วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 03:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเป็นบุคคลหนึ่งที่ปฏิบัติธรรมบ้าง อะไรบ้าง
โดยมีจุดมุ่งหมายที่พระนิพพานมาโดยตลอด
ซึ่งเมื่อปฎิบัติไปได้พักหนึ่ง ความสงสัยมันเริ่มๆเข้ามา
แล้วก็สงสยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังปฎิบัติไปเพื่ออะไรกันนะ... ทำไมไม่เห้นจะถึงฝั่งเสียที
เราเริ่มรู้สึกท้อขึ้นมาหน่อยๆ บางทีจุดมุ่งหมายที่เราเคยคิดไว้มันเริ่มลางเลือนเสียจนเรามองเห็นปลายทางที่ต้องการได้ยากเหลือเกิน

สิ่งที่ติดขัดในใจของเรานั้น
เริ่มมาจาก การที่เราคิดว่า โลกใบนี้มันก็ยังดีนะ ถึงแม้ว่าอาจจะมีเรื่องขัดแย้งทางความคิด หรือการกระทำอยู่บ้าง อาจจะมีเรื่องอะไรวุ่นวายอยู่บ้าง แต่มันก็ยังดี เพราะเพียงแค่เราคิดอะไรดีๆ โลกก็สามารถดีได้
ทำไมเราปฎิบัติแล้วถึงไม่เบื่อในโลกสักที เราเบื่อที่เราต้องทำไปเหมือนไร้ปลายทางมากกว่า
ตอนนี้เราก็เริ่มไม่เข้าใจสักเท่าไหร

อยากจะได้ทัศนคติจากเพื่อนๆในบอร์ดน่ะคะ ว่านิพพานนั้นแท้จริงๆแล้วมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
แล้วปฎิบัติธรรมนั้นควรทำอย่างไร
แล้วเพื่อนๆปฎิบัติธรรมเพราะอะไรกันบ้าง

ตอนนี้เราเริ่มท้อๆน่ะคะ ขอคำชี้แนะด้วยนะ tongue

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

คุณปรารถนานิพพานนั้นถูกแล้ว อย่าท้อใจ แต่ให้เข้าใจความหมายของคำว่านิพพานก่อน

คำว่านิพพาน แปลว่า เย็นใจ สบายใจ ก็ได้

เช่น ในพุทธประวัติ (นิพพุตา นิพพาน มาจากรากศัพท์เดียวกัน)

พระนางกีสาโคตมี ได้ตรัสพระคาถาชมเจ้าชายสิทธัตถะ บทหนึ่งพระคาถา

" นิพพุตา นูน สา มาตา นิพพุโต นูน โส ปิตา นิพพุตา นูน สา นารี ยัสสายัง อีทิโส ปติ "
ผู้ชายแบบนี้ ใครเป็นแม่ สบายใจแน่นอน ใครเป็นพ่อ สบายใจแน่นอน
เป็นสามีหญิงใด หญิงนั้น สบายใจแน่นอน


การหลุดพ้นทุกข์ เป็นเรื่อง ๆ การดับได้เป็นเรื่อง ๆ เรียก ตทังคนิพพาน (ตทังค แปลว่า เรื่องนั้น ๆ)
หรือ นิพพานโดยอ้อมได้ ปฏิบัติได้ตรงไหน เข้าใจตรงไหน ก็สบายใจในเรื่องนั้น ๆ

.............................


ผู้มีตทังคนิพพาน ตามคำของพระอานนท์

อาวุโส ! มีคำกล่าวกันอยู่ว่า 'ตทังคนิพพาน ตทังคนิพพาน' ดังนี้.
อาวุโส! ตทังคนิพพานนี้พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรหนอแล ?"


(พระอุทายีถามพระอานนท์, พระอานนท์เป็นผู้ตอบ).

อาวุโส ! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม
เข้าถึง ปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่.
อาวุโส ! ตทังคนิพพาน อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล
เมื่อกล่าว โดยปริยาย.


(ในกรณีแห่ง ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถาฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญ-
ญายตนะ อากิญจัญญายตนะ และ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีข้อความที่กล่าวไว้โดยทำนอง
เดียวกันกับข้อความในกรณีแห่งปฐมฌาน ทุกประการ และในฐานะเป็นตทังคนิพพาน โดย
ปริยาย(โดยตรง). ส่วนสัญญาเวทยิตนิโรธซึ่งมีการสิ้นอาสวะนั้น กล่าวไว้ในฐานะ
เป็นตทังคนิพพานโดยนิปปริยาย(โดยอ้อม) ด้วยข้อความดังต่อไปนี้ )

อาวุโส ! นัยอื่นอีกมีอยู่ : ภิกษุ ก้าวล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญา-
ยตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่. อนึ่ง เพราะ
เห็นด้วยปัญญา อาสวะทั้งหลายของเธอนั้นก็สิ้นไปรอบ. อาวุโส! ตทังคนิพพาน
อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล เมื่อกล่าว โดยนิปปริยาย

อังคุตรนิกาย นวกนิบาต

"เหมือนเราเดินขึ้นเขาสูงชั้น เราเดินถึงตรงไหน ให้เรามีความสบายในการเดิน สุขสบายในการพัก
ทุกๆ ร่มเงาของต้นไม้ที่เราพัก ทุก ๆ ย่างก้าวที่เราก้าวไป ให้เรามีความสุขกับการก้าวย่าง
เพราะทุกก้าวย่างที่เราก้าวผ่านไป คือความสำเร็จที่เราได้ทำลงไปแล้ว
และเราก็ใกล้ที่จะถึงยอดเขาเข้าไปอีกหนึ่งก้าว"


ขอเป็นกำลังใจให้ครับ อนุโมทนาด้วย

อัศวโฆษ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 00:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อืม น่าคิด
แล้วถ้าเราถามว่า "ก็แล้วทำไมเราถึงไม่อยากนิพพานล่ะ?"

ก็ตอบยากเหมือนกันนะ

มันคล้ายๆ พี่เบิร์ดว่า... "กลับตัวก็ไม่ได้ ไปต่อไปก็ไปไม่ถึง"

กลับไปก็ไม่มีอะไรดีกว่าเดิม
ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่านะ
ถ้าดาบหน้ามีจริง นิพพานเป้นจริง นิพพานเป้นบรมสุขอย่างท่านว่า
ก็คงจะเป้นการลงทุนที่คุ้มค่านะ

อาจารย์ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าความท้อใจนี่เป็นไม้ตายของกิเลสเลย
ใครเจอความท้อใจเข้าไป เสร็จเกือบหมด

ปฏิบัติธรรมให้ทำด้วยความรักที่จะทำนะ
อย่าไปปฏิบัติโดยคิดถึงแต่ผล ว่าเมื่อไหร่จะถึงมรรคผลนิพพานสักที

อยากในเหตุ เป้นฉันทะ
อยากในผล เป้นตันหา


เหมือนปลูกมะม่วงน่ะ
คนวางใจไม่เป้นมันจะทุกข์มาก
กล่าวคือคิดอยู่ทุกวันว่าเมื่อไหร่มะม่วงจะออกลูก เมื่อไหร่จะสุข เมื่อไหร่จะได้กิน ได้ขาย
ตื่นขึ้นมาก็พวรนดินไปก็คิดไปทำนองนี้ รดน้ำไปก็คิดไปทำนองนี้
นานวันเข้า เลิกเลย

แต่อีกคน ทุกวันเวลาที่เขาตื่นมาตอนเช้า
เขาจะไม่ได้ไปย้ำคิดย้ำคิดกับว่าเมื่อไหร่มะม่วงจะออก
เขาจะผูกความคิดเอาแต่สาเหตุที่มะม่วงออกผล
สาเหตุที่มะม่วงจะออกผลก้คือ การรดน้ำ พรวนดิน และการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง และระยะเวลาที่เหมาะสม
ทุกวันเขาก็รดน้ำพรวนดินอย่างมีความสุข เพราะรู้ว่าได้ทำทุกอย่างอย่างถูกต้องแล้ว
ใจก็อยู่กับปัจจุบัน เต็มที่มั่นคงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ไปพะว้าพะวงกับอดีตอนาคต

ผมคิดว่าปัญหาของคุณคือการไม่แน่ใจในความรู้ของตนว่าถูกต้องไหม
ที่ทำอยู่นี่ ใช้ได้ไหม ถ้าใช้ได้ ทำไมถึงยังไม่ออกผล
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าคุณควรจะกลับไปหาปริยัติ ไปทำภาคทฤษฏีให้มันแน่นกว่านี้
จะได้มีกำลังใจทำ มีศรัทธาในตนเอง มีศรัทธาวิริยะในการที่จะเจริญจิตภาวนา

ผมคิดว่าคุณลองศึกษาหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เอาคนเดียวก่อน เอาให้เป็นแฟนพันธุ์แท้ไปเลย
แล้วอะไรๆคงจะดีขึ้นนะ ลองดู ไม่เสียหลายหรอก


แก้ไขล่าสุดโดย natdanai เมื่อ 09 มี.ค. 2010, 10:31, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 01:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารนี้ไงครับ
ที่เกิดมาแล้วต้อง แก่ เจ็บ ตาย แล้วก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์
ความหลงทำให้ไม่รู้ว่า การเกิดมานี้มีแต่กองทุกข์
บางคนไม่รู้หรือไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าตายแล้วต้องเกิดอีก ตราบใดที่ยังไม่เห็นนิพพาน
ผู้ที่เจอความทุกข์ใดก็แล้วแต่มาหนักๆ จะเข้าใจได้อย่างง่ายดายกว่าว่าทำไมต้องไปนิพพาน

ยังไงก็อย่าเพิ่งท้อครับ สิ่งที่คุณหวังนี้เป็นเป้าหมายที่แท้จริง
ที่ทุกดวงจิตในทั้งสามแดนโลกธาตุที่เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นี้จะต้องไปให้ถึง
เพราะนอกจากพระนิพพานแล้ว จะไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้และเป็นแก่นสารเลย

สู้ต่อไปครับ :b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 01:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 00:05
โพสต์: 4

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเป็นบุคคลหนึ่งที่ปฏิบัติธรรมบ้าง อะไรบ้าง
โดยมีจุดมุ่งหมายที่พระนิพพานมาโดยตลอด
ซึ่งเมื่อปฎิบัติไปได้พักหนึ่ง ความสงสัยมันเริ่มๆเข้ามา
แล้วก็สงสยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังปฎิบัติไปเพื่ออะไรกันนะ... ทำไมไม่เห้นจะถึงฝั่งเสียที
เราเริ่มรู้สึกท้อขึ้นมาหน่อยๆ บางทีจุดมุ่งหมายที่เราเคยคิดไว้มันเริ่มลางเลือนเสียจนเรามองเห็นปลายทางที่ต้องการได้ยากเหลือเกิน
................

เข้าใจความรู้สึกของคุณเจ้าของกระทู้นะคะ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเรามาแล้ว เวลาที่เราทำอะไรเต็มที่
ทุ่มเทให้กับการปฎิบัติ เพราะอยากจะพ้นทุกข์ ก็จะเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย กดดันตัวเอง ว่าทำไมสิ่งที่ลงทุนลงแรงไปไม่เห็นผลเสียที แบบนี้ขึ้นมาเป็นเงา และเกิดความท้อถอยว่าเราจะไปถึงจุดนั้นได้จริงหรือ ความรู้สึกของคุณ จขกท. นี้เป็นเรื่องปกติ ที่เกิดขึ้นกับคนที่คาดหวังผลการปฎิบัติ จนน้ำตาตกในท้อถอยกันไปหลายรายแล้วละค่ะ

........................
สิ่งที่ติดขัดในใจของเรานั้น
เริ่มมาจาก การที่เราคิดว่า โลกใบนี้มันก็ยังดีนะ ถึงแม้ว่าอาจจะมีเรื่องขัดแย้งทางความคิด หรือการกระทำอยู่บ้าง อาจจะมีเรื่องอะไรวุ่นวายอยู่บ้าง แต่มันก็ยังดี เพราะเพียงแค่เราคิดอะไรดีๆ โลกก็สามารถดีได้ ทำไมเราปฎิบัติแล้วถึงไม่เบื่อในโลกสักที เราเบื่อที่เราต้องทำไปเหมือนไร้ปลายทางมากกว่า
ตอนนี้เราก็เริ่มไม่เข้าใจสักเท่าไหร


ค่ะ โลกหมุนไปตามความคิดของเรา คิดดี ชอบในคิดก็มีความสนุกเพลิดเพลิน แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ที่เราไม่สามารถบังคับความคิดนี้ให้ดีงามได้ตลอดเวลา สังเกตดูสิคะ ความรู้สึกไม่ดี ความไม่พอใจ ทั้งหลายทั้งปวงก็เกิดจากความคิดเหมือนกัน ดังนั้นผู้ที่ยังยึดถือความคิดอยู่จึงต้องผจญอยู่กับทั้งความ
ทุกข์และความสุข อยู่ร่ำไป ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาเป็นไทได้ สนุกกับความสุขเพลินเพลิดที่เป็นเพียงมายาภาพของความคิด แล้วก็ตื่นมาพบกับความกระวนกระวายกับความจริง ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ความฝัน

..........................
อยากจะได้ทัศนคติจากเพื่อนๆในบอร์ดน่ะคะ ว่านิพพานนั้นแท้จริงๆแล้วมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
แล้วปฎิบัติธรรมนั้นควรทำอย่างไร
แล้วเพื่อนๆปฎิบัติธรรมเพราะอะไรกันบ้าง


ยินดีค่ะ ที่ได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงกับเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน ขอตอบเรื่องหันมาปฎิบัติก่อนนะคะ จริงๆแล้วที่เราหันมาปฎิบัติธรรมก็เพราะเรารู้สึกว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ค่ะ ลองคิดดูสิคะ ว่าเราต้องผ่านความทุกข์อะไรมาบ้าง ตอนเรียนโดนครูตีก็อายเพื่อน ไม่ขยันก็กลัวสอบตก อกหักก็เสียใจหนัก
ทำงานก็เหน็ดเหนื่อยท้อ กับการหาเลี้ยงชีพสู้ชีวิต เดี๋ยวก็จะแก่ เจ็บ แล้วก็ตายแน่นอน รูปธรรมก็เห็นชัดเจนว่าชีวิตมีแต่พลัดพรากสูญเสียเช่นนี้ ส่วนนามธรรมก็บอบช้ำกับความรู้สึกขึ้นๆลงๆ ความอยาก ความกระวนกระวายใจตลอดเวลาคุณ จขกท. ลองสังเกตดูสิคะ เอาแค่ว่าเราอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำก็ทุกข์แล้ว ใจมันจะดิ้นรนหาอะไรมาทำเพื่อให้เพลิดเพลิน ไม่ทำก็ไม่ได้
เหล่านี้เป็นสาเหตุที่เราอยากหาทางหลุดไปจากวงจรอุบาทว์นี้ค่ะ

สำหรับนิพพานแท้จริงมีประโยชน์อย่างไร เนื่องจากเราก็ยังไม่เคยไปนิพพาน แต่ทราบว่าหัวใจหลักของคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านสอนแค่เรื่องสาเหตุของทุกข์ วิธีการดับทุกข์ และการออกจากทุกข์ และเราก็ได้ทดลองนำมาปฎิบัติ จนถึงตอนนี้แม้ว่าเราจะยังเป็นแค่ลูกไก่ ยังไม่แข็งแกร่งทั้งสติและปัญญาเพราะเริ่มต้นมายังไม่ถึงปี แต่เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า ความรู้ความเข้าใจใน ในเรื่องของทุกข์ มีมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องอ่านตำราใดๆ เพราะแต่ก่อนอ่านไปก็ไม่เข้าใจ แต่พอมาเห็นด้วยตนเองแล้ว เมือเกิดความทุกข์ใจขึ้นเพราะความไม่พอใจ หรืออะไรก็ตามแต่ เราเริ่มที่จะปล่อยมันได้ทีละขณะ และเริ่มเห็นว่าเราเลือกที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ แค่นี้จิตใจก็มีเรี่ยวมีแรงไม่บอบช้ำขึ้นอักโขเลยค่ะ นี่เป็นกำลังใจให้เราเห็นว่า ขนาดเราเป็นคนธรรมดา ที่ยังไม่ได้เก่งอะไร ก็สามารถปลดทุกข์ทางใจได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเราเพียรพยายามต่อไปเรื่อยๆ จนบรรลุเป้าหมายของพระพุทธศาสนาหรือพระนิพพานจริง มันจะเป็นอิสระขนาดไหน หมดภาระขนาดไหน
.......................
ตอนนี้เราเริ่มท้อๆน่ะคะ ขอคำชี้แนะด้วยนะ

คุณ จขกท. คะ งั้นเราขอถามกลับบ้างนะคะ คุณอยากไปนิพพานเพื่ออะไร ....
นิพพานคือการพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ลองมองกลับเข้าไปที่ใจคุณตอนนี้นะคะ
คุณปฎิบัติเพื่อไปนิพพาน ความทุกข์จากความอยากที่ดิ้นรนเผาอยู่ในใจคุณขณะนี้
คุณลองทำความเข้าใจมันสิคะ นั่นละค่ะตัวการที่ทำให้พวกเราต้องวนเวียนเกิดตายอยู่ทุกวันนี้
คุณแก้โจทย์ข้อนี้ได้เมื่อไร คุณจะเริ่มเข้าใจประโยชน์ของนิพพานและจะใกล้นิพพานได้ในตอนนั้น โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อหรือประสบการณ์ของคนอื่น ที่ช่วยตอบให้คุณได้เพียงครั้งคราว แล้วความลังเลสงสัยก็จะทำงานขึ้นใหม่เพราะคุณยังไม่ได้รู้จักมันด้วยตนเอง
อ้อ ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ ที่ตอนนี้คุณโชคดี ได้รู้จักกับตัวตัญหาแล้ว และกำลังรู้สึกทุกข์กับฤทธิ์ของมัน เพราะนั่นหมายถึงคุณเห็นเป้าหมายแล้วค่ะ ...อย่าปล่อยให้มันครอบงำ และหลอกคุณเลยค่ะ
จงอดทนดูมัน ว่ามันอยากแบบไหน ดิ้นรนยังไง และเปลี่ยนไปเช่นไร หากคุณยอมมันและละทิ้งเส้นทางนี้ คุณจะต้องผจญกับมันไปอีกชั่วกัลป์ชั่วกัลป์ แบบนั้นเอาไหมคะ
....................
สำหรับคำถามที่ว่าควรปฎิบัติอย่างไรนั้น พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกของท่านชี้ทางให้ชัดเจนแล้วค่ะ
เจริญสติปัฎฐาน 4 เป็นคำตอบสุดท้ายค่ะ ....สู้เว้ย!!!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตอนที่เราเริ่มเข้ามาปฏิบัติธรรมนั้น
เราทุกข์มากๆ....เข้ามาเพราะหาทางดับทุกข์บ้าง
แต่พอปฏิบัติไปแล้ว...เราก็เริ่มเห็นหนทางที่กว้างขึ้น
นอกจากการดับทุกข์ทางโลกของทุกวันนี้แล้ว
ยังเบื่อที่จะต้องเกิดอีก...ไม่อยากเกิด เพราะรู้แล้ว
ว่าถ้าได้เกิดเราก็ต้องทุกข์อีก...ไม่มีใครที่เกิดมา
แล้วไม่ทุกข์....ศึกษาไปเรื่อยๆก็รู้ว่าทางที่จะไม่เกิด
ไม่ว่าภพใด ภูมิใด ก็คือการเข้านิพพาน.....แต่ว่า
กว่าที่จะเข้านิพพานได้....เราคงต้องสะสมบุญบารมี
สร้างแต่กุศล...ทำตัวเองให้บริสุทธิ์...ปราศจากกิเลส
ทั้งปวง....คงต้องใช้เวลาอีกนาน..... :b23:

เพราะฉะนั้น....ถ้าจะหวังนิพพานตอนนี้...ก็เหมือนกับ
เรายิงธนู....แต่ตั้งเป้าไกล...จนมองไม่เห็น...มันย่อม
ไม่มีทางที่จะถูกเป้าได้แน่ๆ...ก็จะทำให้เราท้อ...ขาด
กำลังใจ...แล้วพาลจะเลิกเสีย....สู้เรามองดูเป้าหมาย
ที่ใกล้ๆตัว...คือการดับทุกข์...ที่เราผจญอยู่ทุกข์วันนี้
ให้ลดน้อยถอยลงให้มากที่สุด...สร้างสมคุณงามความดี
ให้มากที่สุด...ขจัดกิเลส...ตัณหาที่มีอยู่ให้เบาบางที่สุด
เป้าหมายแค่นี้เราพอจะมองเห็น...และสามารถยิงได้ถูกเป้า
ได้ไม่ยาก...ก็จะทำให้เรามีกำลังใจ...ไม่เบื่อ..ไม่ท้อ
มีกำลังพอที่จะค่อยๆ..เดินทางไปเรื่อยๆ....จนกว่าจะ
ถึงจุดหมายอันไกลโพ้น.....นี่คือความคิดของเรานะ :b48:


"ไม่ใช่คนเราต้องไปนิพพาน แต่ควรปรารถนานิพพาน"

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 03:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
สิ่งที่ติดขัดในใจของเรานั้น
เริ่มมาจาก การที่เราคิดว่า โลกใบนี้มันก็ยังดีนะ ถึงแม้ว่าอาจจะมีเรื่องขัดแย้งทางความคิด หรือการกระทำอยู่บ้าง อาจจะมีเรื่องอะไรวุ่นวายอยู่บ้าง แต่มันก็ยังดี เพราะเพียงแค่เราคิดอะไรดีๆ โลกก็สามารถดีได้
ทำไมเราปฎิบัติแล้วถึงไม่เบื่อในโลกสักที เราเบื่อที่เราต้องทำไปเหมือนไร้ปลายทางมากกว่า
ตอนนี้เราก็เริ่มไม่เข้าใจสักเท่าไหร

อยากจะได้ทัศนคติจากเพื่อนๆในบอร์ดน่ะคะ ว่านิพพานนั้นแท้จริงๆแล้วมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
แล้วปฎิบัติธรรมนั้นควรทำอย่างไร
แล้วเพื่อนๆปฎิบัติธรรมเพราะอะไรกันบ้าง

ตอนนี้เราเริ่มท้อๆน่ะคะ ขอคำชี้แนะด้วยนะ tongue


ทำไมคนเราต้องไปนิพพาน..นะหรอครับ :b16:

ง่าย ๆ ..ความรู้สึก..มันก็คล้าย..กับ

หากมือคุณ..ติดขี้..คุณจะรีบไปล้างมือ..ทันทีไหม???

ปัญหา..คือ..ทำยังงัยเราถึงจะรู้ว่า..สิ่งที่มันติดมือเราอยู่นี้..มันเป็นขี้..เป็นของเน่าเหม็น..เป็นสิ่งน่ารังเกียจ grin

ทุกข์..มันก็เหมือน..ขี้..มันติดตัวเราตั้งแต่เกิด

ว่าแต่..เราเห็นทุกข์..เป็น..ทุกข์..แล้วหรือยัง??

หาก..ยังเห็นว่าโลกนี้..ก็พอมีสุขอยู่บ้าง..นี้เป็นอาการของ..การเห็นทุกข์..ยังไม่จริง

ทุกข์นอกตัว..ทุกข์ของคนอื่น..ไม่ต้องไปหา..

ทุกข์ของตัวเอง..คือ..ทุกข์ที่ทำให้เราอยากออกจากทุกข์..นี้ต้องหาให้เจอ..พิจารณาใคร่ครวญ..จนเห็นจริงในทุกข์

ลองพิจารณาดู

เคยถาม..ตัวเราเองไหม??..ว่าทำไมเราต้องกิน..หากไม่กินจะได้ไหม??..เพราะต้องกินใช่มั้ย..จึงต้องขวนขวายหาเลี้ยงชีพ...จะมีอาชีพได้..ก็ต้องร่ำเรียน..สิ่งเหล่านี้มันสนุกนักหรอ??

พอมีอาชีพ..ก็ต้องรักษา..ใครเขาดุเขาด่า..ก็ต้องอดทน..หากไม่อดทนก็ต้องกลับไปทนอด..ทั้งอดทนและทนอด..ไม่เห็นอะไรจะไปสนุกสักอย่าง

มีที่ไหนบ้างที่ไม่ต้องหาอยู่หากิน...เทวดา..พรหมณ์..เป็นงัย..ดี ดี..ดี...
แต่มีปัญหา..เวลาหมดบุญ..จะเป็นยังงัย??..ไม่พ้นเวียนไหว้ตายเกิด..กันอีก..

cry

ดี..ดี..แต่ยังดีไม่ที่สุด..

ไม่ดี..ไม่ดี..ไม่เอา..ไม่เอา mellow ..

จะเอา..ไอ้ที่..มันดีที่สุด Lips

นิพพาน..เป็นงัย??..ทำยังงัย..นิพพาน??

ก็ลองทำดู..มรรค 8 ข้อ...เท่านั้นเอง s007


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 08 มี.ค. 2010, 03:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานอยู่แล้ว

โดย... หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จังหวัดเลย

ไม่ใช่การคอยติด การคอยหลุดอยู่แล้ว นั่นแหละ “ไม่อยู่แล้ว” มันก็ไม่ของมันเอง ไม่วุ่นวายไปเอง ไม่ยุ่งของมันไปเอง ไม่หลงจริง ไม่หลงเท็จไปเสียเอง ก็คือไม่อยู่แล้ว จะใช่ ไม่ใช่ ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปค้นหา อะไร เป็นอะไร ก็ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปถามหา มันก็ไม่เป็นเหตุ เป็นผลของมันอีก จบเลย ไม่ใช่เป็นการคอยติด คอยหลุดอะไร ไม่ใช่ จบเลย ไม่ต้องไปคอยปรับปรุง คอยเปลี่ยนแปลง ไปแก้ไขแบบไหน อย่างไร ไม่ต้อง เพราะฉะนั้นที่มีกายธาตุ จิตธาตุ มีแบบไม่ยึดติดอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ยึด มันไม่ติด อยู่แล้ว



ธรรมชาติที่มันไม่ยึดอยู่แล้ว ก็สมดุลโดยธรรมชาติของมัน ไม่ไปมัวคอยหลง คอยต่อ คอยเสริม ไปเพิ่มอะไรให้มันยุ่งไปเสียเอง มันก็ไม่อยู่แล้วทั้งหมด มันไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ถึงจะมี ถึงจะเป็น มันก็เป็นแบบไม่ยึด ไม่ติดอยู่แล้ว อนิจจังอยู่แล้ว ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ใช่ที่ความสาละวนเข้าไปคอยเพิ่ม หรือไปคอยลด-คอยเพิ่ม มันเป็นความหลงสาละวน หรือว่าหลง หลงสาละวนไปเอง



ไม่รู้ว่าตรงต่อไม่ตลอด ตรงต่อความเป็นจริงว่า “ไม่อยู่แล้ว” จริงๆ ไม่ต้องไปคอยติด ไม่ต้องไปคอยหลุด ซ้อนลงไปอีก ไม่ต้อง ไม่ต้องมัวไปผูก ไปแก้ ซ้อนลงไปอีก เข้าไปคอยผูก คอยแก้ ยิ่งเป็นเงื่อน เป็นปม เป็นแง่ เป็นมุม เป็นเหตุ เป็นผล ไปหน้าเรื่อยบานปลาย ไปหน้าเรื่อย เหมือนว่าไปคอยเริ่ม สร้างเหตุเป็นเสียเอง จริงๆ ไม่ๆ อยู่แล้ว ว่าง อยู่แล้ว “ไม่” อยู่แล้ว ไม่ใช่ตรงที่อะไรอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว ว่างอยู่แล้ว ก็ปล่อยเลย ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปคอยห่วง คอยติด คอยหลุดอะไร คอยติด คอยหลุดอย่างไร ไม่ต้องไปคอยห่วง ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องห่วง มันก็ตรงต่อที่มันไม่ของมันอยู่แล้วจริงๆ



“ไม่อยู่แล้ว” นิพพานอยู่แล้ว ไม่ยึดอยู่แล้ว ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว “ไม่อยู่แล้ว” นิพพานอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้วไง นิพพานไม่ใช่อะไร ก็ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไม่ห่วง แม้กระทั่งปัญญา ไม่ห่วง แม้กระทั่งความเข้าใจ ไม่ห่วง แม้กระทั่งการรู้ ไม่ไปคอยผูก ไม่ไปคอยแก้ ไม่ไปคอยเพิ่ม ไม่ไปคอยลด ให้มันยุ่งไปเสียเอง นี้ไม่ห่วง ไม่เกี่ยวเข้าใจ ไม่เข้าใจ ตัดไปเลย คือไม่อยู่แล้วจริงๆ ว่างอยู่แล้วเอง ไม่ไปคอยเพิ่ม ไม่ไปคอยลดอะไร ไม่พยายามหลุดจากอะไร อะไรหลุดจากอะไร ทุกอย่างคือการไม่ยึดติดอยู่แล้ว จะเอาอะไรไปหลุดจากอะไร ยิ่งไปคอยยึดติด ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ติดก็ไม่ต้องติด หลุดก็ไม่ต้องหลุด ตรงที่สุด ตรงต่อความไม่ยึดติดที่สุด ตรงต่ออนิจจังอยู่แล้วที่สุด ตรงต่อไม่อยู่แล้ว ตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด



ทุกอย่างไม่ต้องไปคอยหลุดอีก “มันไม่ยึดอยู่แล้ว” มันไม่ต้องไปคอยหลุดอีกทุกอย่าง จะตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด เราคอยไปหลุด ก็หลงขึ้นมาอีก หลงไปคอย หลงเป็นตัณหา หลงๆๆ หลงดิ้นรนไปเสียเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าไปทำอะไรมัน ไปทำจิตแบบไหนนี้ไม่เกี่ยวเลย เข้าไปทำมัน เหมือนกับเด็กเล่นอยู่นั้นแหละ เล่นจิต เล่นวิญญาณ เล่นความรู้สึกนึกคิด เล่นอารมณ์ เล่นพฤติกรรมอยู่ มันก็เล่น เป็นของเล่น มันไม่เป็นการยึดติดอยู่แล้ว แล้วจะไปทำอะไร เหตุไปทำมันแบบไหน ทำเพื่ออะไร ทำตัวทำใจแบบไหน ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อเป็นกรรมขึ้นมาอย่างนั้นหรือ



ไอทำไปก็เป็นกรรมไป สร้างกรรมๆๆๆ ไอนี้ตัวใจไม่ต้องไปทำมันอีกแล้ว ใจตรงต่อความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยึดติดอยู่แล้ว โดยสภาพมันเองทั้งหมด ห่วง ก็ไม่ห่วงเลยในการที่ไปทำมันแบบไหน ทั้งตัว และใจ ก็ไม่ต้องไปห่วงเลยไปทำมันอย่างไร คือไม่ ก็ไม่อยู่แล้ว คือไม่ต้อง ไม่ต้องไป ไม่ มันไม่อยู่แล้ว โดยความเป็นจริง มัน “ไม่อยู่แล้ว” ไม่ต้องไปคอยไม่ คือ ไม่อยู่แล้วนั่นเอง หรือว่า ว่างอยู่แล้ว นี่ๆ มัวไปคอยทำแบบนั้น แบบนี้อยู่ก็เป็นวิบากอย่างหนึ่ง การตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ก็ยังหลงเข้าไปกระทำมันแบบนั้น แบบนี้อยู่ มันก็วิบากนั่นแหละ เป็นความลำบาก เป็นวิบาก โดยสั่งสมการตอกย้ำมา คอยจะ คอยจ้องคอยตั้ง คอยอย่างนั้น อย่างนี้มาเรื่อยๆ กลายเป็นผลวิบากกรรมมา



หลอน คอยจะอยู่เรื่อย คอยต้องอยู่เรื่อย มันหลอน วิบากหลอน ตีกลับ ไปคอยจะ ไปคอยต้องกับมันมากๆ มันก็เลยตีกลับ เลยกลายมาเป็น วิบากหลอน คอยจะอย่างนั้นอยู่เรื่อย คอยต้องอย่างนั้น คอยตั้งอย่างนั้นอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่ตรง การตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ยังหลงจะ หลงต้องอยู่ ไอ “ไม่อยู่แล้วจริงๆ” ก็ไม่จริงๆ ไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่การคอยติด ไม่ใช่การคอนหลุดอยู่แล้ว มันไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไม่เป็นทั้งกิเลส ไม่เป็นทั้งธรรมะ ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว นิพพานอยู่แล้ว ไม่มามัวมาเห็นมันๆ ไม่มามัวห่วงดูมัน เห็นมันอยู่ ไม่ห่วง



“ไม่อยู่แล้วๆ” มันตัดหมด โมหะในการเห็น โมหะในการรู้ โมหะในการเข้าใจ อะไร มันตัดหมด ก็มันไม่อยู่แล้ว มันไม่คอยอะไรเข้าใจอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาคอย ใช่ ไม่ใช่ อะไรกับอะไรอยู่แล้ว ไม่ ไม่มีมาค้นหาความเป็นจริงที่ไหนอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่อยู่แล้วไง “ไม่อยู่แล้ว” ว่างอยู่แล้ว มันไม่มาคอยค้นหาความเป็นจริง อะไรจริง อะไรไม่จริง ไม่ต้องมาคอยเอ๊ะ คอยอ๊ะ คอยสงสัย คอยลังเลกับอะไร ก็ไม่อยู่แล้วไง มันไม่ใช่ต้องแบบไหนอยู่แล้ว มันไม่ต้องอยู่แล้ว มันก็ไม่มีอะไรมาคอยทำความเข้าใจ อะไรจะมาคอยรู้ เข้าใจอะไรอยู่ ไม่ ตัดหมด “อวิชชา” “วิชชา” ตัดหมดทั้ง อวิชชา วิชชา



ไม่มีวิชชา อวิชชา, มีวิชชา อวิชชา มันตัดหมด ไม่อะไรอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว อะไรแจ้งอะไรๆ อะไรเข้าใจในอะไร ไม่อยู่แล้วไม่มามัวคาวิชชาอยู่ ไม่มามัวคาความเข้าใจอยู่ นั่นแหละ ว่างอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องดำเนินตัวไหนอีก ไม่ต้องคอยทำจิตอย่างไรอีก ไม่ต้อง ไปทำรู้ ทำเห็น ทำเข้าใจมัน ไม่ต้อง ไม่อยู่แล้วไง



จริงๆ ก็ไม่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรอยู่แล้ว มันก็จบ ไม่มามัวห่วง อะไรเข้าใจอะไร ไม่อย่างนั้นไปติดปัญญา ติดวิชชา-ติดปัญญา นั่นแหละไม่เป็นการคอยหลีก คอยหลบอยู่แล้ว อะไรต้องคอยติดอะไร อะไรต้องคอยหลุดอะไร ไม่ ไม่อยู่แล้ว................สาธุ.......................


ขอเชิญศึกษาธรรมปฏิบัติ และดาวน์โหลดธรรมะ
โดย หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
วัดร่มโพธิธรรม บ้านหลัก 160 ต.หนองหิน อ.หนองหิน จ.เลย

http://www.rombodhidharma.com/ หรือที่บอร์ดสนทนาทั่วไป
ขอให้มีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


จากหัวกระทู้ทำไมคนเราต้องไปนิพพานคะ?
จะไม่ไปก็ได้ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ ในภพ3 ต่อไป มีสวรรค์ พรหมโลก นรก นรกอเวจี โลกันต์ ๆลๆ เลือกเอาดูว่าตายจากชาตินี้แล้วจะไปอยู่ไหนดี :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่คุณคิดนี่ คือว่ามันติดสุข
ถ้าเราไม่รู้จักกิเลส แล้วดับกิเลส
เราก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในไตรภพนี้ตลอดกาล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ติดสุข??? :b10:
นิพพานเป็นสุขยิ่งหรือไม่?

นิพพานัง ปรมัง สุขัง

:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 08 มี.ค. 2010, 11:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ

ความจริงแล้วคำถามข้อนี้ถ้าจะให้ผมตอบให้ มันก็ดูจะคล้ายๆกับการบอกเฉลยข้อสอบ
ซึ่งดูจะผิดหลักอริยสัจ ๔(ในความคิดเห็นของผมนะครับ) เหมือนกับมีคนบอกว่าในน้ำแก้วนี้มี ยาพิษ
ถามว่าจริงๆเรารู้หรือไม่ว่าน้ำแก้วนี้มียาพิษ ดังนั้นในการที่เราต้องการไปนิพพานเราต้องรู้ว่าทำไม
เราถึงอยากไปนิพพาน ฟังดูงงๆเนอะ
เหมือนกับว่าเราจะวิเคราะห์หาสารสำคัญในพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อเอดส์
ทำไมเราถึงต้องหา เพราะว่ายาที่ใช้กันอยุ่ในปัจจุบันมันเอาไม่อยู่
เหมือนกัน การที่เราควานหานิพพานก็เหมือนกันครับ เราต้องรู้ก่อนว่าทำไมเราถึงอยากไปนิพพาน
บางคนบอกว่าเพราะมันทุกข์ เราก็เลยติดปากกันมาว่าโลกนี้มีทุกข์มาก แต่ทุกข์ยังไงรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง
ดังนั้นในการบำเพ็ญเข้าสู่นิพพานเราต้องรู้ว่าเราทำเพราะอะไร หรือพูดง่ายๆว่า ประจักษ์โดยปัญญาของตนว่าเหตุใดเราจึงเข้าสู่กระแสนิพพาน อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ เหมือนกับการไปดับไฟ หากไม่รู้ต้นเหตุของเพลิง ไฟมันก็ไม่ดับ ฝากให้คิดด้วยนะครับ ผิดพลาดประการใดกระผมต้องขออโหสิกรรมด้วยครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.:b8: :b8: :b8:.

อยากมีเงินล้าน อยากได้เงินล้าน อยากหาเงินล้าน ?

ด้วยคิดว่า มีเงินล้านอย่างเดียว แก้ปัญหาค่าครองชีพได้แทบทุกอย่าง

ทำยังไง ทีนี้ ทำยังไงดี จะมีงานอะไรหนอ ที่มันให้ผลเป็นล้าน

คิดไป คิดมา มันคงไม่มี ถ้าไม่ถูกหวยรวยเบอร์

มาคิดใหม่ เราหาเงินร้อยได้มั๊ย หาได้ มีเงินร้อย ก็พอใจเงินร้อย

พอเก็บไว้หลาย ๆ ร้อย ก็ครบพัน ก็พอใจเงินพัน

พอเก็บไว้หลาย ๆ พัน ก็ครบหมื่น ก็พอใจเงินหมื่น

พอเก็บไว้หลาย ๆ หมื่น ก็ครบแสน ก็พอใจเงินแสน

พอเก็บไว้หลาย ๆ แสน ก็ครบล้าน ทีนี้ เราก็ได้เงินล้านตามประสงค์

คุณค่าของเงิน มันมีอยู่ทุกขั้นตอน เงินร้อย ก็มีคุณค่าเท่าเงินร้อย ถ้าเราพอใจ ก็มีความสุข


ฉันนั้นนั่นแล



ผู้ที่ปรารถนาจะไปนิพพาน เพียงแค่เริ่มดำริก็มีความสบายใจ

เพียงแค่เริ่มถือศีล ๕ เราก็มีความสุขใจเท่าที่คุณแห่งศีล ๕ มี

ศีลเป็นเกราะ เป็นอาภรณ์ เครื่องประดับอันประเสริฐ

เพียงแค่เริ่มให้ทาน ความโลภ ความเห็นแก่ตัวก็ค่อย ๆ ลดละไป

เพียงแค่เริ่มปฏิบัติสมาธิ จิตสะอาด สว่าง สงบ ราคะ โทสะ โมหะ ก็เบาบางไป

แค่กิเลสสงบระงับชั่วคราว ก็สงบ เบา สบาย

ยังไม่ต้องทันถึงนิพพานเลย แค่สมาธิเล็กน้อย ก็ทำให้ลืมความทุกข์ทั้งปวงได้

ผู้ที่เข้าถึงแค่ปฐมฌาน บรรลุนิพพานชั่วคราว (ตทังคนิพพาน) ยังลืมความสุขในโลกียะ

ยังพิจารณาไม่เห็นว่า ขั้นตอนไหนเป็นทุกข์

ยังมองไม่เห็นว่าขั้นตอนไหน ทำให้เกิดทุกข์

ถึงแม้ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” นิพพานเป็นบรมสุข

แต่หนทางก่อนจะถึงนิพพาน ก็มีความสุขเหมือนกัน

........

โอม มณี ปทฺเม หุมฺ

ขอปัญญาจงบังเกิดมี

หลวงจีนงมงาย


. :b42: :b42: :b42: .


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผล...มาจากปัจจัย...

:b1: :b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 12:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าด้วยเหวคือความเกิด

[๑๗๒๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายมาเถิด เราจักเข้าไปยังยอดเขากั้นเขตแดนเพื่อพักกลางวัน ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เสด็จเข้าไปยังยอดเขากั้นเขตแดน ภิกษุรูปหนึ่งได้เห็นเหวใหญ่บนยอดเขากั้นเขตแดน ครั้นแล้วได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหวนี้ใหญ่ เหวนี้ใหญ่แท้ๆ เหวอื่นที่ใหญ่กว่า และน่ากลัวกว่าเหวนี้มีอยู่หรือ พระเจ้าข้า? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า เหวอื่นที่ใหญ่กว่าและน่ากลัวกว่าเหวนี้มีอยู่.

ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหวอื่นที่ใหญ่กว่าและน่ากลัวกว่าเหวนี้เป็นไฉน?

[๑๗๒๙] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ... เพื่อความแก่ ... เพื่อความตาย ... เพื่อความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัสและความคับแค้นใจ ยินดีแล้ว ย่อม ปรุงแต่งสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิดบ้าง ... และความคับแค้นใจบ้าง ครั้นปรุงแต่ง แล้ว ย่อมตกลงสู่เหวคือความเกิดบ้าง ... และความคับแค้นใจบ้าง เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความ ร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส ความคับแค้นใจ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์.

[๑๗๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมไม่ยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ... และความคับแค้นใจ ไม่ยินดีแล้วย่อมไม่ปรุงแต่งสังขารทั้งหลายซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ... และความคับแค้นใจ ครั้นไม่ปรุงแต่ง แล้ว ย่อมไม่ตกลงสู่เหวคือความเกิดบ้าง ... และความคับแค้นใจบ้าง เรากล่าวว่า สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมพ้นจากความเกิด ... และความคับแค้นใจย่อมพ้นจากทุกข์

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร