วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 21:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 08:42
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สตินะครับ สติเนี่ยแหละ ทำไม่ได้ เค้าว่า
..
..
"สติทำไม่ได้ เพราะสติจะเกิดหรือไม่เกิด
เป็นไปตามที่มโนทวาราวัชชนะจิต/โวฏฐัพพนจิตสั่ง ไม่ใช่ตามที่เราอยากให้เป็น"

..
..
แถม สติต่อเนื่องก็ยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่
..
..
"ใครก็ทำสติให้ต่อเนื่องไม่ได้ แค่ทำสติขณะจิตเดียวยังทำไม่ได้เลย
เพราะจิตจะมีสติหรือมีกิเลสก็ด้วยอำนาจของมโนทวารวัชชนจิต/โวฏฐัพพนจิตเป็นผู้กำหนด"

..
..
ทีหลังต้องให้เค้าบอกว่า "หายใจเหรอ ทำไม่ได้หรอก มันเป็นไปด้วย มโนทวารวัชชนจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


"ทำสติ" ??? เป็น ภาษาที่แปลก... ไม่ค่อยจะมาตรฐาน



ปกติเราใช้คำว่า "เจริญสติ"กัน มากกว่า




ลองดู ความหมายของคำว่า เจริญ จาก พจนานุกรมกัน


พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

อ้างคำพูด:
ก. เติบโต, งอกงาม, ทําให้งอกงาม


คำว่า เจริญ มันครอบคลุมคำว่า ทำ ด้วย ... คือ ทำให้งอกงาม



ถ้าใช้คำว่า "ทำสติ" ....มันก็ต้องมาตีความกันอีก ว่า หมายถึงการบังคับให้สติที่เป็นอนัตตา(บังคับไม่ได้)ให้เกิดขึ้น หรือไม่??? :b6:



แต่ ถ้าใช้คำว่า "เจริญสติ" มันก็จะสืบเนื่องกับ"เจริญอริยมรรค"หรือ ภาวนา(กระทำให้เจริญ)...
ซึ่ง ก็เป็นภาษามาตรฐาน ที่ใช้กันอยู่แล้ว
ไม่ต้องตีความอะไรกันให้วกวนวุ่นวาย....
ก็คือ เพียรประกอบเหตุที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์




เอาเป็นว่า ถ้า"ทำสติ"เป็นสิ่งที่ผิด

ก็ มา"เจริญสติ"แทนแล้วกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สติ เป็นสังขตธรรม
หมายความว่าเกิดจากเหตุ

ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ โดยปราศจากเหตุ ท่านจึงพูดว่า "ใครก็สั่งสติให้เกิดไม่ได้"
แต่เมื่อเหตุของสติพร้อม สติก็เกิดเอง

ไปอ่านกระทู้ "อะไรคือเหตุของสติ" สิครับ


ที่ว่า "เจริญสติ"
ถ้าจะพูดให้เต็มยศ ต้องพูดว่า "เจริญเหตุของสติ"


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 07 เม.ย. 2010, 17:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 06:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 08:42
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นักปฏิบัติที่ดี ต้องไม่ดัดจริต หลอกผู้อื่นและตนเอง
..
..
จะมาตั้งแง่เล่นคำพูดไปทำไม???
ผมกินข้าว ...
คือ ผมอ้าปาก เคี้ยวข้าว ลงไปอยู่ในท้อง ย่อย ผ่านลำไส้แล้วก็ขี้ออกมา
นั่นแหละผมกินข้าว
..
..
เหตุอยู่ตรงไหน??? ผมหิวเลยกินรึ???
หรือสมองมีคลื่นไฟฟ้าเกิดขึ้นโดยฉับพลันส่งสัญญานไปที่กล้ามเนื้อกรามอ้าปากหุบปากรึ???
ผมกินข้าวนี่ ยากขนาดนั้นเลยนะ เกิดจากมโนโมนาลิซ่ารึ???
..
ทำสติให้เกิด เนี่ย ยากขนาดนั้นเลยรึ???
..
..
คนมันดัดจริตไง ถึงต้องชูตนเองด้วยการสร้างเงื่อนไขให้ยอกย้อน
1+1=2
มันต้องยอกย้อนไปเป็น
(logx+5y*lnZ-lnZ*5y)/logx*(sinQ-sinQ*cosR/cosR)+2=2


