วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 15:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2010, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญกับ...."พระทุศีล".....ไม่ได้บุญ

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 409

กาสาวะพันคอในอนาคต พึงกล่าวตามสมัยนั้นเท่านั้น. ก็สมณปุถุชนซึ่งนำไป
เฉพาะจากสงฆ์ เป็นปาฏิบุคคลิกโสดาบัน เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรง
ในสงฆ์ ทานที่ให้ในสมณะผู้ปุถุชน มีผลมากกว่า. ในคำแม้มีอาทิว่า โสดาบัน
อันทายกถือเอาเจาะจง เป็นปาฏิบุคคลิกสทาคามี ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. จริงอยู่
เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ให้ทานแม้ในภิกษุทุศีล
ซึ่งเจาะจงถือเอา มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายในพระขีณาสพนั้น
แล. ก็คำใดที่กล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตร ทานที่ให้แก่ผู้มีศีลแล มีผลมาก
ทานที่ให้ในผู้ทุศีลหามีผลมากอย่างนั้นไม่ คำนั้นพึงละนัยนี้แล้ว พึงเห็นใน
จตุกะนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ก็ความบริสุทธิแห่งทักขิณานี้มี ๔ อย่าง.
บทว่า ทายกโต วิสุชฺฌติ ความว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ โดยความมี
ผลมาก อธิบายว่า เป็นทาน มีผลมาก. บทว่า กลฺยาณธมฺโม ได้แก่ มีสุจิธรรม
บทว่า ปาปธมฺโม คือมีธรรมอันชั่ว. ก็พึงแสดงพระเวสสันดรมหาราชใน
บทนี้ว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก. ก็พระเวสสันดรมหาราชนั้น ทรง
ให้พระโอรสพระธิดาแก่พราหมณ์ชูชกแล้ว ยังแผ่นดินให้หวั่นไหว พึงแสดง
นายเกวัฏฏะ ผู้อาศัยอยู่ที่ประตูปากน้ำกัลยาณนทีในคำนี้ว่า ทักขิณาบางอย่าง
บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก. ได้ยินว่า เกวัฏฏะนั้น ได้ถวายบิณฑบาตแก่พระทีฆ-
โสมเถระถึง ๓ ครั้ง นอนบนเตียงเป็นที่ตายได้กล่าวว่า บิณฑบาตที่ถวายแก่
พระผู้เป็นเจ้าทีฆโสมเถระ ย่อมยกข้าพเจ้าขึ้น. พึงแสดงถึงพรานผู้อยู่ใน
วัฑฒมานะในบทว่า เนว ทายกโต นี้. ได้ยินว่า


นายพรานนั้นเมื่อให้ทุกขิณาอุทิศถึงผู้ตายได้ให้แก่ภิกษุผู้ทุศีลรูปหนึ่งนั้น
แลถึง ๓ ครั้ง. ในครั้งที่ ๓ อมนุษย์ร้องขึ้นว่า ผู้ทุศีลปล้นฉัน
ดังนี้. ในเวลาที่พรานนั้นถวายแก่ภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่งมาถึง
ผลของทักขิณาก็ถึงแก่เขา.

พึงแสดงอสทิสทานในคำนี้ว่า ทักขิณา บางอย่างบริสุทธิ์ ฝ่ายทายกเท่านั้น

VVVมาจากVVV
http://www.samyaek.com/pratripidok/inde ... 01#msg1001


แก้ไขล่าสุดโดย Eikewsang เมื่อ 02 เม.ย. 2010, 20:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7503

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b1:
...ผู้ที่ให้ทานแก่ภิกษุเป็นสังฆทานเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา...
...ขึ้นชื่อว่าได้ทำทานด้วยจิตมีกุศลนั้นย่อมมีอานิสงส์มาก...
...เพราะบุญที่ได้ทำนั้นสำเร็จประโยชน์อันยิ่งไปแล้ว...ไม่มีตกหล่นอ่ะค่ะ...
...แม้จะไม่ทราบมาก่อนว่าภิกษุผู้รับรูปนั้นเป็นผู้ทุศีลก็ตาม...
...กรรมไม่ดีที่ภิกษุผู้ทุศีลกระทำนั้นย่อมไม่มีผลต่อจิตอันไพบูลย์ของผู้ให้ทาน...
:b12:
:b4: :b4:
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
๑๒. ทักขิณาวิภังคสูตร (๑๔๒)
.....
[๗๑๐] ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาเป็นปาฏิปุคคลิกมี ๑๔ อย่าง คือ
ให้ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑
ให้ทานในพระปัจเจกสัมพุทธ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๒
ให้ทานในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๓
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๔
ให้ทานแก่พระอนาคามี นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๕
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๖
ให้ทานแก่พระสกทาคามี นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๗
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๘
ให้ทานในพระโสดาบัน นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๙
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๐
ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๑
ให้ทานในบุคคลผู้มีศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๒
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๓
ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๔ ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[๗๑๑] ดูกรอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า
ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า
ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้จนประมาณไม่ได้


จะป่วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำ
สกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง
ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็น
พระอรหันต์ ในพระปัจเจกสัมพุทธ และในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[๗๑๒] ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗ อย่าง คือ ให้
ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
ประการที่ ๑ ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว นี้เป็น
ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว นี้เป็นทักษิณา
ที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๒ ให้ทานในภิกษุสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
ประการที่ ๓ ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์ นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๔
เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า
แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๕ เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้
โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณา-
*ที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๖ เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้
ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่ ๗ ฯ

[๗๑๓] ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มี
ผ้ากาสาวะพันคอ
เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะ
สงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น
ดูกรอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้น
เราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้
แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 05 เม.ย. 2010, 12:17, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นส่วนตัว เช่นนั้นเห็นว่า

ถวายทานแก่ หมู่สงฆ์ ที่มีผู้ทุศีลปะปนอยู่ แต่ทายกก็มีจิตถวายทานแต่ภิกษุผู้ไม่ทุศีล อานิสงส์จึงหาประมาณมิได้

ถวายทานแก่ผู้ทุศีลนุ่งผ้ากาสาวะ ก็เป็นเพียงให้ทานแก่ปุถุชนผู้ทุศีล

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 15:33
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้ที่ให้ทานแก่ภิกษุเป็นสังฆทานเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา...
...ขึ้นชื่อว่าได้ทำทานด้วยจิตมีกุศลนั้นย่อมมีอานิสงส์มาก...
...เพราะบุญที่ได้ทำนั้นสำเร็จประโยชน์อันยิ่งไปแล้ว...ไม่มีตกหล่นอ่ะค่ะ...
...แม้จะไม่ทราบมาก่อนว่าภิกษุผู้รับรูปนั้นเป็นผู้ทุศีลก็ตาม...
...กรรมไม่ดีที่ภิกษุผู้ทุศีลกระทำนั้นย่อมไม่มีผลต่อจิตอันไพบูลย์ของผู้ให้ทาน
...


อีหนู เอ๊ย ! ปัญญายังอ่อนอยู่ หาอ่านในนี้ตักตวงเอาความรู้เถอะ อย่าแสดงความปัญญาอ่อนของตัวเองออกมาดีกว่า


อ้างคำพูด:
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่ ๑๓


อ่านและทำความเข้าใจดี ๆ นะ “ปุถุชนผู้ทุศีล “ มิใช่ภิกษุทุศีล



อ้างคำพูด:
[๗๑๓] ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มี
ผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะ
สงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น ดูกรอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้น
เราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย ฯ

อ่านและวิเคราะห์ให้ดี ๆ นะ ว่า “ในอนาคตกาล” เท่านั้นนะ แต่นี้คือ ปัจจุบัน ณ กาล มีภิกษุ บริสุทธิ์ มีอยู่มากมาย ....คิดและวิเคราะห์ให้ดีนะ ...อย่ามั่ว....และอย่างง ...พุทธะสอนเรื่องปัญญา ไม่ได้สอนให้งมงาย...และเชื่อตาม ต้อง เรียนปริยัติ และปฏิบัติ จะรู้ได้เอง..เท่านั้น...



อ้างคำพูด:
ความเห็นส่วนตัว เช่นนั้นเห็นว่า

ถวายทานแก่ หมู่สงฆ์ ที่มีผู้ทุศีลปะปนอยู่ แต่ทายกก็มีจิตถวายทานแต่ภิกษุผู้ไม่ทุศีล อานิสงส์จึงหาประมาณมิได้
ถวายทานแก่ผู้ทุศีลนุ่งผ้ากาสาวะ ก็เป็นเพียงให้ทานแก่ปุถุชนผู้ทุศีล


เพราะยังไม่เข้าใจคำ ของ “พุทธะ” ดีพอ จึงเข้าใจคิดออกมาอย่างนั้น ..เมื่อครบ หนึ่งแสนกัป จะเข้าใจเอง...ว่า วิธีการน้อมถวายไปในสงฆ์ เป็นอย่างไร และทำอย่างไรจึงจะเรียกได้ว่า น้อมถวายไปในสงฆ์....และคำว่า สงฆ์ เป็นอย่างไร ...ดูแค่ความเห็น ปัญญายังอ่อนๆ อยู่.....กลับไปเรียน ศึกษาเยอะ นะ พระไตรปิฎก..


อย่านำความเห็นส่วนตัวมาใส่ ในความรู้ของพระพุทธเจ้า กันเลย เรียน ฟัง อ่าน ศึกษาให้มาก ๆ(พระไตรปิฎก) จะเป็นแผนที่ให้เรามองเห็นภาพการเดินทางของเราได้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะยังมีเครื่องมือการเดินทางไม่พร้อม ..ก็ยังมองเห็นทาง และทางที่จะไปเชียงใหม่ ต้องผ่านจังหวัดอะไรบ้าง ผ่านสถานที่อะไรบ้าง ฯลฯ อย่า พยายามฟังแต่ผู้เป็นครูบาฯอาจารย์บอก อย่างเดียว ...เพราะการฟังโดยไม่มีแผนที่เลย และโดยเฉพาะเป็นแผนที่ ฉบับเดียวในโลกที่เบ็ดเสร็จ บอกทางไปได้ทั่วโลกมนุษย์และเทวดา และเลยจักรวาล อีกหลายหมื่นจักรวาล ..

...แสนกัป...เต็มพอดี จึงฟังคำ “พุทธะ”ได้รู้เรื่อง...

ถึงแม้ว่า จะโดนเรียกว่า "ใบลาน เปล่า" แต่"ใบลานเปล่า"เมื่อเรียนปฏิบัติ ก็หลุดพ้นได้รวดเร็ว
เมื่อเต็ม เรียนจนถึงแสนกัป...อย่างไรเสียก็ต้องหลุดพ้นแน่นอน ไม่อยาก ก็ต้อง...หลุด :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย keaksim เมื่อ 06 เม.ย. 2010, 17:11, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตออกความเห็นนะครับ

ในการทำบุญนั้น ก่อนอื่นสิ่งที่ต้องเข้าใจก็คือ สรุปแล้วเราทำบุญหรือเราหวังผลของบุญกันแน่

ในการทำบุญแต่ละครั้ง เรากระทำโดยออกไป 3 ทาง คือ 1.ทางกาย 2.ทางวาจา 3.ทางใจ
ทางกายก็พิจารณาไปตามเนื้อผ้า ผ้าเป็นอย่างไรค่าของบุญก็เป็นอย่างนั้น
เช่น เราทำบุญให้พระผู้ทรงศีล พระผู้ทรงศีลก็เปรียบเสมือนผ้าเนื้อดี
ต่อไปทางวาจาในขณะทำเราเป้นอย่างไร อย่างเช่นที่เขาบอกว่าเขาจะทำแต่ไม่ได้ทำ
อันนั้นเขาก็ได้บุญแต่ว่ามันอ่อน แต่บาปเรื่องการผิดศีลมันนำมาก่อนก็จะเป็นอีกรูปแบบไป
ทางใจ พระพุทธองค์เคยตรัสว่าเพียงแค่เราดีดนิ้วหนึ่งครั้งก็ >10,000 ขณะจิต
หมายความว่ามีการซ้ำมีการซ้อนกันในภาวะจิตไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีเพียงแค่เราดีดนิ้ว
ทีนี้มาดูกันต่อเรื่องของจิตเป็นเรื่องที่ละเอียด ขอกล่าวเพียงแค่เรื่องของพละ ๕
พละ ๕ ประกอบด้วย ปัญญา สมาธิ วิริยะ ศรัทธา สติ
ถ้าประกอบด้วยเหตุเหล่านี้บุญกุศลก็มีมาก เปรียบเหมือนกับผ้าเช็ดหน้าเป็น 100,000ๆ ผืนถึงแม้ว่าจะมีค่าน้อยแต่ถ้านำมูลค่ามารวมกันบางครั้งยังมากกว่าผ้าแพรชั้นเลิศเพียง 1 ผืนก็ตาม
ปัญญา ก็คือ ในขณะที่เราทำเราคิดว่าอย่างไร เพื่อเป็นไปเพื่อการหลุดพ้น เพื่อลดกิเลส แบบนี้เรียกว่ามีปัญญา
ศรัทธา ยกตัวอย่างเช่น เราทำเพราะเราเชื่อว่านี่เป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนาวิธีหนึ่ง
วิริยะ อาจจะยกตัวอย่างยาก เช่น เวลาทอดกฐินเราบอกบุญเขา เราไม่เกรงว่าตัวเองจะเหนื่อย
ก็บอกบุญกับทุกๆคน เขาเรียกภาวะจิตที่ยึดติดกับกุศลมันมีมาก เหมือนกับคนที่อาบน้ำหอม คนหนึ่งอาบ 1 นาที กับอีกคน 10 นาที คิดว่าร่างกายของคนไหนที่จะคลุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอมมากกว่า
สมาธิ หมายถึงการจดจ่อ ในที่นี้ขออนุญาตแปลว่า จิตของเราดำรงตนให้อยู่ห่างจากโทมนัสได้เท่าไหร่
บางคนเวลาทำบุญ พอตัวเองทำเสร็จก็มานั่งเครียดเพราะเกรงว่าเงินจะชักหน้าไม่ถึงหลัง วิตกกังวลว่าเราไม่น่าทำเยอะขนาดนั้นเลย เราไม่น่าอาสาไปซื้อตุ่มน้ำมาถวายพระเลย แบบนี้เรียกว่า สมาธิมันหาย
สตินั้นโดยส่วนตัวของผู้เขียนเองคิดว่าน่าจะรวบกันกับสมาธิ คือ ตัวหนึ่งเป็นตัวดำรงอีกตัวเป็นตัวเดิน
เปรียบเหมือนกับสมาธิเป็นตัวถางหญ้าแล้วสติเป็นตัวเดินตามทางที่ถางหญ้าไว้แล้ว
ดังนั้นหากเราทำบุญกับคนที่ถึงแม้จะทุศีลแต่จิตเราใหญ่คือมีพละ ๕ แบบนี้ก็ได้บุญมาก
ทีนี้มาดูต่อ เรื่องของจิต คือ โทมนัส โสมนัส อุเบกขา
อย่างที่พูดไปหากเรามีจิตโทมนัส สมาธิกับสติเราก็มีกำลังน้อย
มาดูเรื่องของเจตนา เจตนาที่เรทำเราทำเพื่ออะไร อันนี้ก็จะไปทับซ้อนกับ ศรัทธากับปัญญา
ในเรื่องของการเลือกผู้รับ และในเรื่องของเจตนานี่แหละหากในขณะที่เราทำจิตเรามีอกุศลมูล
คือ โลภะ โทสะ โมหะ เช่น เราทำเพราะเราอยากให้คนอื่นยอมรับ นี่เรียกว่ามีทั้งโลภะและโมหะ
ที่เรียกว่า โลภะเพราะเราอยากได้คำสรรเสริญ ที่เรียกว่าโมหะเพราะ เป้าหมายของเราเป็นไปเพื่อโลกธรรม คือ ยังมีความหลงมัวเมาในชาติ ภพ นั่นเอง หรือบางคนบอกว่าเพื่อให้ตนได้บุญ
นี่ก็เรียกวาโลภะกับโมหะเช่นกัน เพราะว่าเราอยากได้กุศล บุญและบาปนั้นเป็นไปเพื่อภพ ชาติ ก่อให้เกิด
ชาติ ชรา มรณะ นี่ก็ยังวนอยู่ในขอบอ่างอยู่ ก็เลยยังขึ้นชื่อว่ายังมีโมหะ
อกุศลมูลนี้เปรียบเหมือนดังของมืด ของเสีย ของที่ทำให้มัวหมอง ถึงแม้ว่ากระทำกับพระผู้ทรงศีลแต่จิตใจภัวพันไปด้วยอกุศลนี่ก็เรียกว่า ผ้าแพรชั้นดีที่เปรอะเปื้อนไปด้วยสีดำที่ล้างไม่ออก นี่ก็แทบไม่มีราคา
แต่บางคนทำบุญเพื่อหวังให้ตนเองหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อย่างที่ปรากฏชัดในเรื่องพระเวสสันดร ที่พระเวสสันดรให้ทานท่านก็บอกว่า ที่เราสละลูกของเรานี้ไม่ใช่เพื่อเกิดเป็นพระมหาจักรพรรดิ์
แต่เราหวังในพระพุทธเจ้า คือ ความหลุดพ้นเท่านั้น"สรุปแล้วนั้นเรื่องของใจสำคัญที่สุดขอให้ท่านทั้งหลายพึงทำกุศลเพื่อกระทำให้นิพพานให้แจ้งเถิด :b8: :b8: :b8: อนุโมทนามิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญกับ..."พระทุศีล"....ไม่ได้บุญ


ใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
ทำบุญกับ..."พระทุศีล"....ไม่ได้บุญ

ใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ


ลงมือ ลงแรงบ้าง ก็จะเป็นการดีขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 11:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้เป็นปัจจัยไปนิพพาน จะปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ก็อธิฐานไปเถิด นิพพานปัจโยโหตุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญกับ...."พระทุศีล".....ไม่ได้บุญ

ไร้สาระที่สุด.... ทำบุญทำด้วยจิตเจตนาที่เป็นกุศลของเรา มีใจเบิกบานแจ่มใสขณะทำบุญและหลังจากทำ ผลบุญย่อมเกิดในจิตเจตนากุศลนั้น แม้พระนั้นทุศีล ก็ไม่เป็นไร ยิ่งถ้าเราเชื่อว่า พระทุศีลนั้นเป็นพระอรหันต์ ผลบุญที่เราทำก็จะแรง

เคยได้ยินไหม "ทำบุญกับพระปลอมขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก" เพราะจิตมันคิดปรุงแต่งไปอย่างนั้น


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 08 เม.ย. 2010, 13:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระราชาทำบุญกับคนทุศีล ขั้นสวรรค์

....... สามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นคนยากจนมาก หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน เดินทางมาอาศัยอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง ในขณะที่พักอยู่นั้น ภรรยาซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้อง อยากจะบริโภคอาหารที่พระราชาเสวย จึงอ้อนวอนสามีให้ไปหามาให้ บอกว่าหากมิได้บริโภคอาหารที่ต้องการนี้จะต้องตายเป็นแน่แท้ ฝ่ายสามีผู้มีกรรมทนคำอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว และเกรงว่านางจักตาย จึงคิดอุบายปลอมตัวเป็นพระภิกษุ และด้วยความที่ปลอมตัวมาใหม่ๆ จึงระมัดระวังตัวมาก ดูเหมือนเป็นผู้สำรวม เดินอุ้มบาตรไปในพระราชวัง เพื่อรับบิณฑบาต

ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระราชาจักเสวยพระกระยาหารพอดี เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุเดินด้วยกิริยาอาการสำรวมมากเช่นนั้น ทรงจินตนาการว่า

" ภิกษุนี้มีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นหนักหนา คงเป็นพระที่ทรงคุณวิเศษสักอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแม่นมั่น "

จึงเกิดพระราชศรัทธา ทรงนำพระกระยาหารอันเลิศรสที่จะเสวยใส่ลงในบาตรจนหมด ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่ง

เมื่อพระภิกษุปลอมรับอาหารแล้วเดินจากไป ด้วยความเลื่อมใสอันมีอยู่มากมายในพระทัยของพระราชาจึงรับสั่งอำมาตย์คนสนิท ให้รีบสะกิดรอยตามไป เพื่อให้รู้ว่าพระท่านมาจากไหน จะไปพักที่ไหน เพื่อว่าวันต่อไปจะนิมนต์มารับบาตรในพระราชวังอีก

.......ฝ่ายพระ ภิกษุปลอมนั้น เมื่อได้อาหารเต็มบาตรสมความปรารถนาแล้วก็ดีใจ รีบเดินไปจนสุดกำแพงพระราชวังเมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนแล้ว จึงเปลื้องจีวรและสบงออกเป็นเพศคฤหัสถ์ตามเดิม แล้วนำเอาพระกระยาหารนั้นไปให้ภรรยาแพ้ท้องบริโภคตามความประสงค์

อำมาตย์ ซึ่งสะกดรอยติดตามมาได้เห็นพฤติการณ์นั้นโดยตลอด ก็บังเกิดความตกใจและสังเวชใจคิดว่ามาเจอคนที่ปลอมตัวเป็นพระเสียแล้ว นี่ถ้าหากพระราชาทรงทราบเรื่องนี้เข้าจะต้องเสียพระทัยเป็นอย่างมากและผลบุญ ที่ได้ก็จะตกหล่นไป เพราะอปราปรเจตนา คือ เจตนาหลังจากที่ให้แล้วไม่สมบูรณ์ เมื่อคิดดังนี้แล้วก็เดินทางกลับไปเฝ้าพระราชา

พระราชาจึงตรัสถามว่า " ได้ความว่าอย่างไร บอกมาเร็วๆ พระนั้นอยู่วัดไหน ? " อำมาตย์จึงใช้กุศโลบายเพื่อรักษาศรัทธาของพระราชาไว้ กราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าได้สะกดรอยตามพระรูปนั้นไป จนออกนอกกำแพงพระราชวัง พอตามไปสุดพระราชวังโน้น ท่านก็หายวับไปทันที "( ในที่นี้หมายถึงหายจากความเป็นพระกลายเป็นคฤหัสถ์ไป )

พระราชาได้ฟัง ดังนั้นทรงโสมนัสมาก มิได้ซักความเพิ่มเติมอีก ทรงคิดเอาเองว่า

" บุญของเราแท้ๆ ที่ได้ถวายทานแด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษ ท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ ปาฎิหาริย์หายตัวได้ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มาก เป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆ "

พระราชาทรงบังเกิดความปีติเบิกบานใจในบุญที่ได้ทำเป็นยิ่งนัก

พระราชาพระองค์นี้มีเจตนาทั้ง ๓ ระยะครบบริบูรณ์ และมีความเข้าใจว่าปฎิคาหกสมบูรณ์ด้วยองค์ ๓(องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง ( เจตนา ๓ ) คือ
๑. ก่อนให้ก็ดีใจ
๒. กำลังให้ก็มีใจผ่องใส
๓. ครั้งให้เสร็จแล้วมีความเบิกบานใจ)

ไม่นานหลังจากนั้นพระราชาก็เสด็จสวรรคต ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก

อย่างไรก็ตาม อำมาตย์ก็ทำบุญก่อนตายเหมือนกัน โดยทำบุญกับพระอรหันต์รูปหนึ่ง แต่อำมาตย์รู้สึกคลางแคลงสงสัยในพระอรหันต์รูปนั้นตลอดเวลา มั่นใจว่าเป็นพระปลอมบวช ทำบุญลงไปจากการโดนภรรยาบังคับแกมขอร้อง ใจไม่ต้องการทำ และไม่มีความยินดีขณะทำ แต่กลับมีจิตอกุศลขณะทำบุญ หลังทำแล้วก็ไม่มีความแจ่มใสเบิกบาน เพราะคิดว่าพระรูปนั้นเป็นพระปลอมอย่างเดียว

เมื่ออำมาตย์นั้นตายลง ด้วยมีจิตอกุศลเมื่อทำบุญกับพระอรหันต์ วิญญาณของอำมาตย์จึงตกนรก ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ภูมิไหน เนื่องจากอ่านเรื่องมานานแล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 08 เม.ย. 2010, 13:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 04:38
โพสต์: 376

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ทำบุญกับ...."พระทุศีล".....ไม่ได้บุญ

ไร้สาระที่สุด....



ก็ยังรักษา "ความต่ำ" ไว้ได้เหมือนเดิม

มาถึงตรงนี้ สักแต่ขอให้ได้ทำอะไรเลวๆ เข้าไว้

ว่าคนอื่น "ไร้สาระ" โดยไม่ได้แหกหูแหกตาดูเลยว่า

ที่เขาเอามาลงนั่นเป็นเรื่องที่ "พระไตรปิฎก" เขียนไว้


แก้ไขล่าสุดโดย Eikewsang เมื่อ 08 เม.ย. 2010, 14:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b19: อยากได้บุญแบบเต็มๆ ทำร้อยชาติได้เกิดร้อยชาติ ทำล้านชาติได้เกิดล้านชาติ :b31:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron