วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 05:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




070dsq.jpg
070dsq.jpg [ 25.51 KiB | เปิดดู 3803 ครั้ง ]
tongue

อ้างคำพูด:
ทำไมเราต้องไปพระนิพพาน ค๊ะ


ก็เพราะ นิพพาน เป็นที่สิ้นสุด ทุกข์ และความเวียนว่ายตายเกิด จ๊ะ

:b8: :b8: :b8: :b20: :b20: :b20: :b12: :b12: :b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 10:36
โพสต์: 32

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่ไปนิิพานหลอกครับ มันไกลเกินไปสำหรับผม ผมยังต้องเป็นลูก
เป็นเพือน เป็นสามี และก็เป็นอะไรอีกหลายอย่าง ผมศึกษาธรรมะก็เพื่อ
นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยศึกษาจากคำสอนของท่านพุธทาส การเป็น
อยู่โดยมีกิเลสและตันหาล้อมรอบตัวนั้น ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ถ้าทายนะครับ
ผมเอาชนะมัน ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า ทุกข์จริงๆนั้นเป็นอย่างไร
การเอาชนะทุกข์ในสถานการจริงนั้นทำอย่างไร นี่แหละคือการปฏิบัตรธรรมของผม
นิพาน...คำนี้...สำคัณฉไน... :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b20:
...ถ้าส่องกระจกมองเห็นเงาตัวเองในกระจก....
...แล้วยังปลงวางไม่ได้...ยังคิดว่าลูกใครหว่า...
...น่ารักจัง...ฉีกยิ้มอีก...เอ้าหล่อแล้วเรา...
...ก็ไปถึงนิพพานยังไม่ได้อ่ะค่ะ...
...เพราะยังหลงตัวเองอยู่...
:b13: :b9: :b32:
:b27: :b27: :b27: :b27: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดี ก็มีทุกข์ในแบบของคนดีน๊อ พี่น้อง

hobbit เขียน:
ผมไม่ไปนิิพานหลอกครับ มันไกลเกินไปสำหรับผม


สิ่งนี้เรียกว่า "มานะ"
"มานะ" เป็นชื่อของกิเลส

Quote Tipitaka:
๑๑. ตัณหาสูตร
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒

[๓๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตัณหา ๓ และมานะ ๓ ควรละ

ตัณหา ๓ เป็นไฉน คือ
- กาม ตัณหา ๑
- ภวตัณหา ๑
- วิภวตัณหา ๑ (ชาติสยาม- ตรงนี้คือ"ความไม่อยาก")
ตัณหา ๓ นี้ควรละ


มานะ ๓ เป็นไฉน คือ
- ความถือตัวว่าเสมอ เขา ๑
- ความถือตัวว่าเลวกว่าเขา ๑
- ความ ถือตัวว่าดีกว่าเขา ๑
มานะ ๓ นี้ควรละ
..... (มีต่ิอ)...
http://www.nkgen.com/395.htm

มานะกรณีของคุณ เป็นมานะที่รู้สึกว่า"ตัวเราด้อย" ด้อยกว่าเขา ด้อยเกินไป เลวกว่าเขา เขาดีกว่าเรา
เช่นนิิพานไกลเกินไป นิพพานยาก ผมไม่ได้หรอก สูงเกินไปสำำหรับผม ชาตินี้ผมพอเท่านี้ ฯลฯ
เผลอคิดไปถึงว่านี่เป็นความพอเพียงไปอีกนะ แล้วก็เชื่อด้วยว่านี่คือความพอเพียง

ถ้ารู้สึกอย่างนี้ละก็ เรียกว่าเสร้จกิเลสแล้วนะ
อย่าชะล่าใจ

สิ่งที่ทำให้เนินช้า ในการแจ้งมรรคผลนิิพาน มี 3 อย่าง
เป็นกิเลสสามตัว ชื่อ ตันหา มานะ และทิฐิ รวมแล้วเรียกว่า "ปปัญจธรรม"

ตันหา (เอาตันหาของคนดีแล้วกันนะ) เช่น
ผมพอแล้ว นี่ผมพอเพียงแล้ว ผมทำหน้าที่อย่างี้ก็ประเสิรฐแล้ว ผมพอแล้ว
พอใจมันเอาอย่างนี้แล้ว กระทั่งนิพพานก็ไม่เอา
ความจริงใจมันไม่ได้พอนะ เราคิดไปเองว่าพอ ที่จริงไม่พอหรอก
เพราะ"ไม่อยาก" ก็เป็น"ตันหา"

มานะ ก็อย่างที่ว่าไป รู้สักว่าเรามันเกิดมาคงมีน้อย คงไม่ได้หรอก คงยาก
รู้สักว่าด้อย น้อย ไม่มี
เกิดการเปรียบต่างขึ้นในใจว่านิพพานคงต้องเป้นของคน"มี"
"คนมีน้อยๆอย่างเรา" คงไม่ได้อย่างคนมีเยอะๆ อย่างเขาหรอก"

ส่วนทิฐิ ก็คือพวกเจ้าความคิด เจ้าทิฐิ นักคิด
เช่นว่านิิพานมีจริงหรือไม่ อยู่ตรงไหน เอาอะไรไปวัด พิสูจน์ยังไง เรื่องหลอกเด็ก ล้าสมัย อุบายสอนคน ฯลฯ
ว่าไปเยอะนะพวกนี้ โดยมากพวกปัญญาชนโดนกิเลสตัวนี้ลากไปรับประทาน
เลยประมาทเลินเล่อ เชื่อว่า"การคิดเก่ง" เป็นที่สุดของ"ปัญญา"
แม้จะได้ยินได้ฟังคำว่า "จินตมัยปัญญา" แล้วพูดได้เป้นฉากๆ
แต่ว่าพอเอาสถานะการณ์ชีวิตจริงไปวัดดูนี่ ตกม้าตายหมด
ไม่รู้ตัวว่าถ้าเก่งจริง ทำไมยังเดือดร้อนไม่จบไม่สิ้น
พวกนักคิดนี่ยิ่งทุกข์นะ เพราะใจมันชอบหยิบฉวยทุกอย่างมาคิด คิดแล้วก็เป้นอารมณ์


อย่าคิดว่ามรรคผลนิพพานเป็นเรื่องไกลตัว

มรรคผลนิพพานเหมือนปริญญาเอก
จู่ๆจะคิดว่าปริญญาเอกไกลตัว ก็เข้าใจได้
แต่ว่าถ้าเอาไว้คิดตอนจบปริญญาโท มันก็จะไม่ไกล
ถ้าคิดตอนตัวเรายังอยู่ประถมนี่ มันก็ท้อเป้นธรรมดา

สมมุติว่าอยู่ ป.1. แล้วหวังปริญญาเอก มันก็หมดแรง
แต่ถ้าหวังให้เหมาะกับตน พอเพียงกับตน ก็หวังที่การสอบไล่ขึ้น ป.2 ก็พอ
นี่ถึงเรียกว่าพอเพียง คือรู้เหตุ รู้ผล มีลำดับ รู้เวลา รู้หน้าที่ว่าตนควรทำอย่างไรเวลาไหน
ทั้งหมดนี้เรียกว่ามีสัปปุริสธรรม เป็นธรรมะที่เรียกได้ว่าเป็นคุณสมบัติของคนดี


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 11 มี.ค. 2010, 23:19, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:43
โพสต์: 20

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามว่าปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร ขอตอบว่าเพื่อขัดเกลาตัวเอง
เพราะรู้สึกว่าตัวเองแย่มากๆในหลายๆเรื่อง
ขัดเกลาไปขัดเกลามาก็รู้สึกสนุก
จึงไม่สามารถเพิกถอนหรือหยุดได้
ต่อมาโลภมากอยากจะรู้ว่า
จุดสิ้นสุดของการขัดเกลา มันอยู่ที่ใด มีสภาพอย่างไร มีวิธีเข้าถึงแบบไหน
เลยทำดู ทำไปเรื่อยๆอย่างสนุก
ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง
ไม่ได้สนใจผลลัพธ์อีกแล้ว
แต่ให้เลิกทำ ทำไม่ได้
เพราะทำแล้ว มีแต่ความสุข มีแต่ความรู้สึกดีๆ
เกิดขึ้นตลอดเวลา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


มีใครต้องการความทุกข์บ้าง? มีใครอยากตายบ้าง?

เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองด้วยกันทุกคน มีแบ้งค์ร้อยกับแบ้งค์พันตกอยู่ให้เลือกหยิบได้หนึ่งใบ ก็เลือกแบ้งค์พันด้วยกันทั้งนั้น ให้รวยแค่วันเดียวก็ไม่อยากจะเอา อยากจะรวยไปตลอด เวลากินก็เลือกแต่ของดีๆ เสื้อผ้าก็เลือกแต่ของดีๆ ฯ

ทุกคนต้องการความสุข แสวงหาสุข หรือหาทางดับทุกข์ให้กับตัวเองตลอดเวลา เลือกทางที่ดีที่สุด เช่น ไปดูหนัง ฟังเพลง กินเหล้า ร้องคาราโอเกะ ไปสวดมนต์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ ฯ สารพัดจะหา เพียงแต่ว่า เหล่านี้ยังไม่ใช่คำตอบหรือไม่ใช่ความสุขที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง ทั้งนี้ ก็เพราะยังไม่รู้ทางที่ถูกต้อง จึงไปได้แต่ดับทุกข์ชั่วคราว หรือไปหลบทุกข์ ทุกอย่างที่ทำลงไปเพื่อหนีทุกข์ของปุถุชนคนทั่วไป รวมไปถึงฤาษีชีไพร จึงได้แต่หลบทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น

ความตายก็คือทุกข์ เกิดมาก็เจอแต่ทุกข์ เจ้าชายสิทธถะก็กลัวตาย เกลียดทุกข์ จึงไปหาวิธีว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ตาย ทำอย่างไรจะพ้นทุกข์ จนพบว่า ตวามตายเป็นผลของความเกิด ถ้าไม่อยากตาย ก็ต้องไม่เกิด พระองค์จึงศึกษาต่อไปว่า อะไรเป็นเหตุของการเกิด ก็พบความจริงว่า ก็ทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ (อุปทานขันธ์ ๕) เป็นต้นตอของการเกิดชาติเกิดภพ เพราะฉะนั้น ดับอุปทานขันธ์ ๕ ได้ ก็ดับชาติดับภพได้ ตายเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ก็คือ นิพพาน

นิพพานัง ปรมัง สุขัง
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




41_1736.jpg
41_1736.jpg [ 27.79 KiB | เปิดดู 3637 ครั้ง ]
tongue
อ้างคำพูด:
ความตายก็คือทุกข์ เกิดมาก็เจอแต่ทุกข์ เจ้าชายสิทธถะก็กลัวตาย เกลียดทุกข์ จึงไปหาวิธีว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ตาย ทำอย่างไรจะพ้นทุกข์ จนพบว่า ตวามตายเป็นผลของความเกิด ถ้าไม่อยากตาย ก็ต้องไม่เกิด พระองค์จึงศึกษาต่อไปว่า อะไรเป็นเหตุของการเกิด ก็พบความจริงว่า ก็ทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ (อุปทานขันธ์ ๕) เป็นต้นตอของการเกิดชาติเกิดภพ เพราะฉะนั้น ดับอุปทานขันธ์ ๕ ได้ ก็ดับชาติดับภพได้ ตายเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ก็คือ นิพพาน

นิพพานัง ปรมัง สุขัง
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

tongue :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาน ความว่าง หลุดพ้นจาก กิเลส และทุกข์ทั้ง ปวง ธรรมที่ไมมีคู่ ไม่มีการเกิด-การตาย หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร......ทางไปนิพพานนั้นมีอยู่ ผู้ชี้ทางไปนิพพานก็มีอยู่ ผู้กำลังเดินทางไปก็มีอยู่ พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจุดมุ่งหมายต้องการไปสู่พระนิพพานกันทั้งนั้น แต่จะไปถึงเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับเราว่าจะเชื่อและปฏิบัติตามผู้ชี้ทาง คือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่.. :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:38
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาน
จุดหมายปลายทางของชีวิต
คำนำ

เรื่องพระนิพพาน มิใช่เป็นเรื่องที่พูดให้จบหรือให้เข้าใจกันได้ด้วยคำพูดเพียงสองสามคำ, เพราะฉะนั้นผู้ศึกษาจะต้องอ่านทบทวนไปมา และทำการศึกษาคิดค้น ตีความและเทียบเคียง หยั่งให้ถึงความหมายของศัพท์ และประโยคไปโดยลำดับจริงๆ ไม่อ่านอย่างสะเพร่าลวกๆ หรือข้ามไปทั้งที่ไม่เข้าใจ, จึงจะมีความรู้จักตัวพระนิพพานชัดเจนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับๆ จนกว่าจะลุถึงได้จริงๆ ด้วยการ ปฏิบัติธรรม ทางใจ, ต่อไปนี้เป็นแนวการคิดค้นหาความเข้าใจ หรือคุณค่าของพระนิพพาน เพื่อก่อให้เกิดฉันทะในการบรรลุพระนิพพานแรงกล้ายิ่งขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย.

พระนิพพานไม่ใช่เป็นจิต, ไม่ใช่เป็นเจตสิกหรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต โดยอาศัยจิตนั้น, ไม่ใช่มีรูปร่าง, เป็นก้อน เป็นตัว อันเป็นประเภทรูปธรรม, ไม่ใช่บ้านเมือง ไม่ใช่ดวงดาว หรือดวงโลกในโลกใดโลกหนึ่ง, และยิ่งกว่านั้น พระนิพพานไม่ใช่สิ่งที่มีความเกิดขึ้นมา, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป, หรือทั้งเกิดและดับสลับกันไปในตัว, ไม่ใช่สิ่งที่มีความดับลงไป, หรือทั้งเกิดและดับสลับกันไปในตัว, แต่พระนิพพานเป็นสภาวะแห่งธรรมชาติชนิดหนึ่ง และเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่ไม่ต้องตั้งต้นการมีของตนขึ้นเหมือนสิ่งอื่นๆ แต่ก็มีอยู่ได้ตลอดไป และไม่รู้จักดับสูญ เพราะไม่มีเวลาดับหรือแม้แต่แปรปรวน.

สิ่งทั้งหลายอื่นซึ่งมีอยู่ นอกจากพระนิพพานแล้ว; แรกที่สุด มันต้องมีการเกิดขึ้น มันจึงจะมีอยู่ได้ และต้องดับไปในที่สุด แม้จะช้านานสักเพียงไรก็ตาม และยังต้องแปรไปๆ ในท่ามกลางด้วย, เพราะสิ่งนั้นมันมีการเกิดขึ้น. แม้ที่สุดแต่ดวงอาทิตย์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ บอกว่ามีอยู่นานก่อนสิ่งใดในสากลจักรวาล มันจะต้องกลายเป็นไม่มีสักวันหนึ่ง และเราจะไม่ได้เห็นมันในเวลาเช้า และลับหายจากสายตาไปในเวลาเย็น เช่น เดี๋ยวนี้, แม้ ดิน น้ำ ไฟ หรือความร้อน ลม หรืออากาศ ก็เช่นกัน จักต้องถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งมันจะไม่มีอยู่, เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการเกิดขึ้นมา และเกิดขึ้นได้เป็นขึ้นได้โดยต้องอาศัยสิ่งอื่น.

ส่วนสิ่งที่เรียกว่า พระนิพพาน ไม่เป็นเช่นนั้น; ไม่มีการเกิดขึ้น ทำไมจะต้องมีการอาศัยสิ่งอื่น, เมื่อตัวเองมีของตัวเองได้ มันจึงไม่รู้จักดับ, และจะมีอยู่ตลอดไปโดยไม่มีที่สุดหรือเบื้องต้น และเหตุนี้เอง พระนิพพานจึงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกล่าวได้อย่างมีเหตุผลเลยว่า พระนิพพานนั้นเป็นอดีต, อนาคต หรือเป็นปัจจุบัน ได้เลย, ทั้งนี้เพราะความมีอยู่แห่งพระนิพพานนั้น แปลกกับความมีอยู่ของสิ่งอื่น อย่างสุดที่จะกำหนดมากล่าวได้. พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล อันไม่มีที่สุด, มีเป็นของคู่เคียงกับกาลเวลาอันไม่มีที่สิ้นสุด, แต่หากว่ากาลหรือเวลาจะเป็นสิ่งที่สิ้นสุดลงในวันหนึ่งได้ พระนิพพานก็ยังหาเป็นเช่นนั้นไม่.

พระนิพพาน เป็นสิ่งที่เปิดโอกาสเตรียมพร้อมอยู่เสมอ สำหรับที่จะพบกันเข้ากับดวงจิตของคนเราทุกๆ คน. หากแต่ว่า ดวงจิตของเราตามธรรมดา มีอะไรบางอย่างเข้าเคลือบหุ้มเสียก่อน ไม่เปิดโอกาสให้พบกันได้กับพระนิพพานเท่านั้น, พระนิพพานจึงไม่ปรากฏแก่เราว่ามีอยู่ที่ไหน ทั้งที่พระนิพพานอาจเข้าไปมีได้ในที่ทั่วไป ยิ่งเสียกว่าอากาศ ซึ่งเรากล่าวกันว่ามีทั่วไปเสียอีก. เมื่อเราไม่อาจกำหนด หรือเคยพบกับพระนิพพาน ก็เลยคิดไปว่า พระนิพพานไม่ได้มีอยู่ดังที่ท่านกล่าว เข้าใจว่าเป็นการกล่าวอย่างเล่นสำนวนสนุกๆ ไป. คนตาบอดมาแต่กำเนิดย่อมไม่รู้เรื่องแสงสว่าง หรือสีขาว แดง ทั้งที่มันมีอยู่รอบตัว หรือถึงตัวฉันใด, ผู้บอดด้วยอวิชชาซึ่งห่อหุ้มดวงจิต ก็ไม่รู้เรื่องพระนิพพาน ไม่อาจคาดคะเน พระนิพพานฉันนั้น, จนกว่าเขาจะหายบอด.

เราเกิดโผล่ออกมาจากท้องแม่สู่โลกนี้ บอดเหมือนกันหมดทุกคน จึงไม่อาจรู้เรื่องพระนิพพานได้ตั้งแต่แรกเกิด. ยิ่งผู้ที่มีตาเนื้อ ตาเนื้อก็บอดเสียอีกด้วยแล้ว ไม่อาจรู้จักแสง หรือสี ก็ยิ่งร้ายไปกว่านั้น. บอดตาไม่อาจรักษาได้ แต่บอดใจหรือบอดต่อพระนิพพานนั้นรักษาได้. ผู้ที่ตาบอด แต่ถ้าเขาหายบอดใจ เขาก็ประเสริฐกว่าผู้ที่แม้ไม่บอดตา แต่บอดใจ. นี่เราจะเห็นได้ชัดๆ ว่าแสงแห่งพระนิพพานส่องเข้าไปถึงได้ในที่ที่แสงสว่างในโลกส่องเข้าไปไม่ถึง. ดวงจิตของคนตาบอดอาจพบกับพระนิพพานได้ไม่ยากไปกว่าของคนตาดีๆ. แต่ว่าทุกๆ คนที่ตาของเขายังเห็นแสงและสีได้ ก็ไม่ยอมเชื่อหรือสำนึกว่า ตาของตนบอด, ตาข้างนอกของเขาแย่งเวลาทำงานเสียหมด ตาข้างในจึงไม่มีโอกาสทำงาน แม้ที่สุดแต่จะรู้สึกว่าตาข้างในของฉันยังบอดอยู่ก็ทั้งยาก, และยิ่งขึ้นไปกว่านั้น อาจไม่รู้สึกด้วยซ้ำไปว่ามีตาข้างในอยู่อีกดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นดวงสำคัญที่สุดด้วย.

เมื่อเขาแก้ปัญหาชีวิตอันยุ่งเหยิง ซึ่งเป็นวิสัยส่วนของตานอกได้หมดจนสิ้นเชิง เขาก็ยังต้องพบกับความยุ่งยากอยู่อีก และเขาไม่ทราบว่า นั่นมันเป็นวิสัยส่วนของตาใน, ก็แก้ไขมันไม่ได้, ทำให้ว้าวุ่นไป โทษนั่น โทษนี่ เดาอย่างนั้น เดาอย่างนี้ ก็ไม่อาจพบกับความสุขอันแท้จริงเข้าได้เลย. นี่ ! จะเห็นได้แล้วว่า เพราะแก้มันไม่ถูก คือไม่ได้ใช้ตาในแก้, ที่ไม่ใช้เพราะตาในยังบอด, ที่ยังบอดเพราะยังไม่ได้รักษา. ที่ยังไม่ได้รักษา ก็เพราะตนยังไม่รู้เลยว่า ตาในมีอีกดวงหนึ่ง, เป็นตาสำหรับพระนิพพาน คือความสุขอันเยือกเย็นแท้จริงของชีวิต.

ใจของเราบอดเพราะอวิชชา คือความโง่หลงยิ่งกว่าโง่หลงของเราเอง นั่นเอง. เปรียบเหมือนเปลือกฟองไข่ที่หุ้มตัวลูกไก่ในไข่ไว้, เหมือนกะลามะพร้าวที่ครอบสัตว์ตัวน้อยๆ ซึ่งเกิดภายใต้กะลานั้นไว้, ฯลฯ, เหมือนเปลือกแข็งของเมล็ดพืช ซึ่งหุ้มเยื่อสารในสำหรับงอกของเมล็ดไว้, แม้แสงสว่างมีอยู่ทั่วไป มันก็ไม่อาจส่องเข้าไปถึงสิ่งนั้น, จิตที่ถูกอวิชชาเป็นฝ้าห่อหุ้ม ก็ไม่อาจสัมผัสกับพระนิพพานอันมีแทรกอยู่อย่างละเอียดยิ่งกว่าละเอียดในที่ทั่วไป ตลอดถึงที่ที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง ฉันใดก็ฉันนั้น.

เมื่อใดเปลือกฟองไข่ กะลามะพร้าว เปลือกแข็งนั้นๆ ได้ถูกเพิกออก หรือทำลายลง. แสงสว่างก็เข้าถึงทั้งที่ไม่ต้องมีใครขอร้อง อ้อนวอน หรือขู่เข็ญบังคับมันเลย, นี่ฉันใด. เมื่อฝ้าของใจกล่าวคือ อวิชชา อุปาทาน ตัณหา อันเป็นฝ้าทั้งหนาและบาง ทั้งชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน ถูกลอกออกแล้วด้วย "การปฏิบัติธรรม" แสงและรสแห่งพระนิพพานก็เข้าสัมผัสกันได้กับจิตนั่น เมื่อนั้น ฉะนั้น. เราจึงเห็นได้ชัดเจน, เห็นได้อย่างแจ่มแจ้งทันทีว่า พระนิพพานไม่ใช่จิต, ไม่ใช่เจตสิกอันเกิดอยู่กับจิต, ไม่ใช่รูปธรรม, ไม่ใช่โลกบ้านเมือง, ไม่ใช่ดวงดาว. ไม่ใช่อยู่ในเรา, ไม่ใช่เกิดจากเรา, ไม่ใช่อะไรปรุงขึ้น ทำขึ้น. มันเป็นเพียงสิ่งที่เข้าสัมผัสดวงใจเรา ในเมื่อเราได้ดำเนินการปฏิบัติธรรม ถึงที่สุด เป็นการเปิดโอกาสให้แก่พระนิพพานได้เท่านั้น.

พุทธทาสภิกขุ

:b48: :b48: :b48:

เอามาแบ่งปันกันค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 18:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 20:53
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว




Ar this sa than Baby.jpg
Ar this sa than Baby.jpg [ 6.02 KiB | เปิดดู 3579 ครั้ง ]
"อยากจะได้ทัศนคติจากเพื่อนๆในบอร์ดน่ะคะ ว่านิพพานนั้นแท้จริงๆแล้วมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
แล้วปฎิบัติธรรมนั้นควรทำอย่างไร
แล้วเพื่อนๆปฎิบัติธรรมเพราะอะไรกันบ้าง"

:b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:

GuideLine
1.ตัวเรา ต้องถามใจตัวเองก่อนว่า ชีวิตนี้ ต้องการอะไร???????
เกิดมา 1 ชาติ 1ภพ ปรารถนา จะใช้ชีวิตแบบไหน ??????
อะไร คือความสุขที่แท้จริง ที่เราต้องการ


คนเราเกิดมา ล้วนต้อง มีจุดหมายปลายทาง ที่กำหนดไว้ หรือ ปณิธานที่ต้องปฏิบัติ
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ไปไม่ถึงฝัน หรือ ถึงฝั่งซะที หรือไม่ก็ ใช้ชีวิต ให้ผ่าน ไป วัน วัน
และก็ จะไม่รู้ด้วยว่า ก้าวหน้า หรือ เดินถอยหลัง

แต่ว่าทั้งนี้ ทั้งนั้น จุดหมาย และ หรือ ปณิธาน ที่กำหนดไว้ ต้องอยู่บนรากฐาน
ของศีลธรรม ไม่เป็นพิษ ภัย ต่อ สังคม และ ตัวเอง รวมถึงครอบครัวด้วยค่ะ

เช่น ตั้งปณิธาน จะ กินเจ หรือ ตั้งปณิธาน ว่า จะครองศีล 5 อย่างเคร่งครัด โดยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ตึง
หรือ หย่อนจนเกินไป :b29: หรือ จะช่วยเหลือสังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือ ปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด นั่นก็คือ นิพพาน หรือ อื่นๆ เป็นต้น


:b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46:
ประโยชน์จากการทำสมาธิ
เบื้องต้น
การที่ ณ เวลานึง ที่เรามีสติ รู้ ในสิ่งที่เราปฏิบัติ ใจไม่ฟุ้งซ่านคิดเรื่องอื่น
หรือ ขณะที่เรานั่งว่าง ๆ จากการทำงาน หรือนั่ง รอ อะไรบางอย่าง โดยที่เรา รู้ถึงลมหายใจเข้าออกทางจมูก
หรือจะท่องพุทธ โท ไปด้วย ก็ดี ถือว่า เป็นการ ปฏิบัติธรรม หรือ วิปัสสนาไปในตัว (Auto)
เช่น อ่านหนังสือ แต่ใจไปคิดถึงเรื่องอื่น ๆ แบบนี้แสดงว่าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ
ในทางกลับกัน ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือ โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น ๆ ปล่อยวางจากเรื่องต่าง ๆ
ก็จะเข้าใจ ในเรื่องที่กำลังอ่านหรือศึกษา อยู่
อย่างนี้ เรียกว่า มีสติ มีสมาธิ ผลจาก มีสติ มีสมาธิ ก็คือ มีปัญญา เป็นต้นค่ะ


:b51: :b51: :b51:
:b37: ความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ค่ะ
การปฏิบัติธรรม แยกออกเป็น 2 ส่วน ใหญ่
คือ การปฏิบัติ ภายใน และ การภายนอก
:b42: การปฏิบัติ ภายใน หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า การบวชจิต หรือ บำเพ็ญจิตนั่นเองค่ะ :b42: เช่น
:b42: เมื่อผุ้อื่น ได้ดี เราก็ยินดีด้วย จากใจจริง
:b42: พอใจ ในสิ่งที่เรามี เราเป็น
:b42: ไม่ยึดติด กับ ตัวบุคคล สิ่งของ คำพูด หรือแม้แต่ เทวรูป
ถ้าเทวรุปนั้น ยังไม่ได้ทำพิธี เสก หรือ เบิกเนตร แต่ เราได้น้อมจิต จาก ศรัทธาอันแรงกล้า และเคารพ ต่อ ศักดิ์สิทธิ์ องค์นั้นๆ แล้ว ไซร้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะรับรู้ได้โดย Auto ค่ะ
เพราะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่ทุกหน ทุกแห่ง
:b42: ไม่ยึดติด กับ ตำแหน่ง หน้าที่ มีคลื่น ลูกเก่า แล้วก็ต้องมีคลื่นลูกใหม่
ไม่แน่นอน มีขึ้น มีลง วันนี้เป็นลูกน้อง วันหน้าอาจจะเป็น หัวหน้า หรือ
วันนี้เป็นหัวหน้า แต่ว่าวันหน้า อาจจะถูกปลด ก็ได้
:b42: รู้จักการให้อภัย + อโหสิกรรม ให้อภัยจากใจจริง ให้อภัยอย่างทันทีทันใดได้
หาก ปฏิบัติได้ แม้เกิดเหตุการณ์อะไร ที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิต หรือ ตกจากที่สูงโดยไม่คาดฝัน
คุณ ก็จะไม่ทุกข์ สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ อย่างปกติสุข
เช่น เด็กถือ ไอศครีม อยู่ๆ มีเด็กอีกคน วิ่งมา ชน ไอศครีมที่แสนหอม หวาน อร่อย
ก็ตกลง สู่พื้น ถ้าเด็กคนนี้ ทำใจได้ว่า ไม่เห็นเป็นไร ซื้อใหม่ ก็ได้ และ พร้อมที่จะให้อภัย
โดยไม่ค้างคาใจ คุ่กรณี ถือว่า ผ่านค่ะ

หรือ ญาติ พี่น้องเรา ถอยรถ มาชน สุนัขที่รักของเรา แต่เราสามารถ ทำใจได้ โดยไม่โกรธ อาฆาต แต่อย่างใด และพร้อมที่จะให้อภัย ญาติของเรา ก็ถือว่า ได้ปฏิบัติธรรมไปในตัว แล

Logic : ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่สังขารเราเอง
วันหนึ่งเราก็ต้อง ละกายสังขาร เพียงแต่จะช้า หรือ จะเร็ว แค่นั้นเอง
Logic : สูญเสียของรัก ไม่ว่าจะเป็น คนรัก ทรัพย์สิน วันนึง ถ้าเราไม่ไปจากเขา เขาก็ต้องไปจากเรา
เพียงแต่ จะจากเป็น หรือ จากตาย เท่านั้นเองแล

:b42: ให้มองด้วยปัญญา อย่าเพิ่งเชื่อ เพียงเพราะเขา บอกต่อ ๆ กันมา อย่างฟังความข้างเดียว ให้ไตร่ตรอง สอบถามความทั้งสองข้างก่อน การที่เราจะพิพากษาใครนั้น
ต้องมี ข้อมูล ครบถ้วน ตรงไปตรงมา ถูกต้อง ชัดเจน มีที่มาที่ไป ไม่ใช่ อ้างลอย ๆ ต้องหนักแน่น และใช้ปัญญา พิจารณา ค่ะ
และอย่ามองแค่มุมเดียว เพราะ วงกลม 1 วง มี สามร้อยหกสิบองศา

ลองถามตัวเองดุว่า การที่เราชอบใครสักคน หรือ ศรัทธาใคร สักคน เพราะอะไร??
และในทางกลับกัน เพราะ อะไรเราถึงไม่ชอบ คน คน นึง มีเหตุผล มั้ยค่ะ??

:b42: เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา
ปรารถนา จะให้ผู้อื่นรัก เราก็ต้องมอบความรัก ความจริงใจให้ผู้อื่นก่อน ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วคุณจะได้ไปทั้ง ใจ เป็นต้น
:b42: คิดก่อนทำ
ก่อนจะพูด อะไรออกไป
Logic : เอ!! พูดไปแล้ว เค้าจะรู้สึกอย่างไร เสียใจมากมั้ย อับอาย ขายหน้าหรือป่าว??
แล้วเป็นความจริงมั้ย?? เค้าจะทะเลาะกันหรือป่าว เป็นการอกตัญญุมั้ยน่ะ??
เพราะคำพูด ในภาษาไทย มีมากมาย หลายสำนวน หลายคำ ควรจะใช้คำพูดที่เหมาะสม กับ บุคคล สถานการณ์ฯลฯ นั้น แล เป็นต้น ค่ะ
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คุณอาจจะเสียชีวิตเพราะคำพุดของตัวเอง ก็ได้

:b42: ข้อนี้ห้ามลืม บุพการี คือ พระ คือ พรหม คือ ครู ห้ามลืมค่ะ
ดูแลท่านให้ดี ออกไปเที่ยวข้างนอก มีอะไร ติดมือมาฝาก บุพการีหรือป่าว??
ท่านไม่สบาย รุ้หรือป่าว ท่านไม่มีเงิน ทราบมั้ย ? ท่านชอบอะไร รู้หรือไม่???
ทำกับข้าว เสร็จแล้ว เคยตัก ให้พระในบ้านก่อนหรือป่าวน๊า?? :b15:
เคยช่วยแบ่งเบาภาระ บุพการี มั้ย เป็นต้นแล :b39:

ฯลฯ *****รวมถึง ครูอาจารย์ ผุ้มีพระคุณด้วยค่ะ ที่มิอาจลืมได้


นี่คือการปฏิบัติ ภายใน แนว ๆ นี้ละค่ะ ถ้าปฏิบัติได้ เรียกว่า "จิตพระพุทธะ"


:b42: การปฏบัติภายนอก
:b39: สิ่งแรก คือ ต้องมีศีล อย่างน้อยต้องศีล 5 เป็นพื้นฐานค่ะ

:b42: เริ่มจากจิตที่เมตตา ถ้ามีจิตที่เมตตา การปฏิบัติภายนอกก็ดีด้วย

เช่น กินเจ เพื่อให้ชีวิตผู้อื่น : ได้ปฏิบัติทั้ง ภายใน และ ภายนอก
ดูแล ตอบเทน บุพการี ผุ้มีพระคุณ
ช่วยเหลือสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน : ได้ปฏิบัติทั้ง ภายใน และ ภายนอก เช่นกันค่ะ
ให้อาหาร สัตว์เลี้ยง ตักบาตร ทำบุญ แผ่เมตตา แผ่บุญกุศล ภาวนา เป็นต้น แล


วิปัสสนา กรรมฐาน หรือ นั่งสมาธิ

ขณะทำสมาธิ อย่าไป คิด ว่านั่งแล้ว จะต้องเห็นอะไรให้ได้
หรือ นั่งแล้ว จะต้องได้อภิญญา
เพียงแต่ นั่งเพื่อให้จิตได้ปล่อยวาง จาก กิเลส
ไม่ว่าจะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง
:b50: :b37: :b50: :b50: :b50: :b50:
อย่าให้ ภายนอก มากระทบภายใน
Logic : แค่รับรู้ ว่าอ้อ เหตุการณ์ เป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ นี่เอง ไม่ควรไปปรุงแต่ง นี้คือพื้นฐานค่ะ

ผลจากการนั่งสมาธิอีกอย่างที่จะใช้ในชีวิตประจำวันได้คือ
ถ้าเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น หรือมีปัญหา อะไร
เมื่อเรามีสติ ไม่ตื่นตูม แล้ว
เรา จะคิดออกเองว่าจะแก้ไขปัญหา นั้น ๆ ได้อย่างไร Auto ค่ะ

และอื่น ๆ อีกมากมาย


ถ้าจะให้ดียิ่ง ๆ ขี้นไป
ควรจะปฏิบัติ ทั้งภายใน และ ภายนอกควบคู่ กันไป

ถ้าทำได้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ถือว่า สำเร็จค่ะ
เพราะสุดท้ายแล้ว จบลงที่จิต จิตพุทธะ จิตที่หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง
จิตที่เป็นอรหันต์ จิตของพระโสดาบัน หลุดพ้นที่จิตค่ะ ไม่ได้หลุดพ้นที่กาย สังขาร :b12:

:b36: :b36: :b36: :b36: :b36: :b36:



เรื่องของจิต ธรรมะ เป็นเรื่องที่ แยบคาย ไม่สามารถ พูดให้จบในวันเดียว
และบางอย่างก็ไม่สามารถ อธิบายได้
ต้องปฏิบัติเองถึงจะรู้ค่ะ

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย FamilyClub เมื่อ 25 มี.ค. 2010, 21:14, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ย. 2008, 19:18
โพสต์: 160

ที่อยู่: นนทบุรี

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปนิพพานเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดมาเจอนักการเมืองแบบในปัจจุบันอีก? :b10:

:b4:

.....................................................
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 90 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร