วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 12:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 02:58
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นรูปหนึ่งได้เมตตาอบรมฆราวาสไว้ดังนี้

หลวงปู่มั่นท่านสอนว่าให้พุทโธๆเนี่ย คำว่าพุทโธเห็นมั้ย อย่างเช่นหลวงปู่อ่อน ท่าานไม่ได้สอนพุทโธ ท่านสอนใวห้ใช้คำบริกรรมยาวมากเลย หลวงปู่มั่นทานก็สอนหลากหลายแล้วแต่ว่าคนภาวนาง่ายหรือภาวนายาก คำว่าหลากหลาย ผลของมันก็คือ ทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อจะเอาใจนี้ออกมาเพื่อจะวิปัสสนาเพื่อเป็นประโยชน์กับคนๆนั้นเพื่อจะเผยแผ่ศาสนา เพื่อศาสนาจะได้เข้าสู่ใจดวงนั้นเห็นมั้ย มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย หลวงปู่เสาร์

หลวงปู่มั่นท่านเผยแผ่ธรรมมา มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยเพราะอะไร เพราะพวกท่านรู้จริง ท่านรู้จริง ท่านค้นคว้าของท่าน ท่านชัดเจนของท่าน ท่านเอาสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ใช่มั้ย

แต่ในปัจจุบันนี้เห็นมั้ย แล้วบอกว่า เนี่ย ชาวพุทธนี่ อย่าโง่ ชาวพุทธนี่โง่ มาทะเลาะเบาะแว้งกัน

ทำไมชาวพุทธต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ใครไปทะเลาะ ไม่มีใครไปทะเลาะหรอก แต่ตัวเองน่ะ ตัวชวนทะเลาะ ตัวชวนทะเลาะ เพราะอะไร เพราะชวนทะเลาะเค้านะ เวลาเกิดไฟไหม้บ้าน เราจะเอาไฟ เอาน้ำดับไฟ เค้าบอกว่า ไอ้คนเอาน้ำดับไฟ ไอ้คนนั้นน่ะชวนทะเลาะ

แล้วใครเป็นคนจุดไฟล่ะ ใครเป็นคนเผาบ้าน ใครคือคนบอกว่า พุทโธเนี่ย พวกกำหนดพุทโธเนี่ย พุทโธแล้วมันจะเป็นฌาน พอพุทโธๆไปเนี่ย มันจะตัวแข็ง พุทโธๆไปเนี่ย เมื่อไหร่มันจะได้มีความสงบ เมื่อไรจะได้มา ได้มาด้วยการใช้ปัญญาด้วยการวิปัสสนา คราวนี้ใครเป็นคนจุดไฟ ไฟอันนี้ใครเป็นคนจุด
บอกชาวพุทธเนี่ย กำหนดพุทโธๆเนี่ย พวกเนี้ย พวกล้าหลัง พวกนี้ทำทั้งชีวิตเลยแล้วเมื่อไหร่จะได้วิปัสสนา พุทโธนี่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย อันนี้ใครเป็นคนจุดไฟ

แล้วพอเค้ามาจะดับไฟ ใครจะไปทะเลาะ ไม่มีใครไปทะเลาะหรอก เอ็งจุดไฟ เผาศาสนาเอ็ง แล้วพอเค้าจะมาดับไฟในศาสนา เอ็งมาบอกว่า ชาวพุทธโง่ ชาวพุทธอย่ามาทะเลาะกัน

ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้ทะเลาะกับใครเลย เพียงแต่ว่า สิ่งใดเห็นมั้ย ดูสิ พ่อแม่เลี้ยงลูกน่ะ อาหารที่เป็นพิษจะให้ลูกกินมั้ย ถ้ากินเข้าไปแล้วเป็นโรคภัยไข้เจ็บจะให้ลูกกินมั้ย ในการประพฤติปฏิบัติน่ะ ไม่ต้องกำหนดพุทโธ ไม่ต้องฝึกสติ สติจะเป็นเองต่างๆเนี่ย

นมน่ะนะ มันผสมเมลานีน เนี่ย มันจะกินได้มั้ย เราจะให้เด็กเรากินมั้ย ลูกเราน่ะ นมมันผสมเมลานีนเนี่ย เอ็งจะให้มันกินมั้ย ตายห่าหมด !

นี่ก็เหมือนกัน สติไม่ต้องฝึก สติไม่ต้องฝึก เราไม่ได้ทะเลาะกับใคร เราบอกสติต้องฝึก สติต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกสติเนี่ย สติเมื่อไหร่มันจะเกิดเอง นมน่ะนะ เราจะเอานมมากินกันเนี่ยนะ เราต้องเลี้ยงโค เลี้ยงแพะ และต้องรีดนมมันมากินนะ ไอ้นมกล่องน่ะมันผสมเมลานีนมันมาจากห้าง มาจากต่างๆน่ะ มันเป็นนมพิษ

เนี่ย ไอ้คนที่มันได้มาจากนั้นน่ะ มันไม่เข้าใจว่าสิ่งใดมีประโยชน์สิ่งใดไม่มีประโยชน์เลย แต่ครูบาอาจารย์เราเนี่ย นะ มันเป็นสัจธรรม ธรรมมันมาจากไหน ธรรมก็มาจากสัจจะความจริง จะบอกว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันมาจากธรรมชาติก่อน มาจากเราก่อน แต่พอถึงที่สุดแล้วมันจะ เหนือธรรมชาติ เราจะเลี้ยงโค เลี้ยงแพะ กว่าจะรีดนมมัน กว่าจะเอานมมากินเป็นประโยชน์กับเรา นี่ก็เหมือนกัน สติไม่ฝึก มึงไม่ฝึก มึงมาจากไหน ทำไมถึงสติไม่ต้องฝึก สติไม่ฝึกอะไรมา นี่ ไม่ได้ชวนทะเลาะ เพียงแต่ว่า ผู้คุ้มครองผู้บริโภค สคบ. อะไรน่ะ คุ้มครองบริโภคน่ะ เค้าว่าเอ็งสอนผิดน่ะ ไม่ได้ชวนทะเลาะ เอ็งก็บอกมาสิว่า นมเอ็งไม่ได้ผสมเมลานีน นมเอ็งบริสุทธิ์อย่างไร สติมึงเกิดอย่างไง สติมึงเกิดยังไง เกิดโดยสภาวะจำ
สภาวะเนี่ย จำคือสัญญา ความระลึกเนี่ย ตั้งสติ พอเราตั้งสติ พอเราระลึกดู นี่คือฝึกสติ ไปจำเนี่ย มันพ้นจากสติแล้ว สัญญากับปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น มันจะเกิดเปํนปัญญา ถ้าเป็นสัญญา มันก็เป็นสัญญา สัญญาเป็นสติไม่ได้ นี่ไง ส่วนผสมมันผิดไง

นมมึงผสมเมลานีน แล้วมึงจะเอามาให้ประชาชนเค้าดื่มกินอยู่เนี่ย มันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา ใครไปทะเลาะ ไม่มีใครทะเลาะ เค้าว่าชาวพุทธโง่ ไปทะเลาะกัน นี่พระโง่ พระโง่จะพูด พระโง่ไม่ได้ไปทะเลาะกับใคร พระโง่จะบอกว่า สิ่งที่สติไม่ต้องฝึกน่ะ มันเป็นนมผสมเมลานีน มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ แล้วชวนทะเลาะ? ไม่ได้ชวนทะเลาะ การทะเลาะเอ็งจุดไฟเผาขึ้นมาก่อนเอง

เอ็งบอกพุทโธไม่ต้องกำหนด สติไม่ต้องฝึก เอ็งเป็นคนจุดไฟเผา แล้วเราเอาน้ำมาดับไฟ ใครไปทะเลาะกับเอ็ง ไม่มีใครทะเลาะกับใคร แต่เค้าจะมาบอกว่า ส่วนที่การประพฤติปฏิบัติเนี่ย สติต้องฝึก ครูบาอาจารย์ยังเตือน พระพุทธเจ้ายังบอกเลย สติในพระไตรปิฎกทั้งเล่มเลย สติต้องการทุกที่ ทุกสถาน ทุกขบวนการ แม้แต่เด็กยันคนตายต้องพร้อมด้วยสติ นี่ขนาดทางโลกนะ

และทางธรรมเนี่ย สติมันก็มีสติ มีมหาสติ แล้วสติเนี่ย พอสติคือการจำสภาวะ แล้วเกิดสติเอง มันเป็นไปไม่ได้ จำสภาวะ คำว่าจำ คือ สัญญา ระลึกกับจำ มันคนละอันกัน ระลึกคือระลึกรู้ ไม่ได้จำ

จำมันเป็นจิตคนละดวงแล้ว ถ้าจิต 108 ดวง จำมันคือจำสภาวะ จิตมันคือคนละดวง มันคนละสถานะ มันคนละคนกัน คนละจิตกัน มันเอาไปเป็นขบวนการเดียวกันไม่ได้

แต่ถ้าเป็นการระลึกเนี่ย ตัวมันเอง ตัวจิตเองระลึกขึ้นมาในตัวมันเอง นี่ มันฝึกสติยังงี้ แล้วสติมันระลึกอยู่เนี่ย มันมีสติสัมปชัญญะ มันจะรู้ตัวมันเอง แล้วมันฝึกบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า เห็นมั้ย สติก็คือสติ

แล้วพอมันเป็นสติแล้ว มันเป็นสติตัวจริง มันเป็นสติตัวปลอม ถ้ามีการตั้งใจแล้วจงใจเป็นสติตัวปลอม ถ้ามันสติตัวจริง คือมันสติเอง สติมันมีเอง สติมันมีเองเนี่ย คือ

สติมันไม่มีตัวจริง ไม่มีปลอมหรอก สติมันเป็นสมมติ มรรคนี่เป็นสมมติ ทุกอย่างเป็นสมมติหมด สัพเพธัมมาอนัตตาเนี่ย เป็นสมมติบัญญัติ เป็นสภาวะธรรม คำว่าสภาวะธรรมเราก็พูดว่า สภาวะธรรม แต่ผลของเป็นโสดาบัน สกิทา อนาคา ไม่ใช่สภาวะธรรม สภาวะธรรม กับ ธรรม คนละอันกัน สภาวะ คือ การเปลี่ยนแปลง สภาวะ คือการมีอยู่ สภาวะมีการดำเนิน ธรรม คือ ออุปธรรม ธรรมคือสถานะที่เป็นความจริง ไม่ใช่สภาวะ สิ่งที่เป็นสภาวะเนี่ย อารมณ์ความรู้สึกความเปลี่ยนแปลงนี่คือสภาวะ สภาวะที่เปลี่ยนแปลงอยู่เห็นมั้ย

แล้วบอกว่า ถ้าเป็นสติตัวจริง สติตัวปลอม ไม่มี แหม สติตัวจริง อันนั้นสติตัวปลอม นี่ไง เนี่ย ใครเป็นคนจุดไฟเผาบ้านเผาเรือนขึ้นมา แล้วเวลาเค้าจะมาดับไฟเนี่ย เพียงแค่เค้ามาชี้ให้เห็นว่า อะไรผิด อะไรถูก อะไรผิดนะ มันเป็นการคุ้มครองผู้ริโภคน่ะ ผู้บริโภคน่ะ

เอ็งเอาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ สินค้าที่ไม่มีประโยชน์ไปให้เขาบริโภค แล้วเราบอก สินค้านั้นมันผิด เราไม่ได้ไปชวนทะเลาะกับเจ้าของสินค้าที่ไหนทั้งสิ้น ไม่ได้ทะเลาะกับใคร ชาวพุทธนะ เนี่ย การกระทำเนี่ย เวลาตัวเองทำ เวลาตัวเองทะเลาะ เวลาตัวเองจุดชนวนขึ้นมา ไม่ได้ดูว่าตัวเองเป็นคนทำ แต่พอมีคนจะมาดับไฟเนี่ย ชาวพุทธโง่ ชาวพุทธทะเลาะกัน ชาวพุทธไม่ควรทะเลาะกัน ใครไปทะเลาะกัน ถ้ามันเป็นความจริงก็บอกมาสิว่า นมบริสุทธิ์มันเป็นยังไง สติน่ะ ที่ว่าสภาวะจำน่ะ สภาวะจำ

จำสภาวะแม่นๆน่ะ เป็นสติน่ะ มันมีที่ไหน จับใส่ขวดมาให้กูดูหน่อยสิ จับสติที่จำแม่นๆจับใส่ขวดมา แล้วขอดูหน่อยว่า จำแม่นๆมันเป็นยังไง จำแม่นๆ ก็คือสัญญา สติก็เกิดจากจิต ความระลึกนี่แหละ

ฟังนะ สติเนี่ย เป็นสัมมาสติ มิจฉาสติ เป็นมรรค ๘ ใน มรรค ๘ กระบวนการของมัน เกลือเนี่ย มันถนอมอาหารได้ แต่เกลือเนี่ยนะ เกลือเนี่ย เป็นปัจจัย เป็นประโยชน์มาก สติเนี่ยเหมือนเกลือ แต่ตัวเกลือนี่มันใช้ประโยชน์อะไรได้ทุกอย่างมั้ย ตัวเกลือเนี่ย ทางการอุตสาหกรรมเค้าเอาไปทำประโยชน์มาก สติถ้ามีกับจิตนี้มันเป็นพื้นฐาน พอมีสติแล้วเกิดสมาธิ เกิดปัญญา ตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา มันเกิดจากสติ มันไม่ใช่สติ
เพราะงั้นบอกว่า สภาวะจำเนี่ย สภาวะจำมันเกินกระบวนการของสติแล้ว

สติคือการระลึกรู้ ระลึก เป็นพื้นฐาน สติต้องการในการทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ในปัญญานั้นก็ต้องอาศัยสติ ในสมาธิก็ต้องอาศัยสติ เกลือนี้ มันเป็นความจำเป็นที่สุดในการถนอมอาหารจริงมั้ย แต่ตัวเกลือมันเป็นอย่างอื่นไปได้มั้ย ตัวเกลือมีความสำคัญมาก เป็นปัจจัย ไม่ต้องทำนาทำไร่กันแล้ว เราทำนาเกลือ กินเกลืออย่างเดียวได้มั้ย มันก็ไม่ได้ แต่เกลือมีความจำเป็นมั้ย มี แต่จะกินเกลืออย่างเดียวได้มั้ย นี่ก็เหมือนกัน สติมีความจำเป็นมั้ย มีความจำเป็นมาก แต่ตัวสติเอง เป็นปัญญาไม่ได้ เป็นสมาธิไม่ได้ เป็นอะไรไม่ได้ทั้งหมดเลย แต่ตัวพื้นฐานมันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเค้าจะจับเอาตัวสติมันเป็นพื้นฐานแล้วเราจะเกิดปัญญา เดี๋ยวจะพูดไปเรื่อยๆ เราจะบอกว่า วันนี้ อ.ย. มันจะวิเคราะห์ มันเป็นไปไม่ได้ไง

มันสังเวช มันสังเวชว่า ตัวเองน่ะ เวลาตัวเองจนตรอกเข้ามาแล้ว ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน ทะเลาะกันมันไม่ดี ก็ไม่ดีแล้ว ถ้าไม่ดีแล้วจะให้สังคมมันแหลกเหลวไปอย่างนี้เหรอ ให้สิ่งที่ไม่มีคุณค่าอย่างนี้ให้คนมันชักนำกันไปอย่างนี้เหรอ ถ้าอย่างนี้ไป เพราะเวลาตัวเองทำน่ะ พุทโธไม่ต้อง อะไรไม่ต้องทุกอย่างเลย แล้วก็มาดูมาเพ่งกัน เวลาดูก็มาดูมาเพ่ง รู้กายรู้จิต รู้กายรู้จิตมันจะเป็นปัญญาเอง

กล้องวงจรปิดไม่เห็นมันจะเป็นปัญญาสักที กล้องวงจรปิดเนี่ยนะ ดูสิ มันจับทั่วประเทศไทยแล้ว แล้วมันเป็นปัญญาขึ้นมาไหม

ดูรู้มันจะเป็นปัญญาอะไรขึ้นมา มันมีตรงไหน ทำไมจิตไม่เป็นสมาธิขึ้นมา แล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องสติก็เป็นไปไม่ได้ และพอเรื่องสติเป็นไปได้นะ เพราะถ้าเป็นสติจริง เนี่ยสติจริงสติปลอม สติเป็นพื้นฐาน และพอเกิดสมาธิขึ้นมามันเป็นความต่าง พอความต่างขึ้นไปเนี่ยถ้ามันเกิดปัญญาเห็ฯมั้ย เกิดปัญญา สติ สมาธิ เกิดปัญญาไม่ได้เลย ถ้าจิตมันไม่ออกแสวงหา เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เห็น กาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็น ธรรมด้วยสัจจธรรมนะ

แต่ในปัจจุบันเนี้ยมันเห็นกันด้วยสัญญาอารมณ์ มันเห็นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเราอยากได้ธรรม เราอยากได้มีคุณธรรม เราอยากมีต่างๆไป พอครูบาอาจารย์ท่านบอกพิจารณากาย การพิจารณากายก็เหมือนกับผู้ใหญ่เค้าพิจารณากายใช่มั้ย ไอ้อย่างเรามันเด็กๆ ก็พิจารณากาย ก็พิจารณากายไป ขณะที่พิจารณากายนะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็คือ อะไร ก็คือ กาย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เค้ามาท่อง เป็นคำบริกรรมนะ เวลาท่องพุทโธๆๆเนี่ย บางครูอาจารย์ให้ท่อง เกสาโลมานขาทันตาตโจ พิจารณากายต้องพิจารณากายใช่มั้ย แต่นี้เอามาเป็ฯคำบริกรรม ผลของมันคือสมถะไง ผลของมันคือสมาธิไง ถ้าผลของมันเป็นสมถะ ผลเป็นสมาธิขึ้นมา มันก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา สมาธินี้เป็นเครื่องพัก ให้จิตมันได้พัก

เนี่ย โลกทัศน์ โดยธรรมชาติ มันคิดออกมา มันคิดโดยสามัญสำนึกเนี่ย มันเป็นโลกียปัญญา ถ้าจิตมันสงบมาแล้ว ถ้ามันเห็นกาย เห็นมั้ย เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ทำไมต้องเห็นล่ะ ธรรมดานี้ มันไม่เห็นหรอก สิ่งปกตินี้ไม่มีใครเห็นหรอก สิ่งที่เห็นมันเป็นสัญญาอารมรณ์ มันเป็นสามัญสำนึก สามัญสำนึกใช่มั้ย ดูกายดูจิต ดูกายดูจิต เป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าสิ่งที่เป็นไปได้ พอจิตมันสงบ มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมน่ะ มันเห็นความต่าง เห็นเป็นโลกุตระธรรม เป็นโลกุตตระปัญญา โลกียะปัญญา โลกุตตระปัญญา ถ้าคนมันรู้จักสมาธินะ มันต้องรู้สมถะสำคัญอย่างไร แล้วเวลาเห็นกายนี้ มันเห็นกายยังไง

นี่มันไม่เห็นกายใช่มั้ย พอไม่เห็นกายขึ้นมา ก็บอกว่า ดูไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ ก็รู้ไปจนจิตเกิดปัญญา จิตเนี่ยมันจะจำสภาวะอีกเหมือนกัน พอจำสภาวะแล้วมันจะเกิดปัญญาเอง แล้วดูจิตไปเรื่อยๆนะ ดูจิตไปเรื่อยๆ ดูกายดูจิตไปเรื่อยๆจนจิตมันรู้จักบุพภาคอะไรของเค้าน่ะ มันเป็นลักษณะของกิเลสแต่ละตัว จนถึงที่สุดนะ มันรวมกันเป็นสามัญญลักษณะจนจิตมันลงอัปปนนาาสมาธิ แล้วจะเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ถึงขบวนการของมรรค กระบวนการทางปัญญามันจะเกิด อันนี้มันนิยายวิทยาศาสตร์น่ะ
เนี่ย โรงงานนิวเคลียร์นะ โรงงานนิวเคลียร์เนี่ย มันจะไปตั้งที่ไหน ชาวบ้านจะยอมให้มีโรงงานนิวเคลียร์มั้ย โรงงานนิวเคลียร์นี้ อย่างเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบเค้าตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาเนี่ย มันจะเป็นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ มันจะเป็นประโยชน์มาก กระบวนการของมัน ถ้ามันจะเกิดปัญญา มันจะเกิดมรรคญาณไง มันจะเป็นสัจจะความจริง มันไม่เป็นอย่างนี้ แต่นี้เพราะเราเห็นใช่มั้ย เราเห็นว่าพลังงานสันติ พลังงานนิวเคลียร์เนี่ยมันเป็นประโยชน์มาก โรงไฟฟ้าอะไรต่างๆ มันจะเกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีมาก เรานั่งกันอยู่นี้ เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เราจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กัน คิดว่าโรงไฟฟ้าปรมาณูนี้มันจะอยู่ได้มั้ย นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้าลงเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว ไอ้นี่มันให้ชาวนาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์น่ะ นี่ไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ไง ถึงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าสิ่งที่มันเป็นไปได้เนี่ย มันถึงบอกว่า ไอ้นี้มันเป็นความ มันไม่ได้ชวนทะเลาะ เอ็งเอาโรงไฟฟ้าให้เด็กๆเนี่ย มันสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยเนี่ย เอ็งว่าชาวพุทธชาวไทยจะอยู่ได้มั้ย

กระบวนการมันไม่เป็นอย่างนั้น ถ้ากระบวนการของมันนะ พอจิตมันเป็นสัมมาสมาธิแล้วออกเห็นกายเห็นจิตธรรม ปัญญามันจะใคร่ครวญของมันไป มันจะเกิดตทังคปหาน เกิดสมุทเฉทปหาน เกิดการกระทำยังไงน่ะ มันต้องเกิดกระบวนการของจิตที่มรรคสมังคี กระบวนการของอริยมรรคจะเกิด ดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ จนจิตเห็นสามัญญลักษณะขึ้นมา จนจิตมันจะลงอัปปนาสมาธิ

เวลาบอกเค้าพุทโธเนี่ยนะ พอพุทโธไปเรื่อยๆ มันจะเกิดตัวแข็ง มันจะเกิดฌานสอง ใครเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน นี้ผิดหมด แหม เราฟังซีดีมานาน เวลาใครบอกนี่ ฌานสอง คนนี้ได้ฌานหนึ่ง เราบอก ฌานสองไม่ใช่ เวลามันจะจุดไฟเผา พุทโธนี้ก็จุดไฟเผานะ เหยียบพุทโธขึ้นไปว่าพุทโธนี้ทำไม่ได้ เวลาพุทโธจะเป็นฌาน จะติดสมถะ แต่เวลากระบวนการดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ จิตจะลงอัปปนาสมาธิ เป็นฌาน ๔ แล้วพอมี ฌาน ๔ ก็เกิดปัญญา แล้วกระบวนการของมันจะเกิด นี่ไง โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เนี่ยก็เป็นโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่คนทำไม่เป็น ถ้าพูดถึงรัฐบาลไม่เข้มแข็งเราจะปล่อยให้คนพวกนี้มาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไหม นี่ไง มันผิดมันถูกที่นี่
นี่ไง ผู้คุ้มครองผู้บริโภคมันตรงนี้ ไม่ได้ชวนใครทะเลาะหรอก คือเอ็งพูดมามันผิดหมด ที่เอ็งพูดมาผิดหมด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเอ็งมันมีสารกัมมันตภาพรังสีที่จะทำให้ประชาชนเค้าตายหมด กัมมันตภาพรังสีมันให้โทษกับร่างกายใช่มั้ย ฌานสองนี้มันไม่มีประโยชน์กับใครใช่มั้ย นี่คนที่ได้ฌานสองต้องกลับมาดูกาย ดูจิต มันตกลงไป มันถลำลึกเข้าไป มันผิดหมดทุกอย่างเลย แต่พอตัวเองจะเกิดปัญญา ดันเกิดฌาน สี่ นะ ฌานสี่มันจะเกิด ...

ฌาน ไม่ใช่สมาธิ หลวงตาพูดบ่อย ไอ้ฌานๆแชนๆนี้อย่ามาพูดกับเรานะ หลวงตาท่านปฏิเสธเรื่องฌาน คำว่าฌานนี้มันเป็นฌานสมาบัติ คำว่าสัมมาสมาธิเนี่ย เค้าพุทโธๆเนี่ย เค้าไม่ได้เอาฌาน เค้าเอาสมาธิ เค้าเอาความสุขความสงบของใจ คำว่าพุทโธเนี่ยมันเป็นคำบริกรรม พุทโธๆๆเนี่ย จิตมันให้มีคำบริกรรมมันมีที่เกาะที่ยึด จิตมันเป็นนามธรรม มีที่เกาะที่ยึด มีสติสัมปชัญญะไปน่ะ ตัวจิตมันเป็นตัวกิเลส ตัวอวิชชา มันได้ใช้คำบริกรรม ได้เกาะเกี่ยวมันไป มันได้ใช้คำบริกรรมซักฟอกตัวมันเอง มันจะสะอาดบริสุทธิ์โดยสัมมาสมาธิได้ ถ้ามันสงบสะอาดเป็นสัมมาสมาธิแล้วนี่ มีความชำนาญเป็นวสี ทำสมาธิบ่อยครั้งๆเข้า จนสมาธิ จิตมันมีหลักตั้งมั่นของมัน มีความสุขของมัน คนมันอิ่มเต็มคนมีความสุขแล้วเนี่ย มันไม่ได้ออกทำงานด้วยอวิชชา ไม่ได้ออกทำงานด้วยความหิวโหย มันไม่ได้ทำความเสียหาย

แต่ในปัจจุบัน ตัวเองหิวโหย ตัวเองอยากบรรลุธรรม อยากสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เห็นไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นประโยชน์มาก ไม่ต้องใช้พลังงานต่างๆมาใช้ประโยชน์ ก็มั่วออกไปหมดเลย เนี่ย มันเป็นไปไม่ได้สักอย่างนึง แล้วตัวเองก็ปฏิเสธนะ ว่า ฌาน หนึ่ง ฌานสองมันผิด แล้วปัญญาอะไรมันไปเกิดในฌานสี่ล่ะ เวลาลงอัปปนาสมาธิแล้วจะเกิดฌานสี่ แล้วกระบวนการอริยมรรคจะเกิดของมันไป ปัญญาจะเกิดของมันไป

นี่ไง เวลาจะบอกเค้า ชาวพุทธอย่าโง่ ชาวพุทธทะเลาะกัน แต่กูเนี่ย พระโง่ ไม่ได้ชวนทะเลาะ ไม่ได้ชวนทะเลาะกับใคร แต่บอกว่า สิ่งที่เอ็งพูดนั่นนะ มันผิดหมด มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ มันจับแพะชนแกะ จับแพะขึ้นมาเนี่ย ไปเอาอันนั้นมาแปะ อันนั้นมาแปะ แล้วพูดถึงคำพระพุทธเจ้าให้คนเชื่อถือศรัทธา แล้วพูดตามจริงเนี่ย ก็พูดมาสิ เค้าไม่ได้ชวนใครทะเลาะหรอก ก็เพียงแต่บอกว่า

สตินี้ มันใช้สัญญาจำได้จริงหรือ
ปัญญาเนี่ย มันเกิดจากอัปปนาสมาธิได้จริงหรือ
แล้วเวลาอัปปนาสมาธิที่มันลงแล้วเนี่ย ที่มันเกิดฌานสี่เนี่ย จริงหรือ?

เพราะอัปปนาสมาธิ มันไม่ได้เกิดอย่างนี้หรอก ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันเกิดอย่างไร เหตุผลมันเพียงพอ มันถึงจะเกิดผลอย่างนั้น ไอ้นี่มันพูดแต่ชื่อของมัน แต่เนื้อหาสาระข้อเท็จจริงมันไม่มี แล้วคนที่เขาไม่เคยประพฤติปฏิบัติเค้าฟังแล้วก็ไม่กล้าโต้แย้ง แล้วเวลามีข้อโต้แย้งมา ก็บอกว่า ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน

ไอ้นี่มัน 18 มงกุฏนะ มันเป็นการเล่นไพ่สามกอง มันเป็นการเล่นลูกเต๋า มันเป็นการเสี่ยงทาย แล้วให้คนอื่นเชื่อถือนะ

มันเป็นไปได้ยังไง แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นการเล่นไพ่สามกอง ไม่ได้เป็นการปั่นเต๋าเนี่ย ก็พูดมาให้มันชัดเจนว่ากระบวนการของมันยังไง ได้ฟังเทศน์หลวงตามั้ย? หลวงตาน่ะท่านนั่งตลอดรุ่ง ท่านต่อสู้กับเวทนายังไง แล้วจิตมันรวมยังไง นั่น กระบวนการมรรคมันเกิดอย่างนั้น กระบวนการของมรรคมันเกิดจากจิตของเราสงบ แล้วจิตของเราออกรู้ ออกวิปัสสนา ออกแก้ไขกิเลสเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วเวลามันเกาะติด มันปล่อยวางยังไง ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ห้านี้มันแยกออกไปสามทวีปเห็นมั้ย ท่านบอกเวลามันแยกออกจากกันเป็นสามทวีปเลย เนี่ย กายกับจิต กับทุกข์ มันแยกออกจากกัน แล้วจิตมันรวมลง นี่ กระบวนการของมัน มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน มันมีอริยสัจ มันมีของมัน

นี่กระบวนการของปัญญามันเกิดอย่างนี้ กระบวนการของปัญญามันเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะมันชำระล้างกิเลส เพราะกิเลสมันยึดมั่นถือมั่น สักกายทิฏฐิมันคิดปรุงแต่งเป็นของเรา แล้วกระบวนการที่มรรคมันเกิดขึ้นน่ะ งานมันชอบตรงไหน มันจับต้องอะไร

ไอ้นี่ ทุกอย่างมันจะไปเกิดบนอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ อัปปนาสมาธิโดยความเป็นจริงเอ็งก็ทำไม่เป็น ที่พูดว่าอัปปนาสมาธิน่ะ พูดโก้ๆ เอาแต่ชื่อมันมาผูกคอไว้ แต่ผลมันไม่เกิด ถ้าผลมันเกิดเป็นอัปปนาสมาธิจะไม่พูดอย่างนี้ เพราะอัปปนาสมาธิเนี่ยมันเป็นสักแต่ว่ารู้ แล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดไม่ได้ คนนอนหลับบอกกินข้าวอิ่มมันเป็นไปไม่ได้ คนจะกินข้าวมันต้องลุกขึ้นนั่งบนโต๊ะแล้วกินข้าวบนโต๊ะนั้น คนที่เค้านอนหลับอยู่น่ะ มีคนอยู่สองคน คนหนึ่งกินข้าวบนโต๊ะอิ่มเลย ไอ้คนที่นอนหลับอยู่มันตื่นขึ้นมาบอกว่าอิ่มแล้ว มีใครเชื่อมั่ง มันเป็นไปไม่ได้สักอย่างนึง ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ เวลาสร้างปัญหาขึ้นมา จุดไฟเผาบ้านเผาเรือน ก็ไม่คิดว่าตัวเองทำ

เวลามีเค้าจะมาดับไฟกัน ก็บอกว่า เค้าจะมาจุดไฟเผาบ้านเผาเรือน เวลาตัวเองจุดไฟเผาบ้านเผาเรือนนะ ชาวพุทธโดยธรรมชาติ ชาวพุทธโดยสัญชาติญาณเห็นมั้ย ก็พุทโธ ก็เคารพพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ก็บอกว่า พุทโธเนี่ย ทำมาทั้งชาติ แล้วเมื่อไหร่จะได้ประโยชน์ขึ้นมา เนี่ย ลบล้างเค้า พอลบล้างเค้าได้ประโยชน์ขึ้นมาแล้วคนอื่นเขาจะมาแก้บอกไม่ได้ ทะเลาะกัน ๆ เพราะมันทำประโยชน์ขึ้นมา มันทำให้คนไขว้เขวไปหมดแล้ว มันไม่เป็นความจริงสักอย่างนึง
จะบอกว่าไม่มี เป็นสิ่งที่พูดมานั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่ว่า

สติเกิดจากสภาวะจำ ไม่มี
สภาวะจำ เป็นสัญญา สติมันจะเกิดโดยสัจจะ แล้วถ้าคนมีสตินะ คนมีสตินะ สติเนี่ย เวลาโสดาปัตติมรรค สกิทาคามีมรรค แล้วเวลาคนเป็นพระอรหันต์เนี่ย มันจะเห็นมหาสติ ถ้าคนไม่มีมหาสติ จะเป็นพระอนาคามีไม่ได้ พระอนาคามี จะอย่างน้อยต้องมีมหาสติ มหาปัญญา แล้วเป็นพระอรหันต์นี้จะมีสติอัตโนมัติ สติกับจิตมันจะเป็นอันเดียวกันเลย ถ้าสติอย่างนั้นเนี่ย ถ้าคนเคยเห็นสติตามความเป็นจริงนั้น จะไม่พูดพล่อยๆอย่างนี้ ดูกายดูจิตไปแล้ว มันจะเป็นอัตโนมัติ พอพิจารณากายดูกายดูจิตไป

พอว่างแว็บ จิตจะเห็นนิพพาน จิตจะเห็นช่องนิพพาน ใครเห็นนิพพานแว็บนึงจะเป็นโสดาบัน พอเป็นโสดาบันใช่มั้ย มันก็ละสักกายะทิฏฐิหมดเลย พอกลับมาปกติก็เป็นอย่างเก่า แล้วพอดูกายดูจิตต่อไป มันจะแว็บอีก เห็นนิพพานก็จะเห็นนิพพานครั้งที่สอง สองขณะก็มีสามขณะก็มี เห็นนิพพานครั้งทีสองเป็นสกิทาคา เห็นนิพพานครั้งที่สามได้เป็นอนาคา แล้วเห็นนิพพานจนถึงนิพพาน จิตละขันธ์ จะเป็นพระอรหันต์ เพราะอะไร เพราะทุกข์อยู่ที่ขันธ์ ทุกข์ไม่ได้อยู่ที่จิต เอ้า????

แจ้งสคบ.ไปจับ ไอ้นี่มัน ต้องบอก สคบ.ไปจับ นี่หลอกลวง คุ้มครองผู้บริโภค ต้องจับแล้ว เพราะสินค้านี่สินค้าปลอม เห็นนิพพานแวบ เป็นโสดาบัน เห็นโสดาบันเสร็จแล้ว กิเลสมันจะเข้ามาปิดอย่างเก่า แล้วพอดูจิตแล้ว มันจะแว้บเห็นนิพพานอีก ไม่มี ไม่มีหรอก กระบวนการของนิพพาน ของครูบาอาจารย์เนี่ย ท่านเทศน์อยู่ แต่มันฟังกันไม่ออกเท่านั้นเอง ถ้าฟังออกนะ กระบวนการของปัญญา มันมีพร้อมหมดน่ะ แล้วทำตามนั้น จะเป็นตามนั้น

ไอ้นี่มันพออย่างนั้นปั๊ป ชาวพุทธ อย่าทะเลาะกันเลย สิ่งที่ชั้นเสนอออกมาเนี่ย ถังสินค้านี่มันจะปลอมจะจริง ก็ใช้ๆมันไปเถอะ นมมันจะผสมเมลานีนก็กินๆกันไป ไม่เป็นไรหรอก กินกันไปอย่างนั้นเนาะ พุทโธไม่ต้องทำหรอก ไอ้นมเมลานีนก็ดื่มๆเข้าไปเลย จะได้อ้วนพี แล้วก็มาพูดเดี๋ยวทะเลาะกันนะ อย่าทะเลาะกัน ชาวพุทธมันเสียหาย แต่นมเมลานีนกินเข้าไปไม่เป็นไร
แล้วเห็นนิพพานนะ อัปปนาสมาธิจะมาเกิดปัญญา มันไม่เกิด มันไม่เป็นไปหรอก มันไม่เป็นไปอย่างนั้น มันสลดใจไง มันสลดใจ เวลาพูดออกตัว ว่าชาวพุทธอย่าโง่ อย่ามาโต้แย้งเลย

ถึงนมมันจะมีเมลานีนก็กินๆกันไป ไม่เป็นไรเนาะ ยิ่งต่อไปนี้กูจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เนี่ย กูสร้างเองเลยนะ แล้วเดี๋ยวมันระเบิดตายกันกลางกรุงเทพนั่นนะ แล้วพอมาพูดไป พอมาป้องกัน ก็บอกว่า ชาวพุทธอย่ามาทะเลาะกันนะ พระโง่ๆ มันไม่จริงสักอย่างนึงนะ ยิ่งจะแก้ตัวมา ถ้าอย่างนี้ปั๊ป ก็แก้ตัวมา อย่าทะเลาะกัน อย่าทะเลาะกัน ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้ทะเลาะเลย นี้เพียงแต่ถามใช่มั้ย ถ้าถามน่ะ ก็ตอบมาสิ

สติเกิดจากการจำ จริงเหรอ
ปัญญา จะเกิดจากอัปปนาสมาธิจริงเหรอ
แล้วที่ดูๆกันไปจะเกิดฌานเนี่ย จริงเหรอ ฌานน่ะ ฌาน ๔ น่ะ มันจะเกิดได้จริงเหรอ

โธ่ พุทโธๆน่ะ เกือบเป็นเกือบตาย กว่าจะลงสมาธิกัน นั่งกันอยู่นี้ มาบ่นทุกคนน่ะ ทุกข์ๆยากๆน่ะ ดูไปๆแม่งมีฌาน๔ เอา สคบ.ไปจับมัน

...

อุปสรรคของคนมีหมด เรื่องการภาวนามันยากตรงนี้ เลยบอกว่าพุทโธกูไม่เอา ไปดูจิตกันเถอะ เราไปดูจิตกันเนาะ พุทโธอย่าไปทำ ยากน่าดูเลย แต่มันเป็นของจริงน่ะ มันเป็นความจริงอย่างนี้ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ อริยสัจมันเป็นอย่างนี้

ของจริงไม่เอา จะไปกินนมเมลานีนกันน่ะ จะไปเอาสบายๆน่ะ จะไปเอามาจากนมกล่องน่ะ เราไม่มีสิทธิ์กินนมกล่องนะ เราต้องเลี้ยงโคเลี้ยงแพะขึ้นมาแล้วรีดนมมันกิน จิตมันต้องกินอาหารของมัน ต้องพัฒนาของมัน มันต้องปฏิบัติของมัน มันต้องทำของมัน ต้องต่อสู้ ต้องต่อสู้กับมัน

...

ถ้ามันเป็นเวรเป็นกรรมนะ ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน เมลานีนก็กินเข้าไปเถอะ ไม่ต้องทำอะไร นั่งกันเฉยๆ เดี๋ยวจะเป็นนิพพาน พอดูๆไป นิพพานแวบมาเลยนะ เป็นโสดาบัน นิพพานแว็บมาเลย เห็นนิพพานแว็บเลย เป็นโสดาบันเลย สักแต่ว่าหมดเลย แล้วกิเลสก็กลับมากลบอย่างเก่านะ โอ้โห กูไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนนะ ไม่รู้ศาสนาพุทธที่ไหนเนี่ย

ฉะนั้นบอกว่า ดูจิตๆเป็นอัปปนาสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเองเนี่ย ต้องไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนว่าปัญญามันเกิดที่อัปปนาสมาธิเนี่ย พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอน ไปฟ้อง องค์การคุ้มครองผู้บริโภค


แก้ไขล่าสุดโดย fakemonk เมื่อ 13 มี.ค. 2010, 14:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


fakemonk เขียน:
ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นรูปหนึ่งได้เมตตาอบรมฆราวาสไว้ดังนี้

หลวงปู่มั่นท่านสอนว่าให้พุทโธๆเนี่ย คำว่าพุทโธเห็นมั้ย อย่างเช่นหลวงปู่อ่อน ท่าานไม่ได้สอนพุทโธ ท่านสอนใวห้ใช้คำบริกรรมยาวมากเลย หลวงปู่มั่นทานก็สอนหลากหลายแล้วแต่ว่าคนภาวนาง่ายหรือภาวนายาก คำว่าหลากหลาย ผลของมันก็คือ ทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อจะเอาใจนี้ออกมาเพื่อจะวิปัสสนาเพื่อเป็นประโยชน์กับคนๆนั้นเพื่อจะเผยแผ่ศาสนา เพื่อศาสนาจะได้เข้าสู่ใจดวงนั้นเห็นมั้ย มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย หลวงปู่เสาร์

หลวงปู่มั่นท่านเผยแผ่ธรรมมา มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยเพราะอะไร เพราะพวกท่านรู้จริง ท่านรู้จริง ท่านค้นคว้าของท่าน ท่านชัดเจนของท่าน ท่านเอาสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ใช่มั้ย

แต่ในปัจจุบันนี้เห็นมั้ย แล้วบอกว่า เนี่ย ชาวพุทธนี่ อย่าโง่ ชาวพุทธนี่โง่ มาทะเลาะเบาะแว้งกัน

ทำไมชาวพุทธต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ใครไปทะเลาะ ไม่มีใครไปทะเลาะหรอก แต่ตัวเองน่ะ ตัวชวนทะเลาะ ตัวชวนทะเลาะ เพราะอะไร เพราะชวนทะเลาะเค้านะ เวลาเกิดไฟไหม้บ้าน เราจะเอาไฟ เอาน้ำดับไฟ เค้าบอกว่า ไอ้คนเอาน้ำดับไฟ ไอ้คนนั้นน่ะชวนทะเลาะ

แล้วใครเป็นคนจุดไฟล่ะ ใครเป็นคนเผาบ้าน ใครคือคนบอกว่า พุทโธเนี่ย พวกกำหนดพุทโธเนี่ย พุทโธแล้วมันจะเป็นฌาน พอพุทโธๆไปเนี่ย มันจะตัวแข็ง พุทโธๆไปเนี่ย เมื่อไหร่มันจะได้มีความสงบ เมื่อไรจะได้มา ได้มาด้วยการใช้ปัญญาด้วยการวิปัสสนา คราวนี้ใครเป็นคนจุดไฟ ไฟอันนี้ใครเป็นคนจุด
บอกชาวพุทธเนี่ย กำหนดพุทโธๆเนี่ย พวกเนี้ย พวกล้าหลัง พวกนี้ทำทั้งชีวิตเลยแล้วเมื่อไหร่จะได้วิปัสสนา พุทโธนี่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย อันนี้ใครเป็นคนจุดไฟ

แล้วพอเค้ามาจะดับไฟ ใครจะไปทะเลาะ ไม่มีใครไปทะเลาะหรอก เอ็งจุดไฟ เผาศาสนาเอ็ง แล้วพอเค้าจะมาดับไฟในศาสนา เอ็งมาบอกว่า ชาวพุทธโง่ ชาวพุทธอย่ามาทะเลาะกัน

ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้ทะเลาะกับใครเลย เพียงแต่ว่า สิ่งใดเห็นมั้ย ดูสิ พ่อแม่เลี้ยงลูกน่ะ อาหารที่เป็นพิษจะให้ลูกกินมั้ย ถ้ากินเข้าไปแล้วเป็นโรคภัยไข้เจ็บจะให้ลูกกินมั้ย ในการประพฤติปฏิบัติน่ะ ไม่ต้องกำหนดพุทโธ ไม่ต้องฝึกสติ สติจะเป็นเองต่างๆเนี่ย

นมน่ะนะ มันผสมเมลานีน เนี่ย มันจะกินได้มั้ย เราจะให้เด็กเรากินมั้ย ลูกเราน่ะ นมมันผสมเมลานีนเนี่ย เอ็งจะให้มันกินมั้ย ตายห่าหมด !

นี่ก็เหมือนกัน สติไม่ต้องฝึก สติไม่ต้องฝึก เราไม่ได้ทะเลาะกับใคร เราบอกสติต้องฝึก สติต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกสติเนี่ย สติเมื่อไหร่มันจะเกิดเอง นมน่ะนะ เราจะเอานมมากินกันเนี่ยนะ เราต้องเลี้ยงโค เลี้ยงแพะ และต้องรีดนมมันมากินนะ ไอ้นมกล่องน่ะมันผสมเมลานีนมันมาจากห้าง มาจากต่างๆน่ะ มันเป็นนมพิษ

เนี่ย ไอ้คนที่มันได้มาจากนั้นน่ะ มันไม่เข้าใจว่าสิ่งใดมีประโยชน์สิ่งใดไม่มีประโยชน์เลย แต่ครูบาอาจารย์เราเนี่ย นะ มันเป็นสัจธรรม ธรรมมันมาจากไหน ธรรมก็มาจากสัจจะความจริง จะบอกว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันมาจากธรรมชาติก่อน มาจากเราก่อน แต่พอถึงที่สุดแล้วมันจะ เหนือธรรมชาติ เราจะเลี้ยงโค เลี้ยงแพะ กว่าจะรีดนมมัน กว่าจะเอานมมากินเป็นประโยชน์กับเรา นี่ก็เหมือนกัน สติไม่ฝึก มึงไม่ฝึก มึงมาจากไหน ทำไมถึงสติไม่ต้องฝึก สติไม่ฝึกอะไรมา นี่ ไม่ได้ชวนทะเลาะ เพียงแต่ว่า ผู้คุ้มครองผู้บริโภค สคบ. อะไรน่ะ คุ้มครองบริโภคน่ะ เค้าว่าเอ็งสอนผิดน่ะ ไม่ได้ชวนทะเลาะ เอ็งก็บอกมาสิว่า นมเอ็งไม่ได้ผสมเมลานีน นมเอ็งบริสุทธิ์อย่างไร สติมึงเกิดอย่างไง สติมึงเกิดยังไง เกิดโดยสภาวะจำ
สภาวะเนี่ย จำคือสัญญา ความระลึกเนี่ย ตั้งสติ พอเราตั้งสติ พอเราระลึกดู นี่คือฝึกสติ ไปจำเนี่ย มันพ้นจากสติแล้ว สัญญากับปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น มันจะเกิดเปํนปัญญา ถ้าเป็นสัญญา มันก็เป็นสัญญา สัญญาเป็นสติไม่ได้ นี่ไง ส่วนผสมมันผิดไง

นมมึงผสมเมลานีน แล้วมึงจะเอามาให้ประชาชนเค้าดื่มกินอยู่เนี่ย มันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา ใครไปทะเลาะ ไม่มีใครทะเลาะ เค้าว่าชาวพุทธโง่ ไปทะเลาะกัน นี่พระโง่ พระโง่จะพูด พระโง่ไม่ได้ไปทะเลาะกับใคร พระโง่จะบอกว่า สิ่งที่สติไม่ต้องฝึกน่ะ มันเป็นนมผสมเมลานีน มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ แล้วชวนทะเลาะ? ไม่ได้ชวนทะเลาะ การทะเลาะเอ็งจุดไฟเผาขึ้นมาก่อนเอง

เอ็งบอกพุทโธไม่ต้องกำหนด สติไม่ต้องฝึก เอ็งเป็นคนจุดไฟเผา แล้วเราเอาน้ำมาดับไฟ ใครไปทะเลาะกับเอ็ง ไม่มีใครทะเลาะกับใคร แต่เค้าจะมาบอกว่า ส่วนที่การประพฤติปฏิบัติเนี่ย สติต้องฝึก ครูบาอาจารย์ยังเตือน พระพุทธเจ้ายังบอกเลย สติในพระไตรปิฎกทั้งเล่มเลย สติต้องการทุกที่ ทุกสถาน ทุกขบวนการ แม้แต่เด็กยันคนตายต้องพร้อมด้วยสติ นี่ขนาดทางโลกนะ

และทางธรรมเนี่ย สติมันก็มีสติ มีมหาสติ แล้วสติเนี่ย พอสติคือการจำสภาวะ แล้วเกิดสติเอง มันเป็นไปไม่ได้ จำสภาวะ คำว่าจำ คือ สัญญา ระลึกกับจำ มันคนละอันกัน ระลึกคือระลึกรู้ ไม่ได้จำ

จำมันเป็นจิตคนละดวงแล้ว ถ้าจิต 108 ดวง จำมันคือจำสภาวะ จิตมันคือคนละดวง มันคนละสถานะ มันคนละคนกัน คนละจิตกัน มันเอาไปเป็นขบวนการเดียวกันไม่ได้

แต่ถ้าเป็นการระลึกเนี่ย ตัวมันเอง ตัวจิตเองระลึกขึ้นมาในตัวมันเอง นี่ มันฝึกสติยังงี้ แล้วสติมันระลึกอยู่เนี่ย มันมีสติสัมปชัญญะ มันจะรู้ตัวมันเอง แล้วมันฝึกบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า เห็นมั้ย สติก็คือสติ

แล้วพอมันเป็นสติแล้ว มันเป็นสติตัวจริง มันเป็นสติตัวปลอม ถ้ามีการตั้งใจแล้วจงใจเป็นสติตัวปลอม ถ้ามันสติตัวจริง คือมันสติเอง สติมันมีเอง สติมันมีเองเนี่ย คือ

สติมันไม่มีตัวจริง ไม่มีปลอมหรอก สติมันเป็นสมมติ มรรคนี่เป็นสมมติ ทุกอย่างเป็นสมมติหมด สัพเพธัมมาอนัตตาเนี่ย เป็นสมมติบัญญัติ เป็นสภาวะธรรม คำว่าสภาวะธรรมเราก็พูดว่า สภาวะธรรม แต่ผลของเป็นโสดาบัน สกิทา อนาคา ไม่ใช่สภาวะธรรม สภาวะธรรม กับ ธรรม คนละอันกัน สภาวะ คือ การเปลี่ยนแปลง สภาวะ คือการมีอยู่ สภาวะมีการดำเนิน ธรรม คือ ออุปธรรม ธรรมคือสถานะที่เป็นความจริง ไม่ใช่สภาวะ สิ่งที่เป็นสภาวะเนี่ย อารมณ์ความรู้สึกความเปลี่ยนแปลงนี่คือสภาวะ สภาวะที่เปลี่ยนแปลงอยู่เห็นมั้ย

แล้วบอกว่า ถ้าเป็นสติตัวจริง สติตัวปลอม ไม่มี แหม สติตัวจริง อันนั้นสติตัวปลอม นี่ไง เนี่ย ใครเป็นคนจุดไฟเผาบ้านเผาเรือนขึ้นมา แล้วเวลาเค้าจะมาดับไฟเนี่ย เพียงแค่เค้ามาชี้ให้เห็นว่า อะไรผิด อะไรถูก อะไรผิดนะ มันเป็นการคุ้มครองผู้ริโภคน่ะ ผู้บริโภคน่ะ

เอ็งเอาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ สินค้าที่ไม่มีประโยชน์ไปให้เขาบริโภค แล้วเราบอก สินค้านั้นมันผิด เราไม่ได้ไปชวนทะเลาะกับเจ้าของสินค้าที่ไหนทั้งสิ้น ไม่ได้ทะเลาะกับใคร ชาวพุทธนะ เนี่ย การกระทำเนี่ย เวลาตัวเองทำ เวลาตัวเองทะเลาะ เวลาตัวเองจุดชนวนขึ้นมา ไม่ได้ดูว่าตัวเองเป็นคนทำ แต่พอมีคนจะมาดับไฟเนี่ย ชาวพุทธโง่ ชาวพุทธทะเลาะกัน ชาวพุทธไม่ควรทะเลาะกัน ใครไปทะเลาะกัน ถ้ามันเป็นความจริงก็บอกมาสิว่า นมบริสุทธิ์มันเป็นยังไง สติน่ะ ที่ว่าสภาวะจำน่ะ สภาวะจำ

จำสภาวะแม่นๆน่ะ เป็นสติน่ะ มันมีที่ไหน จับใส่ขวดมาให้กูดูหน่อยสิ จับสติที่จำแม่นๆจับใส่ขวดมา แล้วขอดูหน่อยว่า จำแม่นๆมันเป็นยังไง จำแม่นๆ ก็คือสัญญา สติก็เกิดจากจิต ความระลึกนี่แหละ

ฟังนะ สติเนี่ย เป็นสัมมาสติ มิจฉาสติ เป็นมรรค ๘ ใน มรรค ๘ กระบวนการของมัน เกลือเนี่ย มันถนอมอาหารได้ แต่เกลือเนี่ยนะ เกลือเนี่ย เป็นปัจจัย เป็นประโยชน์มาก สติเนี่ยเหมือนเกลือ แต่ตัวเกลือนี่มันใช้ประโยชน์อะไรได้ทุกอย่างมั้ย ตัวเกลือเนี่ย ทางการอุตสาหกรรมเค้าเอาไปทำประโยชน์มาก สติถ้ามีกับจิตนี้มันเป็นพื้นฐาน พอมีสติแล้วเกิดสมาธิ เกิดปัญญา ตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา มันเกิดจากสติ มันไม่ใช่สติ
เพราะงั้นบอกว่า สภาวะจำเนี่ย สภาวะจำมันเกินกระบวนการของสติแล้ว

สติคือการระลึกรู้ ระลึก เป็นพื้นฐาน สติต้องการในการทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ในปัญญานั้นก็ต้องอาศัยสติ ในสมาธิก็ต้องอาศัยสติ เกลือนี้ มันเป็นความจำเป็นที่สุดในการถนอมอาหารจริงมั้ย แต่ตัวเกลือมันเป็นอย่างอื่นไปได้มั้ย ตัวเกลือมีความสำคัญมาก เป็นปัจจัย ไม่ต้องทำนาทำไร่กันแล้ว เราทำนาเกลือ กินเกลืออย่างเดียวได้มั้ย มันก็ไม่ได้ แต่เกลือมีความจำเป็นมั้ย มี แต่จะกินเกลืออย่างเดียวได้มั้ย นี่ก็เหมือนกัน สติมีความจำเป็นมั้ย มีความจำเป็นมาก แต่ตัวสติเอง เป็นปัญญาไม่ได้ เป็นสมาธิไม่ได้ เป็นอะไรไม่ได้ทั้งหมดเลย แต่ตัวพื้นฐานมันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเค้าจะจับเอาตัวสติมันเป็นพื้นฐานแล้วเราจะเกิดปัญญา เดี๋ยวจะพูดไปเรื่อยๆ เราจะบอกว่า วันนี้ อ.ย. มันจะวิเคราะห์ มันเป็นไปไม่ได้ไง

มันสังเวช มันสังเวชว่า ตัวเองน่ะ เวลาตัวเองจนตรอกเข้ามาแล้ว ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน ทะเลาะกันมันไม่ดี ก็ไม่ดีแล้ว ถ้าไม่ดีแล้วจะให้สังคมมันแหลกเหลวไปอย่างนี้เหรอ ให้สิ่งที่ไม่มีคุณค่าอย่างนี้ให้คนมันชักนำกันไปอย่างนี้เหรอ ถ้าอย่างนี้ไป เพราะเวลาตัวเองทำน่ะ พุทโธไม่ต้อง อะไรไม่ต้องทุกอย่างเลย แล้วก็มาดูมาเพ่งกัน เวลาดูก็มาดูมาเพ่ง รู้กายรู้จิต รู้กายรู้จิตมันจะเป็นปัญญาเอง

กล้องวงจรปิดไม่เห็นมันจะเป็นปัญญาสักที กล้องวงจรปิดเนี่ยนะ ดูสิ มันจับทั่วประเทศไทยแล้ว แล้วมันเป็นปัญญาขึ้นมาไหม

ดูรู้มันจะเป็นปัญญาอะไรขึ้นมา มันมีตรงไหน ทำไมจิตไม่เป็นสมาธิขึ้นมา แล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องสติก็เป็นไปไม่ได้ และพอเรื่องสติเป็นไปได้นะ เพราะถ้าเป็นสติจริง เนี่ยสติจริงสติปลอม สติเป็นพื้นฐาน และพอเกิดสมาธิขึ้นมามันเป็นความต่าง พอความต่างขึ้นไปเนี่ยถ้ามันเกิดปัญญาเห็ฯมั้ย เกิดปัญญา สติ สมาธิ เกิดปัญญาไม่ได้เลย ถ้าจิตมันไม่ออกแสวงหา เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม เห็น กาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็น ธรรมด้วยสัจจธรรมนะ

แต่ในปัจจุบันเนี้ยมันเห็นกันด้วยสัญญาอารมณ์ มันเห็นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะเราอยากได้ธรรม เราอยากได้มีคุณธรรม เราอยากมีต่างๆไป พอครูบาอาจารย์ท่านบอกพิจารณากาย การพิจารณากายก็เหมือนกับผู้ใหญ่เค้าพิจารณากายใช่มั้ย ไอ้อย่างเรามันเด็กๆ ก็พิจารณากาย ก็พิจารณากายไป ขณะที่พิจารณากายนะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็คือ อะไร ก็คือ กาย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เค้ามาท่อง เป็นคำบริกรรมนะ เวลาท่องพุทโธๆๆเนี่ย บางครูอาจารย์ให้ท่อง เกสาโลมานขาทันตาตโจ พิจารณากายต้องพิจารณากายใช่มั้ย แต่นี้เอามาเป็ฯคำบริกรรม ผลของมันคือสมถะไง ผลของมันคือสมาธิไง ถ้าผลของมันเป็นสมถะ ผลเป็นสมาธิขึ้นมา มันก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา สมาธินี้เป็นเครื่องพัก ให้จิตมันได้พัก

เนี่ย โลกทัศน์ โดยธรรมชาติ มันคิดออกมา มันคิดโดยสามัญสำนึกเนี่ย มันเป็นโลกียปัญญา ถ้าจิตมันสงบมาแล้ว ถ้ามันเห็นกาย เห็นมั้ย เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ทำไมต้องเห็นล่ะ ธรรมดานี้ มันไม่เห็นหรอก สิ่งปกตินี้ไม่มีใครเห็นหรอก สิ่งที่เห็นมันเป็นสัญญาอารมรณ์ มันเป็นสามัญสำนึก สามัญสำนึกใช่มั้ย ดูกายดูจิต ดูกายดูจิต เป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าสิ่งที่เป็นไปได้ พอจิตมันสงบ มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมน่ะ มันเห็นความต่าง เห็นเป็นโลกุตระธรรม เป็นโลกุตตระปัญญา โลกียะปัญญา โลกุตตระปัญญา ถ้าคนมันรู้จักสมาธินะ มันต้องรู้สมถะสำคัญอย่างไร แล้วเวลาเห็นกายนี้ มันเห็นกายยังไง

นี่มันไม่เห็นกายใช่มั้ย พอไม่เห็นกายขึ้นมา ก็บอกว่า ดูไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ ก็รู้ไปจนจิตเกิดปัญญา จิตเนี่ยมันจะจำสภาวะอีกเหมือนกัน พอจำสภาวะแล้วมันจะเกิดปัญญาเอง แล้วดูจิตไปเรื่อยๆนะ ดูจิตไปเรื่อยๆ ดูกายดูจิตไปเรื่อยๆจนจิตมันรู้จักบุพภาคอะไรของเค้าน่ะ มันเป็นลักษณะของกิเลสแต่ละตัว จนถึงที่สุดนะ มันรวมกันเป็นสามัญญลักษณะจนจิตมันลงอัปปนนาาสมาธิ แล้วจะเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ถึงขบวนการของมรรค กระบวนการทางปัญญามันจะเกิด อันนี้มันนิยายวิทยาศาสตร์น่ะ
เนี่ย โรงงานนิวเคลียร์นะ โรงงานนิวเคลียร์เนี่ย มันจะไปตั้งที่ไหน ชาวบ้านจะยอมให้มีโรงงานนิวเคลียร์มั้ย โรงงานนิวเคลียร์นี้ อย่างเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบเค้าตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาเนี่ย มันจะเป็นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ มันจะเป็นประโยชน์มาก กระบวนการของมัน ถ้ามันจะเกิดปัญญา มันจะเกิดมรรคญาณไง มันจะเป็นสัจจะความจริง มันไม่เป็นอย่างนี้ แต่นี้เพราะเราเห็นใช่มั้ย เราเห็นว่าพลังงานสันติ พลังงานนิวเคลียร์เนี่ยมันเป็นประโยชน์มาก โรงไฟฟ้าอะไรต่างๆ มันจะเกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีมาก เรานั่งกันอยู่นี้ เราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ เราจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กัน คิดว่าโรงไฟฟ้าปรมาณูนี้มันจะอยู่ได้มั้ย นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้าลงเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว ไอ้นี่มันให้ชาวนาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์น่ะ นี่ไง มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ไง ถึงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าสิ่งที่มันเป็นไปได้เนี่ย มันถึงบอกว่า ไอ้นี้มันเป็นความ มันไม่ได้ชวนทะเลาะ เอ็งเอาโรงไฟฟ้าให้เด็กๆเนี่ย มันสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยเนี่ย เอ็งว่าชาวพุทธชาวไทยจะอยู่ได้มั้ย

กระบวนการมันไม่เป็นอย่างนั้น ถ้ากระบวนการของมันนะ พอจิตมันเป็นสัมมาสมาธิแล้วออกเห็นกายเห็นจิตธรรม ปัญญามันจะใคร่ครวญของมันไป มันจะเกิดตทังคปหาน เกิดสมุทเฉทปหาน เกิดการกระทำยังไงน่ะ มันต้องเกิดกระบวนการของจิตที่มรรคสมังคี กระบวนการของอริยมรรคจะเกิด ดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ จนจิตเห็นสามัญญลักษณะขึ้นมา จนจิตมันจะลงอัปปนาสมาธิ

เวลาบอกเค้าพุทโธเนี่ยนะ พอพุทโธไปเรื่อยๆ มันจะเกิดตัวแข็ง มันจะเกิดฌานสอง ใครเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน นี้ผิดหมด แหม เราฟังซีดีมานาน เวลาใครบอกนี่ ฌานสอง คนนี้ได้ฌานหนึ่ง เราบอก ฌานสองไม่ใช่ เวลามันจะจุดไฟเผา พุทโธนี้ก็จุดไฟเผานะ เหยียบพุทโธขึ้นไปว่าพุทโธนี้ทำไม่ได้ เวลาพุทโธจะเป็นฌาน จะติดสมถะ แต่เวลากระบวนการดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ จิตจะลงอัปปนาสมาธิ เป็นฌาน ๔ แล้วพอมี ฌาน ๔ ก็เกิดปัญญา แล้วกระบวนการของมันจะเกิด นี่ไง โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เนี่ยก็เป็นโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่คนทำไม่เป็น ถ้าพูดถึงรัฐบาลไม่เข้มแข็งเราจะปล่อยให้คนพวกนี้มาสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไหม นี่ไง มันผิดมันถูกที่นี่
นี่ไง ผู้คุ้มครองผู้บริโภคมันตรงนี้ ไม่ได้ชวนใครทะเลาะหรอก คือเอ็งพูดมามันผิดหมด ที่เอ็งพูดมาผิดหมด โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเอ็งมันมีสารกัมมันตภาพรังสีที่จะทำให้ประชาชนเค้าตายหมด กัมมันตภาพรังสีมันให้โทษกับร่างกายใช่มั้ย ฌานสองนี้มันไม่มีประโยชน์กับใครใช่มั้ย นี่คนที่ได้ฌานสองต้องกลับมาดูกาย ดูจิต มันตกลงไป มันถลำลึกเข้าไป มันผิดหมดทุกอย่างเลย แต่พอตัวเองจะเกิดปัญญา ดันเกิดฌาน สี่ นะ ฌานสี่มันจะเกิด ...

ฌาน ไม่ใช่สมาธิ หลวงตาพูดบ่อย ไอ้ฌานๆแชนๆนี้อย่ามาพูดกับเรานะ หลวงตาท่านปฏิเสธเรื่องฌาน คำว่าฌานนี้มันเป็นฌานสมาบัติ คำว่าสัมมาสมาธิเนี่ย เค้าพุทโธๆเนี่ย เค้าไม่ได้เอาฌาน เค้าเอาสมาธิ เค้าเอาความสุขความสงบของใจ คำว่าพุทโธเนี่ยมันเป็นคำบริกรรม พุทโธๆๆเนี่ย จิตมันให้มีคำบริกรรมมันมีที่เกาะที่ยึด จิตมันเป็นนามธรรม มีที่เกาะที่ยึด มีสติสัมปชัญญะไปน่ะ ตัวจิตมันเป็นตัวกิเลส ตัวอวิชชา มันได้ใช้คำบริกรรม ได้เกาะเกี่ยวมันไป มันได้ใช้คำบริกรรมซักฟอกตัวมันเอง มันจะสะอาดบริสุทธิ์โดยสัมมาสมาธิได้ ถ้ามันสงบสะอาดเป็นสัมมาสมาธิแล้วนี่ มีความชำนาญเป็นวสี ทำสมาธิบ่อยครั้งๆเข้า จนสมาธิ จิตมันมีหลักตั้งมั่นของมัน มีความสุขของมัน คนมันอิ่มเต็มคนมีความสุขแล้วเนี่ย มันไม่ได้ออกทำงานด้วยอวิชชา ไม่ได้ออกทำงานด้วยความหิวโหย มันไม่ได้ทำความเสียหาย

แต่ในปัจจุบัน ตัวเองหิวโหย ตัวเองอยากบรรลุธรรม อยากสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เห็นไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นประโยชน์มาก ไม่ต้องใช้พลังงานต่างๆมาใช้ประโยชน์ ก็มั่วออกไปหมดเลย เนี่ย มันเป็นไปไม่ได้สักอย่างนึง แล้วตัวเองก็ปฏิเสธนะ ว่า ฌาน หนึ่ง ฌานสองมันผิด แล้วปัญญาอะไรมันไปเกิดในฌานสี่ล่ะ เวลาลงอัปปนาสมาธิแล้วจะเกิดฌานสี่ แล้วกระบวนการอริยมรรคจะเกิดของมันไป ปัญญาจะเกิดของมันไป

นี่ไง เวลาจะบอกเค้า ชาวพุทธอย่าโง่ ชาวพุทธทะเลาะกัน แต่กูเนี่ย พระโง่ ไม่ได้ชวนทะเลาะ ไม่ได้ชวนทะเลาะกับใคร แต่บอกว่า สิ่งที่เอ็งพูดนั่นนะ มันผิดหมด มันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ มันจับแพะชนแกะ จับแพะขึ้นมาเนี่ย ไปเอาอันนั้นมาแปะ อันนั้นมาแปะ แล้วพูดถึงคำพระพุทธเจ้าให้คนเชื่อถือศรัทธา แล้วพูดตามจริงเนี่ย ก็พูดมาสิ เค้าไม่ได้ชวนใครทะเลาะหรอก ก็เพียงแต่บอกว่า

สตินี้ มันใช้สัญญาจำได้จริงหรือ
ปัญญาเนี่ย มันเกิดจากอัปปนาสมาธิได้จริงหรือ
แล้วเวลาอัปปนาสมาธิที่มันลงแล้วเนี่ย ที่มันเกิดฌานสี่เนี่ย จริงหรือ?

เพราะอัปปนาสมาธิ มันไม่ได้เกิดอย่างนี้หรอก ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันเกิดอย่างไร เหตุผลมันเพียงพอ มันถึงจะเกิดผลอย่างนั้น ไอ้นี่มันพูดแต่ชื่อของมัน แต่เนื้อหาสาระข้อเท็จจริงมันไม่มี แล้วคนที่เขาไม่เคยประพฤติปฏิบัติเค้าฟังแล้วก็ไม่กล้าโต้แย้ง แล้วเวลามีข้อโต้แย้งมา ก็บอกว่า ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน

ไอ้นี่มัน 18 มงกุฏนะ มันเป็นการเล่นไพ่สามกอง มันเป็นการเล่นลูกเต๋า มันเป็นการเสี่ยงทาย แล้วให้คนอื่นเชื่อถือนะ

มันเป็นไปได้ยังไง แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นการเล่นไพ่สามกอง ไม่ได้เป็นการปั่นเต๋าเนี่ย ก็พูดมาให้มันชัดเจนว่ากระบวนการของมันยังไง ได้ฟังเทศน์หลวงตามั้ย? หลวงตาน่ะท่านนั่งตลอดรุ่ง ท่านต่อสู้กับเวทนายังไง แล้วจิตมันรวมยังไง นั่น กระบวนการมรรคมันเกิดอย่างนั้น กระบวนการของมรรคมันเกิดจากจิตของเราสงบ แล้วจิตของเราออกรู้ ออกวิปัสสนา ออกแก้ไขกิเลสเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วเวลามันเกาะติด มันปล่อยวางยังไง ขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ห้านี้มันแยกออกไปสามทวีปเห็นมั้ย ท่านบอกเวลามันแยกออกจากกันเป็นสามทวีปเลย เนี่ย กายกับจิต กับทุกข์ มันแยกออกจากกัน แล้วจิตมันรวมลง นี่ กระบวนการของมัน มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน มันมีอริยสัจ มันมีของมัน

นี่กระบวนการของปัญญามันเกิดอย่างนี้ กระบวนการของปัญญามันเกิดเพราะอะไร เกิดเพราะมันชำระล้างกิเลส เพราะกิเลสมันยึดมั่นถือมั่น สักกายทิฏฐิมันคิดปรุงแต่งเป็นของเรา แล้วกระบวนการที่มรรคมันเกิดขึ้นน่ะ งานมันชอบตรงไหน มันจับต้องอะไร

ไอ้นี่ ทุกอย่างมันจะไปเกิดบนอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิเกิดปัญญาไม่ได้ อัปปนาสมาธิโดยความเป็นจริงเอ็งก็ทำไม่เป็น ที่พูดว่าอัปปนาสมาธิน่ะ พูดโก้ๆ เอาแต่ชื่อมันมาผูกคอไว้ แต่ผลมันไม่เกิด ถ้าผลมันเกิดเป็นอัปปนาสมาธิจะไม่พูดอย่างนี้ เพราะอัปปนาสมาธิเนี่ยมันเป็นสักแต่ว่ารู้ แล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันเกิดไม่ได้ คนนอนหลับบอกกินข้าวอิ่มมันเป็นไปไม่ได้ คนจะกินข้าวมันต้องลุกขึ้นนั่งบนโต๊ะแล้วกินข้าวบนโต๊ะนั้น คนที่เค้านอนหลับอยู่น่ะ มีคนอยู่สองคน คนหนึ่งกินข้าวบนโต๊ะอิ่มเลย ไอ้คนที่นอนหลับอยู่มันตื่นขึ้นมาบอกว่าอิ่มแล้ว มีใครเชื่อมั่ง มันเป็นไปไม่ได้สักอย่างนึง ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ เวลาสร้างปัญหาขึ้นมา จุดไฟเผาบ้านเผาเรือน ก็ไม่คิดว่าตัวเองทำ

เวลามีเค้าจะมาดับไฟกัน ก็บอกว่า เค้าจะมาจุดไฟเผาบ้านเผาเรือน เวลาตัวเองจุดไฟเผาบ้านเผาเรือนนะ ชาวพุทธโดยธรรมชาติ ชาวพุทธโดยสัญชาติญาณเห็นมั้ย ก็พุทโธ ก็เคารพพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ก็บอกว่า พุทโธเนี่ย ทำมาทั้งชาติ แล้วเมื่อไหร่จะได้ประโยชน์ขึ้นมา เนี่ย ลบล้างเค้า พอลบล้างเค้าได้ประโยชน์ขึ้นมาแล้วคนอื่นเขาจะมาแก้บอกไม่ได้ ทะเลาะกัน ๆ เพราะมันทำประโยชน์ขึ้นมา มันทำให้คนไขว้เขวไปหมดแล้ว มันไม่เป็นความจริงสักอย่างนึง
จะบอกว่าไม่มี เป็นสิ่งที่พูดมานั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่ว่า

สติเกิดจากสภาวะจำ ไม่มี
สภาวะจำ เป็นสัญญา สติมันจะเกิดโดยสัจจะ แล้วถ้าคนมีสตินะ คนมีสตินะ สติเนี่ย เวลาโสดาปัตติมรรค สกิทาคามีมรรค แล้วเวลาคนเป็นพระอรหันต์เนี่ย มันจะเห็นมหาสติ ถ้าคนไม่มีมหาสติ จะเป็นพระอนาคามีไม่ได้ พระอนาคามี จะอย่างน้อยต้องมีมหาสติ มหาปัญญา แล้วเป็นพระอรหันต์นี้จะมีสติอัตโนมัติ สติกับจิตมันจะเป็นอันเดียวกันเลย ถ้าสติอย่างนั้นเนี่ย ถ้าคนเคยเห็นสติตามความเป็นจริงนั้น จะไม่พูดพล่อยๆอย่างนี้ ดูกายดูจิตไปแล้ว มันจะเป็นอัตโนมัติ พอพิจารณากายดูกายดูจิตไป

พอว่างแว็บ จิตจะเห็นนิพพาน จิตจะเห็นช่องนิพพาน ใครเห็นนิพพานแว็บนึงจะเป็นโสดาบัน พอเป็นโสดาบันใช่มั้ย มันก็ละสักกายะทิฏฐิหมดเลย พอกลับมาปกติก็เป็นอย่างเก่า แล้วพอดูกายดูจิตต่อไป มันจะแว็บอีก เห็นนิพพานก็จะเห็นนิพพานครั้งที่สอง สองขณะก็มีสามขณะก็มี เห็นนิพพานครั้งทีสองเป็นสกิทาคา เห็นนิพพานครั้งที่สามได้เป็นอนาคา แล้วเห็นนิพพานจนถึงนิพพาน จิตละขันธ์ จะเป็นพระอรหันต์ เพราะอะไร เพราะทุกข์อยู่ที่ขันธ์ ทุกข์ไม่ได้อยู่ที่จิต เอ้า????

แจ้งสคบ.ไปจับ ไอ้นี่มัน ต้องบอก สคบ.ไปจับ นี่หลอกลวง คุ้มครองผู้บริโภค ต้องจับแล้ว เพราะสินค้านี่สินค้าปลอม เห็นนิพพานแวบ เป็นโสดาบัน เห็นโสดาบันเสร็จแล้ว กิเลสมันจะเข้ามาปิดอย่างเก่า แล้วพอดูจิตแล้ว มันจะแว้บเห็นนิพพานอีก ไม่มี ไม่มีหรอก กระบวนการของนิพพาน ของครูบาอาจารย์เนี่ย ท่านเทศน์อยู่ แต่มันฟังกันไม่ออกเท่านั้นเอง ถ้าฟังออกนะ กระบวนการของปัญญา มันมีพร้อมหมดน่ะ แล้วทำตามนั้น จะเป็นตามนั้น

ไอ้นี่มันพออย่างนั้นปั๊ป ชาวพุทธ อย่าทะเลาะกันเลย สิ่งที่ชั้นเสนอออกมาเนี่ย ถังสินค้านี่มันจะปลอมจะจริง ก็ใช้ๆมันไปเถอะ นมมันจะผสมเมลานีนก็กินๆกันไป ไม่เป็นไรหรอก กินกันไปอย่างนั้นเนาะ พุทโธไม่ต้องทำหรอก ไอ้นมเมลานีนก็ดื่มๆเข้าไปเลย จะได้อ้วนพี แล้วก็มาพูดเดี๋ยวทะเลาะกันนะ อย่าทะเลาะกัน ชาวพุทธมันเสียหาย แต่นมเมลานีนกินเข้าไปไม่เป็นไร
แล้วเห็นนิพพานนะ อัปปนาสมาธิจะมาเกิดปัญญา มันไม่เกิด มันไม่เป็นไปหรอก มันไม่เป็นไปอย่างนั้น มันสลดใจไง มันสลดใจ เวลาพูดออกตัว ว่าชาวพุทธอย่าโง่ อย่ามาโต้แย้งเลย

ถึงนมมันจะมีเมลานีนก็กินๆกันไป ไม่เป็นไรเนาะ ยิ่งต่อไปนี้กูจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เนี่ย กูสร้างเองเลยนะ แล้วเดี๋ยวมันระเบิดตายกันกลางกรุงเทพนั่นนะ แล้วพอมาพูดไป พอมาป้องกัน ก็บอกว่า ชาวพุทธอย่ามาทะเลาะกันนะ พระโง่ๆ มันไม่จริงสักอย่างนึงนะ ยิ่งจะแก้ตัวมา ถ้าอย่างนี้ปั๊ป ก็แก้ตัวมา อย่าทะเลาะกัน อย่าทะเลาะกัน ไม่ได้ทะเลาะ ไม่ได้ทะเลาะเลย นี้เพียงแต่ถามใช่มั้ย ถ้าถามน่ะ ก็ตอบมาสิ

สติเกิดจากการจำ จริงเหรอ
ปัญญา จะเกิดจากอัปปนาสมาธิจริงเหรอ
แล้วที่ดูๆกันไปจะเกิดฌานเนี่ย จริงเหรอ ฌานน่ะ ฌาน ๔ น่ะ มันจะเกิดได้จริงเหรอ

โธ่ พุทโธๆน่ะ เกือบเป็นเกือบตาย กว่าจะลงสมาธิกัน นั่งกันอยู่นี้ มาบ่นทุกคนน่ะ ทุกข์ๆยากๆน่ะ ดูไปๆแม่งมีฌาน๔ เอา สคบ.ไปจับมัน

...

อุปสรรคของคนมีหมด เรื่องการภาวนามันยากตรงนี้ เลยบอกว่าพุทโธกูไม่เอา ไปดูจิตกันเถอะ เราไปดูจิตกันเนาะ พุทโธอย่าไปทำ ยากน่าดูเลย แต่มันเป็นของจริงน่ะ มันเป็นความจริงอย่างนี้ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ อริยสัจมันเป็นอย่างนี้

ของจริงไม่เอา จะไปกินนมเมลานีนกันน่ะ จะไปเอาสบายๆน่ะ จะไปเอามาจากนมกล่องน่ะ เราไม่มีสิทธิ์กินนมกล่องนะ เราต้องเลี้ยงโคเลี้ยงแพะขึ้นมาแล้วรีดนมมันกิน จิตมันต้องกินอาหารของมัน ต้องพัฒนาของมัน มันต้องปฏิบัติของมัน มันต้องทำของมัน ต้องต่อสู้ ต้องต่อสู้กับมัน

...

ถ้ามันเป็นเวรเป็นกรรมนะ ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน เมลานีนก็กินเข้าไปเถอะ ไม่ต้องทำอะไร นั่งกันเฉยๆ เดี๋ยวจะเป็นนิพพาน พอดูๆไป นิพพานแวบมาเลยนะ เป็นโสดาบัน นิพพานแว็บมาเลย เห็นนิพพานแว็บเลย เป็นโสดาบันเลย สักแต่ว่าหมดเลย แล้วกิเลสก็กลับมากลบอย่างเก่านะ โอ้โห กูไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนนะ ไม่รู้ศาสนาพุทธที่ไหนเนี่ย

ฉะนั้นบอกว่า ดูจิตๆเป็นอัปปนาสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเองเนี่ย ต้องไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนว่าปัญญามันเกิดที่อัปปนาสมาธิเนี่ย พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอน ไปฟ้อง องค์การคุ้มครองผู้บริโภค



อิอิ

ผมขอเป็นแฟนคลับท่าน fakemonk ด้วยนะงับ

เอามาลงเรื่อยๆนะงับ

สาธุ พระอาจารย์สงบ งับ

เอาความจริงมาลง มาดับไฟ ไม่ได้จุดไฟ ไอ้จุดไฟ มันต้อง ออกมาตอบ ทำไม

แล้วไปล้มล้างหลวงปู่ดูลย์ มันอะไร

ตัวเองคลุมหลวงปู่แล้วหรือ

แล้วท่านชาติสยามที่เคารพของผมจะได้ตาสว่างสักที

ไม่ใช่ ว่างๆ อะไรก็ ว่างๆ ไม่ใช่ แบบนี้นิพพานทั้งเมืองไทยแล้ว

อะไรก็ว่างๆ ว่างๆ ท่านชาติสยาม อริยะ มั่วๆ ดูจิต มีเยอะมาก

แล้วผู้ดูแลบอรด์ ควรทำแบบบ้านอารีย์ อะไรมัน มั่วก็เอาออกไปซะ

ให้ให้มันมามั่ว อยู่แบบนี้

พอปัญหามี ก็ล็อก บอร์ด บอกสร้างความแตกแยก ไม่ได้สร้างความแตกแยก นี่เรียกมาดับไฟ

ไม่ใช่มีเชื้อมะเร็ง ก็หนีตลอด แล้วมะเร็งมันจะกินตายทั้งตัวนะงับ

ด้วยความหวังดี

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



วิบากกรรมของผู้อื่น จงอย่านำมาเป็นเหตุทำเกิดวิบากกรรมของตัวเอง
ครูบาฯทุกท่านล้วนไม่แตกต่างจากเราหรอก ในสมัยที่ปฏิบัติแรกๆน่ะ

ซีดีทำพิษนะเนี่ยยยย .....
ฟังแต่เรื่องเก่าๆ เลยนำเรื่องเก่าๆมาต่อว่ากัน

พอดีเคยได้ดูทางยูทูฟ มีคนๆหนึ่งนำมาถาม
พอดูจบ ถามเขาว่า ปีไหน เขาตอบมาว่า ของเก่า
เลยบอกกับเขาไปว่า ให้ดูปัจจุบัน เพราะครูบาฯทุกๆท่านล้วนไม่แตกต่างจากคนทั่วๆไปหรอก
มีถูกมั่ง ผิดมั่ง ทั้งที่บันทึกเอาไว้ และซีดีที่นำมาเผยแผ่

เวลาจะฟังคำที่ครูบาฯสอนน่ะ ให้ฟังปัจจุบัน อดีตอย่าไปยึดติด
ไปค้นประวัติของครูบาฯเก่าๆดูได้เลย อันนี้กล้าท้านะ
ดูหลวงพ่อพุทธทาส คำสอนแรกๆเป็นไง มีคนนำมาโจมตีท่านมากมาย
เพราะน้องชายของท่าน รู้แค่ไหน ก็นำส่วนที่รู้มาแสดงแค่นั้น
นี่ครูบาฯของเราท่านเมตตาเล่าให้ฟังนะ เพราะท่านเองก็ปฏิบัติกับหลายครูบาฯ
ท่านออกธุดงค์ไปทั่ว เราเลยได้รับความรู้จากท่านหลากหลาย

ไปหาอ่านของท่านพ่อลีและครูบาฯอีกหลายๆท่านเถอะ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
เพราะท่านเหล่านี้ จะชอบบันทึกเรื่องราวในการปฏิบัติเอาไว้

แม้แต่หลวงพ่อพุทธ ลองไปหาอ่านดูนะ ของเก่า กับของใหม่น่ะ
ท่านสอนแตกต่างกันลิบลับ ของใหม่นี่มีแต่เรื่อง สติ ไปหาอ่านดูนะ

มันเป็นวิบากกรรมของครูบาฯท่านนี้ ที่ท่านเคยกระทำไว้ในอดีต
แล้วเราจะไปสร้างเหตุอันเป็นวิบากกรรมที่เป็นอกุศลจิตไปกับท่านทำไม

สอนถูกหรือผิดน่ะไม่มีหรอก มีแต่ถูกใจกับไม่ถูกใจต่างหาก
ทุกอย่างมันมีเหตุมาก่อน ไม่ใช่จู่ๆจะเกิดขึ้นมาเองได้
ใครเชื่อใคร ใครไม่เชื่อใคร นี่เขาล้วนเคยสร้างเหตุร่วมกันมา
ต่อให้ห้ามให้ตาย พูดให้ตาย ไม่มีใครเขาสนใจหรอก
แต่ผู้ที่รับผลคือคนที่พูดน่ะ กุศลและอกุศลตามความเป็นจริงที่จิตบันทึกไว้หมด
ไม่ใช่กุศลหรืออกุศล ว่าถูกหรือผิด ตามความคิดของแต่ละคนนะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 47 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร