วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 05:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




picture-13748.gif
picture-13748.gif [ 17.98 KiB | เปิดดู 3611 ครั้ง ]
หายไปไหนกันหมดล่ะครับเนี่ย ย่องไปดูหน่อยดิ :b1: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




dd139.jpg
dd139.jpg [ 132.57 KiB | เปิดดู 3600 ครั้ง ]
cool

ยานี้ดี.....กินแล้ว...... ทำให้แข็งแรง...... ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

กับอย่างนี้

ยานี้ดี ......กินแล้ว......ทำให้แข็ง........แรงไม่มี........โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

ลองอ่าน 2 ตัวอย่าง 2 บันทัด ของข้อความที่ยกมานี้ดูกันซิครับ

ข้อความอันเดียวกัน แต่ทิ้งช่วงวรรคตอนต่างกัน ความหมายเลยผิดเพี้นกันไปคนละทิศละทางเลยนะครับ

การจับประเด็นธรรม ตีความพระธรรมจากพระไตรปิฎก หรือ ตำรา ก็แทบจะไม่แตกต่างกัน ถ้าตีความผิดวรรคตอน ก็จะพาหลงข้ามภพข้ามชาติไปอีกนานแสนนาน เช่นอีก 500 ชาติ ข้างหน้าที่คุณคนดี กำหนดไว้ว่าต้องเป็นได้ตามสั่ง

ทำไมต้องรอไปอีกตั้ง 500 ชาติ หรือนานกว่านั้น ชาติปัจจุบันนี้พบคำสอนอันวิเศษ ของพระสมณะโคดมพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งก็จะเหมือนกับคำสอนของพระพุทะเจ้าทุกพระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ จำนวนเท่าเม็ดหินเม็ดทรายในมหาสมุทร หรือแม้พระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติในอนาคตข้างหน้า ก็จะทรงสอนเช่นเดียวกันนี้ คือ

อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา

แล้วจะมาเสียเวลาอยู่ใย เร่งทำพระนิพพานให้แจ้งในปัจจุบันชาตินี้ กันเถิด จะได้ไม่เสียทีที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นคน เอวัง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาธรรม เขียน:
cool
อ้างคำพูด:
อ้อ! อีก 500 ปีผมจะมาเกิดใหม่บนโลกเพื่อพยุงพุทธศาสนาไม่ให้สิ้นสูญไป สามารถยืนได้นานครบ 5000 ปีตามพุทธทำนาย เวลานั้น ...คุณค่อยมาศึกษาธรรมของจริงกับผมใหม่ก็ได้นะครับ


แน่ใจหรือครับว่าอีก 500 ปีคุณคน(ดี)ทีโลกลืม จะได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก

[b]ผู้ประกอบกรรมด้วย โลภะอยู่เป็นนิจ ตายไป จะได้เสวยวิบากเกิดเป็น เปรต

ผู้ประกอบกรรมด้วย โทสะ อยู่เป็นนิจ ตายไป จะได้เสวยวิบากเกิดเป็น สัตว์นรก


ผู้ประกอบกรรมด้วย โมหะ อยู่เป็นนิจ ตายไป จะได้เสวยวิบากเกิดเป็น อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน


:b1: :b1: :b16: :b16: :b16: :b12: :b12: :b12:



คุณ"อนัตตาธรรม" ครับ

ผมทำกรรมดีกรรมชั่วอะไรไว้ ผมรู้อยู่ แต่คุณสิ ทำกรรมชั่ว แล้วหลอกตัวเองว่าทำดีหรือเปล่า?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2010, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาธรรม เขียน:
cool

การจับประเด็นธรรม ตีความพระธรรมจากพระไตรปิฎก หรือ ตำรา ก็แทบจะไม่แตกต่างกัน ถ้าตีความผิดวรรคตอน ก็จะพาหลงข้ามภพข้ามชาติไปอีกนานแสนนาน เช่นอีก 500 ชาติ ข้างหน้าที่คุณคนดี กำหนดไว้ว่าต้องเป็นได้ตามสั่ง

ทำไมต้องรอไปอีกตั้ง 500 ชาติ หรือนานกว่านั้น ชาติปัจจุบันนี้พบคำสอนอันวิเศษ ของพระสมณะโคดมพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งก็จะเหมือนกับคำสอนของพระพุทะเจ้าทุกพระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ จำนวนเท่าเม็ดหินเม็ดทรายในมหาสมุทร หรือแม้พระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติในอนาคตข้างหน้า ก็จะทรงสอนเช่นเดียวกันนี้ คือ

อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา

แล้วจะมาเสียเวลาอยู่ใย เร่งทำพระนิพพานให้แจ้งในปัจจุบันชาตินี้ กันเถิด จะได้ไม่เสียทีที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นคน เอวัง



1. ผมไม่เคยตีความพระธรรมจากพระไตรปิฎกผิดพลาด แต่สมมุติสงฆ์และปถุชนต่างหากที่ตีความผิดพลาด
2. ถ้าคุณสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งในปัจจุบันชาติได้ ผมก็ยินดีด้วย แต่ผมดูแล้ว คุณยังห่างชั้นที่จะสำเร็จแม้โสดาบัน เอาแค่ไม่ลงนรกได้ในชาตินี้ สำหรับคุณ ผมว่าก็น่าจะพอแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาธรรม เขียน:
การจับประเด็นธรรม ตีความพระธรรมจากพระไตรปิฎก หรือ ตำรา ก็แทบจะไม่แตกต่างกัน ถ้าตีความผิดวรรคตอน ก็จะพาหลงข้ามภพข้ามชาติไปอีกนานแสนนาน เช่นอีก 500 ชาติ ข้างหน้าที่คุณคนดี กำหนดไว้ว่าต้องเป็นได้ตามสั่ง

ทำไมต้องรอไปอีกตั้ง 500 ชาติ หรือนานกว่านั้น ชาติปัจจุบันนี้พบคำสอนอันวิเศษ ของพระสมณะโคดมพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งก็จะเหมือนกับคำสอนของพระพุทะเจ้าทุกพระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ จำนวนเท่าเม็ดหินเม็ดทรายในมหาสมุทร หรือแม้พระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติในอนาคตข้างหน้า ก็จะทรงสอนเช่นเดียวกันนี้ คือ

อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา

แล้วจะมาเสียเวลาอยู่ใย เร่งทำพระนิพพานให้แจ้งในปัจจุบันชาตินี้ กันเถิด จะได้ไม่เสียทีที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นคน เอวัง


ท่านอนัตตาธรรมครับ....ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าท่านคนดีฯ(ที่ใครๆก็อยากลืม แต่ก็ลืมยาก :b32: )เขาบอกเสมอๆว่า....พระพุทธเจ้าเรียกเขาว่า บารมีโพธิสัตว์ แถมเขายังเป็นสหายกับเจ้าแม่กวนอิมด้วย ดังนี้แล้วเขาจึงไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า เรื่องแจ้งนิพพานนั้นเขาต้องรอให้บารมีเต็มเปี่ยมเสียก่อน :b32: :b32:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านคนดีฯเคยถามกระผมไว้ว่า อนัตตา ของกระผมเป็นอย่างไร กระผมตอบท่านไปแล้ว

แล้วอนัตตาของท่านล่ะครับ เป็นอย่างไร :b10: :b10:

เอาแบบสั้นๆ เอาอรรถก็พอครับ พยัณชนะไม่เอานะครับ เอาแบบไม่ต้องไปเปรียบเทียบ ไม่ต้องยกพระสูตรมาอ้างอิงนะครับ

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
natdanai /เขียน
ท่านอนัตตาธรรมครับ....ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าท่านคนดีฯ(ที่ใครๆก็อยากลืม แต่ก็ลืมยาก )เขาบอกเสมอๆว่า....พระพุทธเจ้าเรียกเขาว่า บารมีโพธิสัตว์ แถมเขายังเป็นสหายกับเจ้าแม่กวนอิมด้วย ดังนี้แล้วเขาจึงไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า เรื่องแจ้งนิพพานนั้นเขาต้องรอให้บารมีเต็มเปี่ยมเสียก่อน

:b6:
...งั้นท่านคนดีฯก็เป็นสหายข้าพเจ้าอย่างแน่ๆเลยท่านnatdanai...
...เพราะมีคนบอกข้าพเจ้าว่าลูกเขาชี้มาที่ข้าพเจ้าว่าเจ้าแม่กวนอิมมา...
...สำหรับข้าพเจ้าอัตตาคือสิ่งที่มีในสิ่งที่ไม่มีอยู่และอนัตตาคือสิ่งที่ไม่มีในสิ่งที่มีอยู่...
:b32: :b9: :b13:
:b9: :b9: :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




dd145.jpg
dd145.jpg [ 93.46 KiB | เปิดดู 3538 ครั้ง ]
tongue

อนัตตา มาจาก อะ= ไม่ + อัตตา = ตัวตน แปลตามศัพท์ = ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน

อนัตตา ความหมายตามสภาวะธรรม = ไมใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ว่างเปล่า กลวง ไม่มีสาระแก่นสาร ถือเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้

การเข้าถึง หมดอุปาทานความเห็นผิดว่าเป็นอัตตา ตัวตน ก็เข้าถึง อนัตตา ผ่านต่อจากอนัตตา ก็เข้าถึงนิพพานธาตุ เป็น อสังขตัง สิ้นความปรุงแต่งโดยเด็ดขาด


ฝากถึง คน(ดี) ที่โลกลืม ว่า ไปอ่านพุทธพยากรณ์ดู มีตอนหนึ่งที่ทรงตรัสกับพระอานนท์ ว่า ธรรมวินัยของตถาคตในกาลเบื้องหน้า ภิกษุ จะมีสัญญลักษณ์ เพียงผ้าเหลืองพันคอ หรือห้อยหู ก็ยังถือว่าพุทธศาสนายังคงมีอยู่(ใครเก่งปิฎก กรุณาค้นมาให้อ่านกันหน่อยครับ)

อีก 500 ปี พุทธศาสนาคงจะเป็นอย่างนั้นแล้ว คุณจะได้เกิดพบพุทธศาสนาหรือเปล่า คุณคน(ดี) ที่โลกลืม


แสดงเหตุผลและหลักฐานในการจะเกิดมาในอีก 500 ปีข้างหน้าให้ดูหน่อย แสดงภูมิโพธิสัตว์ให้ดูอีกสักหน่อยนะครับ
:b1: :b1: :b1: :b12: :b12: :b12: :b16: :b16: :b16: :b20: :b27:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


เอามาให้ได้อ่าน ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา ได้คิดพิจารณา จะได้หายเขลา และ คงจะได้ฉลาด เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่บิดเบือนหลักธรรมคำสอน แบบ อวดรู้ อวดฉลาด แต่ความจริง แล้ว.......
อัตตา คือ อะไร ๒
ในเรื่องของอัตตา ยังคงต้องอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ท่านทั้งหลายได้ศึกษา เรียนรู้และทำความเข้าใจ ใครจะมีความคิดความเห็น ค้าน ก็ไม่เป็นไร แต่ควรจะเป็นไปตามหลักความจริง เป็นไปตามหลักธรรมชาติ
ในตอนที่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็บอกแล้วสอนแล้วอธิบายแล้วว่า พระพุทธพจน์ที่ปรากฏมีในพระไตรปิฎก
อันเกี่ยวกับเรื่องของ “อนัตตา”นั้น เป็นเพียงการสอนเฉพาะเรื่อง เฉพาะกาล และให้สอนให้สำหรับพระภิกษุผู้บวชใหม่ หรือพระภิกษุ ผู้ยังติดหลงใน ลาภ ,ยศ,สรรเสริญ ยังไม่บรรลุธรรมใดใด เท่านั้น
ดังข้าพเจ้าเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าเอง ก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับคำว่า "อัตตา" เพราะข้าพเจ้าถือว่า
"สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต ล้วนมีตัวตน" การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เป็นเรื่องธรรมดา อาจนำมาใช้พิจารณาเป็นครั้งคราว หรือนำมาพิจารณา ตามแต่เหตุการณ์นั้นๆ ไม่นำมาพิจารณาอยู่เนืองๆ”
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสรรพสิ่ง ก็คือ ไตรลักษณ์ อันได้แก่ ความไม่เที่ยง ,เป็นทุกข์,ความไม่ใช่ตัวตน หรืออนัตตานั่นเอง หรือหากจะอธิบายความเป็นอนัตตา ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฏกฯ ได้ให้ความหมายไว้ว่า

“อนัตตาคือ, ลักษณะที่ให้เห็นว่าเป็นของมิใช่ตัวตน ได้แก่

๑) เป็นของสูญ คือ เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆ ทั้งหลาย ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่างๆ
๒) เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง
๓) ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใครๆ ๔) เป็นสภาวธรรมอันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัว แต่เป็นไปโดยสัมพันธ์ อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ
****๕) โดยสภาวะของมันเอง ก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา *****
จากความหมายตามพจนานุกรมฯดังกล่าว ก็ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาให้ดีว่า
- เมื่อยังไม่สูญ คือยังไม่ถึงเวลาที่จะสูญ นั่นคือ อัตตา เมื่อสูญสลายไปแล้วนั่นคือ อนัตตา
-เมื่อยังมีเจ้าของนั้นคือ อัตตา เมื่อพ้นจากเจ้าของไปแล้ว นั่นคือ อนัตตา
-เมื่อยังอยู่ในอำนาจ เมื่อยังเป็นไปตามความปรารถนาจะช้าหรือเร็วก็ตามแต่ และต้องขึ้นกับการบังคับบัญชา นั่นคือ อัตตา ต่อเมื่อไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชา นั่นคือ อนัตตา
- สภาวธรรมทั้งหลายล้วนเป็นความคิดความรู้สึกหรือสภาพสภาวะจิตใจที่อยู่ในตัวบุคคล เป็นไปตามเหตุและปัจจัย อันหมายถึง สิ่งหรือเรื่องที่ทำให้เกิดผล (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน) และ สิ่งหรือเรื่องที่เป็นหนทางให้เกิดผล นั้นคือ อัตตา แต่หาก ความคิด ความรู้สึก หรือสภาพสภาวะจิตใจ ทั้งหลายเหล่านั้น สิ้นไปหรือสูญไป จากตัวบุคคลตามเหตุและปัจจัย นั้นคือ “อนัตตา”
(ให้กลับขึ้นไปอ่านในตอนต้นของบทความนี้)

** ที่สำคัญยิ่ง **
พระพุทธองค์สอน ให้มองดูตัวตน ให้รู้จักตัวตน และให้เข้าใจในตัวตนของตนเองและผู้อื่น พระพุทธองค์สอนให้รู้จักว่า ตัวตนทั้งหลายล้วน เป็นทุกข์ เป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุที่ทำให้ถึงความดับทุกข์ และเป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ หรือเรียกว่า “อริยสัจ ๔” อีกทั้งยังสอนในเรื่องของ “ฌาน” “โพชฌงค์ ๗” “สติปัฏฐาน๔” “อริมรรคมีองค์๘” ฯลฯ ซึ่งก็ล้วนเป็นการสอนให้ประพฤติปฏิบัติตัวตน สอนให้รู้จักตัวตน สอนให้รู้จักควบคุมตัวตน และสอนให้รู้จักสอนใจในตัวตน ทั้งสิ้น

ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวไว้ในตอนที่หนึ่งของเรื่อง “อัตตา คืออะไร” ว่า
“ความมีตัวตน หรือ อัตตาจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน และในทางศาสนาใดใดก็ตาม อัตตา หรือตัวตน ก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จักเป็นปัจจัยในอันที่จะทำให้บุคคลนั้นๆ สามารถบรรลุมรรคผล บรรลุนิพาน ได้ฉะนี้”

จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
เขียนเมื่อ ๒ เมษายน ๒๕๕๓


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


คงจะมีหลายๆท่าน ที่ยังมีข้อสงสัยว่า ใน "สังโยชน์" (กิเลสที่มัดใจสัตว์ไว้ทำให้เกิดทุกข์) ธรรม ทำไมจึงมีคำว่า
"สักกายทิฏฐิ" อันหมายถึง ความเห็นว่าเป็นต้วของตน (พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับพระธรรมปิฎก)

สังโยชน์ ธรรม ในข้อ สักกายทิฏฐิ นี้ ข้อให้ท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดี เนื่องจากตามหลักความเป็นจริง หรือตามหลักธรรมชาติแล้ว
"หากบุคคล มีความถือตัว เช่น ถือว่า เป็น ผู้มีอันจะกิน ,ถือว่าเป็นผู้มีความรู้,ถือว่าเป็นผุ้อาวุโสกว่า,ถือว่ามาก่อน ,ถือว่ามาหลัง,ฯลฯ ย่อมจะทำให้เกิดความทุกข์ คือ เกิดความคิด เกิดอารมณ์ เกิดความรู้สึก เมื่อได้สัมผัสกับสิ่งต่างๆที่ไม่ถูกต้องตามใจ "

ในพระอภิธรรมปิฏก สังโยชน์ ๑๐ ยังมีปรากฏ อีกหมวดหนึ่ง " คือ ๑.กามราคะ ๒.ปฏิฆะ ๓.มานะ ๔.ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๕.วิจิกิจฉา ๖.สีลัพพตปรามาส ๗.ภวราคะ (ความติดใจในภพ) ๘.อิสสา (ความริษยา) ๙.มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ๑๐.อวิชชา"

ไม่มีข้อ "สักกายทิฏฐิ" ปรากฏอยู่ใน หมวดนี้เลย

ส่วนการถือว่าเป็นตัวของตนนั้น ในแง่หลักธรรมชาติ และการสังคมเป็นอยู่ร่วมกันในสังคม ตั้งแต่ระดับปุถุชนคนทั่วไป จนไปถึงระดับ อริยะบุคคล ย่อมต้องถือว่า เป็นตัวของตน ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังตัองสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน แม้จะปลีกวิเวกก็ตาม
แม้จะถือว่าเป็นตัวของตน แต่ไม่ถือตัว ว่าเป็นใคร เป็นอะไร ความทุกข์ก็จะเสื่อมคลายไป ไม่เกิดความคิด อารมณ์ ความรู้สึก อันก่อให้เกิดความทุกข์
อันนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปคิดพิจารณาให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และย่อมสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของท่านเอง


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 06 เม.ย. 2010, 20:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวไว้ในตอนที่หนึ่งของเรื่อง “อัตตา คืออะไร” ว่า
“ความมีตัวตน หรือ อัตตาจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ในการสังคมเป็นอยู่ร่วมกัน และในทางศาสนาใดใดก็ตาม อัตตา หรือตัวตน ก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จักเป็นปัจจัยในอันที่จะทำให้บุคคลนั้นๆ สามารถบรรลุมรรคผล บรรลุนิพาน ได้ฉะนี้”

จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
เขียนเมื่อ ๒ เมษายน ๒๕๕๓

:b6: :b6: :b6:
ตน เป็นที่พึ่งแห่ง ตน
:b13: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

...งั้นท่านคนดีฯก็เป็นสหายข้าพเจ้าอย่างแน่ๆเลยท่านnatdanai...
...เพราะมีคนบอกข้าพเจ้าว่าลูกเขาชี้มาที่ข้าพเจ้าว่าเจ้าแม่กวนอิมมา...
...สำหรับข้าพเจ้าอัตตาคือสิ่งที่มีในสิ่งที่ไม่มีอยู่และอนัตตาคือสิ่งที่ไม่มีในสิ่งที่มีอยู่...
:b32: :b9: :b13:
:b9: :b9: :b9: :b9: :b9:

ถ้าอย่างนั้น ท่านRosarin ต้องเคยเจอกับ ท่านคนดีฯที่เซนทรัลบางนาแน่เลย :b32: :b32:
เพราะเขาบอกว่าเขาเจอกันที่นั่น :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
natdanai/เขียน
Rosarin เขียน:

...งั้นท่านคนดีฯก็เป็นสหายข้าพเจ้าอย่างแน่ๆเลยท่านnatdanai...
...เพราะมีคนบอกข้าพเจ้าว่าลูกเขาชี้มาที่ข้าพเจ้าว่าเจ้าแม่กวนอิมมา...
...สำหรับข้าพเจ้าอัตตาคือสิ่งที่มีในสิ่งที่ไม่มีอยู่และอนัตตาคือสิ่งที่ไม่มีในสิ่งที่มีอยู่...
:b32: :b9: :b13:
:b9: :b9: :b9: :b9: :b9:

ถ้าอย่างนั้น ท่านRosarin ต้องเคยเจอกับ ท่านคนดีฯที่เซนทรัลบางนาแน่เลย :b32: :b32:
เพราะเขาบอกว่าเขาเจอกันที่นั่น :b13:

:b6: อาจเป็นไปได้อ่ะค่ะ...เพราะเคยฝันว่าไปเดินเล่นแถวๆนั้นอยู่เหมือนกัน... :b32:
:b9: :b32:
:b13: :b13: :b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




dd147.jpg
dd147.jpg [ 60.56 KiB | เปิดดู 3500 ครั้ง ]
tongue
อ้างคำพูด:
ในพระอภิธรรมปิฏก สังโยชน์ ๑๐ ยังมีปรากฏ อีกหมวดหนึ่ง " คือ ๑.กามราคะ ๒.ปฏิฆะ ๓.มานะ ๔.ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๕.วิจิกิจฉา ๖.สีลัพพตปรามาส ๗.ภวราคะ (ความติดใจในภพ) ๘.อิสสา (ความริษยา) ๙.มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ๑๐.อวิชชา"


ทิฐิ = ความเห็น (เฉยๆ) เป็นกลางๆ

ต้อง มิจฉาทิฐิ จึงจะแปลว่าความเห็นผิด การใช้บัญญัติต้องให้สมบูรณ์จึงจะไม่ไขว้เขวครับ

มิจฉาทิฐิ = ความเห็นผิด เห็นผิด คือเห็นเป็นอัตตา ตัวตน หรือสักกายทิฐิ ครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


30308.อัตตา คือ อะไร

คือ อวิชชา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 86 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร