วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 22:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาแบบใหม่


จิตเริ่มต้นของเราเป็นพุทธะ จิตเริ่มต้นตัวนั้นคือ อสังขตธาตุ ไม่มีจุดเกิด ไม่มีจุดตาย จิตเริ่มต้นตัวนั้นเป็นอมตะ ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร

จิตเริ่มต้นตัวนั้นแหละ ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มันจึงเป็นอมตะ

“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ...."
"....ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ...."

จิตเริ่มต้นที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ และเป็นอมตะตัวนั้นแหละ = อัตตา = นิพพานจิต = นิพพานธาตุ

- คนทุกคนในโลก ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ล้วนถูกไวรัสอวิชชา หรือไวรัสกิเลสตัณหา ครอบงำจิตใจ ยังกำจัดไวรัสอวิชชาไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองคือพุทธะ หรือพระเจ้า

- สติปัฏฐาน 4 คือ โปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน(สติปัฏฐาน 4)ร่วมกัน จึงจะเข้าใจความจริงของโลกและพระนิพพาน เพราะถ้าใช้แค่สติปัฏฐาน 4(วิปัสสนากรรมฐาน) แม้ว่าจะฆ่าไวรัสอวิชชาได้หมด และเข้าถึงพระนิพพาน แต่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องโลกและภพภูมิต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามสั้นๆ ควรตอบสั้นๆขอรับ

อัตตา ได้แก่อะไรขอรับ


"อัตตา" = แก่นแท้ ที่คุณเคยเป็น สิ่งนั้นไม่มีกิเลสอวิชชา มันจึงเป็นอมตะ เป็นนิรันดร ไม่มีความทุกข์ สิ่งนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า "อายตนะนิพพาน" หรือ "ธรรมกาย"

"อนัตตา" = เปลือกนอก ที่คุณกำลังเป็นอยู่ และจะเป็นต่อไปเรื่อยๆถ้ายังมีกิเลสอวิชชาอยู่ สิ่งนี้คือควมเป็นมนุษย์ของคุณ

"อนัตตา" = เปลือกใน ที่คุณจะเป็นในอนาคต(กายทิพย์,อทิสมานกาย)เมื่อตายแล้ว แต่ยังไม่สามารถละทิ้งกิเลสอวิชชา สิ่งนี้คือควมเป็นเทพ เป็นเปรต เป็นพรหม ฯลฯ ของคุณ


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 22 มี.ค. 2010, 21:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:

จิตเริ่มต้นที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ และเป็นอมตะตัวนั้นแหละ = อัตตา = นิพพานจิต = นิพพานธาตุ

แม้..จิตเริ่มต้นแม้ประภัสสร..แต่ที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เพราะ..ยังไม่มีรูปสังขาร..ต่างหาก..แต่มีนันถิ..เพราะอวิชชา...จิตเริ่มต้นที่ประภัสสรจึงไม่ใช่..นิพพาน

เหมือนคนโง่..แต่ตัวเองไม่รู้เพราะไม่รู้ว่าตัวเอง..ไม่รู้อะไรบ้าง :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
- คนทุกคนในโลก ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ล้วนถูกไวรัสอวิชชา หรือไวรัสกิเลสตัณหา ครอบงำจิตใจ ยังกำจัดไวรัสอวิชชาไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองคือพุทธะ หรือพระเจ้า

- สติปัฏฐาน 4 คือ โปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน(สติปัฏฐาน 4)ร่วมกัน จึงจะเข้าใจความจริงของโลกและพระนิพพาน เพราะถ้าใช้แค่สติปัฏฐาน 4(วิปัสสนากรรมฐาน) แม้ว่าจะฆ่าไวรัสอวิชชาได้หมด และเข้าถึงพระนิพพาน แต่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องโลกและภพภูมิต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่


ทั้งหมดที่ว่ามานี้...เป็นความโง่..ที่ไม่รู้ว่าโง่..ตรงไหน :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:

จิตเริ่มต้นของเราเป็นพุทธะ จิตเริ่มต้นตัวนั้นคือ อสังขตธาตุ ไม่มีจุดเกิด ไม่มีจุดตาย จิตเริ่มต้นตัวนั้นเป็นอมตะ ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร

จิตเริ่มต้นตัวนั้นแหละ ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มันจึงเป็นอมตะ

“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ...."
"....ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ...." (สูตรไหน ไม่รู้)

จิตเริ่มต้นที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ และเป็นอมตะตัวนั้นแหละ = อัตตา = นิพพานจิต = นิพพานธาตุ

- คนทุกคนในโลก ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ล้วนถูกไวรัสอวิชชา หรือไวรัสกิเลสตัณหา ครอบงำจิตใจ ยังกำจัดไวรัสอวิชชาไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองคือพุทธะ หรือพระเจ้า

- สติปัฏฐาน 4 คือ โปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน(สติปัฏฐาน 4)ร่วมกัน จึงจะเข้าใจความจริงของโลกและพระนิพพาน เพราะถ้าใช้แค่สติปัฏฐาน 4(วิปัสสนากรรมฐาน) แม้ว่าจะฆ่าไวรัสอวิชชาได้หมด และเข้าถึงพระนิพพาน แต่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องโลกและภพภูมิต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
"อัตตา" = แก่นแท้ ที่คุณเคยเป็น สิ่งนั้นไม่มีกิเลสอวิชชา มันจึงเป็นอมตะ เป็นนิรันดร ไม่มีความทุกข์ สิ่งนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า "อายตนะนิพพาน" หรือ "ธรรมกาย"


เฮ้อ

บิดเบือนพระพุทธศาสนา ได้เละโจ๊กจริง ๆ

อ่านมานาน พอจะเข้าใจแนวคิด ท่านคนดีที่โลกไม่ลืม ลากมาปนกับพุทธศาสนา จนหาที่ไปที่มาไม่เจอ

ลองเปรียบเทียบกันดูนะครับ


แนวคิดของลัทธินิครนถ์หรือศาสดามหาวีระ ที่เราเรียกว่าศาสนา เชน
มีแนวคิดแบบสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง คือ มีสิ่งที่เรียกว่า ชีวะ หรือ อัตตาเที่ยง)


มีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ

ส่วนแรก คือร่างกาย ส่วนที่สองคือชีวะ ร่างเป็นสสารที่เปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย แต่ชีวะเป็นอมตะ
แม้ว่ามนุษย์จะตายไปแล้วก็ตาม ชีวะตัวนี้จะแสวงหาที่เกิดใหม่ต่อไป

ที่ว่าชีวะหรือวิญญาณมีอยู่ตามธรรมชาติไม่มีผู้สร้าง

การต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นความทุกข์และเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา
ได้แก่ กษายะ (กิเลส)คือ โกรธะ ความโกรธ โลภะ ความอยากได้ มานะ ความถือตัว และมายา ความหลง
กิเลสทั้ง ๔ นี้เป็นสสารเหมือนกับยางเหนียว

ชีวะเดิมทีเดียวเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แต่ถูกกิเลสห่อหุ้มชีวะเอาไว้
จึงเป็นเหตุทำให้ชีวะไม่บริสุทธิ์ที่เรียกว่า พันธนาของชีวะ
จึงทำให้ชีวะหรือวิญญาณถูกมัดให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด
อยู่ในสังสารวัฏ เสวยสุขบ้าง เสวยทุกข์บ้าง ตามแต่อำนาจกรรม
มีการกระทางกาย (กายทัณฑะ) การกระทำทางวาจา (วจีทัณฑะ) การกระทำทางใจ (มโนทัณฑะ)
กรรมจึงมีความสำคัญมาก

การสิ้นกรรมเก่า (กรรมในอดีตชาติ) และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้สะสมกรรมใหม่
เมื่อกรรมหมดไปก็เป็นอันว่าบรรลุโมกษะได้

และการที่จะบรรลุโมกษะนั้นต้องประพฤติตบะอย่างเคร่งครัด ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค



ขอปัญญาจงบังเกิดมีเถิด

. :b53: :b53: :b53:.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คนดีที่โลกลืม เขียน:

จิตเริ่มต้นที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ และเป็นอมตะตัวนั้นแหละ = อัตตา = นิพพานจิต = นิพพานธาตุ

แม้..จิตเริ่มต้นแม้ประภัสสร..แต่ที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เพราะ..ยังไม่มีรูปสังขาร..ต่างหาก..แต่มีนันถิ..เพราะอวิชชา...จิตเริ่มต้นที่ประภัสสรจึงไม่ใช่..นิพพาน

เหมือนคนโง่..แต่ตัวเองไม่รู้เพราะไม่รู้ว่าตัวเอง..ไม่รู้อะไรบ้าง :b32: :b32:

ตอบ

จิตประภัสสร ไม่ใช่จิตหลุดพ้น หรือนิพพานจิตครับ
จิตมี 2 อย่าง
1. จิตหลุดพ้น หรือนิพพานจิต หรือจิตพุทธะ
2. จิตสังขาร ซึ่งเริ่มต้นมันเป็นจิตบริสุทธิ์หรือจิตปภัสสร พวกเราที่อยู่ในนิพพานปล่อยให้จิตสังขารลืมว่าตนเองเป็นพุทธะ และปล่อยให้มันลงมาวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ และทดลองใช้ขันธ์ 5 รวมทั้งลองเปรียบเทียบความสุขในนิพพานของเรา เทียบกับความสุขทุกข์ทางโลกที่ไม่ยั่งยืน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว มาเปิดร้านขายโปรแกรมที่นี่อีก ที่นี่ยังไม่เกมเลย :b32:

viewtopic.php?f=1&t=30242

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 มี.ค. 2010, 12:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีโลกลืมเขียน:

- คนทุกคนในโลก ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ล้วนถูกไวรัสอวิชชา หรือไวรัสกิเลสตัณหา ครอบงำจิตใจ ยังกำจัดไวรัสอวิชชาไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองคือพุทธะ หรือพระเจ้า

- สติปัฏฐาน 4 คือ โปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน(สติปัฏฐาน 4)ร่วมกัน จึงจะเข้าใจความจริงของโลกและพระนิพพาน เพราะถ้าใช้แค่สติปัฏฐาน 4(วิปัสสนากรรมฐาน) แม้ว่าจะฆ่าไวรัสอวิชชาได้หมด และเข้าถึงพระนิพพาน แต่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องโลกและภพภูมิต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่[/quote]

คุณกบนอกกะลาเขียน: ทั้งหมดที่ว่ามานี้...เป็นความโง่..ที่ไม่รู้ว่าโง่..ตรงไหน :b13: :b13:

คนดีโลกลืมตอบ

ไม่เข้าใจว่าคุณจะว่าตัวเองหรือว่าผมกันแน่ครับ ถ้าว่าผม ได้โปรดกรุณาแสดงความเห็นของคุณด้วยว่า ผมโง่ตรงไหน ถ้าแสดงความเห็นไม่ได้ บางทีคุณเองนั่นแหละอาจจะเป็นคนโง่ที่ถูกอวิชชา และกิเลสมารหลอกใช้ก็ได้นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากท่านคนดี ฯ พูดหรือแนะนำการสร้างบุญสร้างกุศลพื้นๆ เห็นๆ ซึ่งไม่ซับซ้อนหรือต้องศึกษาอะไรมากนัก

เช่น การทำบุญตักบาตรหน้าบ้านตอนเช้าๆ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน สร้างโบสถ์

สร้างห้องน้ำ สร้างศาลาถวายวัด

ปล่อยนก ปล่อยเต่า ปล่อยหอยขม ปล่อยปลาไหล ปล่อยปลาสวาย ลงแม่น้ำลำคลอง

หรือช่วยชีวิตโค-กระบือ จากโรงฆ่าสัตว์ จะน่าเชื่อถือกว่าเรื่องที่นำเสนอนั่น :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 มี.ค. 2010, 12:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงจีนงมงาย เขียน:
คนดีที่โลกลืม เขียน:

จิตเริ่มต้นของเราเป็นพุทธะ จิตเริ่มต้นตัวนั้นคือ อสังขตธาตุ ไม่มีจุดเกิด ไม่มีจุดตาย จิตเริ่มต้นตัวนั้นเป็นอมตะ ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร

จิตเริ่มต้นตัวนั้นแหละ ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มันจึงเป็นอมตะ

“....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ...."
"....ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ...." (สูตรไหน ไม่รู้)

จิตเริ่มต้นที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ และเป็นอมตะตัวนั้นแหละ = อัตตา = นิพพานจิต = นิพพานธาตุ

- คนทุกคนในโลก ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ล้วนถูกไวรัสอวิชชา หรือไวรัสกิเลสตัณหา ครอบงำจิตใจ ยังกำจัดไวรัสอวิชชาไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองคือพุทธะ หรือพระเจ้า

- สติปัฏฐาน 4 คือ โปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน(สติปัฏฐาน 4)ร่วมกัน จึงจะเข้าใจความจริงของโลกและพระนิพพาน เพราะถ้าใช้แค่สติปัฏฐาน 4(วิปัสสนากรรมฐาน) แม้ว่าจะฆ่าไวรัสอวิชชาได้หมด และเข้าถึงพระนิพพาน แต่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องโลกและภพภูมิต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
"อัตตา" = แก่นแท้ ที่คุณเคยเป็น สิ่งนั้นไม่มีกิเลสอวิชชา มันจึงเป็นอมตะ เป็นนิรันดร ไม่มีความทุกข์ สิ่งนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า "อายตนะนิพพาน" หรือ "ธรรมกาย"


เฮ้อ

บิดเบือนพระพุทธศาสนา ได้เละโจ๊กจริง ๆ

อ่านมานาน พอจะเข้าใจแนวคิด ท่านคนดีที่โลกไม่ลืม ลากมาปนกับพุทธศาสนา จนหาที่ไปที่มาไม่เจอ

ลองเปรียบเทียบกันดูนะครับ


แนวคิดของลัทธินิครนถ์หรือศาสดามหาวีระ ที่เราเรียกว่าศาสนา เชน
มีแนวคิดแบบสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง คือ มีสิ่งที่เรียกว่า ชีวะ หรือ อัตตาเที่ยง)


มีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ

ส่วนแรก คือร่างกาย ส่วนที่สองคือชีวะ ร่างเป็นสสารที่เปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย แต่ชีวะเป็นอมตะ
แม้ว่ามนุษย์จะตายไปแล้วก็ตาม ชีวะตัวนี้จะแสวงหาที่เกิดใหม่ต่อไป

ที่ว่าชีวะหรือวิญญาณมีอยู่ตามธรรมชาติไม่มีผู้สร้าง

การต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นความทุกข์และเป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา
ได้แก่ กษายะ (กิเลส)คือ โกรธะ ความโกรธ โลภะ ความอยากได้ มานะ ความถือตัว และมายา ความหลง
กิเลสทั้ง ๔ นี้เป็นสสารเหมือนกับยางเหนียว

ชีวะเดิมทีเดียวเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แต่ถูกกิเลสห่อหุ้มชีวะเอาไว้
จึงเป็นเหตุทำให้ชีวะไม่บริสุทธิ์ที่เรียกว่า พันธนาของชีวะ
จึงทำให้ชีวะหรือวิญญาณถูกมัดให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด
อยู่ในสังสารวัฏ เสวยสุขบ้าง เสวยทุกข์บ้าง ตามแต่อำนาจกรรม
มีการกระทางกาย (กายทัณฑะ) การกระทำทางวาจา (วจีทัณฑะ) การกระทำทางใจ (มโนทัณฑะ)
กรรมจึงมีความสำคัญมาก

การสิ้นกรรมเก่า (กรรมในอดีตชาติ) และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้สะสมกรรมใหม่
เมื่อกรรมหมดไปก็เป็นอันว่าบรรลุโมกษะได้

และการที่จะบรรลุโมกษะนั้นต้องประพฤติตบะอย่างเคร่งครัด ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

. :b53: :b53: :b53:.[/center]


มาอีกคนหนึ่งแล้ว กล่าวหาใส่ร้ายว่าผมบิดเบือนพระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ให้เหตุผลชัดเจนว่าผมบิดเบือนตรงไหน ที่คุณแย้งมาเป็นความคิดผิดๆของพราหมณ์บางพวก ไม่ใช่ความคิดของผมและพระพุทธเจ้า

1. ชีวะหรือวิญญาณที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นอนัตตา เกิดจากจิต(สังขาร)หรือวิญญาณธาตุ หรือเจตภูต หรือกายทิพย์ ดวงเก่า เข้าไปสิงสู่ในร่างของเด็กทารก มันจึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย พอตายแล้วก็ไปใช้วิบากกรรม เกิดในนรกสวรรค์พรหมโลกตามกรรมที่มันสร้างขึ้นบนโลก

2. ชีวะหรือวิญญาณมีอยู่ตามธรรมชาติไม่มีผู้สร้าง ไม่ถูกครับ พวกเราที่อยู่ในนิพพานสร้างมันขึ้นมาเพราะ

1. ในพระนิพพาน เรามีความสุขประเสริฐอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่ความสุขทางโลกียะ เราจึงต้องลองรับรู้ความสุขทุกข์ที่เป็นโลกียะดู
2. ในพระนิพพาน เรามีขันธ์หรือกายที่เป็นธรรมกาย มีอายุนิรันดร เราเลยลองใช้ขันธ์หรือกายที่เป็นอนิจจัง มีอายุจำกัดดูเพื่อเปรียบเทียบ
3. ถ้าเราดับจิตที่เป็นจิตสังขารได้ เราก็ดับสังสารวัฏฏ์ของเราได้ พอดับจิตสังขารได้ ก็จะมีจิตอีกอย่างคือ จิตหลุดพ้น หรือนิพพานจิต หรือจิตพุทธะปรากฏขึ้นมา


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 23 มี.ค. 2010, 14:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หากท่านคนดี ฯ พูดหรือแนะนำการสร้างบุญสร้างกุศลพื้นๆ เห็นๆ ซึ่งไม่ซับซ้อนหรือต้องศึกษาอะไรมากนัก

เช่น การทำบุญตักบาตรหน้าบ้านตอนเช้าๆ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ถวายสังฆทาน สร้างโบสถ์

สร้างห้องน้ำ สร้างศาลาถวายวัด

ปล่อยนก ปล่อยเต่า ปล่อยหอยขม ปล่อยปลาไหล ปล่อยปลาสวาย ลงแม่น้ำลำคลอง

หรือช่วยชีวิตโค-กระบือ จากโรงฆ่าสัตว์ จะน่าเชื่อถือกว่าเรื่องที่นำเสนอนั่น :b1:


นั่นเป็นหน้าที่ของพวกคุณซึ่งเป็นพุทธบริษัทต้องกระทำ ผมมีหน้าที่เดียวคือ เปิดเผยความลับสูงสุดในทุกศาสนา เรื่องที่คุณเสนอเป็นหน้าที่รองๆของผม เมื่อพวกคุณไม่เข้าใจหรือมีปัญหา ผมจึงจะเข้าไปช่วยตอบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




a599397540.gif
a599397540.gif [ 33.65 KiB | เปิดดู 4792 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
นั่นเป็นหน้าที่ของพวกคุณซึ่งเป็นพุทธบริษัทต้องกระทำ ผมมีหน้าที่เดียวคือ เปิดเผยความลับสูงสุดในทุกศาสนา เรื่องที่คุณเสนอเป็นหน้าที่รองๆของผม เมื่อพวกคุณไม่เข้าใจหรือมีปัญหา ผมจึงจะเข้าไปช่วยตอบ



ช่างร้ายเหลือ


http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=11306

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 มี.ค. 2010, 16:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:

จิตประภัสสร ไม่ใช่จิตหลุดพ้น หรือนิพพานจิตครับ
จิตมี 2 อย่าง
1. จิตหลุดพ้น หรือนิพพานจิต หรือจิตพุทธะ
2. จิตสังขาร ซึ่งเริ่มต้นมันเป็นจิตบริสุทธิ์หรือจิตปภัสสร พวกเราที่อยู่ในนิพพานปล่อยให้จิตสังขารลืมว่าตนเองเป็นพุทธะ และปล่อยให้มันลงมาวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอ และทดลองใช้ขันธ์ 5 รวมทั้งลองเปรียบเทียบความสุขในนิพพานของเรา เทียบกับความสุขทุกข์ทางโลกที่ไม่ยั่งยืน


แล้วที่เขียนมาตอนแรก...อย่างนี้..ละ
:b32: :b32:
คนดีที่โลกลืม เขียน:
..................
จิตเริ่มต้นที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ และเป็นอมตะตัวนั้นแหละ = อัตตา = นิพพานจิต = นิพพานธาตุ


หากเป็นหลักลอยอย่างนี้..คือ..วันนั้นคิดอย่างนี้..วันนี้จะเอาอย่างนั้น..หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้
มาคอยอ่านของคนอื่นที่ดี ๆ ..จะดีกว่าไหม??..
:b7: :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ์นี่ เป็นนักประชาสัมพันธ์ที่เก่งมากนะ
คือสินค้าเหมือนเดิม ไม่มีอะไรดึงดูด เริ่มตาย
คุณเขาก็ไปหาวิธีแต่งหน้าแต่งตาให้มันดูมีอะไรขึ้น ดูเข้ายุคเข้าสมัยขึ้น
มีการใช้คำทันสมัยๆ เรื่องทันสมัยๆ มาโยงใส่สินค้าที่ขาย
ทำให้ดูน่าสนใจ ไม่ตกกระแส เร้าความสนใจชาวเน็ต

แหม ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
ผมชอบสิ่งนี้ของคุณเขา ครีเอถีบมากๆ
:b13:


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 23 มี.ค. 2010, 22:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:

- คนทุกคนในโลก ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ล้วนถูกไวรัสอวิชชา หรือไวรัสกิเลสตัณหา ครอบงำจิตใจ ยังกำจัดไวรัสอวิชชาไม่ได้ ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองคือพุทธะ หรือพระเจ้า

- สติปัฏฐาน 4 คือ โปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้ทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน(สติปัฏฐาน 4)ร่วมกัน จึงจะเข้าใจความจริงของโลกและพระนิพพาน เพราะถ้าใช้แค่สติปัฏฐาน 4(วิปัสสนากรรมฐาน) แม้ว่าจะฆ่าไวรัสอวิชชาได้หมด และเข้าถึงพระนิพพาน แต่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องโลกและภพภูมิต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่


อ้างคำพูด:
คุณกบนอกกะลาเขียน: ทั้งหมดที่ว่ามานี้...เป็นความโง่..ที่ไม่รู้ว่าโง่..ตรงไหน :b13: :b13:


อ้างคำพูด:
คนดีโลกลืมตอบ

ไม่เข้าใจว่าคุณจะว่าตัวเองหรือว่าผมกันแน่ครับ ถ้าว่าผม ได้โปรดกรุณาแสดงความเห็นของคุณด้วยว่า ผมโง่ตรงไหน ถ้าแสดงความเห็นไม่ได้ บางทีคุณเองนั่นแหละอาจจะเป็นคนโง่ที่ถูกอวิชชา และกิเลสมารหลอกใช้ก็ได้นะครับ


ขอโทษครับ...ที่ไม่ได้เน้น ..ให้เห็น..ชอบคิดอยู่เรื่อยเลยคนอื่นจะรู้..นี้ข้อเสียของตัวเองเลยแหละ

ถามว่า..ผมโง่ตรงไหน??..หรือ :b32: :b32:
ก็ตรงนี้..ชัดเจนมาก :b12:
1..
อ้างคำพูด:
สติปัฏฐาน 4 คือ โปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4

2..
อ้างคำพูด:
เพราะถ้าใช้แค่สติปัฏฐาน 4(วิปัสสนากรรมฐาน) แม้ว่าจะฆ่าไวรัสอวิชชาได้หมด และเข้าถึงพระนิพพาน แต่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องโลกและภพภูมิต่างๆในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่


ส่วนความเห็นของผม..นะหรือ..ง่าย ๆ คือ..ตรงข้ามที่คุณว่ามานี้แหละ :b11:

ส่วนที่ว่า..
อ้างคำพูด:
บางทีคุณเองนั่นแหละอาจจะเป็นคนโง่ที่ถูกอวิชชา และกิเลสมารหลอกใช้ก็ได้นะครับ

:b12: :b12: อันนี้..จริงเลย..ผมยังถูกอวิชชาครอบอยู่..แต่ความคิดเริ่มจะมี..สัมมาทิฏฐิ..บ้างแล้วนะครับ..จะหาว่าคุย :b11: :b11:
wink

เริ่มมีวิชชา..เต้นฟุ้ตเวิรก์..แยบซ้ายแยบขวา..เป็นแล้วนะ..จะบอกให้ :b4: :b4: :b4:

แบบ.. ไม่ได้โม้ :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 23 มี.ค. 2010, 22:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 23:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:


ก็ตรงนี้..ชัดเจนมาก :b12:
1..
อ้างคำพูด:
สติปัฏฐาน 4 คือ โปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ก่อนหน้านั้น ศาสนาพราหมณ์ค้นพบสมถะกรรมฐาน หรือสมาธิ ซึ่งเป็นโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาอีกแบบหนึ่ง แต่โปรแกรมสมถะกรรมฐาน ใช้เวลานานมากกว่าโปรแกรมฆ่าไวรัสอวิชชาด้วยสติปัฏฐาน 4


ตอบ

สมถะกรรมฐานหรือเจโตวิมุติหรือสมาธิ ฆ่าไวรัสอวิชชาได้ช้ามาก ฆ่าราคะได้หมดก่อน พอฆ่าหมดก็ไปติดที่โทสะและโมหะอีก แล้วเจโตวิมุติหรือสมาธิก็ยังกำเริบได้ จึงต้องใช้สติปัฏฐาน 4 หรือวิปัสสนาเข้าช่วย ตัวอย่างเห็นได้ชัด อุทกดาบส และอาฬารดาบส ทำแต่สมาธิได้ถึงที่สุดแล้ว ฆ่ากิเลสหยาบได้หมดด้วย แต่กิเลสละเอียดฆ่าได้ไม่หมด โมหะ(ความหลง)ยังมีอยู่ จึงไปได้แค่อรูปพรหม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 127 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร