ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=30663
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  คนดีที่โลกลืม [ 06 เม.ย. 2010, 01:09 ]
หัวข้อกระทู้:  เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา


นี่เป็นปริศนาธรรมสูงสุดทีเดียว บทความนี้คงจะขัดแย้งกับความคิดของคนส่วนมาก ที่เรียนทางดานปริยัติ ทำให้ความเข้าใจของท่านแตกต่างจากผมมาก ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า อะไรเป็นกาย? อะไรเป็นจิต?

กาย = ขันธ์ 5(รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์)

กาย = ร่างกาย(ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ) ความคิด ความจำ ความรู้สึกสุขทุกข์ ความรัก ความเจ็บปวด ความรู้สึกประสาททั้ง 6 ในร่างกาย (วิญญาณขันธ์)

จิต = อทิสมานกาย หรือกายทิพย์ หรือวิญญาณธาตุ หรือเปรต สัมภเวสี เทวดา พรหม ฯลฯ

จิตซ่อนอยู่ในกาย และจิตเป็นผู้บังคับกายให้ทำงาน โดยจิตหรือวิญญาณธาตุ พอมันเข้าไปในร่างทารกแรกเกิด จิตหรือวิญญาณธาตุตัวนี้ มันได้สร้างวิญญาณขันธ์หรือนามขึ้นมาให้ทำงานร่วมกับรูป พระพุทธองค์จึงเรียกว่า "นามรูป"

พอเราตายลง กาย(ขันธ์ 5)นั้นตายหรือดับไป แต่ไอ้ตัวที่ไม่ตายคือจิต(อทิสมานกาย, กายทิพย์, วิญญาณธาตุ มันได้ออกจากกายหรือขันธ์ 5 ของมนุษย์ ไปชดใช้เวรกรรมในปรโลก

พูดอีกนัยหนึ่ง เมื่อเราตาย วิญญาณ(จิต)ของเรา จะออกจากร่างหรือกายเก่า ไปสู่ร่างหรือกายใหม่ เหมือนกับเราถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าสวมชุดใหม่ เสื้อผ้านี้ = กาย นั่นเอง จิตทำดีมามาก ก็ได้กายใหม่เป็นนางฟ้าเทวดา หรือพรหม ทำชั่วก็ได้กายใหม่เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่ ก็ได้กายตามผลบุญผลกรรมที่ทำมา

แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

ในเมื่อกายก็ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา พึงระลึกว่า กายและจิตที่ไม่ใช่เรานั้นเป็นกายและจิตภายนอกเท่านั้น เพราะมันเป็นอนัตตา มันจึงไม่ใช่เรา แต่มันมีกายและจิตที่อยู่ภายในสุดด้วย ในสติปัฏฐาน 4 พระพุทธองค์เรียกว่า กายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม ตัวนี้แหละที่เป็นตัวเรา เป็นอัตตาของเรา เป็นสิ่งที่เที่ยง เป็นอมตะ ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเจ็บตาย

(บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓)

"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"

เจ้าของ:  enlighted [ 08 เม.ย. 2010, 21:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"



อัตตาที่พึ่งเกาะ

เจ้าของ:  ชิโนะซึเกะ [ 08 เม.ย. 2010, 22:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  walaiporn [ 08 เม.ย. 2010, 22:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

คนดีที่โลกลืม เขียน:
เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา


นี่เป็นปริศนาธรรมสูงสุดทีเดียว บทความนี้คงจะขัดแย้งกับความคิดของคนส่วนมาก ที่เรียนทางดานปริยัติ ทำให้ความเข้าใจของท่านแตกต่างจากผมมาก ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า อะไรเป็นกาย? อะไรเป็นจิต?

กาย = ขันธ์ 5(รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์)

กาย = ร่างกาย(ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ) ความคิด ความจำ ความรู้สึกสุขทุกข์ ความรัก ความเจ็บปวด ความรู้สึกประสาททั้ง 6 ในร่างกาย (วิญญาณขันธ์)

จิต = อทิสมานกาย หรือกายทิพย์ หรือวิญญาณธาตุ หรือเปรต สัมภเวสี เทวดา พรหม ฯลฯ

จิตซ่อนอยู่ในกาย และจิตเป็นผู้บังคับกายให้ทำงาน โดยจิตหรือวิญญาณธาตุ พอมันเข้าไปในร่างทารกแรกเกิด จิตหรือวิญญาณธาตุตัวนี้ มันได้สร้างวิญญาณขันธ์หรือนามขึ้นมาให้ทำงานร่วมกับรูป พระพุทธองค์จึงเรียกว่า "นามรูป"

พอเราตายลง กาย(ขันธ์ 5)นั้นตายหรือดับไป แต่ไอ้ตัวที่ไม่ตายคือจิต(อทิสมานกาย, กายทิพย์, วิญญาณธาตุ มันได้ออกจากกายหรือขันธ์ 5 ของมนุษย์ ไปชดใช้เวรกรรมในปรโลก

พูดอีกนัยหนึ่ง เมื่อเราตาย วิญญาณ(จิต)ของเรา จะออกจากร่างหรือกายเก่า ไปสู่ร่างหรือกายใหม่ เหมือนกับเราถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าสวมชุดใหม่ เสื้อผ้านี้ = กาย นั่นเอง จิตทำดีมามาก ก็ได้กายใหม่เป็นนางฟ้าเทวดา หรือพรหม ทำชั่วก็ได้กายใหม่เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่ ก็ได้กายตามผลบุญผลกรรมที่ทำมา

แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

ในเมื่อกายก็ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา พึงระลึกว่า กายและจิตที่ไม่ใช่เรานั้นเป็นกายและจิตภายนอกเท่านั้น เพราะมันเป็นอนัตตา มันจึงไม่ใช่เรา แต่มันมีกายและจิตที่อยู่ภายในสุดด้วย ในสติปัฏฐาน 4 พระพุทธองค์เรียกว่า กายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม ตัวนี้แหละที่เป็นตัวเรา เป็นอัตตาของเรา เป็นสิ่งที่เที่ยง เป็นอมตะ ไม่มีทุกข์ และไม่แปรปรวนเจ็บตาย

(บาลี มหา.ที. ๑๐/๑๑๘ /๙๓) (บาลี มหาวาร สํ. ๑๙/๒๐๕/ ๗๑๒-๓)

"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"





ทำไมนำมาปนเปกันไปหมดเลยคะ พระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า


"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"


ตรงนี้หมายถึง อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
คือ เป็นผู้ที่มีที่พึ่งแห่งตนแล้ว ได้แก่ สติ สัมปชัญญะค่ะ หมายถึงแบบนี้

หมายถึงว่า ให้เรามีสติ สัมปชัญญะเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ไปพึ่งสิ่งต่างๆนอกตัว

ขันธ์ 5 ก็ส่วนขันธ์ 5 นั่นเป็นเรื่องของรูป,นาม คนละเรื่องกันเลยนะคะ

เจ้าของ:  Kamonchanok [ 08 เม.ย. 2010, 22:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

enlighted เขียน:
"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"



อัตตาที่พึ่งเกาะ


:b17: :b17: :b17:

เหมือนกาฝาก ที่เกาะอยู่บนไม้ใหญ่เลย :b20:

เฉิ่ม เข้าใจสิ่งที่ท่านหมายความ ผิดไปรึเปล่าคะ

ถ้าผิดพลาดไม่สมบูรณ์อย่างไร ชี้แนะ เฉิ่มด้วย... :b20: :b20:

เจ้าของ:  คนดีที่โลกลืม [ 08 เม.ย. 2010, 23:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

walaiporn เขียน:


1. ทำไมนำมาปนเปกันไปหมดเลยคะ พระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า
1.

"อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตามเห็นซึ่ง กายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ... มีสติ.... เป็นผู้ตามเห็นซึ่งธรรมในธรรม ฯลฯ

อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"


2. ตรงนี้หมายถึง อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
คือ เป็นผู้ที่มีที่พึ่งแห่งตนแล้ว ได้แก่ สติ สัมปชัญญะค่ะ หมายถึงแบบนี้

หมายถึงว่า ให้เรามีสติ สัมปชัญญะเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ไปพึ่งสิ่งต่างๆนอกตัว

ขันธ์ 5 ก็ส่วนขันธ์ 5 นั่นเป็นเรื่องของรูป,นาม คนละเรื่องกันเลยนะคะ


1. พระพุทธเจ้าไม่ได้นำมาปนกันครับ คุณตีความไม่ออกเอง เลยไม่รู้ว่า คุณมีกายในที่เป็นแก่น เป็นพุทธะ ที่เรียกว่า กายธรรม หรือ ธรรมกายอยู่

2. "อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ผู้ที่ไม่รู้เรื่อง ก็ตีความแบบไม่รู้เรื่อง แล้วเอามาบอกคุณให้เชื่อตาม

เจ้าของ:  walaiporn [ 09 เม.ย. 2010, 00:01 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา


งั้นหรือคุณพล
ตามสบายนะคะ

เจ้าของ:  คนดีที่โลกลืม [ 09 เม.ย. 2010, 00:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

กายมี 3 กาย
1. กายเนื้อ = ขันธ์ 5
2. กายทิพย์ = จิต หรือกายทิพย์ หรือ อทิสมานกาย
3. กายธรรม = ธรรมกาย หรือ อายตนะนิพพาน

เจ้าของ:  noohmairu [ 09 เม.ย. 2010, 21:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

:b22: เกาะอัตตาไว้ให้แน่นๆ นะน้อง :b4:

เจ้าของ:  คนดีที่โลกลืม [ 09 เม.ย. 2010, 22:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

noohmairu เขียน:
:b22: เกาะอัตตาไว้ให้แน่นๆ นะน้อง :b4:


เกาะอัตตาไว้แน่น ย่อมไม่มีทางห็นอัตตาแท้จริง เห็นแต่อัตตาทิฏฐิ หรืออัตตาอุปทาน
เมื่อไม่เกาะอัตตาทิฏฐิ ย่อมเห็นอนัตตา เมื่อเห็นอนัตตา สุดท้ายก็เห็นอัตตาแท้จริง

ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา = อนัตตลักขณสูตร

หมายความว่า ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวรนเป็นธรรมดา ต้องเห็นตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน (อัตตา)ของเรา

"อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

"....อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"


พระพุทธองค์ตรัสเองว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่งไม่ใช่หรือ

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 10 เม.ย. 2010, 00:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

กุ้มใจแทนตานี้จริง ๆ ..ตาคุณคนดีฯ เอ๋ย.. :b16: :b16:

เจ้าของ:  enlighted [ 10 เม.ย. 2010, 09:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

"อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

"....อานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า มี อัตตา เป็นเกาะ มี อัตตา เป็นสรณะ (ที่พึ่ง) ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง"

พระพุทธองค์ตรัสเองว่า ให้เกาะอัตตาเป็นที่พึ่งแห่งตนไว้ให้แน่นๆ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่งไม่ใช่หรือ



ไตรสรณะ

เจ้าของ:  สุรีย์บุตร [ 11 เม.ย. 2010, 13:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

กายก็เรา จิตก็เรา แต่ไม่ใช่เรา แต่เป็นเรา แต่ไม่ใช่เรา
ตรงไม่ใช่เรานี้หละสำคัญว่าเพราะเหตุใดจึงว่าไม่ใช่เราแล้วผลของการรู้ว่าไม่ใช่เรานี้ มีหรือไม่มี ถ้าผลของการรู้ว่าไม่ใช่เรามีผลที่เกิดนั้นจะทำให้ผู้เห็นเกิดความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา...

เหตุผลของการเห็นว่า กายไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรานี้ในแต่ละคนอาจไม่เหมือนกันคือไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องตรงตำรา เพราะธรรมะเป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน แต่ผลของการเห็นนั้นเหมือนกันทั้งหมดคือ รู้ชัดว่าไม่ใช่เรา

มีเรา แต่ไม่ใช่เราเพราะ...แต่มีเราเพราะ...
cool

เจ้าของ:  sirisuk [ 11 เม.ย. 2010, 14:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

กบนอกกะลา เขียน:
กุ้มใจแทนตานี้จริง ๆ ..ตาคุณคนดีฯ เอ๋ย.. :b16: :b16:


:b32: :b32: :b32: ต่างคน...ต่างกลุ้มใจ...ต่างอัตตา... :b13: :b13: :b13:

ไฟล์แนป:
untitled.bmp
untitled.bmp [ 24.1 KiB | เปิดดู 6018 ครั้ง ]

เจ้าของ:  thepkere [ 11 เม.ย. 2010, 17:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เห็นกายไม่ใช่เรา เห็นจิตไม่ใช่เรา แล้วอะไรล่ะที่ใช่เรา

382 อัตตาที่เป็นอมตะมีหรือไม่

ปัญหา ในตัวเรานี้ มีอัตตาที่เป็นอมตะ เที่ยงแท้ถาวรหรือไม่ ?

พระอานนท์ตอบ “ดูก่อนท่านอุทายี บุรุษต้องการแก่นไม้ เที่ยวเสาะแสวงหาแก่นไม้ ถือเอาขวานอันคมเข้าไปสู่ป่า พบต้นกล้วยใหญ่ มีลำต้นทรงยังใหม่ ไม่รุงรังในป่านั้น พึงตัดที่โคนต้นแล้วตัดที่ปลาย ครั้นแล้วลอกกาบออก แม้กระพี้ที่ต้นกล้วยนั้นก็ไม่พบที่ไหนจะพบแก่นได้ฉันใด ดูก่อนท่านอุทายี ภิกษุจะพิจารณาหาตัวตนหรือสิ่งที่เป็นตัวตน หรือสิ่งที่เนื่องด้วยตนในผัสสายตะ ๖ ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเล็งเห็นอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ยึดถือสิ่งใดในโลก เมื่อไม่ยึดถือก็ไม่ดิ้นรน เมื่อไม่ดิ้นรน ก็ปรินิพพานโดยแท้”


อุทายีสูตร สฬา. สํ. (๓๐๒)
ตบ. ๑๘ : ๒๐๙-๒๑๐ ตท. ๑๘ : ๒๐๒
ตอ. K.S. ๔ : ๑๐๔

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/