้เอง พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างมีปัญญาปฏิภาณฉลาดในการผูกเป็นบทบาทคาถา ครั้นท่านพระวังคีสะดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน




--------------------------------------------------------------------------------

--------------------------------------------------------------------------------
ที่มาลอกเขามาอีกที :b13:
หาอ่านเต็มๆใน84000 เอาเองนะ ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 25 ก.พ. 2010, 23:32, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2010, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อยากทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการทำนายดวง ฯลฯ ไว้บ้างหรือไม่คะ


มีครับ ทรงสอนไว้ในนักขัตตชาดก ว่า:

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๙. นักขัตตชาดก
ว่าด้วยประโยชน์คือฤกษ์
[๔๙] ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนโง่เขลาผู้มัวคอยฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของ
ประโยชน์ ดวงดาวจักทำอะไรได้.
จบ นักขัตตชาดกที่ ๙.


อ่านรายละเอียดอธิบายในอรรถกถา นักขัตตชาดกว่าด้วย ประโยชน์คือฤกษ์ที่...
http://www.84000.org/tipitaka/atita100/jataka500.php?s=49

และในพระพุทธวจนะในสุปุพพัณหสูตร ย่อมหมายความว่า พระพุทธศาสนาถือหลักว่า ฤกษ์งามยามดีอยู่ที่การกระทำของตนเอง ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงอำนาจดวงดาวอีกเช่นกัน..ดังความว่า..

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

สุปุพพัณหสูตร

[๕๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย
ประพฤติสุจริตด้วยวาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลา
เช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วย
วาจา ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเที่ยง เวลาเที่ยงก็เป็นเวลาเที่ยงที่ดีของ
สัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย ประพฤติสุจริตด้วยวาจา
ประพฤติสุจริตด้วยใจ ในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่า
นั้น
สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็น
ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี และบูชาดี
ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย กายกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา
วจีกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา มโนกรรมเป็นส่วนเบื้องขวา
ความปรารถนาของท่านเป็นส่วนเบื้องขวา สัตว์ทั้งหลายทำ
กรรมอันเป็นส่วนเบื้องขวาแล้ว ย่อมได้ผลประโยชน์อัน
เป็นส่วนเบื้องขวา ท่านเหล่านั้นได้ประโยชน์แล้ว จงได้รับ
ความสุข จงงอกงามในพระพุทธศาสนา จงไม่มีโรค ถึง
ความสุข พร้อมด้วยญาติทั้งมวล ฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=7802&Z=7826

อ้างคำพูด:
แล้วเคยได้ยินมาว่า คนที่ปฏิบัติธรรมจะทำให้ดวงเปลี่ยน ใครทำนายก็ไม่แม่น ตรงนี้มีความหมายว่าอย่างไรคะ จริงหรือไม่
..

เรื่องนี้ อย่าว่าแต่คนปฏิบัติธรรมเลย แม้คนไม่ปฏิบัติธรรม หมอดูก็ไม่อาจทำนายได้แม่นทุกรายหรอกครับ..เพราะชีวิตของทุกคนเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปรตลอดทุกวินาที หาได้มีสิ่งใดถูกกำหนดไว้ตายตัวไม่..นี่คือหลักความจริงสากล..หากใครปฏิบัติธรรมจริง เขานั้นย่อมมีปัญญาเกิดขึ้น รู้ชัดถึงปัจจัยที่ประกอบในชีวิตเขาเองได้ จึงไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายไปพึ่งหมอดูที่ใหนๆอีก

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีผู้เดียวเท่านั้นที่พยากรณ์หรือดูอนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้ คือ พระพุทธเจ้า นอกนั้นผู้พยากรณ์ หรือผู้ดูอนาคต ผิดพลาดได้ทั้งนั้น

การพยากรณ์หรือดูอนาคต เป็นการดูผลของวิบากกรรมที่จะให้ผลกับเราในชาตินี้ เป็นเหมือนแผนที่อนาคตที่เป็นแปลงได้ เพราะวิบากกรรมในกฎแห่งกรรม เป็นเรื่องที่สามารถทำให้ดีขึ้นหรือเลวลงได้ จากการกระทำของเราในปัจจุบัน และในอนาคต

เราเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนปัจจุบัน และอนาคตของเราได้ จากการทำบุญใหม่ และทำบาปใหม่ สิ่งนี้จะไปเปลี่ยนดวงชะตาของเราในที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 00:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


sweetchilli เขียน:
ขอถามเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องดวง กับศาสนาพุทธค่ะ
อยากทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการทำนายดวง ฯลฯ ไว้บ้างหรือไม่คะ

ไม่ได้สอนให้มีความเชื่อเรื่องดวง สอนให้รู้จักมองเหตุและผลตามความเป็นจริง

อ้างคำพูด:
แล้วเคยได้ยินมาว่า คนที่ปฏิบัติธรรมจะทำให้ดวงเปลี่ยน ใครทำนายก็ไม่แม่น ตรงนี้มีความหมายว่าอย่างไรคะ จริงหรือไม่
ขอบคุณมากค่ะ tongue

จริงคะ เพราะผู้ปฎิบัติธรรมนั้น เมื่อมีสติไม่มีความประมาทแล้ว จะไม่สร้างเวรสร้างกรรมเพิ่มคะ จะมีแต่ชดใช้กรรม และสร้างบุญบารมีอย่างเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 00:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มีของมาฝาก..
:b12: :b12:

พระพุทธเจ้าต่ออายุให้เด็ก


--------------------------------------------------------------------------------

เรื่องนี้คัดลอกมาจากหนังสือ "รวมเรื่องจริง อิงพุทธประวัติ - พระไตรปิฎก ปาฏิหาริย์พระพุทธเจ้า" โดย นพ นันทวัน


ในเมืองทีฆะลัมพิกะ มีพราหมณ์หนุ่ม ๒ คน เป็นสหายกัน อยู่มาวันหนึ่งเกิดเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส จึงได้ชวนกันออกบวช บำเพ็ญตบะ อยู่ในป่านานถึง ๔๘ ปี ต่อมาพราหมณ์คนหนึ่งในสองคนนั้น เกิดความเบื่อหน่ายในเพศนักบวชขึ้นมาอีก จึงได้ลา เพื่อนพราหมณ์สึกออกมาเป็นฆราวาสตามเดิม

ในชีวิตของฆราวาส พราหมณ์ผู้นั้นได้พยายาม ทำมาหากินเหมือนกับชาวบ้านทั่วไป โดยได้ลงทุนซื้อวัวมาได้ เป็นหลักทรัพย์ประมาณ ๑๐๐ ตัว และดำเนินการรีดนมวัวขาย ไม่ช้าก็สามารถตั้งตัวได้ด้วยผลกำไรจากการขายนํ้านมวัว และเมื่อเห็นว่าตนเองมีฐานะมั่นคงอีแล้ว จึงคิดที่จะมีครอบครัว เพื่อจะได้มีลูกไว้สืบสกุล จึงได้สู่ขอหญิงคนหนึ่ง มาเป็นภริยาต่อมาก็ได้ ลูกชายคนหนึ่งสมความปรารถนา


ฝ่ายพราหมณ์ที่ยังอยู่ในเพศบรรพชิตนั้น เมื่อเพื่อนสึกแล้วก็ได้ละทิ้งสถานที่เดิมท่องเที่ยวจาริกไปตามถิ่นต่างๆอย่างโดดเดี่ยว เพื่อแสวงหาสถานที่วิเวกสำหรับบำเพ็ญตบะสืบต่อไป ท่านไม่คลายความเพียร จนกระทั่งในที่สุดได้บรรลุคุณวิเศษ ขั้นสามารถที่จะล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ท่านดำเนินชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเรื่อยไป อยู่มาวันหนึ่ง ก็หวนระลึกถึงบ้านเกิดจึงเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านและพักอยู่ในที่เดิม เพื่อนพราหมณ์ที่เป็นฆราวาสนั้นพอได้ทราบข่าวว่า เพื่อนของตนที่จากกันไปนานกลับมาเยี่ยมบ้านก็ให้รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้พาลูกเมียไปหาท่าน และทันที ที่ไปถึงก็ส่งลูกที่ยังเล็กอยู่นั้น ให้ภรรยาแล้ว ตนเองเข้าไปหมอกราบเพื่อน พราหมณ์ที่ยังบวชอยู่นั้น เสร็จแล้วก็คลานออกมารับลูก เพื่อให้โอกาสภริยา ได้เข้าไปกราบท่านบ้าง จากนั้นก็อุ้มลูกเข้าไปแล้วจับมือลูกให้ไหว้เพื่อนตน
เป็นที่น่าสังเกตว่า เวลาสองสามีภริยาไหว้ ท่านพราหมณ์ก็จะให้พรด้วยคำว่า "ทีฆายุโก โหหิ ฑีฆายุกา โหหิ"
( ขอให้ท่านจงมีอายุยืนนาน ) แต่พอเวลาที่สามีให้ลูกชายไหว้บ้าง ท่านกลับนิ่งเฉยเสีย หากล่าวคำใดอันเป็นการให้พรไม่

เพื่อนพราหมณ์พ่อของเด็กจึงเรียนถามว่า ทำไมถึงไม่ให้พรเด็กบ้าง ท่านพราหมณ์ตอบว่าให้พรไป ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเด็กนี้อีก ๗ วันก็จะตายแล้ว พอได้ฟังดังนั้น พราหมณ์ผู้เป็นพ่อก็รู้สึกตกใจมาก ด้วยความรักความเสียดายลูก ครั้นได้สติจึงเรียนถามท่านว่า จะมีทางช่วยชีวิตเด็กคนนี้บ้างไหม? ท่านพราหมณ์ก็ตอบว่า มีแต่ว่าฉันนั้นไม่รู้วิธีลึกซึ้งหรอกนะ ผู้ที่รู้วิธีและสามารถช่วยเด็กน้อยผู้นี้ได้เวลานี้ ในเมืองนี้ ก็เห็นจะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือ พระสมณโคดม

คัมภีร์บันทึกไว้ว่า ขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในเมืองนั้นพอดีแต่พราหมณ์ ผู้เป็นพ่อทีแรกที่ได้ฟังคำแนะนำ ของเพื่อนพราหมณ์ก็ให้รู้สึกอึดอัด ต่อการที่จะเข้าไปขอให้พระพุทธเจ้าช่วย เนื่องจากความแตกต่างทางลัทธิเป็นเหตุ เพราะพวกพราหมณ์ถือว่าตนเป็นคนชั้นสูง จึงไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปหาหรืออ่อนน้อมต่อใครนอกจากคนในวรรณะเดียวกัน แต่ท่าน พราหมณ์ผู้อยู่ในเพศบรรพชิตได้เตือนสติว่าเป็นการยึดถือที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้ายึดติดประเพณีก็ต้องเสียลูก แต่ถ้าต้องการลูกก็ต้องละทิ้งลัทธิประเพณีอย่างนั้นเสีย

เป็นเพราะความรักลูก ในที่สุดสองสามีภริยาก็ยอมพาลูกชายไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งขณะนั้นกำลังประทับอยู่ในกุฏิกลางป่า เมื่อไปถึงแล้วสามีก็เข้าไปกราบพระพุทธเจ้าก่อนเหมือนอย่างที่เคยทำกับท่านพราหมณ์เพื่อนของตน จากนั้นจึงถึงวาระ ของภริยาและลูก และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน กล่าวคือเมื่อสองสามีภริยา เข้ามากราบไหว้พระพุทธเจ้า ก็ตรัสอวยพรด้วยพระดำรัสว่า "ทีฆายุโก โหหิ ทีฆายุกา โหหิ" แต่พอถึงวาระเด็กบ้าง พระองค์กลับประทับนิ่งเฉยเสีย เมื่อพราหมณ์ผู้เป็นพ่อทูลถามถึงเหตุผล องค์สมณโคดมได้ตรัสบอกในทำนองเดียวกัน กับที่ท่านพราหมณ์ได้กล่าวมาแล้ว ในขณะเดียวกันก็ตรัสปลอบใจ ไม่เป็นไรหรอกอย่างกังวลใจไปเลย ทางที่จะช่วยชีวิตเด็กนั้นที่อยู่ แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เธอจะทำตามคำแนะนำของฉันได้ไหมล่ะ?

" ได้พระเจ้าข้า " พราหมณ์รีบตอบทันที ต่อจากนั้นพระองค์ก็ได้แนะนำว่า หลังจากกลับไปถึงบ้านแล้ว ให้พราหมณ์ทำปะรำพิธี ไว้ที่ประตูเรือน แล้วทำตั่งตัวน้อยสำหรับเด็กไว้กลางปะรำนั้นประมาณ ๘ หรือ ๑๖ ที่ จากนั้นก็ให้นิมนต์พระไปนั่งสวดพระปริตร บนอาสนะนั้นติดต่อกันมิให้ว่างเว้นเป็นเวลา ๗ วัน

พราหมณ์น้อมรับคำแนะนำของพระพุทธเจ้าแล้ว รีบกลับไปเรือนพร้อมด้วยภริยาและลูกชาย จัดการสั่งคนงานให้ทำตาม อย่างที่พระพุทธเจ้าแนะนำมาทุกประการ ครั้นทุกอย่างเรียบร้อย พระพุทธเจ้าก็จัดส่งพระไปให้ตามจำนวนที่พราหมณ์ต้องการ เพื่อทำการสวดพระปริตรติดต่อกันตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ก่อนที่พิธีจะเสร็จ พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปด้วยพระองค์เอง
คัมภีร์บันทึกไว้ว่า เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปบ้านพราหมณ์นั้น เทวดาในทุกจักรวาลได้มาชุมนุมกันที่บ้านของพราหมณ์นั้น ในขณะนั้นได้มียักษ์ตนหนึ่ง ชื่ออวรุทธกะ ซึ่งทำหน้าที่รับใช้ท่านท้าวเวสสุวัณมานานถึง ๑๒ ปี และวันนั้นเป็นวันสุดท้าย แห่งวาระการรับใช้ จึงได้ขอพรจากท้าวเวสสุวัณว่า อยากได้เด็กคนนี้ ท่านท้าวเวสสุวัณก็ประทานให้ ดังนั้นยักษ์ตนนั้นจึงมา ที่บ้านของพราหมณ์เพื่อที่จะมาเอาตัวเด็กไป แต่เป็นด้วยพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และสังฆานุภาพ ตลอดถึงอานุภาพ ของเทวดาต่างๆ จึงทำให้ยักษ์ตนนั้น ไม่มีโอกาสที่จะใกล้ชิดเด็ก และจะเอาชีวิตเด็กไปก็ทำไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงเป็นอันว่า อวรุทธกะยักษ์ ไม่สามารถจะเอาเด็กไปได้ เด็กจึงรอดพ้นจากความตาย และมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงวันที่ ๘
พอรุ่งอรุณของวันที่ ๘ พ่อแม่ก็อุ้มลูกชายไปถวายความเคารพพระพุทธเจ้า ซึ่งยังคงประทับอยู่ในที่นั้น
และทันทีที่เด็กน้อยที่ถวายความเคารพเสร็จ พระพุทธองค์ก็ตรัสอวยพรเด็ก ทีฆายุโก โหหิ ( ขอจงมีอายุยืนนานนะ )

ในการที่พระพุทธเจ้าช่วยให้กุมารรอดพ้น จากความตายและมีอายุยืนอยู่ได้ถึง ๑๒๐ ปีนั้น ภิกษุทั้งหลายที่ยังเป็นปุถุชน ได้นำถกเถียงวิจัยวิจารณ์กันว่า ในเรื่องนี้น่าจะมีเคล็ดอยู่บ้าง พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสแก้ ข้อสงสัยของภิกษุเหล่านั้นว่าไม่มีอะไรหรอก นอกจากทำให้เขามีความอ่อนน้อมรู้จักกราบไหว้ ผู้ที่มีคุณธรรมอันเหมาะสม ครั้นและพระองค์ก็ได้พระคาถาเป็นการสอนคนทั่วไปความว่า

คนที่กราบไหว้ผู้มีคุณธรรมอยู่เสมอ ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ( เมื่อทำใจให้อ่อนโยนอย่างนี้แล้ว ) อายุย่อมจะยืน ผิวพรรณย่อมผ่องใส ทำให้ได้รับความสุขและมีสุภาพพลานามัยที่แข็งแรง


:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 01:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การต่ออายุให้เด็ก ก็ประมาณว่า ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรคะ

เหมือนการที่เราไปปล่อยปลา ปลาเต่า ต่ออายุ น่ะคะ
โดยให้เจ้ากรรมนายเวรโมทนาบุญเรา ให้เขาได้รับบุญ ก็สามารถช่วยผ่อนกรรมหนักเป็นเบาได้คะ

เรื่องของคุณกบนั้น ที่สามารถต่ออายุให้เด็กได้ ก็เพราะใช้หลักเหตุ และผล คือ

ยักษ์ จะมาเอาตัวเด็กไปในเวลาที่กำหนด
พระพุทธเจ้า จึงช่วยเด็กโดยการไม่ให้ยักษ์เข้ามาใกล้เด็กได้ในระยะเวลาที่กำหนด

เหตุใดที่ช่วยได้ ท่านจะช่วย
แต่เหตุใดที่ท่านช่วยไม่ได้ ท่านจะปล่อยวาง แต่ก็มีจิตให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากบ่วงทุกข์

เป้นวิสัยของพรหมวิหาร 4 ที่เต็มบริบูรณ์คะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 01:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ดวงเหรอ

มันเป็นอย่างนี้

เปรียบเทียบเหมือนว่าเราปลูกต้นมะม่วงสัก 10 ต้นนะ
ซึ่่งหมายความว่า เมื่อได้เวลาเก็บเกี่ยว เราต้องได้เก็บเกี่ยวมะม่วงจำนวนสิบต้น

แต่ในความเป้นจริง กว่ามะม่วงจะโต เกิดอะไรขึ้นตั้งมากมาย
ในท้ายที่สุดเราอาจจะได้เห็บผลผลิตแค่ต้นเดียว สามต้น ห้าต้น
หรือมันตายหมด ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

ดวงก็เหมือนกัน ถ้าทำนายวันนี้ ว่าเราจะเป้นอย่างนี้อย่างนั้นในวันพรุ่งนี้
แต่เมื่อถึงเวลา มันจะเป็นอย่างอื่นไปก็ได้
เพราะผู้ทำนาย มีขีดจำกัดในการทำนาย

แต่พระพุทธเจ้าเรา เวลาท่านทำนาย ท่านไม่ได้ทำนายโดยตำราหรือว่าวิชาอะไร
แต่ท่านมีความสามารถในการหยั่งรู้อย่างไร้ขีดจำกัด รู้อนาคต รู้อดีต รู้กรรม
เช่นท่านสามารถหยั่งรู้ได้ว่า เราจะไปเกิดเป็นอะไร ชาติๆไหนจะโดนอะไร เคยทำอะไรมาจากชาติไหน
ทำกรรมอะไรมาถึงเป้นอย่างนี้ ทำกรรมอย่างนี้จะเกิดอะไรเมื่อไหร่
ความสามารถดังกล่าว เป้นความสามารถเฉพาะพระพุทธเจ้า มีหลาายอย่าง ชื่อ ตถาคตญาน (มี 10 อย่าง)

การทำนายของพระพุทธเจ้า จึงแตกต่างจากนักทำนายผู้อื่นที่อาศัยตำรา สถิติ พิธีกรรม

ดังนั้นที่ถาม ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า
คำว่าทำนายของพระพุทธเจ้า คือ"การหยั่งรู้ในความจริง"
ดังนั้น การทำนายของพระพุทธเจ้า ก็คือการพูดความจริง
โดยอาศํยเงื่อนไข ณ เวลาปัจจุบันที่ทำนายนั้นเป็นหลัก
ผลการทำนายคือ 100% ถ้าท่านพูดอะไรแล้ว ต้องเป้นจริง
เพราะท่านทราบจากเหตุ แล้วท่านไปหยั่งดูผล
คุณสมบัติของพระพุทธเจ้าคือพูดแ่ต่ความจริง ไม่พูดสิ่งที่ จริงบ้างไม่จริงบ้าง


แต่การทำนาย แบบหมอดูอะไรทำนองนี้ คือการดูไปตามตำราวิธีที่เขาสืบๆกันมา
มีขีดจำกัด ข้อจำกัดมาก เงื่อนไขก็มาก ผลการทำนายเป็น 50%


= กรรมเหนือหมอดู (เสฐียรพงษ์ วรรณปก)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=19076


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำนายทายทัก หรือการดูดวงก็เป็นศาสตร์ ๆหนึ่ง ซึ่งการดูดวง
มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว จำเรื่องตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้รึเปล่า
ก็มีการทำนายลักษณะไว้ว่า ถ้าออกบวชจะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
ถ้าเป็นฆราวาส จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ท่านโกณฑัญญะทำนาย
ไว้ทางเดียวว่า จะต้องออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก

แต่ดวงก็สามารถเปลี่ยนได้ มีเรื่องในสมัยพุทธกาล ที่ลูกเศรษฐีไม่ยอมทำงาน
จนผลาญสมบัติของพ่อแม่หมด จนต้องกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้า ก็ได้ตรัสว่า
หากลูกเศรษฐีตั้งใจปฏิบัติธรรม ก็จะได้บรรลุธรรม
นั่นหมายความ หากในปัจจุบันทำเหตุต่างกัน อนาคตก็เปลี่ยนไปตามทางที่เลือก
โดยปกติ การพยากรณ์ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นหนึ่งไม่มีสอง
นั่นคือ ถ้าทำนายไว้อย่างไร ก็ต้องเป็นไปทางนั้น

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


แก้ไขล่าสุดโดย kokorado เมื่อ 26 ก.พ. 2010, 12:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 13:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...การศึกษาวิชาความรู้ทางโลกที่ว่ามี 19 ศาสตร์...
...แต่โบราณไม่ว่าจะเป็นดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ เป็นต้น...
...พระพุทธเจ้าสมณโคดมก่อนเสด็จออกผนวชเรียนครบหมดทุกศาสตร์...
...และศาสนาพุทธนี้ไม่ให้พระดูดวง สะเดาะเคราห์ ฯลฯ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์...

:b8:
...การทำนายทายทักเป็นเรื่องที่กระทำได้ในผู้ที่เรียนมา...อย่างนอสตราดามูสทายแม่นล่วงหน้า...
...สิ่งเหล่านั้นเป็นของมีอยู่ และการทำนายแม่นยำจริงอยู่...ก็อาจเปลี่ยนได้จากกรรมที่ทำดังตัวอย่าง...
...ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิด...กรณีที่พระสารีบุตรเป็นผู้ที่ทำนายทายทักแม่นยำไม่เคยผิดพลาดเลย...
...มีอยู่ครั้งนึงท่านทำนายว่าสามเณรน้อยรูปนึงจะตายในเจ็ดวัน...พระรูปอื่นทราบเรื่องไม่รู้จะช่วยไง...
...ได้แต่อดสงสารไม่ได้...เลยให้เณรเดินทางไปเยี่ยมบ้าน...ขณะพักระหว่างทางสามเณรเห็นว่า...
...มีอะไรดิ้นๆอยู่บนดิน เข้าไปดูเห็นปลาตัวหนึ่งดิ้นรนบนพื้นดินเพราะขาดน้ำอยู่...ด้วยสงสารจึงคิดช่วย...
...ก็เลยเอามือช่วยตักปลาไปปล่อยลงแหล่งน้ำ...ด้วยความดีอันนี้ส่งผลให้7วันผ่านไปเณรไม่ตาย...
...เพราะว่า...บุญที่เมตตาสงสารช่วยเหลือปลาที่กำลังจะถึงอันตรายแก่ชีวิตรอดตายไงล่ะคะ...

:b12:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
การทำนายทายทัก หรือการดูดวงก็เป็นศาสตร์ ๆหนึ่ง ซึ่งการดูดวง
มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว จำเรื่องตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้รึเปล่า
ก็มีการทำนายลักษณะไว้ว่า ถ้าออกบวชจะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
ถ้าเป็นฆราวาส จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ท่านโกณฑัญญะทำนาย
ไว้ทางเดียวว่า จะต้องออกบวชเป็นพระพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก

แต่ดวงก็สามารถเปลี่ยนได้ มีเรื่องในสมัยพุทธกาล ที่ลูกเศรษฐีไม่ยอมทำงาน
จนผลาญสมบัติของพ่อแม่หมด จนต้องกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้า ก็ได้ตรัสว่า
หากลูกเศรษฐีตั้งใจปฏิบัติธรรม ก็จะได้บรรลุธรรม
นั่นหมายความ หากในปัจจุบันทำเหตุต่างกัน อนาคตก็เปลี่ยนไปตามทางที่เลือก
โดยปกติ การพยากรณ์ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นหนึ่งไม่มีสอง
นั่นคือ ถ้าทำนายไว้อย่างไร ก็ต้องเป็นไปทางนั้น



การที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ เพราะดูเหตุ แล้วพยากรณ์

ไม่ใช่การเดาเอา

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
ท่านขงเบ้ง / เขียน
การที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ เพราะดูเหตุ แล้วพยากรณ์

ไม่ใช่การเดาเอา

:b12:
...ถูกต้องแล้วคร้าบบบบบ...พระพุทธเจ้าเรียนมาทุกศาสตร์จนเชี่ยวชาญ...
...ทายลักษณะดี ไม่ดี ของบุคคลได้ เรียกว่าดูโหวเฮงเป็น ไม่งั้นจะมีเลือกคู่เหรอ... :b27:
...ไม่มีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่รู้เพียงแต่ว่าไม่ได้แสดงให้เห็นถ้าไม่มีความจำเป็น...
:b44: :b44:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 26 ก.พ. 2010, 15:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b20:
...ตอบไว้ก่อนเผื่อมีคนสงสัยว่า...ทำไมรู้เยอะจัง...
...ขอบอกว่าอ่าน อ่าน อ่าน และศึกษาประวัติพระพุทธเจ้าฯ...
...ชอบมากและประทับใจในพระองค์ท่านม๊ากมากค่า...
:b12:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นเรื่องของภาษาล่ะครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่า พระพุทธเจ้าเดาซะหน่อย และที่ท่านบอกผมก็ทราบ
แต่คำที่เขียนคงกินความไม่ครบถ้วน

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


แก้ไขล่าสุดโดย kokorado เมื่อ 26 ก.พ. 2010, 17:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 50 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร