ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
บุญกับความโลภ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=30307 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 23 มี.ค. 2010, 19:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | บุญกับความโลภ |
ในสมัยครั้งพุทธกาลพุทธบริษัทได้ทราบจากการพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า ท่าน ใด เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน การกระทำการ สักการะบูชา ถวายอาหารจตุปัจจัย กับพระอริยเจ้าเหล่านี้มีผลมีอานิสงส์มาก อนึ่ง การคบหา การสมาคม การประพฤติปฏิบัติตามท่านเหล่านี้ นำมาซึ่งความสุข ความ เจริญ ไม่มีความเสื่อม ย่อมถึงที่สุดทุกข์ตามท่านได้ แต่ในยุคนี้ ใครจะรู้ว่าใครเป็น พระอริยบุคคลขั้นไหน ผู้นั้นต้องบรรลุความเป็นพระอริยขั้นนั้นก่อนจึงรู้ได้ ถ้ายังไม่ บรรลุย่อมรู้ไม่ได้ครับ แต่คนอื่นจะเป็นอริยะหรือไม่ใช่อริยะก็ตาม การสำรวมระวังกาย ระวังวาจา ระวังความคิดของเราเป็นการดี ไม่ควรเบียดเบียน ไม่ควรถือเอาทรัพย์ ไม่ ควรก้าวล่วงบุตรภริยาบุคคลอื่น ไม่ควรโกหก ไม่ควรด่าว่า ไม่ควรพูดส่อเสียด ไม่ควร พูดคำหยาบคาย ไม่ควรพูดพ้อเจ้อ ไม่ควรมีอภิชฌา ไม่ควรมีพยาบาท ไม่ควรมีความ เห็นผิดจากความเป็นจริง.. ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร อย่างไร ไม่สำคัญที่ตัวเรา เริ่มจากความเข้าใจพระธรรมของเรา เป็นสำคัญ พิจารณาเหตุผลในสิ่งทีได้ฟัง เทียบเคียงกับพระธรรมวินัย ไม่เชื่อก่อนแต่ พิจารณาไตร่ตรองตามเหตุผลที่พระธรรมของพระพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งการจะรู้ว่า บุคคลใดเป็นอย่างไร เราต้องมีความเข้าใจถูกเป็นสำคัญก่อนครับ จึงสามารถแยกแยะ ว่าหนทางที่ถูก ถูกคืออย่างไร หนทางที่ผิด ผิดคืออย่างไร ปัญญาจึงไม่ใช่การเปรียบ เทียบ เ ทียบเคียงหรือตรงกับจริตแล้วจะถูกต้องเป็นปัญญา แต่ต้องเป็นเรื่องของ เหตุผล เรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ สำคัญที่ตัวเราครับ หากมีความเข้าใจ ถูกแล้ว ไม่ต้องห่วงว่าจะทำอย่างไรกับใคร กาย วาจาและใจย่อมน้อมไปในทางที่ถูก ต้องและสมควรมากขึ้นตามกำลังของปัญญาครับ สะสมปัญญาของตนเองสำคัญที่สุด คำว่า เถยยสังวาสก์ หรือการลักเพศ โดยทั่วไปท่านอธิบายการปลอมบวช หรือ การสิ้นสุดของความเป็นพระภิกษุและสามเณรแล้วยังถือเพศ ยังนับพรรษา ถือ เอาลาภของสงฆ์ หลอกลวงภิกษุสงฆ์และบุคคลทั่วไปว่าตนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ส่วนสามเณรในยุคนี้ที่ขาดการแนะนำฝึกฝนจากพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ มีความประพฤติล่วงละเมิดสิกขาบท แล้วไม่ทำให้ถูกต้องตามพระวินัย ก็มีค่า เท่ากับเป็นผู้ทุศีล เป็นอลัชชี ไม่มีคุณธรรม มีจิตเศร้าหมอง ถ้ามรณะในระหว่าง นั้นต้องมีอบายเป็นที่ไปแน่นอน ถ้าต้องการความถูกต้อง ตรงต่อพระธรรมวินัย ต้องเข้าไปหาพระอาจารย์ที่ท่านชำนาญในพระวินัย ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย อย่างถูกต้อง ให้ท่านวิสัชชนาและแก้ไขให้ครับ ตราบใดที่กำลังมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ....แล้วก็มีการฟังเรื่องนี้ แล้วก็รู้ได้ว่า กำลังฟัง และ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และ "เริ่มเข้าใจ".....แต่ ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเห็น.! เพราะฉะนั้น ถ้าใช้ชื่อ...ก็มีชื่อ ตั้งแต่ปัญญา (ความเข้าใจ) ที่เกิดจากการฟัง ซึ่งเรียกว่า "สุตมยญาณ" หมายความว่า สำเร็จเพราะได้ฟัง...ปัญญา (ขั้น) นี้ จึงมีได้ คือ มีความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ว่า เป็นธรรมะ และ เป็นเพียงปัญญาขั้นรู้เรื่องของสิ่งที่มีจริง ๆ ในขณะนี้ ขณะจิตที่เป็นปัญญาขั้นรู้เรื่องของสิ่งที่มีจริง ๆ ไม่ใช่ อกุศล ไม่ใช่ความไม่ดี ไม่ใช่ความไม่เข้าใจ ไม่ใช่ความอยากได้ ไม่ใช่ความโกรธ ไม่ใช่ความสำคัญตน ฯลฯ เพราะ ขณะจิตนั้น...กำลังมีความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงใช้คำว่า "กุศล" หรือ "กุศะละ" ซึ่งเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง. สภาพธรรมที่เป็นกุศล เกิดบ่อยไหมคะ.? ถ้าไม่มี "ปัจจัย" คือ "เจตสิก" ถึง ๑๙ ประเภท ซึ่งต้องมี "สติเจตสิก"เกิดร่วมด้วย. เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมทั้งหมดนี้นะคะ....ไม่ใช่ฟังเพื่อหวังสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ ฟังเพื่อเข้าใจในสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ จนกระทั่งค่อย ๆ รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ...ตามระดับขั้น คือ ตั้งแต่..."อุปนิสสยโคจร" - "อารักขโคจร"- "อุปนิพันธโคจร" สังเกตได้นะคะ ว่า มีสิ่งที่ปรากฏทางตา มีเสียงที่ปรากฏทางหู มีสภาพแข็งปรากฏทางกาย ฯ ...........รู้ ตรง "ลักษณะที่กำลังปรากฏ" นั้น ๆ ทีละอย่าง ๆ ไม่ต้องใช้คำว่าสติ....แต่เป็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง ๆ ซึ่งปรากฏพร้อมกันไม่ได้เลย. เช่น ขณะที่สภาพแข็งกำลังปรากฏ สภาพแข็ง ไม่ใช่สีสันวัณณะที่ปรากฏให้เห็นทางตา ฉะนั้น สภาพแข็ง เป็น "ธาตุ" หรือ "ธรรมะ" ชนิดหนึ่ง ซึ่ง "แสดงความจริง" ว่า ธาตุชนิดนี้ มีจริงแน่นอน. มีเมื่อไร.? เมื่อมี "ธาตุ" อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถรู้-ตรง-เฉพาะ-ลักษณะของสภาพแข็ง เพราะเหตุนี้สภาพแข็งจึงปรากฏ คือ (จิต) สามารถรู้ลักษณะของสภาพแข็งได้. ความเข้าใจอย่างนี้ จะต้องคิดถึง "สติ" -"สติปัฏฐาน" ไหมคะ.? ไม่ต้องเลย.! แต่บุคคลนั้นเอง ควรรู้ ว่า มีความเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ และความเข้าใจในขณะนั้น เป็น อกุศล ไม่ได้เลย......ต้องเป็น กุศล. เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมที่ละเอียดขึ้น ๆ ก็เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น. . ความหมายของ "โคจร ๓" จากความเห็นที่ ๘ โดย คุณเมตตา (กระทู้ที่ ๑๕๑๔๗ - โคจร ๓ ) โคจร ๓ คือ ๑. อุปนิสสยโคจร ๒. อารักขโคจร ๓. อุปนิพันธโคจร วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์อธิบายให้เห็นถึงความเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อก่อนไม่ได้ฟังพระธรรม มีความไม่รู้ในความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ได้มีโอกาสฟังพระธรรม สิ่งสำคัญก็คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง การฟังพระธรรมบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย เป็นเหตุให้มีความเข้าใจในพระธรรมเป็นอารมณ์ เป็น อุปนิสสยโคจร (อุป = มีกำลัง, นิสสย = เป็นที่อาศัย, โคจร = อารมณ์) เมื่อมีความเข้าใจในธรรมที่ได้ฟัง ค่อย ๆ มีความเข้าใจธรรมเพื่มขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้กุศลธรรมเกิดขึ้น ขณะนั้น อกุศลจิต ย่อมไม่เกิด จึงเป็น อารักขโคจร (อารักข =รักษา, โคจร = อารมณ์) จนกว่ามีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น สติ และปัญญามีกำลัง ค่อย ๆ ใกล้ที่จะรู้ความจริง ต้องใช้เวลาในการอบรมยาวนานมาก เป็นจิรกาลภาวนา ไม่ใช่รู้ความจริงได้โดยรวดเร็ว เพราะเราสะสมความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา พระธรรมนั้นลึกซึ้ง ละเอียด รู้ตามได้ยาก เมื่อสติปัญญามีกำลังรู้ตรงลักษณะสภาพธรรม เป็น อุปนิพันธโคจร ซึ่งหมายถึงขณะนั้น สติปัฏฐานเกิด โดยมาก....มักจะเป็นการคิดถึงเรื่องของสภาพธรรม...หรือเปล่า.? ขณะที่ลักษณะของสภาพธรรมเกิดขึ้น เช่น "โทสะ" เกิดขึ้น...ก็เรียกชื่อ.? หรืออาจจะพรรณนาท้าวความว่า มีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ใช่ตัวตน ก็แล้วแต่ว่า ขณะนั้นจะคิดอะไร....ซึ่งยังไม่ใช่การรู้ลักษณะที่เป็นธรรมะ แต่....ขณะที่กำลังคิด ก็เป็นธรรมะ.! และ โทสะที่เกิดขึ้น-ปรากฏ-แล้วก็ดับไปนั้น ก็เป็นธรรมะ แต่เป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน.! เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เพียงนึกคิดถึงเรื่องราว การรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นกุศล ไม่ใช่ความขุ่นใจ เพราะว่า ระลึก-เป็นไปในความจริง ที่ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา....แต่เป็นธรรมะ คือ ขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้น เป็น "อารักขโคจร" ซึ่งป้องกันไม่ให้ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต เพราะว่า มีการฟัง และ มีการรู้ถึงโทษของอกุศลจิต ในขณะนั้น คือ รู้ว่าขณะที่เกิดความโกรธ....ใครเป็นผู้ที่ได้รับโทษ (จากโทสะ) ผู้ที่ถูกโกรธ....สบายมาก.? แต่ผู้ที่โกรธ....ได้รับโทษตั้งแต่เริ่มขุ่นใจ ถ้าโกรธมาก ๆ ก็อาจจะประทุษร้ายตัวเอง แล้วอาจจะถึงกับกระทำอกุศลกรรมทางกาย หรือ ทางวาจา ก็ได้ แล้วเป็นโทษกับใคร.?.....เมื่ออกุศลกรรมนั้น ๆ สำเร็จแล้ว. จิตขณะหนึ่ง เกิดแล้วดับ...เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เจตนาที่ประทุษร้าย เป็นอกุศล....ซึ่งเกิดขึ้นและสะสมอยู่ในจิต และเป็นปัจจัยให้เกิดผล คือ จิตเห็น หรือ จิตได้ยิน เกิดขึ้น รู้สิ่งที่ไม่ดี ความมุ่งหวังจะให้คนที่เราคิดจะประทุษร้าย-ต้องเป็นไปอย่างนั้น ก็เกิดขึ้นแล้ว ตามเหตุที่ได้กระทำไว้....ซึ่งสะสมอยู่ในจิต และ เป็นปัจจัยให้ผลนั้นเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ ก็ไม่ใช่ของใคร....แต่เป็นธรรมะ. การฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ๆ ที่กำลังปรากฏ ส่วนใครจะรู้แจ้งสภาพธรรม-ดับกิเลส-บรรลุเป็นพระโสดาบัน....จะเร็วไหม เข้าใจเห็น...ที่กำลังเห็น บ้างไหม.? เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น บ้างไหม.? เข้าใจว่าเป็น "ธาตุ" ที่มีจริง ซึ่งสามารถกระทบเพียงจักขุปสาทรูป และเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น....ธาตุนี้ (รูปารมณ์) จึงปรากฏว่าเป็นธาตุ-ซึ่งมีจริง ซึ่งคนตาบอด (ไม่มีจักขุปสาทรูป) ก็ไม่มีโอกาสเห็นธาตุนี้ได้ ภาษาบาลีใช้คำว่า "รูปารมณ์" ,"รูปารัมมณะ" เมื่อมีจักขุวิญญาณ (จิตเห็น) ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น (รูปารมณ์) ความเข้าใจ ก็คือ ขณะนี้เอง...ที่กำลังปรากฏว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย....เป็นเพียงธาตุอย่างหนึ่งซึ่งสามารถปรากฏให้เห็นได้ ปรากฏแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว-สั้น-เล็กน้อยมาก เมื่อเข้าใจอย่างนี้....ต้องใช้คำว่า "สติปัฏฐาน" หรือเปล่า.? ขณะนี้....ที่กำลังเห็น กำลังคิด กำลังได้ยิน ฯ เป็นธาตุรู้ หรือ สภาพรู้ "เสียง" ปรากฏ เมื่อมี "ธาตุ-ที่ได้ยินเสียง" เพราะฉะนั้น ถ้ากำลังเริ่มเข้าใจ "ลักษณะของธาตุ" ซึ่งไม่มีรูปร่างเลย (เช่น เสียง) คือ เสียงเกิดแล้ว...ปรากฏให้รู้ว่า มีธาตุ (ได้ยิน) ที่กำลังรู้-สิ่งที่ปรากฏ (เสียง) ถ้าเข้าใจขึ้น ๆ ๆ ขณะนี้ เช่น ขณะที่กำลังได้ยิน (พิสูจน์ได้จริง) ว่า มี "ธาตุได้ยิน" แน่นอน......? ขณะที่เริ่มเข้าใจความเป็นธาตุรู้-ที่กำลังได้ยิน จะต้องใช้คำว่า "จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน" ไหม ไม่จำเป็นต้องใช้คำเลยค่ะ เพราะว่า คำที่ใช้ในยุคนั้น เป็นภาษามคธี เราอาจจะเคยได้ยินได้ฟัง อาจจะเคยพูด แต่ขณะนี้ก็ไม่ได้ใช้ภาษามคธี เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจ "ลักษณะของสภาพธรรม" ที่ได้ยินได้ฟัง....จากภาษาไหน ก็สามารถที่จะเข้าใจ "ลักษณะของสภาพธรรม" ในภาษานั้น ๆ ได้. ขณะที่กำลังเริ่มรู้ "ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ" เช่น กำลังเห็น...ยังไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเลย ก็กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่มีจริง หรือ ขณะที่กำลังฟัง....ก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเผชิญหน้า ซึ่งมีจริง ๆ จนกว่าจะฟังแล้วฟังอีก จนกระทั่งค่อย ๆ เข้าใจความจริง แม้ขณะนี้ไม่ได้ยิน ก็ระลึกรู้สภาพธรรมอื่น "ที่กำลังปรากฏ" ให้รู้ได้ และเริ่มเข้าใจ "ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ" นั้น ๆ โดยไม่ต้องใช้ชื่อ หรือ ใช้คำ. ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจ"ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ" ขณะนั้น ก็คือ "สติปัฏฐาน" ขณะนั้น...ไม่ต้องเรียกว่า "จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน" หรือ "ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน" แต่ขณะนั้น....สามารถที่จะ"เข้าถึงความจริงของสภาพธรรมนั้น ๆ" และเมื่อผ่านพยัญชนะใด ก็เพื่อส่องให้เห็นความจริง(ของสภาพธรรม) ไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยใด. ไม่ใช่รู้ชื่อ....แล้วสงสัย.! ขณะที่กำลังสงสัย เช่น สงสัยว่า สติเป็นอย่างไร....ใช่สติหรือเปล่า ขณะนั้น กำลังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ. เพราะฉะนั้น....ต้องฟังอีกมากนะ ถ้าคิดว่าฟังพอแล้ว...มีตาก็เห็นไป มีหูก็ได้ยินไป ฯ แม้แต่ฟังอยู่...ก็ยังไม่รู้ (ว่าเป็นธรรมะ) แล้วถ้าไม่ฟัง....เมื่อไรจะรู้ได้.! นี่คือ "พื้นฐาน" เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมที่ลึกซึ้ง เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทานชุดใหญ่กับแม่ เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน อนุโมทนากับผูใส่บาตรตามถนนหนทาง อาราธนาศีล รักษาศีล ศึกษษการรักษาโรค รักษาอาการป่วยของแม่ ช่วมพ่อแม่ทำงานบ้าน กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธรูป และตั้งใจว่าจะสร้างบารมี ให้ครบทั้ง 10 อย่าง ขอเชิญสร้างพระ 9 เมตร 086-3381477 ขอใหสรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |