ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=29786 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 |
เจ้าของ: | kanalove [ 27 ก.พ. 2010, 11:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
เมือเกิดเหตุไม่ดีขึ้นในบ้านเมือง คนในสังคมไม่ควรที่จะนิ่งดูดาย ควรที่จะร่วมช่วยกันแก้ปัญหาสังคม อย่าปล่อยไว้เพียงเพราะว่า "มันไม่เกี่ยวกับเรา" "แค่นิดหน่อยไม่เป็นไรน่า..." แบบนั้นคุณเองก็มีสิทธิ์เป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่รักบ้านเมืองหรือที่ถิ่นที่ตัวเองอยู่ได้เช่นกัน เราควรที่จะร่วมลุกขึ้นมาต่อต้าน สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และเพื่อสังคมอันสงบสุขของเรา ให้กลับมา |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 27 ก.พ. 2010, 12:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
จขกท.ขอรับ ขออะไรอย่างได้ไหม อย่างเดียวพอ เอาชื่อนักการเมืองคนนั้นกับลิงค์คำพูดของเขาออกไปที |
เจ้าของ: | kanalove [ 27 ก.พ. 2010, 13:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
คงเอาออกไม่ได้อะคะ เพราะว่าเขาเป็นผู้ทำบทความนี้ และบทความนี้เราก็ไปดึงของเขามา ให้เครดิตน่ะคะ ไม่สำคัญว่าจะเป็นเรื่องอะไร สำคัญที่เนื้อหาคะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 27 ก.พ. 2010, 13:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
นำของผู้ที่ไม่ใช่นักการเมืองจะมีเครดิตมากกว่าของนักการเมือง |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 27 ก.พ. 2010, 13:46 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย | ||
วิกกฤติการณที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ซึ่งไม่น่าเป็นได้ในสังคมพุทธ http://www.bangkok-today.com/node/4490 ไทยฆ่าไทยให้ชาติอื่นครอง วิญญาณปู่จะร้อง...ลูกหลานอะไร
|
เจ้าของ: | kanalove [ 27 ก.พ. 2010, 14:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
อ่านแล้วจับใจความได้ว่าอะไร ก็เอาตามนั้นแหละคะ ^^ |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 27 ก.พ. 2010, 16:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
![]() ![]() ![]() อนุโมทนาสาธุด้วยครับ กรัชกาย เขียน: จขกท.ขอรับ ขออะไรอย่างได้ไหม อย่างเดียวพอ เอาชื่อนักการเมืองคนนั้นกับลิงค์คำพูดของเขาออกไปที เห็นด้วยครับ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | โฮฮับ [ 27 ก.พ. 2010, 18:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
kanalove เขียน: คงเอาออกไม่ได้อะคะ เพราะว่าเขาเป็นผู้ทำบทความนี้ และบทความนี้เราก็ไปดึงของเขามา ให้เครดิตน่ะคะ ไม่สำคัญว่าจะเป็นเรื่องอะไร สำคัญที่เนื้อหาคะ แล้วไปเอามาทำไม มีจุดประสงค์อะไรครับ ชาวบ้านเขาทำมาหากินอยู่ดีๆคุณก็มาบังคับให้เลือกข้าง เขาเลือกโดยทำอาชีพสุจริต เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย แค่นี้ก็เลือกข้างแล้ว คือเลือกอยู่ข้างบ้านเมือง การที่คุณจะให้ไปเชื่อนักการเมือง ที่ให้เลือกข้างด้วยการแตกแยก เชิญคุณทำไปคนเดียวเถอะ แบบนี้ต้องเรียก "ฟ้าคงสะใจ" ![]() |
เจ้าของ: | kanalove [ 27 ก.พ. 2010, 19:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
วรานนท์ เขียน: :b8: ![]() ![]() อนุโมทนาสาธุด้วยครับ กรัชกาย เขียน: จขกท.ขอรับ ขออะไรอย่างได้ไหม อย่างเดียวพอ เอาชื่อนักการเมืองคนนั้นกับลิงค์คำพูดของเขาออกไปที เห็นด้วยครับ ![]() ![]() ![]() อ่าเคคะ คุณวรานนท์ จะเอาชือ่นักการเมืองออกคะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 ก.พ. 2010, 10:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
ความเป็นมาการแบ่งชน (คน) เป็นชั้น ๆ เรียกว่าวรรณะ ในสังคมอินเดีย ดินแดนพุทธภูมิ พิจารณาดูว่า เกิดมาจากอะไร ใครเป็นคนแบ่ง เริ่ม... คำว่า “อริยะ” ตรงกับภาษาสันสกฤตว่า “อารยะ” เป็นชื่อเรียกเผ่าชนที่อพยพเข้ามาทางตะวันตก เฉียงเหนือของชมพูทวีป คือ ประเทศอินเดีย เมื่อหลายพันปีมาแล้ว และรุกไล่ชนเจ้าถิ่นเดิม ให้ถอยร่นลงไปทางใต้และป่าเขา พวกอริยะ หรือ อารยะนี้ (เวลาเรียกเป็นเผ่าชนนิยมใช้ว่า พวกอริยกะ หรืออารยัน) ถือตัวว่า เป็นพวกเจริญ และ เหยียดชนเจ้าถิ่นเดิมลงว่า เป็นพวกมิลักขะ หรือ มเลจฉะ คือพวกคนเถื่อน คนดง คนดอย เป็นพวกทาส หรือพวกทัสยุ ต่อมาเมื่อพวกอริยะเข้าครอบครองถิ่นฐานมั่นคง และ จัดหมู่ชนเข้าในระบบวรรณะลงตัว ให้พวกเจ้าถิ่นเดิม หรือ พวกทาสเป็นวรรณะศูทร แล้ว คำว่า อริยะ หรือ อารยะ หรือ อารยัน ก็หมายถึงชน ๓ วรรณะต้น คือ กษัตริย์ พราหมณ์ และแพศย์ ส่วนพวกศูทร และ คนทั้งหลายอื่น เป็นอนารยะทั้งหมด |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 28 ก.พ. 2010, 11:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
^ ^ พิจารณา คห.บน (การแบ่งชนชั้น)กับ คห.นี้ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา อาจมองเห็นวิกกฤติที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองและกับประชาชน จากหลักฐานต่างๆ ทางฝ่ายคัมภีร์และประวัติศาสตร์ พอจะวางภาพเหตุการณ์ และสภาพสังคมครั้งพุทธกาล ได้คร่าวๆ ดังนี้ -พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในชมพูทวีป เมื่อประมาณ 2,600 ปีล่วงแล้ว ทรงประสูติในวรรณะกษัตริย์ พระนามเดิมว่าเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองแคว้นศากยะ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้าน ตะวันออกเฉียงเหนือ ของชมพูทวีป ติดเชิงเขาหิมาลัย ในฐานะโอรสกษัตริย์และเป็นความหวังของราชตระกูล พระองค์จึงได้รับการปรนปรือด้วยโลกียะสุขต่างๆ อย่างเพียบพร้อม และได้ทรงเสวยความสุขอยู่เช่นนี้เป็นเวลา นานถึง 29 ปี ทรงมีทั้งพระชายาและพระโอรส ความเป็นไปในทางการเมือง -ครั้งนั้น ในทางการเมือง รัฐบางรัฐที่ปกครองแบบราชาธิปไตยกำลังเรืองอำนาจขึ้น และกำลังพยายาม ทำสงครามแผ่ขยายอำนาจและอาณาเขตออกไป รัฐหลายรัฐ โดยเฉพาะที่ปกครองแบบสามัคคีธรรม (หรือแบบสาธารณรัฐ) กำลังเสื่อมอำนาจลงไปเรื่อยๆ บางรัฐ ก็ถูกปราบรวมเข้าในรัฐอื่นแล้ว บางรัฐ ที่ยังเข้มแข็งก็อยู่ในสภาพตึงเครียด สงครามอาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ แม้รัฐใหญ่ที่เรืองอำนาจ ก็มีการขัดแย้งรบพุ่งกันบ่อยๆ ทางเศรษฐกิจ -ในทางเศรษฐกิจ การค้าขายกำลังขยายตัวกว้างขวางขึ้น เกิดมีคนประเภทหนึ่ง มีอิทธิพลมากขึ้นในสังคม คือ พวกเศรษฐี ซึ่งมีสิทธิมีเกียรติยศ และอิทธิพลมากขึ้นแม้ในราชสำนัก ทางสังคม -ในทางสังคม คนแบ่งออกเป็น 4 วรรณะ ตามหลักคำสอนของพราหมณ์ มีสิทธิเกียรติฐานะ ทางสังคม และอาชีพการงาน แตกต่างกันไปตามวรรณะของตนๆ แม้นักประวัติศาสตร์ฝ่ายฮินดูจะว่า การถือวรรณะในยุคนั้น ยังไม่เคร่งครัดนัก แต่อย่างน้อย คนวรรณะศูทร ก็ไม่มีสิทธิที่จะฟัง หรือกล่าวความในพระเวทอันเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์ได้ ทั้งมีกำหนดโทษไว้อย่างรุนแรงถึงผ่าร่างกายเป็น 2 ซีกด้วย และ คนจัณฑาล หรือ พวกนอกวรรณะ ก็ไม่มีสิทธิได้รับการศึกษาเลย การกำหนดวรรณะ ก็ใช้ชาติกำเนิดเป็นเครื่องแบ่งแยก โดยเฉพาะพวกพราหมณ์ กำลังพยายามยกตนขึ้น ถือตนว่าเป็นวรรณะสูงสุด ทางศาสนา -ส่วนในทางศาสนา พวกพราหมณ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้รักษาศาสนาพราหมณ์สืบต่อกันมา ก็ได้พัฒนาคำสอนในด้านลัทธิพิธีกรรมต่างๆ ให้ลึกลับซับซ้อนใหญ่โตโอ่อ่าขึ้น พร้อมกับที่ไร้เหตุผลลง โดยลำดับ การที่ทำดังนี้ มิใช่เพียงเพื่อวัตถุประสงค์ทางศาสนาเท่านั้น แต่มุ่งสนองความต้องการของผู้มีอำนาจ ที่จะแสดงเกียรติยศ ความยิ่งใหญ่ของตนประการหนึ่ง และ ด้วยมุ่งหวังผลประโยชน์ตอบแทน ที่จะได้จากผู้มีอำนาจเหล่านั้นอย่างหนึ่ง พิธีกรรมเหล่านี้ ล้วนชักจูงให้คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเองมากขึ้น เพราะหวังผลตอบแทน เป็นทรัพย์สมบัติและกามสุขต่างๆ พร้อมกันนี้ ก็ก่อความเดือดร้อนแก่คนชั้นต่ำ พวกทาสกรรมกรที่ต้องทำงานหนัก และการทารุณต่อสัตว์ด้วยการฆ่าบูชายัญครั้งละเป็นจำนวนมากๆ สภาพเช่นนี้ สรุปสั้นๆ คงได้ความว่า ยุคนั้น คนพวกหนึ่ง กำลังรุ่งเรืองขึ้นด้วยอำนาจวาสนา และ กำลังเพลิดเพลินมัวเมา แสวงหาทรัพย์สมบัติ และ ความสุขทางวัตถุต่างๆ พร้อมกับที่คนหลายพวก กำลังมีฐานะ และ ความเป็นอยู่ด้อยลงๆ ทุกที ไม่ค่อยได้รับความเหลียวแล ส่วนคนอีกพวกหนึ่ง ก็ปลีกตัวออกไปเสียจากสังคมทีเดียว ไปมุ่งมั่นค้นหาความจริงในทางปรัชญา โดยมิได้ใส่ใจสภาพสังคมเช่นเดียวกัน viewtopic.php?f=2&t=19015 |
เจ้าของ: | hobbit [ 28 ก.พ. 2010, 12:19 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
อ่านแล้วครับ ผมว่าคุณมองโลกแคบไปนะ ถ้าคุณมองถ้าคุณมองให้ละเอียดกว่านี้ ผมเชื่อว่ากระทู้นี้จะไม่ถูกสร้างขึ้นมาครับ ศาสนาพุทธไม่เสื่อม ที่เสื่อมคือความไม่เข้าใจในศาสนาพุทธครับ....ขออภัยถ้าผมล่วงเกิน ![]() |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 01 มี.ค. 2010, 09:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
อ้างคำพูด: เมื่อพวกอริยะเข้าครอบครองถิ่นฐานมั่นคง และ จัดหมู่ชนเข้าในระบบวรรณะลงตัว ให้พวกเจ้าถิ่นเดิม หรือ พวกทาสเป็นวรรณะศูทร แล้ว คำว่า อริยะหรือ อารยะ หรือ อารยัน ก็หมายถึงชน ๓ วรรณะต้น คือ กษัตริย์ พราหมณ์ และแพศย์ ส่วนพวกศูทร และ คนทั้งหลายอื่น เป็นอนารยะทั้งหมด เมื่อชาวอารยันแบ่งชนชั้นเป็น ๔ วรรณะอย่างนั้นแล้ว ชนชั้นวรรณะปกครองประเทศปกครองบ้านเมือง ก็ออกกฎกติกาขึ้นมากดขี่ข่มเหงคนระดับล่างๆ คือ วรรณะศูทร ไม่ให้ได้สิทธิ์มีเสียงมีโอกาสทางการศึกษา ทางสังคม (คือ อยู่ยังไงก็อยู่ยังงั้น พ่อแม่เป็นศูทรเป็นทาส ลูกหลานที่เกิดมาก็ต้องเป็นศูทรตามพ่อแม่) แล้วเขียนกติกาปกครองประเทศสูงสุดเอื้อประโยชน์แก่วรรณะของตน แม้ทำผิดก็ไม่ผิด เป็นต้น หากคนคัดค้านไม่เห็นด้วย จะถูกสร้างเรื่องกล่าวร้ายแล้วถูกลงโทษขั้นรุนแรงถึงกับเอาชีวิตเลยทีเดียว นักบวชก็ไม่เว้นหากไม่เห็นด้วย ส่วนพวกพราหมณ์ก็ทำหน้าที่ทำนายทายทักดวงเมืองและผู้คน (คล้ายๆโหรในไทยซึ่งสถิตอยู่ทางอุตรทิศ) ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ หรือทางศาสนาเพื่อโน้มน้าวจิตใจคนให้คล้อยตาม เช่น ว่าผู้ที่เกิดในวรรณะศูทร ก็ต้องเป็นศูทรเป็นทาสจนวันตาย เกิดมายากจนยังไงก็จนอยู่ยังงั้นแหละ เพราะเป็นผลกรรมของแกซึ่งทำไว้ ในปางก่อน |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 01 มี.ค. 2010, 09:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
(การถือวรรณะอย่างนั้น เป็นเรื่องของชนชาติ เป็นไปตามกำเนิดจะเลือกหรือแก้ไขไม่ได้) เมื่อพระพุทธเจ้าออกประกาศพระศาสนา พระองค์ได้ทรงสอนใหม่ว่า ความเป็นอริยะหรือ อารยะไม่ได้อยู่ที่ ชาติกำเนิด แต่อยู่ที่ธรรมซึ่งประพฤติปฏิบัติ และฝึกฝนอบรมให้มีขึ้นในจิตใจของบุคคล ใครจะเกิดมาเป็นชนชาติใด วรรณะไหนไม่สำคัญ ถ้าประพฤติอริยธรรมหรืออารยธรรม ก็เป็นอริยะคืออารยชนทั้งนั้น ใครไม่ประพฤติก็เป็นอนริยะ หรือ อนารยชนทั้งสิ้น สัจธรรม ก็ไม่ต้องเป็นของที่พวกพราหมณ์ผูกขาดโดยจำกัดตามคำสอนในคัมภีร์พระเวท แต่เป็นความจริงที่เป็นกลางมีอยู่โดยธรรมดาแห่งธรรมชาติ ผู้ใดรู้แจ้งเข้าใจสัจธรรมที่มีอยู่โดยธรรมดานี้ ผู้นั้นก็เป็นอริยะหรืออารยะ โดยไม่จำเป็นต้องศึกษาพระเวทของพราหมณ์แต่ประการใด และเพราะการรู้สัจธรรมนี้ทำให้คนเป็นอริยะ สัจธรรมนั้น จึงเรียกอริยสัจจ์ (คำว่า อริยะ ซึ่งแปลว่าเจริญ พระพุทธศาสนายืมมาใช้เรียกผู้เข้าถึงสัจธรรมว่า อริยชน) |
เจ้าของ: | นิรินธน์ [ 01 มี.ค. 2010, 16:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วิกฤติบ้านเมืองที่ถูกเพิกเฉยดูดาย |
สงสัย.....บอร์ดสนทนาของลานธรรมจักรเป็นบอร์ดการเมืองหรือบอร์ดสนธนาธรรม???? หรือหากเป็นการเมือง......เป็นของฝ่ายไหน - เหลือง / แดง??? มิใช่อื่นใด.....เพียงต้องการความมั่นใจในการเข้าใช้-เปิดดูเท่านั้น |
หน้า 1 จากทั้งหมด 3 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |