วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 08:25
โพสต์: 19

อายุ: 0
ที่อยู่: เชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


ดุสิตธานี เขียน:
190 เขียน:
:b8:

ตัวรู้ หรือผู้รู้ หรือธาตุรู้ คืออะไร? - กะคือวิญญาณ

จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? - อารมภายนอก มากระทบวัตถุภายใน จึงเกิด

รู้ได้อย่างไร? - รู้ด้วยสติที่ประกอบด้วย อริยสัจ4


:b8: โมทนา



:b44: ภูเขาน้ำ หรอ




:b24: เจ้าก๊ะ ป้ามด ภูเองแหละ

:b8: :b8: :b8: สาทุ ทุกความเห็น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2010, 21:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คงไม่มีอะไรแล้ว..ละเน๊าะ

ขอเสนอต่อท่านประธาน..ว่า..

ขอปิดประชุม

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 08:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




สติ สมาธิ_resize.jpg
สติ สมาธิ_resize.jpg [ 99.75 KiB | เปิดดู 3803 ครั้ง ]
:b10: ตัวรู้ หรือผู้รู้ หรือธาตุรู้ คืออะไร?

จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? และรู้ได้อย่างไร?


ตัวรู้ คือ จิต จิตมีหน้าที่รู้อารมณ์

ผู้รู้ คือจิตที่แยกไปทำหน้าที่ตามเจตสิกที่มาประกอบคือ

1.ปัญญินทรีย์เจตสิก หรือจิตที่ไปทำหน้าที่เป็น ปัญญา

ปัญญารู้ หรือ ดู เห็น รู้ เป็นปัญญาสัมมาทิฐิ

ส่วนปัญญาที่ไปทำหน้าที่ สังเกต พิจารณา ค้นหาเหตุ ผล เป็นปัญญาสัมมาสังกัปปะ

2.สตินทรีย์เจตสิก หรือสติ คือผู้รู้ที่ไปทำหน้าที่ รู้ทัน(ปัจจุบันอารมณ์) ระลึกได้ ไม่ลืม

ธาตุรู้ เป็นธรรมธาตุ อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของจิต

:b8: :b8: :b8: :b27: :b27: :b27: :b12: :b12: :b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวข้อคือ ตัวรู้ ผู้รู้คืออะไร ทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

อ้างคำพูด:
จิตเป็นธรรมชาติรู้ มีสภาวะธรรม คือ "รู้"
แต่ "รู้ชัด" เป็นหน้าที่ของปัญญาเจตสิก และจิตก็รู้ ในความรู้ชัดนั้นอีกทีหนึ่ง

คราวนี้มันเกี่ยวกับ ฌานอย่างไร
ในเมื่อจิตรู้ ในรู้ชัดซึ่งเป็นปัญญาเจตสิก คือรู้ให้สุดๆไปเลย จนกระทั้งรู้ว่าหลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น
การรู้แบบนี้ จึงเรียกว่า จะทำอย่างไรให้ ปัญญาเกิด

ปัญญามีสมาธิเป็นบาทฐาน นั่นหมายความว่า ปัญญาต้องอาศัยสมาธิ เพื่อความเจริญ ซึ่งการเจริญปัญญาก็มีอีกชื่อคือวิปัสสนาภาวนาซึ่งก็มีสมาธิเป็นบาทฐานอยู่ดี ปัญญาจะดีนั้น จิตก็ต้องไม่มีอะไรคอยรบกวนซึ่งคือกระแสกิเลส
อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแสตัณหา โดยเบื้องต้นคือ กามและอกุศลธรรมนั่นเอง
อาศัย "สติ" นี่แหละเป็นตัวกั้นกระแสในโลก ให้จิตมีหิริ โอตัปปะ มีคุณธรรม มีมนุษยธรรม มีสัมมาทิฏฐิ รักษาจิตไม่ให้ห่างจากกุศลธรรม อย่างนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ กล่าวคือระลึกรู้ว่าทำอะไร มีปัญญาอันเรียกว่าสัมปชัญญะรู้สึกตัวว่าทำเพื่ออะไร อะไรควรทำ ไม่ควรทำ

แต่หากต้องการ ปัญญาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ นั่นคือต้องการจิตอันเป็นโลกุตตรภูมิ
สติที่ต้องชำระ ต้องชำระให้บริสุทธิ์อย่างยิ่งเพื่อ เจริญปัญญาให้เกิดอาสวัขยญาณ


จิตเป็นธรรมชาติรู้ มีสภาวะธรรมคือ "รู้"
แต่ "รู้ไม่ชัด" เป็นหน้าที่ของเจตสิกอันประกอบด้วยโมหะ หรืออวิชชา แต่จิตก็รู้ในความหลงนั้นอีกทีหนึ่ง

คราวนี้มันเกี่ยวกับความยึดมั่นอย่างไร
ในเมื่อจิตรู้ ในความหลงซึ่งมีเจตสิกอันประกอบด้วยอวิชชาหรือโมหะ คือรู้ว่ายึดแล้วถือเอาแล้ว
การรู้แบบนี้ จึงเรียกว่า จะทำอย่างไรให้อวิชชาเจริญ

อวิชชามีมิจฉาสมาธิเป็นบาทฐานก็ได้ ไม่มีก็ได้ นั่นหมายความว่า อวิชชาอาศัยมิจฉาสมาธิ หรือไม่อาศัยมิจฉาสมาธิ ก็เจริญได้ เพราะจิตนั้นไหลไปตามกระแสแห่งทิฏฐิและตัณหา

เพราะสติไม่มี ในอกุศลจิตจึงไม่มีหิริ โอตัปปะ มนุษยธรรม มีมิจฉาทิฏฐิ มีแต่ความยึดมั่นถือมั่น มีอัตตาคอยรักษาจิตไม่ให้ห่างจากอกุศลธรรม อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ไม่มีสติสัมปชัญญะ คือความระลึกรู้และความรู้สึกตัว คือไม่มีความระลึกรู้ถึงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทั้งหลายว่า ควรทำ หรือไม่ควรทำ

แต่ความรู้สึกตัวและความรู้ตัวที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ชาวบ้านผู้ไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้องกลับถือว่าเป็น "สติสัมปชัญญะ" ความรู้สึกตัวความรู้ตัวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะ วิญญาณขันธ์นั้นไปรู้ผัสสะ รู้สัญญารู้เวทนา รู้สังขาร เท่านั้นเอง
แต่ไม่มีสติสัมปชัญญะอันเป็นองค์ธรรมฝ่ายกุศลเกิดร่วมเกิดพร้อม
ปัญญาที่เข้าใจว่าเป็นปัญญานั้น ก็คือตัวอวิชชาที่ทำหน้าที่ที่ทำให้เข้าใจว่าเหมือนปัญญาอันประกอบไปด้วยมิจฉาสภาวะนั่นเอง

พึงทำความเข้าใจ ว่า "สติ" มิได้มีในทุกสถานทุกการณ์เวลาดังที่เข้าใจ แต่ต้องมีเหตุอันควรในกุศลธรรม จึงจะมี "สติสัมปชัญญะ"

รู้----- จิต
รู้ชัด ---- ปัญญา
รู้หลง ----อวิชชา

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 27 มี.ค. 2010, 11:58, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


พวกหมอผีมนต์ดำ ไง จอมโจรขมังเวทย์ไง มิจฉาสมาธิ มิจฉาสติ(บางคนสมาธิจิตเขาก้าวร้าวรุนแรงมากๆ) มีฤทธฺ์ ได้ด้วย :b5:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 27 มี.ค. 2010, 12:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue

ผู้รู้อวิชชา ตัวจริงเสียงจริง :b4: :b17: :b1:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b3: คือผม เคยคุยธรรมะกับพวกนี้หน่ะครับ แสดงฤทธิ์ให้ผมเห็นหลายอย่าง(ไม่ใช่มายากล) :b14: :b5:
เขาเคยทำตะกรุดให้ผมดอกหนึ่งด้วย อานุภาพที่เขาแจกเขารู้ด้วยว่า ดอกไหนเหมาะกับใคร ไอ้พวกไม่มีเมียเขาก้เอาดอกที่ลงเสน่ห์ให้ๆลๆ ได้ผลครับ :b35: ต้องยอมรับ
ผมถามว่า คงกระพัน(ฝ่ายอวิชชา)เสกยังไง(ฝ่ายพระก็มี)
เขาบอกว่า "มึงต้องทำจิตยังงี้" แล้วเขาก็หลับตาปี๋ (สมัยนั้นผมก็งงว่า ทำยังไงว่ะ?)
เขาว่า " มึงต้องทำจิตให้ก้าวร้าว" :b5: :b14: :b10: .ให้นิ่ง! เขาบอกว่าเป็น โมหะสมาธิ
:b10: ผมก็ถามว่า " ทำไมไม่เรียกว่า โทสะสมาธิว่ะพี่?
เขาก็ย้ำว่า ' เรียกว่า โมหะสมาธิ
:b6:
มันไม่ดีมึงอย่าไปทำ เขาว่า (แต่เขาทำได้) :b10: :b9:
คนนี้สุดๆครับ อีกแนวไปเลย

ปล. แปลกๆที่คุณเช่นนั้น ชม :b3: smiley


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 27 มี.ค. 2010, 12:45, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิต --รู้

รู้โมหะ รู้ตั้งมั่นในโมหะ

แสดงฤทธิ์ ได้ด้วย

tongue

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียกว่าเป็นอกุศลฌาณได้ไหมครับ เพราะเขาก็อุเบกขาไปอีกแบบนะครับคุณเช่นนั้น ลองๆแจกแจงหน่อยครับ :b8: smiley


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 27 มี.ค. 2010, 13:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




QA.jpeg
QA.jpeg [ 21.92 KiB | เปิดดู 3758 ครั้ง ]
เช่นนั้น เขียน:
จิตเป็นธรรมชาติรู้ มีสภาวะธรรม คือ "รู้" แต่ "รู้ชัด" เป็นหน้าที่ของปัญญาเจตสิก และจิตก็รู้ ในความรู้ชัดนั้นอีกทีหนึ่ง

คราวนี้มันเกี่ยวกับ ฌานอย่างไร
ในเมื่อจิตรู้ ในรู้ชัดซึ่งเป็นปัญญาเจตสิก คือรู้ให้สุดๆไปเลย จนกระทั้งรู้ว่าหลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น
การรู้แบบนี้ จึงเรียกว่า จะทำอย่างไรให้ ปัญญาเกิด

ปัญญามีสมาธิเป็นบาทฐาน นั่นหมายความว่า ปัญญาต้องอาศัยสมาธิ เพื่อความเจริญ ซึ่งการเจริญปัญญาก็มีอีกชื่อคือวิปัสสนาภาวนาซึ่งก็มีสมาธิเป็นบาทฐานอยู่ดี ปัญญาจะดีนั้น จิตก็ต้องไม่มีอะไรคอยรบกวนซึ่งคือกระแสกิเลส
อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแสตัณหา โดยเบื้องต้นคือ กามและอกุศลธรรมนั่นเอง
อาศัย "สติ" นี่แหละเป็นตัวกั้นกระแสในโลก ให้จิตมีหิริ โอตัปปะ มีคุณธรรม มีมนุษยธรรม มีสัมมาทิฏฐิ รักษาจิตไม่ให้ห่างจากกุศลธรรม อย่างนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ กล่าวคือระลึกรู้ว่าทำอะไร มีปัญญาอันเรียกว่าสัมปชัญญะรู้สึกตัวว่าทำเพื่ออะไร อะไรควรทำ ไม่ควรทำ


แต่หากต้องการ ปัญญาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ นั่นคือต้องการจิตอันเป็นโลกุตตรภูมิ
สติที่ต้องชำระ ต้องชำระให้บริสุทธิ์อย่างยิ่งเพื่อ เจริญปัญญาให้เกิดอาสวัขยญาณ

อ้างคำพูด:
จิตใดที่ อาศัยนิพพาน มีนิพพานเป็นอารมณ์ จิตนั้นมีสภาวะอันแล่นไปในนิพพาน เป็นโลกุตตรฌาน
จิตใดที่ อาศัยนามรูป รู้ตามนามรูป มีนามรูปเป็นอารมณ์ จิตนั้นมีสภาวะแล่นไปในฌานอันเป็นโลกียะ


:b35: :b35: :b35: :b35: :b35: :b4: :b4: :b4: :b20: :b20: :b20: :b20:

รูปภาพ แจ่ม ชัด ดีแท้...ข้าน้อยขอคาระวะ
:b39: :b39: :b39:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 27 มี.ค. 2010, 13:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ภัทรพงศ์ เขียน:
สาธุ อนุโมทนากับคำตอบคุณอนัตตาธรรมครับ

ท่านเจ้าของกระทู้คงหมายถึง ผู้รู้ ในสำนวนพระป่า อันหมายถึง เอโกทิภาวะ ในทุติยฌาน (วิตก วิจาร ดับไป) มั้งครับ

ผิดพลาดประการใดขอได้โปรดอดโทษและอโหสิกรรมด้วยครับ tongue tongue tongue



ตำราของคุณ ภัทรพงศ์ มันตำราพระ โกหก ความจริงก็ไม่อยากว่านะ


ไอ้ตัวผู้รู้ของพระป่า คือ จิต คือ อวิชชา ไง

นี่มันระดับสูงไปนิด

ตำราพระโกหก อย่าเอามาพูดเเล้ว มันจะทำลายวงการพระกรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์

พุทโธ มันตัวแข็งไง มันฌาน 2 ไง มันเอโกธิภาวะไง ฟังกันมาโกหกแบบนี้ไง

เอวัง

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แก้ไขล่าสุดโดย ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เมื่อ 27 มี.ค. 2010, 14:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 14:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




144.jpeg1.jpg
144.jpeg1.jpg [ 27.11 KiB | เปิดดู 3728 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
คงไม่มีอะไรแล้ว..ละเน๊าะ

ขอเสนอต่อท่านประธาน..ว่า..

ขอปิดประชุม

:b12: :b12:


tongue สภาธรรมแห่งนี้เปิดประชุมเจริญธรรมตลอด 24 ชม.ค่ะ :b39: :b39: :b39: :b38: :b38: :b38:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 27 มี.ค. 2010, 14:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


190 เขียน:
:b8:

ตัวรู้ หรือผู้รู้ หรือธาตุรู้ คืออะไร? - กะคือวิญญาณ

จะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? - อารมภายนอก มากระทบวัตถุภายใน จึงเกิด

รู้ได้อย่างไร? - รู้ด้วยสติที่ประกอบด้วย อริยสัจ4


:b8: โมทนา


tongue

:b8: :b12: ก็พอได้นะค่ะ แต่กว้างจังเลย กว่าจะหาคำตอบเจอ...คงเอาการอยู่ :b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 14:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ฌาณยิ่งสูงสติยิ่งบริสุทธิ์ตามไปด้วย หากไม่มีฌาณสติจะเป็นยังไง ลองคิดดูครับ


tongue

:b8: :b8: ขอคาระวะ เห็นด้วยค่ะ ที่เรียกว่าอัตโนมัติ เร็วกว่าสายฟ้า

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2010, 06:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์


ครับๆๆ ท่านผู้รู้

ผมตอบผิดท่านก็ว่าผมผิดสิครับจะลามปามไปทำไม

ครูบาอาจารย์ท่านพูดอะไร ชวนวิถีจิตท่าน เป็นกิริยา
แต่ว่าเห็นท่านพูดเราพูดบ้าง ชวนวิถีจิต เป็น กุศล อกุศลนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 78 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร