.....ส่วนในเรื่องการภาวนานั้น หลวงพ่อบอกว่ารู้สึกหนักใจที่เวลามีผู้มาส่งอารมณ์
แล้วมักอธิบายสภาพจิตของตนว่าจิตมันเยิ้ม จิตมันตื่น แล้วมันเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
อะไรต่างๆ

ซึ่งถ้าคนที่ไม่สันทัดฟัง จะคิดว่าจิตเขาละเอียดมาก
แต่อาการเหล่านี้เป็นแค่เงาของจิต ไม่ใช่ตัวจิต

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ อย่าไปตามดู ให้ย้อนกลับมาดูตัวที่มันรู้อาการ
ตรงนี้แหละคือตัวจิต เงานั้นก็ดับไป เราก็เห็นจิต ,
แต่ส่วนมากที่ปฏิบัติกัน มักไปตามอาการของจิต
ซึ่งสิ่งที่เขาเล่าได้ละเอียดยิบ อันนั้นคือเงา ซึ่งไม่มีผลให้ละกิเลสได้เลย

และอีกประการหนึ่งที่หลวงพ่อถือเป็นหัวใจสำคัญของการภาวนาคือ “การขาดกำลัง” ซึ่งหลวงพ่อกล่าวว่า ครูบาอาจารย์ต่างพูดว่า มันต้องทำกำลัง ต้องมีกำลังเสียก่อน ไม่ใช่ปุปปับด่วนดูจิต , ถามว่าเอาอะไรไปดูจิต ถ้าไม่มีสติ เราต้องทำกำลังเสียก่อน ซึ่งหลวงพ่อนิยมการเดินจงกรม เพราะเห็นว่ากำลังสติที่เกิดจากการเคลื่อนไหวนั้นตั้งชัดเด่นดีและทนอยู่นาน

หลวงพ่อมนตรีได้สรุปรวมความว่า ก่อนที่จะดูจิตได้ต้องมีกำลังเสียก่อน เพราะถ้าไม่มีกำลังจะเอาอะไรไปล้างกิเลส การปุปปับดูจิตเลย เราจะเอากำลังที่ไหนไปใช้ดู ถ้าเราไม่ทำกำลัง ถ้าเราไม่เจริญกรรมฐานเสียก่อน , หลวงพ่อย้ำว่า สร้างกำลังให้มาก แล้วกำลังนั้นต่อไปก็จะย้อนเข้ามาเฝ้าดู คือต้องทำสมถะ ต้องทำกำลังเสียก่อน ไม่ใช่ดูโดยที่ไม่มีกำลังไปดู

ภูมิธรรมเค้ามีแค่นั้นไง .... กระจอกดีๆนี่เอง
..
..
ต้องอย่างศิษย์รักคนนี้ .... ตุ๊กแกดีๆนี่เอง
"...จิตมืดจิตสว่างก็ไม่เที่ยง ความนึกคิดก็ไม่เที่ยง..." โดยดังตฤณ
http://www.dlitemag.com/
ศิษย์รักของอาจารย์ท่าน ดูจิตพระอรหันต์มาแล้วเชียวน้า
..
ไปแซวที่เว็ปบอร์ดนิดเดียว ลบกระทู้เลย

๔.การดูจิตเบื้องต้น ให้ดูเจตสิก
(ถอดความจากไฟล์แนบ)

30667.ใครว่าหลวงพ่อสอนให้ดูที่จิตตรงๆ มาดูหลักฐาน



ดูที่จิต ก็ไม่เห็นหลักฐาน