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


30707.หลวงพ่อปราโมทย์บอกว่า "ใครก็ทำสติไม่ได้"

ใคร ก็เป็นอัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 08:42
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"แต่เมื่อเหตุของสติพร้อม สติก็เกิดเอง"
..
..
จะทำการเดินเนี่ย ต้องรอให้ "เหตุที่ว่า"พร้อมมั้ย???
จะทำการกินเนี่ย ต้องรอให้ "เหตุที่ว่า"พร้อมมั้ย???
อย่าดัดจริตกับใจตัวเอง
..
..
คนมันมีสติอยู่ ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีสติอยู่
... โดน "เค้า" หลอกว่า นั่นไม่ใช้ "สติ" นะ "สติจริง ทำไม่ได้"
แล้วดันไปเชื่อ "เค้า" อีก ...
ถ้าไม่มี "สติ" ไอ้ที่มันควบคุมตัวเองอยู่นี่คืออะไร???
..
..
คนเมาไม่มีสตินะ .. คนตกภวังค์ก็ไม่มีสติ
แต่ ตอนนี้คุณก็มีสติ และผมก็มีสติ ... เนี่ย มันคืออะไร ถ้าไม่ใช่ "สติ"
"สติ"ตัวนี้แหละ ที่ทำให้คนเป็นคน ไม่ฆ่ากัน
เป็น "สติ" ตัวที่ทำให้ผมเข้าใจคุณไง
เป็นสติตัวเดียวกับที่ใช้ ปัญญาอบรมสมาธิ หรือ สมาธิอบรมปัญญา
เป็นได้ทั้งคนละตัวและตัวเดียวกับ สติปัฏฐานที่ "เค้า" ให้ทำ (เจริญ) เลยน่ะ
แล้ว....เจริญสติปัฏฐานอย่างนั้น ที่เค้าว่าไม่ต้องทำสมาธิก่อนก็ ทำได้น่ะ
แต่ ....นั่นมันเป็น ปัญญาอบรมสมาธิ นะ
..
เมื่อ "สติ" ต่อเนื่องกับคำบริกรรม เช่น "พุทโธ"
ต่อเนื่องอย่างแท้จริงนะ ไม่เป๋หลุดไปที่ความว่าง สบายๆ
ถ้า "สติ" ต่อเนื่องกับคำบริกรรม เช่น "พุทโธ" ย่อมเป็นสมาธิ จากขณิก ไปถึงอุปจาร หรืออัปปนา
..
..
จะใช้วิธีไหนเพื่อเข้าสมาธิ ก็ต้องใช้ ต้องทำ "สติ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณสามคนนี่ เหมือนกันอยู่อย่าง

คือไม่รู้เรื่อง "ปัจจยาการ" และ อิทัปปัจจยตา
เลยทำให้เข้าใจอะไรสับสนอลหม่านไปหมด

เป็นเรื่องพื้นฐาน แต่มีความสำคัญมาก
ให้คุณไปศึกษาเอาเถิดนะ ผมแนะได้แค่นี้


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 08 เม.ย. 2010, 15:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 08:42
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นๆ เปิดประเด็นใหม่แล้ว
เอาแค่เรื่อง สติง่ายๆแค่นี้เอง สตินะครับ
ส่วนเรื่อง สติปัฏฐานสี่ที่ถูกต้อง เชิญอ่าน
http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=182
..
..
อยากรู้เรื่องปัจจยาการให้ไปฟัง หลวงพ่อสงบเทศน์
ตอนที่ว่า จิตไม่ใช่ขันธ์ดีกว่านะ ท่านอธิบายปัจจยาการของจิตชัดเจนมากๆ
(อยู่กัณฑ์ไหนนะ ผมลืมไปซะแล้ว)
แหะๆ แต่ผมได้แค่ฟัง เพราะถ้าไปรู้ไปเห็นปัจจยาการแล้ว คงไม่ต้องมาเสียเวลากับคุณกระมัง
..
..
แถมเรื่องจิตดวงเดียวหลายดวง และ จิตไม่ใช่ขันธ์ ...จิตไม่เป็นนิรันดร์
http://www.sa-ngob.com/content_show.php?content=159
..
สามคนไหนนะ???


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"อะไรคือเหตุของสติ"

ดับที่เหตุ จึงปกติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 01:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Satoranai เขียน:
ผมกินข้าว ...
คือ ผมอ้าปาก เคี้ยวข้าว ลงไปอยู่ในท้อง ย่อย ผ่านลำไส้แล้วก็ขี้ออกมา
นั่นแหละผมกินข้าว
..
..
เหตุอยู่ตรงไหน??? ผมหิวเลยกินรึ???
หรือสมองมีคลื่นไฟฟ้าเกิดขึ้นโดยฉับพลันส่งสัญญานไปที่กล้ามเนื้อกรามอ้าปากหุบปากรึ???
ผมกินข้าวนี่ ยากขนาดนั้นเลยนะ เกิดจากมโนโมนาลิซ่ารึ???
..
ทำสติให้เกิด เนี่ย ยากขนาดนั้นเลยรึ???
..
..
คนมันดัดจริตไง ถึงต้องชูตนเองด้วยการสร้างเงื่อนไขให้ยอกย้อน
1+1=2
มันต้องยอกย้อนไปเป็น
(logx+5y*lnZ-lnZ*5y)/logx*(sinQ-sinQ*cosR/cosR)+2=2


ถ้าเป็นคนที่รู้จักว่าอะไรเหตุ อะไรผล อะไรปัจจยาการ
เขาไม่ถามอย่างนี้หรอกครับคุณ

การที่คุณพูดอย่างนี้ออกมา มันเป้นการควักไส้ควักพุงของคุณออกมาหมดเลย ไม่มีเหลือ
แค่หน้าใหม่หัดขบคิดเรื่องธรรมได้หน่อยนึง
เอาทิฐิมาิพิพากษาธรรมไปวันๆ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 09 เม.ย. 2010, 01:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L
...ขออนุญาตพาดพิงหัวข้อในการตั้งกระทู้นะเจ้าคะ...
...การตั้งกระทู้เพื่อแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องปกติที่ทำได้...
...แต่ไม่ควรกล่าวพาดพิงเพ่งโทษผู้อื่น...ด้วยคิดว่าสอนไม่ดี ไม่ชอบ...
...ควรรีบเร่งเพ่งจิตตนที่คิดเพ่งเล็งโทษว่าอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ดีไม่ถูกอยู่เสมอ...
...เพราะไม่ได้ช่วยแก้กิเลสในใจตนเลย...กลับเพิ่มกิเลสและไม่เกิดปัญญาฆ่ากิเลส...
...ไม่เอา...ไม่ดี...ไม่พูด...จะบาปโดยรู้เท่าไม่ถึงการอันจะเป็นกรรมตามติดตัวไปภายหน้า...
:b22: :b21:
mellow mellow mellow


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:58
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เซฟตัวเองเอาไว้ก่อนดีไหม

ถ้าไม่ศรัทธาคำสอนของท่าน ก็อย่าวิจารณ์

หากวันข้างหน้า เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว และกระดูกของท่านกลายเป็นพระธาตุ คนที่เอาคำสอนของท่านมาวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ จะแก้ไขได้อย่างไร

อย่าลืมว่า ท่านมีเจโตวิมุตติ ท่านรู้วาระจิตคนอื่นได้จริงๆ ถ้าแนวทางปฏิบัติของท่านผิดแบบ 100 % แล้วท่านจะมีเจโตฯ ขึ้นมาได้อย่างไร

ยังไง ยังไง แนวทางของท่านก็ต้องมีส่วนถูกต้องบ้าง ท่านจึงมีเจโตฯ สามารถรู้วาระจิตคนอื่นได้

ตอนนี้เซฟตัวเองเอาไว้ก่อนดีไหม

อย่าเสี่ยงดีกว่านะ ได้ไม่คุ้มเสียหรอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 09:17
โพสต์: 239

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


2504 เขียน:
เซฟตัวเองเอาไว้ก่อนดีไหม

ถ้าไม่ศรัทธาคำสอนของท่าน ก็อย่าวิจารณ์

ตอนนี้เซฟตัวเองเอาไว้ก่อนดีไหม

อย่าเสี่ยงดีกว่านะ ได้ไม่คุ้มเสียหรอก



:b8: ...สาธุๆๆ


.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


Satoranai เขียน:

"สติทำไม่ได้ เพราะสติจะเกิดหรือไม่เกิด
เป็นไปตามที่มโนทวาราวัชชนะจิต/โวฏฐัพพนจิตสั่ง ไม่ใช่ตามที่เราอยากให้เป็น"


ๆลๆ

"ใครก็ทำสติให้ต่อเนื่องไม่ได้ แค่ทำสติขณะจิตเดียวยังทำไม่ได้เลย
เพราะจิตจะมีสติหรือมีกิเลสก็ด้วยอำนาจของมโนทวารวัชชนจิต/โวฏฐัพพนจิตเป็นผู้กำหนด"








บทธรรมเทศนา ของ หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย เกี่ยวกับเรื่อง การเจริญสติ ครับ



อุบายที่จะทำให้ตัณหาดับนั้นคือทำอย่างไร

ทำสติอย่างเดียว

สิ่งใดเกิดขึ้นทางตาทำสติรู้ ถ้าจิตเกิดความยินดียินร้าย พิจารณาหามูลเหตุว่าทำไมจึงยินดียินร้าย
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ก็เหมือนกัน ในเมื่อสัมผัสเข้าแล้วเกิดความพอใจ ไม่พอใจ มาทำสติพิจารณาสิ่งนั้น

แม้ว่าเราจะไม่รู้จริงเห็นจริง แต่เราเอาสิ่งนั้นเป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ โดยธรรมชาติของจิตแล้ว ถ้าหากว่ามีสิ่งรู้แล้วมีสติระลึกอยู่กับสิ่งนั้น ในเมื่อตั้งใจ สนใจ เอาใจใส่ จดจ้องดูอยู่ตลอดเวลา เป็นการปฏิบัติคือการทำสมาธิ เป็นการเจริญสมถวิปัสสนาไปในตัว

เพราะสิ่งใดที่เราดูด้วยความมีสติสัมปชัญญะ ย่อมเป็นอุบายให้จิตสงบเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วย่อมมีปีติ มีความสุข และมีเอกัคคตา เช่นเดียวกับการภาวนาอย่างอื่น

จุดหมายของการภาวนา คือ การสร้างพลังสติสัมปชัญญะ

เพราะฉะนั้น จุดมุ่งหมายของการเจริญสมถวิปัสสนา ที่แน่ๆ ที่สุด อยู่ตรงที่ฝึกฝนอบรมให้มีสติสัมปชัญญะมีพลังเข็มแข็ง ซึ่ง เรียกว่า สติพละ

สติพละสามารถที่จะประคับประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติเมื่อประสบกับอารมณ์ต่างๆ สตินทรีย์ เมื่อสติพละเพิ่มกำลังขึ้นกลายเป็นสตินทรีย์ เป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวงสามารถที่จะปฏิวัติตนไปสู่การค้นคว้าพิจารณาหาเหตุผลในสิ่งนั้นๆ จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎแห่งความเป็นจริง

เมื่อสตินทรีย์มีพลังแก่กล้าขึ้น จะกลายเป็นสติวินโย คือมีสติเป็นผู้นำ กระชับแน่นอยู่ที่ดวงจิตของผู้ปฏิบัติไม่พรากจากกันตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด หลับ และตื่น สายสัมพันธ์แห่งสติสัมปชัญญะตัวนี้จะต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดสาย





เสนอ สังเกตุ

หลวงพ่อพุธ ท่านกล่าวถึงการเจริญสติในเบื้องต้นด้วยคำว่า "ทำสติ" ....ซึ่ง มีคำว่า "ตั้งใจ" และ "จดจ้อง" อยู่ด้วย :b6:

และ ในตอนจบ กล่าวถึง สติวินโย ว่า "สายสัมพันธ์แห่งสติสัมปชัญญะตัวนี้จะต่อเนื่องกันโดยไม่ขาดสาย" :b6:


แก้ไขล่าสุดโดย ตรงประเด็น เมื่อ 16 เม.ย. 2010, 16:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้า ด้วยเหตุผลที่ว่า สติเป็นอนัตตา(อนัตตา คือ บังคับบัญชาไม่ได้)... การเจริญสติโดยตรง คือ การพยายาม(บังคับ)ให้ สติที่เป็นอนัตตา(บังคับบัญชาไม่ได้) บังเกิดขึ้น... จึงผิด.

ที่ถูก คือ bypass ไปเจริญ"เหตุใกล้แห่งสติ"คือ ถิรสัญญา แทน???




แล้ว เหตุใกล้แห่งสติ(ถิรสัญญา) เป็น อนัตตา ไหม???

ถ้า เหตุใกล้แห่งสติ(ถิรสัญญา) ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน เราก็ไม่ควรไปเจริญเหตุใกล้แห่งสติ(ถิรสัญญา)โดยตรงอีก เพราะ จะเป็นการพยายาม(บังคับ)ให้สิ่งที่เป็นอนัตตา บังเกิดขึ้นอีก. ที่ถูก คือ เจริญเหตุแห่งเหตุใกล้แห่งสติ(เหตุแห่งถิรสัญญา) แทน???



แล้ว เหตุแห่งเหตุใกล้แห่งสติ(เหตุแห่งถิรสัญญา) เป็น อนัตตา ไหม???

ถ้าเหตุแห่งเหตุใกล้แห่งสติ(เหตุแห่งถิรสัญญา) ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน เราก็ไม่ควรไปเจริญเหตุแห่งเหตุใกล้แห่งสติ(เหตุแห่งถิรสัญญา)โดยตรงอีก เพราะ จะเป็นการพยายาม(บังคับ)ให้สิ่งที่เป็นอนัตตา บังเกิดขึ้นอีก. ที่ถูก คือ เจริญเหตุแห่งเหตุแห่งเหตุใกล้แห่งสติ แทน???



แล้ว เหตุแห่งเหตุแห่งเหตุใกล้แห่งสติ เป็นอนัตตาไหม???

เรา มิคงต้อง bypass ไปเรื่อยๆ ๆๆๆๆๆๆ .... ไม่ต้องเจริญอะไรกันสักที???





ความจริงแล้ว จากระดับพระสูตร ก็มีคำว่า เจริญอริยมรรค(เจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ) อยู่แล้ว


Quote Tipitaka:
[๘๓๑]เมื่อบุคคลนั้น เจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ อยู่อย่างนี้ ชื่อว่า
มีสติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
ถึงความเจริญบริบูรณ์

บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้ คือ สมถะและ วิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป

ๆลๆ

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔สุตตันตปิฎกที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์



สัมมาสติ ก็เป็นองค์ธรรมข้อหนึ่งใน อริยมรรค...

ทำไมในพระไตรปิฎกแปลไทยก็ใช้คำว่า เจริญอริยมรรค ได้นี่ .... แล้วทำไม จะใช้คำว่า เจริญสัมมาสติไม่ได้ .....???



ไม่เห็นพระสูตรไหน แสดงว่า

" ระวังน่ะ อย่าไปเจริญอริยมรรค(ที่เป็นอนัตตาด้วยเช่นกัน)โดยตรง เพราะ จะเป็นการพยายาม(บังคับ)ให้อริยมรรคที่เป็นอนัตตา บังเกิดขึ้น ซึ่งผิด....ให้ไปเจริญเหตุใกล้แห่งอริยมรรคแทน".....???




ดังนั้น ถึงแม้นสติจะเป็นอนัตตาก็จริง.... แต่ สติเจริญได้ (มรรคพึงเจริญ)

ไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องเลี่ยงไปเจริญเหตุแห่งสติอะไร ให้สับสนวุ่นวาย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 174 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร