วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 15:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้อ่านพบบทความหนึ่ง เห็นว่าน่าสนใจ

จึงนำมาลงให้เพื่อนอ่าน ......ฯลฯ........

จริง / เท็จ หรือไม่ อย่างไร โปรดพิจารณาครับ



ทุกคำที่พระอริยะอรหันต์พูด ไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านจะพูดตามทั้งหมดได้..!!??


http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic ... 8091144078


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
เรียกว่า..ต้องดูใจของตัว..ให้หนัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 02:58
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะรู้จริง แล้วรู้จริงสอนไม่มีผิดเลย แต่ถ้ารู้ปลอมนะ มันโกหกสอนผิดหมดเลย
ถ้าการปฏิบัติมันเป็นความจริง ไม่ใช่วัดป่าสอนแบบวัดป่า วัดป่าคือทำสมาธิ
ผู้ที่อยากมีสมาธิจงมาวัดป่า ไม่ใช่ ถ้าวัดป่ามีสมาธิ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ดุลย์
ท่านทำยังไงล่ะ ท่านสอนยังไง ก็เอาข้อเท็จจริง อย่าอ้างว่าสอนแบบวัดป่า ไม่ใช่

ถ้าจิตไม่สงบความคิดก็คิดอยู่อย่างงี้
พระโกหกสอนกันอยู่อย่างเงี้ย ว่างๆๆ ใช้ดูไป เข้าใจไป รู้ไป ปล่อยวางไป
จับปล่อยๆไป มันหุ่นยนต์ทั้งนั้นน่ะ
มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ

เนี่ยพระโกหกมันสอนน่ะ พระโกหกมันสอนให้ทำลายผู้รู้ ก็เหมือนพวกเรา ก็เลยขี้ลอยน้ำไง
เริ่มต้นไม่ถูกไง จะเดินกระบวนการ ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นไปยังไงในเมื่อมันไม่มีฐานเริ่มต้นน่ะ
แล้วเมื่อไม่มีฐานเริ่มต้นทำอะไรไม่ได้

ถ้ามันสอนแบบพระป่า พระป่ามันต้องรู้จักสัมมาสมาธิ
แล้วสัมมาสมาธิมันเกิดบนผู้รู้ ผู้รู้เนี่ยจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันไม่ต้องรักษาผู้รู้
แล้วทำลายผู้รู้ แล้วกำหนดขี้หมามันจะเป็นสัมมาสมาธิได้ยังไง ถ้ามันไม่ใช่สมาธิเนี่ย
มันไม่ใช่พระป่าหรือพระบ้าน มันเป็นพระโกหก ถ้าพระโกหกมันก็สอนโกหกนี่ไง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




t1232480436.gif
t1232480436.gif [ 17.21 KiB | เปิดดู 5486 ครั้ง ]
fakemonk เขียน:
เพราะรู้จริง แล้วรู้จริงสอนไม่มีผิดเลย แต่ถ้ารู้ปลอมนะ มันโกหกสอนผิดหมดเลย
ถ้าการปฏิบัติมันเป็นความจริง ไม่ใช่วัดป่าสอนแบบวัดป่า วัดป่าคือทำสมาธิ
ผู้ที่อยากมีสมาธิจงมาวัดป่า ไม่ใช่ ถ้าวัดป่ามีสมาธิ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ดุลย์
ท่านทำยังไงล่ะ ท่านสอนยังไง ก็เอาข้อเท็จจริง อย่าอ้างว่าสอนแบบวัดป่า ไม่ใช่

ถ้าจิตไม่สงบความคิดก็คิดอยู่อย่างงี้
พระโกหกสอนกันอยู่อย่างเงี้ย ว่างๆๆ ใช้ดูไป เข้าใจไป รู้ไป ปล่อยวางไป
จับปล่อยๆไป มันหุ่นยนต์ทั้งนั้นน่ะ
มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ

เนี่ยพระโกหกมันสอนน่ะ พระโกหกมันสอนให้ทำลายผู้รู้ ก็เหมือนพวกเรา ก็เลยขี้ลอยน้ำไง
เริ่มต้นไม่ถูกไง จะเดินกระบวนการ ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นไปยังไงในเมื่อมันไม่มีฐานเริ่มต้นน่ะ
แล้วเมื่อไม่มีฐานเริ่มต้นทำอะไรไม่ได้

ถ้ามันสอนแบบพระป่า พระป่ามันต้องรู้จักสัมมาสมาธิ
แล้วสัมมาสมาธิมันเกิดบนผู้รู้ ผู้รู้เนี่ยจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันไม่ต้องรักษาผู้รู้
แล้วทำลายผู้รู้ แล้วกำหนดขี้หมามันจะเป็นสัมมาสมาธิได้ยังไง ถ้ามันไม่ใช่สมาธิเนี่ย
มันไม่ใช่พระป่าหรือพระบ้าน มันเป็นพระโกหก ถ้าพระโกหกมันก็สอนโกหกนี่ไง


?????....

ขออนุโมทนาในกุศลของท่าน
กับการสนใจใฝ่เรียน - ปฏิบัติ ครับ

แต่ขอความกรุณา อย่าไปตำหนิ ว่ากล่าว
แนวทางอื่น โดยเฉพาะ ตัวบุคคล ครูบาอาจารย์
ที่สอนไม่ตรงกับที่ตนเองรู้มา

จะเป็น "มหากุศล" ยิ่งขึ้นไปครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 10:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


fakemonk เขียน:
.............


คุณ..fakemonk ..ครับ

หากนำคำพระมา..ก็ช่วยบอกให้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้ด้วยว่า

นี้..มีพระองค์หนึ่งพูดใว้อย่างนี้..ไม่ต้องบอกชื่อพระก็ได้นะ

ชาวบ้านจะได้ไม่พลั่งทำบาป..แบบไม่รู้ตัว

จะเป็นกุศลครับ

สาธุ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 02:58
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นรูปหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า


fakemonk เขียน:
เพราะรู้จริง แล้วรู้จริงสอนไม่มีผิดเลย แต่ถ้ารู้ปลอมนะ มันโกหกสอนผิดหมดเลย
ถ้าการปฏิบัติมันเป็นความจริง ไม่ใช่วัดป่าสอนแบบวัดป่า วัดป่าคือทำสมาธิ
ผู้ที่อยากมีสมาธิจงมาวัดป่า ไม่ใช่ ถ้าวัดป่ามีสมาธิ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ดุลย์
ท่านทำยังไงล่ะ ท่านสอนยังไง ก็เอาข้อเท็จจริง อย่าอ้างว่าสอนแบบวัดป่า ไม่ใช่

ถ้าจิตไม่สงบความคิดก็คิดอยู่อย่างงี้
พระโกหกสอนกันอยู่อย่างเงี้ย ว่างๆๆ ใช้ดูไป เข้าใจไป รู้ไป ปล่อยวางไป
จับปล่อยๆไป มันหุ่นยนต์ทั้งนั้นน่ะ
มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ

เนี่ยพระโกหกมันสอนน่ะ พระโกหกมันสอนให้ทำลายผู้รู้ ก็เหมือนพวกเรา ก็เลยขี้ลอยน้ำไง
เริ่มต้นไม่ถูกไง จะเดินกระบวนการ ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นไปยังไงในเมื่อมันไม่มีฐานเริ่มต้นน่ะ
แล้วเมื่อไม่มีฐานเริ่มต้นทำอะไรไม่ได้

ถ้ามันสอนแบบพระป่า พระป่ามันต้องรู้จักสัมมาสมาธิ
แล้วสัมมาสมาธิมันเกิดบนผู้รู้ ผู้รู้เนี่ยจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันไม่ต้องรักษาผู้รู้
แล้วทำลายผู้รู้ แล้วกำหนดขี้หมามันจะเป็นสัมมาสมาธิได้ยังไง ถ้ามันไม่ใช่สมาธิเนี่ย
มันไม่ใช่พระป่าหรือพระบ้าน มันเป็นพระโกหก ถ้าพระโกหกมันก็สอนโกหกนี่ไง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นรูปหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ท่านอาจารย์ สงบ มนัสสันโต วัดป่าสันติพุทธาราม จังหวัด ราชบุรี เทศนากันนนี้ เป็นส่วนหนึ่งในพระธรรมเทศนา เรื่อง พระป่าหรือ พระโกหก เข้าไปรับฟังได้ที่ http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=258


fakemonk เขียน:
เพราะรู้จริง แล้วรู้จริงสอนไม่มีผิดเลย แต่ถ้ารู้ปลอมนะ มันโกหกสอนผิดหมดเลย
ถ้าการปฏิบัติมันเป็นความจริง ไม่ใช่วัดป่าสอนแบบวัดป่า วัดป่าคือทำสมาธิ
ผู้ที่อยากมีสมาธิจงมาวัดป่า ไม่ใช่ ถ้าวัดป่ามีสมาธิ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ดุลย์
ท่านทำยังไงล่ะ ท่านสอนยังไง ก็เอาข้อเท็จจริง อย่าอ้างว่าสอนแบบวัดป่า ไม่ใช่

ถ้าจิตไม่สงบความคิดก็คิดอยู่อย่างงี้
พระโกหกสอนกันอยู่อย่างเงี้ย ว่างๆๆ ใช้ดูไป เข้าใจไป รู้ไป ปล่อยวางไป
จับปล่อยๆไป มันหุ่นยนต์ทั้งนั้นน่ะ
มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ

เนี่ยพระโกหกมันสอนน่ะ พระโกหกมันสอนให้ทำลายผู้รู้ ก็เหมือนพวกเรา ก็เลยขี้ลอยน้ำไง
เริ่มต้นไม่ถูกไง จะเดินกระบวนการ ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นไปยังไงในเมื่อมันไม่มีฐานเริ่มต้นน่ะ
แล้วเมื่อไม่มีฐานเริ่มต้นทำอะไรไม่ได้

ถ้ามันสอนแบบพระป่า พระป่ามันต้องรู้จักสัมมาสมาธิ
แล้วสัมมาสมาธิมันเกิดบนผู้รู้ ผู้รู้เนี่ยจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันไม่ต้องรักษาผู้รู้
แล้วทำลายผู้รู้ แล้วกำหนดขี้หมามันจะเป็นสัมมาสมาธิได้ยังไง ถ้ามันไม่ใช่สมาธิเนี่ย
มันไม่ใช่พระป่าหรือพระบ้าน มันเป็นพระโกหก ถ้าพระโกหกมันก็สอนโกหกนี่ไง

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แก้ไขล่าสุดโดย ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เมื่อ 13 มี.ค. 2010, 15:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



วิบากกรรมของผู้อื่น จงอย่านำมาเป็นเหตุทำเกิดวิบากกรรมของตัวเอง
ครูบาฯทุกท่านล้วนไม่แตกต่างจากเราหรอก ในสมัยที่ปฏิบัติแรกๆน่ะ
ซีดีทำพิษนะเนี่ยยยย .....
ฟังแต่เรื่องเก่าๆ เลยนำเรื่องเก่าๆมาต่อว่ากัน
พอดีเคยได้ดูทางยูทูฟ มีคนๆหนึ่งนำมาถาม
พอดูจบ ถามเขาว่า ปีไหน เขาตอบมาว่า ของเก่า
เลยบอกกับเขาไปว่า ให้ดูปัจจุบัน เพราะครูบาฯทุกๆท่านล้วนไม่แตกต่างจากคนทั่วๆไปหรอก
มีถูกมั่ง ผิดมั่ง ทั้งที่บันทึกเอาไว้ และซีดีที่นำมาเผยแผ่
เวลาจะฟังคำที่ครูบาฯสอนน่ะ ให้ฟังปัจจุบัน อดีตอย่าไปยึดติด
ไปค้นประวัติของครูบาฯเก่าๆดูได้เลย อันนี้กล้าท้านะ
ดูหลวงพ่อพุทธทาส คำสอนแรกๆเป็นไง มีคนนำมาโจมตีท่านมากมาย
เพราะน้องชายของท่าน รู้แค่ไหน ก็นำส่วนที่รู้มาแสดงแค่นั้น
นี่ครูบาฯของเราท่านเมตตาเล่าให้ฟังนะ เพราะท่านเองก็ปฏิบัติกับหลายครูบาฯ
ท่านออกธุดงค์ไปทั่ว เราเลยได้รับความรู้จากท่านหลากหลาย
ไปหาอ่านของท่านพ่อลีและครูบาฯอีกหลายๆท่านเถอะ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
เพราะท่านเหล่านี้ จะชอบบันทึกเรื่องราวในการปฏิบัติเอาไว้
แม้แต่หลวงพ่อพุทธ ลองไปหาอ่านดูนะ ของเก่า กับของใหม่น่ะ
ท่านสอนแตกต่างกันลิบลับ ของใหม่นี่มีแต่เรื่อง สติ ไปหาอ่านดูนะ
มันเป็นวิบากกรรมของครูบาฯท่านนี้ ที่ท่านเคยกระทำไว้ในอดีต
แล้วเราจะไปสร้างเหตุอันเป็นวิบากกรรมที่เป็นอกุศลจิตไปกับท่านทำไม
สอนถูกหรือผิดน่ะไม่มีหรอก มีแต่ถูกใจกับไม่ถูกใจต่างหาก
ทุกอย่างมันมีเหตุมาก่อน ไม่ใช่จู่ๆจะเกิดขึ้นมาเองได้
ใครเชื่อใคร ใครไม่เชื่อใคร นี่เขาล้วนเคยสร้างเหตุร่วมกันมา
ต่อให้ห้ามให้ตาย พูดให้ตาย ไม่มีใครเขาสนใจหรอก
แต่ผู้ที่รับผลคือคนที่พูดน่ะ กุศลและอกุศลตามความเป็นจริงที่จิตบันทึกไว้หมด
ไม่ใช่กุศลหรืออกุศล ว่าถูกหรือผิด ตามความคิดของแต่ละคนนะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
.....


ก็ประมาณว่า เราอัพเดทกันไปหลายเวอร์ชั่นแล้ว ยังมะงุมมะงาหรากับเวอร์ชั่นโบราณ เช่น เขาใช้ windows xp/7 กันหมดแล้ว ก็ยังยก DOS มาพูด อะไรแบบนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




0006.jpg
0006.jpg [ 130.42 KiB | เปิดดู 5369 ครั้ง ]
เพราะพระอรหันต์ท่านมีแต่"กิริยา" แต่ไม่มี"กรรม"

และท่านเหล่านั้น
"ไม่มีแผลในฝ่ามือ"แล้ว
จะจับต้องยาพิษอย่างไร ก็หาได้เป็นอันตรายไม่
ตรงข้ามชาวบ้านมีทั้ง
"กิริยา"มีทั้ง"กรรม"ครบถ้วน
แถมฝ่ามือ ก็ยัง"เหวอะหวะ"ไปหมดอีกต่างหาก
ลำพัง แค่มดตกใส่ แมลงสาบเดินผ่าน ก็อาจจะติดเชื้อตายได้แล้ว

นี้จึงมิใช่ฐานะที่"ชาวบ้าน"จะไปพูดตามคำพูดคำจาหรือกริยาของพระอริยอรหันต์ทุกอย่างไปได้เลยแม้แต่น้อยเดียว

โดยเฉพาะคำพูดที่"พระวิจารณ์พระ"ด้วยกันเอง

ยิ่งต้องสังวรไว้ให้มาก

ดีไม่ดี อาจจะก่อให้เกิดโทษลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็น"สังฆเภท"ก็ได้
ยิ่งระดับ"พระอริยะวิพากษ์พระอริยะ"ด้วยกันด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังให้จงหนักกว่าปกติเป็นหลายเท่า

พระอริยะท่านอาจจะพูดวิพากษ์วิจารณ์กันด้วยจริตนิสสัยเก่า ก็อาจทำได้อย่างไร้โทษ เพราะท่านเลยบุญเลยบาปไปแล้วนั่นแล

แต่เราพูดตาม ด้วยคำพูดเดียวกับท่านนั่นแหละ กลับ"ลงอเวจี" รับกรรมไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนชาติ ก็อย่านึกว่าเป็นไปไม่ได้..!!??!!



.....................................................


จากการที่"พุทธวงศ์"ได้เคยกราบไหว้ใกล้ชิดพ่อแม่ครูอาจารย์ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น"พระอริยะอรหันต์"รุ่นอาวุโสมาก็เป็นหลายท่านหลายองค์

วันดีคืนดี ท่านก็จะ"วิพากษ์"ซึ่งกันและกันทั้งแบบเบาๆธรรมดาๆและหนักๆให้ได้ยินบ้าง ก็เคยได้รู้ได้ยินมาอย่างเต็มๆสองหู

อย่าให้บอกเลยว่า เป็นหลวงพ่อองค์ใด หรือหลวงปู่องค์ไหน..???
ถึงมาสอบถาม"หลังไมค์" จ้างให้ก็ไม่บอกไม่เล่าให้ฟังดอก
คงแย้มพรายได้แต่เพียงว่า บางองค์ก็เหาะได้ บางท่านก็หายตัวได้หรือแสดงปาฏิหาริย์อันน่ามหัศจรรย์พันลึกได้ 108

และอัฐิของแต่ละองค์ที่ว่านี้ ท้ายสุด ก็แปรเปลี่ยนเป็น"พระธาตุ"ก็แล้วกัน
ในชั้นแรก เมื่อ"พุทธวงศ์"ได้ยินพระอริยะท่านวิพากษ์กัน แม้ออกจะ"คันปากยิบๆ"อยากจะ"ขยายต่อ"แบบ"ซ้อ 7"ผู้โด่งดังจนใจแดงเจียนจะขาดอยู่รอนๆ

แต่เมื่อนึกถึงว่า"บาป"ว่า"อบาย"ว่า"นรก" อิส คัมมิ่งซูน หากเกิด"ปากเปราะ" เลยใส่เกียร์ถอยหลังเต็มสูบพร้อมกับ"รูดซิปปาก"ตัวเองอย่างสนิทตลอดชั่วกัลปาวสานตราบชั่วจิรัฏฐิติกาลนานเลยนั่นเทียว
ในใจเตือนตนเองขึ้นมาอย่างไม่ต้องมีใครสอนในทันทีทีเดียวว่า
"คำพูดบางคำ พระอรหันต์พูดได้ แต่ชาวบ้านพูดตามตกนรกเน้อ..!!!!!!"



.................................................................


"วจีกรรม" กรรมที่ทำได้ง่ายและมีผลหนักหนายิ่ง

"ในชาติหนึ่ง เราเกิดเป็นนักเลงชื่อ"ปุนาลิ"ได้กล่าวตู่พระปัจเจกะพุทธชื่อ"สุรภี" ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นเราต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีด้วยผลแห่งกรรมที่เหลือ ในภพหลังสุดนี้เราจึงได้คำกล่าวตู่จากนางสุนทริกา....

ในชาติหนึ่ง เราได้กล่าวตู่พระเถระนามว่า "นันทะ" สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกนานหมื่นปี ต่อมาเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ต้องถูกกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกากับหมู่ชนได้กล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง....

เมื่อก่อนเราเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อ "สุตะวา" ชนทั้งหลายสักการบูชาสอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ เราได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก(แต่ยังมิได้บรรลุอริยผลแม้เพียงขั้นโสดาบัน) มาในสำนักของเรา เราได้กล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกับพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีนี้มักบริโภคกาม เมื่อเราบอกพวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้นมาณพทั้งหมดนั้นไปบิณฑบาตพากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากกรรมนั้น มาณพเหล่านั้นได้มาเป็นภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ทั้งหมดถูกกล่าวตู่จากนางสุนทริกา....

ในกาลก่อน เราได้ด่าพระสาวกทั้งหลายของพระผุสสะพุทธเจ้าว่า พวกท่านจงกินแต่ข้าวแดงเถิดอย่าได้กินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เมื่อเราได้รับนิมนต์จากพราหมณ์ให้อยู่ในเมืองเวรัญชาต้องเสวยข้าวแดงตลอด ๓ เดือน....

ในกาลก่อน เราชื่อโชติปาละได้กล่าวจ้วงจาบพระกัสสปพุทธเจ้าว่า พระองค์จะตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ที่ไหนได้อย่างไร เพราะการตรัสรู้ทำได้ยาก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราต้องบำเพ็ญทุกกรกิริยาที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่เราก็มิได้ตรัสรู้ด้วยการทรมานตนอันนั้น เราอันกรรมเก่าตักเตือนแล้วได้ละทางผิดนั้นเสียจึงได้ตรัสรู้...."

ที่มา , ปุพพะกัมมะปิโลติพุทธาปทาน (กรรมเก่าของพระพุทธเจ้า)


...........................................................


พูด,ทำอาการล้อเลียน ก็มีโทษหนัก

สมัยหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระบรมศาสดาถึงกรรมเก่าของ นางขุชชุตตรา (อุบาสิกาโสดาบันผู้เป็นเอตทัคคะฝ่ายแสดงธรรม)ว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะกรรมอะไร นางขุชชุตตรา จึงเป็นหญิงหลังค่อม พระเจ้าข้า ?
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตชาติ พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเป็นเป็นผู้มีสภาพร่างกายค่อมนิดหน่อย มาฉันภัตตาหารในราชสำนักเป็นประจำ นางกุมาริกาคนหนึ่งแสดงอาการเป็นคนค่อมแบบพระปัจเจกพุทธเจ้าพร้อมพูดล้อเลียนด้วยความคึกคะนองต่อหน้าเพื่อนกุมาริกาทั้งหลาย เพราะกรรมนั้นจึงส่งผลให้เธอเป็นคนค่อมในอัตภาพนี้ ”


.................................................................


พลั้งว่าแล้วขอขมา ก็ยังไม่พ้นโทษ


ในยุคหลังพุทธปรินิพพานของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธได้พร้อมใจกันสร้าง มหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มหาชนต่างก็ได้ทุ่มเทกำลังทรัพย์และกำลังสติปัญญาอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้น พระเจดีย์ทองก็ยังไม่เสร็จ พระอรหันต์องค์หนึ่งเห็นว่า "บุญที่เกิดจากการสร้างพระเจดีย์นี้ เป็นบุญใหญ่ มีอานิสงส์มาก จะส่งผลให้ผู้สร้างได้สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ" ท่านจึงเดินเข้าไปบ้านโยมอุปัฏฐาก ให้มาช่วยกันสร้างหน้ามุขด้านทิศเหนือ ของพระเจดีย์ที่ยังไม่เสร็จ เพราะยังขาดทองอยู่เป็นจำนวนมาก โยมอุปัฏฐากที่มีทองก็บริจาคทอง ที่มีเงินก็ถวายเงิน ไปแลกซื้อทองอีกทีหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงบ้านนายช่างทอง ซึ่งบังเอิญว่า กำลังทะเลาะกับภรรยาพอดี ช่างทองจึงระบายโทสะพลั้งปากโดยไม่ยั้งคิดว่า

"ท่านจงโยนพระศาสดาของท่านลงน้ำไปเถอะ อย่ามาวุ่นวายแถวนี้เลย"

ภรรยารีบเตือนสติสามีว่า

"พี่ทำ กรรมหนักเสียแล้ว พูดกระทบพระพุทธเจ้า มันบาปหนักมากนะพี่ พี่ไม่ควรไปว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลกเลย"

ช่างทองได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสลดใจ รีบเข้าไปขอขมาต่อพระเถระ แต่พระเถระกล่าวว่า " ท่านไม่ได้ล่วงเกินอาตมาเลย ท่านล่วงเกินพระบรมศาสดาต่างหาก" ท่านแนะนำให้ช่างทอง ทำหม้อดอกไม้ทองคำสามหม้อ ไปบรรจุไว้ภายในพระเจดีย์ ที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งเป็นสถานที่ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วจึงค่อยมากล่าวคำขอขมา ต่อหน้ามหาเจดีย์ ช่างทองก็ทำตามคำแนะนำทุกอย่าง ด้วยผลกรรมที่ช่างทองได้ว่าร้ายต่อพระบรมศาสดา ผู้บริสุทธิ์ยิ่ง แม้ตนได้ขอขมาไปแล้วก็ตาม แต่วิบากกรรมยังส่งผลให้ช่างทองถูกลอยน้ำถึง ๗ ชาติ แม้ในชาติที่เป็นชฏิลเศรษฐีในสมัยพุทธกาลก็ตาม


..................................................................


"ภิกษุที่ไม่ได้เป็นพระอริยะ แล้วไปยกย่องว่าเป็นพระอริยะ ก็เป็นบาปแล้ว และยิ่งหากว่าท่านเป็นพระอริยะจริง แต่อคติไปกล่าวหาท่านว่าไม่เป็นพระอริยะ ก็ยิ่งบาปใหญ่"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร


.......................................................


ใส่ร้ายพระอริยะ ตกนรกจนลืมโลก

[๕๙๘] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวาย
อภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

พระโกกาลิกภิกษุนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กราบทูลคำนี้ กะพระผู้มีพระภาคว่า
"พระเจ้าข้า พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก ไปแล้วสู่อำนาจ
แห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ

[๕๙๙] เมื่อพระโกกาลิกภิกษุกล่าวเช่นนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส คำนี้กะพระ
โกกาลิกภิกษุว่า

"โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก เธอ
จงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ
เป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก" ฯ

แม้ครั้งที่สองแล พระโกกาลิกภิกษุก็ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า

"พระเจ้าข้า บุคคลผู้มีวาจาควรเชื่อได้ควรไว้ใจได้ของข้าพระองค์จะมีอยู่ก็จริง ถึงเช่นนั้น
แล พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะก็ยังเป็นผู้ปรารถนาลามก ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความ
ปรารถนาลามก ฯ

แม้ครั้งที่สองแล พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า

"โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก ก็เธออย่าได้กล่าวเช่นนี้ โกกาลิก เธอ
จงทำจิตให้เลื่อมใสในภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ภิกษุ ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ
เป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ

แม้ครั้งที่สามแล พระโกกาลิกภิกษุก็ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า

"ฯลฯ ไปแล้วสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันลามก" ฯ

แม้ครั้งที่สามแล พระผู้มีพระภาคก็ตรัสคำนี้กะพระโกกาลิกภิกษุว่า
"ฯลฯ ภิกษุชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก ฯ

[๖๐๐] ลำดับนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุลุกจากอาสนะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
กระทำประทักษิณหลีกไปแล้ว ฯ

ก็เมื่อพระโกกาลิกภิกษุหลีกไปแล้วไม่นาน ต่อมทั้งหลายขนาดเมล็ด พรรณผักกาดได้ผุด
ขึ้นทั่วกายของเธอ ต่อมเหล่านั้นได้โตขึ้นเป็นขนาดถั่วเขียว แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดถั่วดำ แล้ว
ก็โตขึ้นเป็นขนาดเมล็ดพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็น ขนาดลูกพุดซา แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะขาม
ป้อม แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาด ผลมะตูมอ่อน แล้วก็โตขึ้นเป็นขนาดผลมะตูม ต่อจากนั้นก็แตกทั่ว
แล้วหนอง และเลือดหลั่งไหลออกแล้ว ฯ

ครั้งนั้นแล พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว เพราะอาพาธอันนั้นเอง ครั้นกระทำ
กาละแล้วก็เข้าถึงปทุมนรก เพราะจิตอาฆาตในพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ฯ

[๖๐๑] ครั้งนั้นแล ท้าวสหัมบดีพรหม เมื่อราตรีปฐมยามล่วงแล้ว มีรัศมีงามยิ่งนัก ยัง
พระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระ
ผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ฯ

ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
พระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้ว ซึ่งปทุมนรก เพราะจิต
อาฆาตในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ฯ

ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำ
ประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล ฯ

[๖๐๒] ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหมเมื่อราตรีล่วงปฐมยามไปแล้ว มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังวิหาร
เชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาเราถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ไหว้เราแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วแล ได้กล่าวคำนี้
กะเราว่าพระเจ้าข้า พระโกกาลิกภิกษุได้กระทำกาละแล้ว และเข้าถึงแล้วซึ่งปทุมนรก เพราะจิตอาฆาต
ในพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว ครั้นแล้ว ไหว้เรากระทำ
ประทักษิณ แล้วหายไปในที่นั้นเอง ฯ

[๖๐๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสเช่นนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลคำนี้ กะพระผู้มีพระภาคว่า
"พระเจ้าข้า ประมาณแห่งอายุในปทุมนรกนานเท่าไรหนอ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรภิกษุ ประมาณแห่งอายุในปทุมนรกนานแล อันใครๆ
ไม่กระทำได้โดยง่าย เพื่ออันนับว่าเท่านี้ปี หรือว่าเท่านี้ร้อยปี หรือว่าเท่านี้พันปี หรือว่าเท่านี้
แสนปี ฯ

ภิกษุนั้นทูลถามว่า พระเจ้าข้า พระองค์อาจที่จะทรงกระทำอุปมา ได้หรือ ฯ

[๖๐๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรภิกษุ เราอาจอยู่ แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ เปรียบ
เหมือนเกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศลซึ่งบรรทุกงาได้ ๒๐ ขารี บุรุษพึงเก็บงาขึ้นจากเกวียนนั้น
โดยล่วงร้อยปีๆ ต่อเมล็ดหนึ่งๆ ฯ

"ดูกรภิกษุ เกวียนบรรทุกงาแห่งชาวโกศลซึ่งบรรทุกงาได้ ๒๐ ขารีนั้น พึงถึงความสิ้น
ไปหมดไป เพราะความเพียรนี้เร็วกว่า ส่วนอัพพุทนรกหนึ่งยังไม่ ถึงความสิ้นหมดไปเลย ฯ

"ดูกรภิกษุ ๒๐ อัพพุทนรกเป็นหนึ่งนิรัพพุทนรก ๒๐ นิรัพพุทนรกเป็น หนึ่งอพพนรก
๒๐ อพพนรกเป็นหนึ่งอฏฏนรก ดูกรภิกษุ ๒๐ อฏฏนรกเป็น หนึ่งอหหนรก ๒๐ อหหนรกเป็น
หนึ่งกุมุทนรก ๒๐ กุมุทนรกเป็นหนึ่งโสคันธิก นรก ดูกรภิกษุ ๒๐ โสคันธิกนรกเป็นหนึ่งอุปปลก
นรก ๒๐ อุปปลกนรกเป็น หนึ่งปุณฑริกนรก ๒๐ ปุณฑริกนรกเป็นหนึ่งปทุมนรก ดูกรภิกษุ
ก็ภิกษุโกกาลิก เข้าถึงปทุมนรกแล้วแล เพราะจิตอาฆาตในภิกษุ ชื่อว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะ ฯ

[๖๐๕] พระผู้มีพระภาคผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้
ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

ชนพาลเมื่อกล่าวคำเป็นทุพภาษิตชื่อว่าย่อมตัดตนด้วยศัสตราใดก็ศัสตรา
นั้นย่อมเกิดในปากของบุรุษผู้เกิดแล้ว ฯ

ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญผู้นั้นชื่อ
ว่าสั่งสมโทษด้วยปาก เพราะโทษนั้น เขาย่อมไม่ประสบความสุข ฯ
ความปราชัยด้วยทรัพย์ในเพราะการพนันทั้งหลาย พร้อมด้วยสิ่งของ
ของตนทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนก็ดี ก็เป็นโทษเพียงเล็กน้อยๆ ฯ
บุคคลใดทำใจให้ประทุษร้ายในท่านผู้ปฏิบัติดีทั้งหลาย ความประทุษร้าย
แห่งใจของบุคคลนั้นเป็นโทษใหญ่กว่า ฯ

บุคคลตั้งวาจาและใจอันลามกไว้ เป็นผู้มักติเตียนพระอริยเจ้าย่อมเข้า
ถึงนรกซึ่งมีปริมาณ แห่งอายุถึงแสนสามสิบหกนิรัพพุท กับห้าอัพพุทะ ฯ

จบวรรคที่ ๑
___________

อธิบายความ นี้ขนาดแค่เพียงพระโกกาลิ ทำกรรมกับพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ก็ต้องตกอเวจีนรก ในปทุมนรก ซึ่งต้องอยู่ในนรกเวลาที่ยาวนานหนักหนา ผม(ผู้ทรงปัญญาจากเวปธรรมะเวปหนึ่ง)จะเอาเวลา 1 ปทุม นรกที่ความประมาณคำนวณให้ดูดังนี้.

ต่อไปจะเป็นการคำนวณเทียบกับปีของโลกมนุษย์เรา
เมล็ดงา 1 เกวียน มีอัตรา 20 ขารี 1 ขารีเท่ากับ 256 ทะนาน เมื่อล่วงไป 1 แสนปีเอาเมล็ดงาออกจากเกวียน 1 เมล็ดทำจนหมดจากเกวียน ก็ยังไม่ถึง 1 อัพพุทะในนรกเลย

การเปรียบเทียบ 1 อัพพุทะ ตามมาตรตราปัจจุบันอย่างคล่าวๆ

1 ทะนาน เท่ากับ 1 ลิตร
1 ลิตร เท่ากับ 1000 ลูกบาศเชนติเมตร

เมล็ดงา 1 เมล็ด ประมาณ 1 มิลิเมตร ดังนั้น 1 เชนติเมตร เอาเมล็ดงาเรียงกันได้ 10 เมล็ด
จะได้ 1 ลูกบาศเชนติเมตร จะมีจำนวน เมล็ดงา ประมาณ 10 X10 X 10 = 1000 เมล็ด
จะได้ 1 ลิตรมีเมล็ดงาประมาณ 1000X1000 ประมาณ 1,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 ทะนานจะมีเมล็ดงาประมาณ 1,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 ขารีจะมีเมล็ดงาประมาน 256 X 1,000,000 ประมาณ 256,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 เกวียนจะมีเมล็ดงาประมาณ 20 X 256,000,000 ประมาณ 5,120,000,000 เมล็ด
จะได้เวลาทั้งหมดเมื่อหยิบเมล็ดงาออกหมดเกวียน ประมาณ 100,000 X 5120,000,000 ปี
ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี

ซึ่งยังไม่ถึง 1 อัพพุทะ แต่ก็ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี หรือ 5.12 X 10**14 จึงเอาไปแทนค่าตามข้างล่าง

20 อัพพุทะ เป็น 1 นิรัพพุทะ 20**1 X 5.12 X 10**14
20 นิรัพพุทะเป็น 1 อพัพพะ 20**2 X 5.12 X 10**14
20 อพัพพะเป็น 1 อหหะ 20**3 X 5.12 X 10**14
20 อหหะเป็น 1 อฏฏะ 20**4 X 5.12 X 10**14
20 อฏฏะเป็น 1 กุมุทะ 20**5 X 5.12 X 10**14
20 กุมุทะเป็น 1 โสคันธิกะ 20**6 X 5.12 X 10**14
20 โสคันธิกะเป็น 1 อุปปละ 20**7 X 5.12 X 10**14
20 อุปปละเป็น 1 ปุณฑริกะ 20**8 X 5.12 X 10**14
20 ปุณฑริกะเป็น 1 ปทุมะ 20**9 X 5.12 X 10**14
และ 20**9 = 512,000,000,000 = 5.12 X 10**11

ดังนั้น 1 ปทุมะนรก ประมาณหรือมากกว่า 5.12 X 10**11 X 5.12 X 10**14 ประมาณ 26.2144 X 10**25

ประมาณ 2.62 X 10**26 หรือ 1 ปทุมะนรก ประมาณหรือมากกว่า 262,144,000,000,000,000,000,000,000 ปีมนุษย์โลก

ผมขอทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า ผมตัดข้อมูล อื่นๆ ออกไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เอาข้อมูลในพระไตรปิฎกนั้นแหละเปรียบเทียบกันก็จะประเมินได้อย่างใกล้เคียง ต่อไปผมก็ทำการประมาณคำนวณระยะเวลา 1 กัป จากพระสูตรในพระไตรปิฎกดังนี้

๖. สาสปสูตร
[๔๓๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้น
ภิกษุนั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กัปหนึ่งนานเพียงไร
หนอแล ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหนึ่งนานแล มิใช่ง่ายที่จะนับกัปนั้นว่า เท่านี้ปี
ฯลฯ หรือว่าเท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ฯ

ภิ. ก็พระองค์อาจจะอุปมาได้ไหม พระเจ้าข้า ฯ

[๔๓๒] พ. อาจอุปมาได้ ภิกษุ แล้วจึงตรัสต่อไปว่า ดูกรภิกษุเหมือนอย่างว่า นคร
ที่ทำด้วยเหล็ก ยาวโยชน์ ๑ กว้างโยชน์ ๑ สูงโยชน์ ๑ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์
ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนครนั้น
โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ดเมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไป หมดไป
เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไป หมดไป กัปนานอย่างนี้แล
บรรดากัปที่นานอย่างนี้ พวกเธอท่องเที่ยวไปแล้วมิใช่หนึ่งกัป มิใช่ร้อยกัป มิใช่พันกัป มิใช่
แสนกัป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๖

จากพระสูตรข้างบนเมื่อผมนำมาคำนวณเป็นปีโดยประมาณว่า หนึ่งกัปมีระยะเวลากี่ปีดังนี้

สมมุติมีกล่องใบหนึ่ง กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1โยชน์ และ สูง 1 โยชน์ ในเวลา 100 ปี ให้เอาเมล็ดผักกาด 1 เมล็ด ใส่ลงไปในกล่องนั้น ทำอย่างนี้จนเมล็ดผักกาดนั้นเต็มเสมอเรียบปากกล่อง นั้นละจึงเท่ากับ 1 กัป

วิเคราะห์คำนวณ 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร
ดังนั้นกล่องใบนี้มีปริมาตร = 16X16X16 = 4,096 ลูกบาตกิโลเมตร
ประมานว่า เมล็ดผักกาด มีขนาด .5 มิลลิเมตร

1 กิโลเมตรเทียบเป็นมิลลิเมตรได้ดังนี้ 10X100X1000 = 1,000,000 มิลลิเมตร
จะได้ 1 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = (1,000,000)/0.5 = 2,000,000 เมล็ด
ดังนั้น 16 กิโลเมตรใช้เมล็ดผักกาดเรียงกัน = 16X2,000,000 = 32,000,000 เมล็ด

ถ้าเป็นปริมาตร คือ กว้าง*ยาว*สูง ต้องใช้เมล็ดผักกาดทั้งหมด คือ
32,000,000X32,000,000X32,000,000 = 32,768,000,000,000,000,000,000 เมล็ด
ใน 100 ปี ใส่เมล็ดผักเพียง 1 เมล็ด ดังนั้นต้องใช้เวลาทั้งหมดคือ
32,768,000,000,000,000,000,000X100 = 3,276,800,000,000,000,000,000,000 ปี

1 กัป >= 3.3 X 10**24 ปี

จึงได้เวลา 1 กัป ประมาณหรือมากกว่า สามล้านสองแสนเจ็ดหมื่นหกพันแปดร้อยล้านล้านล้าน ปี

ประมาณหรือมากกว่า 3.3 X 10**24 ปี

แต่ค่าที่ได้นี้จะไปขัดแย้งกับค่า 1 ปทุมะ ที่เป็นอายุขัยสูงสุดของสัตว์ในอเวจีนรก ซึ่งมีค่าประมาณหรือมากกว่า 2.62 X 10**26 ปี
จึงต้องขยับตัวเลข 1 กัปป์ เป็น 1 กัปป์ ประมาณหรือมากกว่า 3.3 X 10**26 ปี จึงดูใกล้เคียงมากกว่า

จะเห็นว่า ข้อมูลในพระไตรปิฎกเอง ก็ยังเทียบโดยการคำนวณถึงแม้จะเป็นค่าประมาณ ทั้ง 1 ปทุม และระยะเวลา 1 กัป ก็มีค่าใกล้เคียงกันมาก

ดังนั้นที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทำนองว่า พระเทวทัตตกอเวจีนรกอยู่ยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็คือไม่สามารถหลุดพ้นจากอเวจีนรกได้เลยในกัปนี้ ตามที่พระองค์ตรัสไว้เป็นหนึ่งไม่มีสอง ซึ่งตรงไปตรงมานี้เอง.



..........................................................


:b41: ก็อปมาจากในลิงค์ที่วางไว้ด้านบนแหละเจ้าค่ะ...อ่านแล้วนำมาเตือนจิตใจ ดุสิตธานี เอง :b44:


:b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ดุสิตธานี เมื่อ 13 มี.ค. 2010, 21:49, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 00:29
โพสต์: 15

งานอดิเรก: ศึกษา
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วก็เตือนตัวเองเหมือนกัน ไม่คุ้มกับการเผลอใจ เผลอปากเลย

อนุโมทนาสาธุครับผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ทัสยุ เขียน:
อ่านแล้วก็เตือนตัวเองเหมือนกัน ไม่คุ้มกับการเผลอใจ เผลอปากเลย

อนุโมทนาสาธุครับผม



:b8: อนุโมทนาบุญด้วยนะเจ้าค่ะคุณทัสยุ.....ดุสิตเองก็พวกชอบ คะนองปาก คะนองจิต เช่นกัน..ชอบแสดงอัตตาชอบอวดอัตตา สุดท้ายก็ทราบแล้วค่ะว่า ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเลยจริงๆ สิ่งใดก็ตามที่เราได้กระทำลงไปแล้วจะด้วยอารมณ์หรือเจตนาใดก็ตาม ได้ถูกสร้างเหตุขึ้นมาแล้ว..เพราะฉะนั้นดุสิตธานี จะทำอะไรก็ตามต้องสำนึกเสมอว่า

การลงทุนมีความเสี่ยง



:b4: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นรูปหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ท่านอาจารย์ สงบ มนัสสันโต วัดป่าสันติพุทธาราม จังหวัด ราชบุรี เทศนากันนนี้ เป็นส่วนหนึ่งในพระธรรมเทศนา เรื่อง พระป่าหรือ พระโกหก เข้าไปรับฟังได้ที่ http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=258


fakemonk เขียน:
เพราะรู้จริง แล้วรู้จริงสอนไม่มีผิดเลย แต่ถ้ารู้ปลอมนะ มันโกหกสอนผิดหมดเลย
ถ้าการปฏิบัติมันเป็นความจริง ไม่ใช่วัดป่าสอนแบบวัดป่า วัดป่าคือทำสมาธิ
ผู้ที่อยากมีสมาธิจงมาวัดป่า ไม่ใช่ ถ้าวัดป่ามีสมาธิ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ดุลย์
ท่านทำยังไงล่ะ ท่านสอนยังไง ก็เอาข้อเท็จจริง อย่าอ้างว่าสอนแบบวัดป่า ไม่ใช่

ถ้าจิตไม่สงบความคิดก็คิดอยู่อย่างงี้
พระโกหกสอนกันอยู่อย่างเงี้ย ว่างๆๆ ใช้ดูไป เข้าใจไป รู้ไป ปล่อยวางไป
จับปล่อยๆไป มันหุ่นยนต์ทั้งนั้นน่ะ
มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ

เนี่ยพระโกหกมันสอนน่ะ พระโกหกมันสอนให้ทำลายผู้รู้ ก็เหมือนพวกเรา ก็เลยขี้ลอยน้ำไง
เริ่มต้นไม่ถูกไง จะเดินกระบวนการ ๑ ๒ ๓ ๔ ขึ้นไปยังไงในเมื่อมันไม่มีฐานเริ่มต้นน่ะ
แล้วเมื่อไม่มีฐานเริ่มต้นทำอะไรไม่ได้

ถ้ามันสอนแบบพระป่า พระป่ามันต้องรู้จักสัมมาสมาธิ
แล้วสัมมาสมาธิมันเกิดบนผู้รู้ ผู้รู้เนี่ยจึงจะเป็นสัมมาสมาธิ แล้วถ้ามันไม่ต้องรักษาผู้รู้
แล้วทำลายผู้รู้ แล้วกำหนดขี้หมามันจะเป็นสัมมาสมาธิได้ยังไง ถ้ามันไม่ใช่สมาธิเนี่ย
มันไม่ใช่พระป่าหรือพระบ้าน มันเป็นพระโกหก ถ้าพระโกหกมันก็สอนโกหกนี่ไง



พระอริยอะไรด่า พระอริย ไม่มี มันเป็นอฐานะ

มาบอกว่า อฐานะ เป็น ฐานะ

พระโกหก มาบอกพระนี่ดีใช้ได้

ก็โกหกจริงๆ แล้วอ้างอะไร

ไม่มีหรอกของเก่า ของใหม่ มาพูดแล้วไม่ตรงกัน อันนี้ ถ้าธรรมตรงแล้ว ของเก่า ของใหม่ ตรงกัน ไม่ตรงกัน ไม่มี

ธรรมะ ถ้าสำเร็จแล้ว ตรงกันหมด ไม่เพี้ยน ไม่ล้มล้างครูอาจารย์ ไอ้ที่ล้มล้างครูอาจารย์ มันผิด

ไปอ้างอะไร มันผิดอยู่แล้ว

ไปอ้างวิบากกรรมมันเป็นเช่นนั้น ก็ไอ้ของปลอมมันเป็นเช่นนั้นไงละ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 09:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:

พระอริยอะไรด่า พระอริย ไม่มี มันเป็นอฐานะ

มาบอกว่า อฐานะ เป็น ฐานะ

พระโกหก มาบอกพระนี่ดีใช้ได้

ก็โกหกจริงๆ แล้วอ้างอะไร

ไม่มีหรอกของเก่า ของใหม่ มาพูดแล้วไม่ตรงกัน อันนี้ ถ้าธรรมตรงแล้ว ของเก่า ของใหม่ ตรงกัน ไม่ตรงกัน ไม่มี

ธรรมะ ถ้าสำเร็จแล้ว ตรงกันหมด ไม่เพี้ยน ไม่ล้มล้างครูอาจารย์ ไอ้ที่ล้มล้างครูอาจารย์ มันผิด

ไปอ้างอะไร มันผิดอยู่แล้ว

ไปอ้างวิบากกรรมมันเป็นเช่นนั้น ก็ไอ้ของปลอมมันเป็นเช่นนั้นไงละ






นี่แหละดีแต่คุยไปวันๆ แต่ไม่รู้จัก " ธรรมะ " :b1:
ถ้ารู้จัก " ธรรมะ " ก็ต้องรู้จัก " สภาวะ " รู้ว่า รู้แค่ไหน พูดได้แค่นั้น
จะมาพูดเกินสิ่งที่รู้ไปไม่ได้หรอก :b1:

พูดเรื่อยเจื้อยไปนะ พูดได้ยังไงว่า " ไม่มีของเก่า ไม่มีของใหม่ "
สภาวะแปรเปลี่ยนตลอดเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันชี้ให้เห็นๆอยู่แล้ว
จ้องเพ่งโทษผู้อื่น ไม่รู้จักเพ่งโทษตัวเอง เลยเป็นแบบนี้แหละ :b48:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 มี.ค. 2010, 09:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

คุณน้ำ เปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยนะคะ นับจากวันที่เราได้มีโอกาสได้รู้จักและพูดคุยกันโดยผ่านทางเวปธรรมจักรแห่งนี้ ซึ่งมันก็หลายปีดีดัก พอได้นะคะ

บางข้อความที่ได้อ่านของคุณน้ำ ถึงกับอึ้งเหมือนกันอาจจะด้วยความถูกใจหรืออย่างไรก็แล้วแต่นะเจ้าค่ะ...เอาเป็นว่า คุณน้ำในตอนนั้น กับ ตอนนี้แตกต่างกันมากมายพอดูเชียวค่ะ


สาธุนะคะ กับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร