วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 10:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 276 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 23:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


00 เขียน:
ต้องกลับไปหนองคาย สำรอกแล้วสำรอกอีก


รู้แล้วล่ะจ้ะว่าอยู่หนองคาย เพราะพูดมาออกบ่อย
เอแต่รู้สึกว่า ไปทั่วไทยเลยนิ โดยเฉพาะทางเหนือ สำคัญมากๆเลย :b1:
หรือว่าแค่อ่านจากการท่องเที่ยว





อีกหนึ่งยูสเซอร์ แต่เป็นด้านสว่างมาตอบโต้กับอีกยูสเซอร์ของตัวเอง
แล้วก็มาให้การอนุโมทนากับอีกยูสเซอร์ของตัวเอง
หาอ่านได้ในกระทู้บันทึกการเจริญสติของ วารินเน่



00 เขียน:
00 เขียน:

เป็นกำลังใจให้จ้า :b17:

ปราบมารสารเลวในใจเธอให้ได้นะจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b53:

:b8: :b8: :b8:


สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง


คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)


อ้างคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)


สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)


00 เขียน:
อนุโมทนาสาธุจ้า






เหตุทั้งหมดเกิดจากตรงนี้ คือ คนๆนี้อยากสอนวารินเน่ แต่วารินเน่ให้การปฏเสธ
จึงได้มีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมา



00 เขียน:
จขกท. Varinne
การเจริญสติปัฏฐาน และการเจริญนิวรณ์ นั้นต่างกันครับ

การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อชำระจิตให้สะอาดด้วยการเจริญโลกุตตรฌานด้วยวิปัสสนาจิต มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

แต่การเจริญนิวรณ์ คือสิ่งที่คุณVarinne ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นการเจริญนิวรณ์โดยเจตนา เพื่อยึดเอารูปนามตลอดไป ยิ่งปฏิบัติยิ่งฟุ้ง ฟุ้งไปความคิดความคำนึงของตนแต่นึกว่า เป็นสมถะบ้าง วิปัสสนาบ้าง
แล้วแต่ว่าความฟุ้งนั้นจะแล่นไปในภายนอก หรือในภายใน

ที่แล่นไปในภายนอก ก็คือการใส่ใจในการก้าวเดิน เหมือนหุ่นยนต์ แล้วแล่นไปในภายในคือความตามติดใจจดจ่อในอาการนั้นว่าเป็นความรู้สึกตัวเป็นสัมปชัญญะเป็นสติ

ยิ่งเจริญนิวรณ์มากเท่าไหร่ จะยิ่งปักยิ่งปำอยู่กับอุเบกขาอันประกอบด้วยอุทธัจจะจนยากที่จะไถ่ถอน

ในเบื้องต้น เข้าใจเสียก่อนว่า จิตเป็นกุศลเมื่อไหร่ให้ผลเป็นสุขเสมอ
เพียงแต่ จขกท. สงบจิตจากเครื่องกังวล จากความคิดโลภ คิดโกรธ คิดเบียดเบียน จากความคิดความตรึกในความขุ่นใจ ใดๆ ระลึกในพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นที่ให้มีความสงบเย็น แล้วสวดมนต์ จิตที่สงบเพียงชั่วครู่ก็จะสัมผัสได้ ด้วยอาการนั้นสติปัฏฐาน 4 ก็ยังชื่อว่า บริบูรณ์
มีนิวรณ์อันสงบระงับ

ในเบื้องต้นจับความรู้สึกเช่นนี้ก็เพียงพอ

เจริญธรรม



เกิดการตอบโต้

varinne เขียน:
00 เขียน:
อ้างคำพูด:
ขอโทษนะคะ... แต่ว่า เราไม่ได้เจริญ นิวรณ์ อะไรก็ตามที่คุณพูดมาทั้งสิ้นคะ
แล้วคุณบอกว่าเราฟุ้ง นึกว่าเป็นสมถะบ้าง วิปัสสนา อะไรบ้าง คุณมั่วหรือเปล่าคะ เราไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้นคะ เราแค่ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นในจิตใจของเรา
โกรธ ก็รู้ว่าโกรธ ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง

นี่คือ การเจริญสติปัฏฐานของเราคะ
กรุณาอย่าสับสน



ฟุ้งตามสบาย

อ้างคำพูด:
แล้วที่คุณพูดมาน่ะ เราว่าไม่ใช่เจริญสติปัฏฐานหรอก ก็แค่หนีกิเลสไปเป็นพรหมลูกฟักก็แค่นั้นแหละ และสุดท้าย เราไม่ได้ต้องการเบื้องต้นด้วยคะ เราว่าคุณยังสอบอารมณ์คนไม่ได้หรอกคะ พูดจริงๆ



หลงในทิฏฐิ อย่างยากไถ่ถอน
ตามสบายนะ Onion_L Onion_L




พูดแบบนี้ก็ไปไกลๆเลยคะ ไม่ต้อนรับ Onion_L Onion_L



ตามหลักของผู้ที่สนใจเรื่องการปฏิบัติของผู้อื่นนั้น จะไม่ตอแยหรือเซ้าซี้ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ยินดีด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ใช้ยูสเซอร์ใหม่อีกสองยูสเซอร์ ไปกล่าวโจมตีแนวทางการปฏิบัติของวารินเน่
รวมทั้งมาถกเถียงกับคานะเลิฟ แบบในทำนองยั่วยุจะให้เขาโกรธ


นี่หรือ สภาวะของผู้ที่เอ่ยอ้างตนเองว่า อันผู้สลัดตัวตนออกแล้ว ย่อมไม่มีความกระหาย
แลเห็นประโยชน์ และสาระ แก่นสารใดๆ ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ...


อีกยูสเซอร์ก็พร่ำพูดว่า


00 เขียน:

ความรู้สึก ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้

เพราะมีตัวตน จึงไปข้องกับความรู้สึก


:b17: :b17: :b17:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 15 เม.ย. 2010, 23:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:


การโพสมาของคนๆนี้ เป็นการเปิดเผยสภาวะ ด้วยคิดว่า เราคงจำไม่ได้
ยูสเซอร์นี้ เพิ่งจะสมัครเข้ามาใหม่ แล้วเรื่องการกินเจนี่ เราเขียนไว้ในบล็อกนานแล้ว
และเขียนไว้ชัดเจนว่า ทำไมถึงกิน กินเพื่ออะไร

เหตุที่เรากิน เพราะต้องการให้ด้านกำลังใจของพนักงานบริษัทคนหนึ่ง
แม่ของพี่เขาป่วย ซึ่งเขามีความหวังว่า เป็นความเชื่อของเขา
ว่าถ้าพาใครไปรับอนุตรธรรมได้ แม่เขาจะอยู่ได้อีกนาน เมื่อเขามาขอร้องให้ช่วย
ก็เลยไปถือศิล8 กินเจ และรับอนุตรธรรมให้กับพี่เขา เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ น่าจะ 10 กว่าปีมาแล้ว
แต่ได้นำไปบันทึกไว้ในบล็อก ซึ่งคนๆนี้ ได้เข้าไปอ่านในบล็อก และได้อ่านจากกระทู้ในบอร์ด
ที่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องมุมมอง ของการรับอนุตรธรรมกัน เรียกว่าสนทนาธรรมแบบไม่มีแบ่งแยก
ว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน นี่อีกหนึ่งยูสเซอร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพิ่งสมัครเข้ามา

แล้วก็เรื่องการเหม็นกลิ่นคนนั้น คนๆนี้อ่านไม่ละเอียดเองว่า เราเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง
แล้วทำไม เราถึงต้องเลิกกินเจ ทั้งที่กินมาเป็นปี เหตุที่ต้องเลิกเพราะอะไร


ที่เลิกกินเจ เพราะเธอกระหายอยากกกกกกก
อยาก มากินของคาวยังไงล่ะจ๊ะ

กระหายอยากมากินของคาวไงล่ะจ๊ะ

ถ้าเธอไม่ดิ้นรน เธอก็จะพึงใจ ในของที่กินอยู่เดิม
แต่เธอดิ้นรน ดิ้นรน เพื่อไปหาของคาวกิน ไงล่ะจ๊ะ

จนเป็นเหตุให้ชี้ให้เห็น และล้วงให้เธอสำรอก ออกมาไงล่ะจ๊ะ

จุ๊ปส์ๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


00 (8) sirisuk ละจ้า
อ้างคำพูด:
อ้างคำพูด:
00 เขียน:

เป็นกำลังใจให้จ้า :b17:

ปราบมารสารเลวในใจเธอให้ได้นะจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b53:

:b8: :b8: :b8:



สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง


คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)

อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)

สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)



อิอิ ถ้าคุณป้า walaiporn ยังจะไหลตามความเพี้ยนต่อก็สำรอกออกมาเลยนะจ้า :b4:


อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:

:b53: :b53: :b53:


แก้ไขล่าสุดโดย noohmairu เมื่อ 15 เม.ย. 2010, 23:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
00 เขียน:
ต้องกลับไปหนองคาย สำรอกแล้วสำรอกอีก


รู้แล้วล่ะจ้ะว่าอยู่หนองคาย เพราะพูดมาออกบ่อย
เอแต่รู้สึกว่า ไปทั่วไทยเลยนิ โดยเฉพาะทางเหนือ สำคัญมากๆเลย :b1:
หรือว่าแค่อ่านจากการท่องเที่ยว





อีกหนึ่งยูสเซอร์ แต่เป็นด้านสว่างมาตอบโต้กับอีกยูสเซอร์ของตัวเอง
แล้วก็มาให้การอนุโมทนากับอีกยูสเซอร์ของตัวเอง
หาอ่านได้ในกระทู้บันทึกการเจริญสติของ วารินเน่



00 เขียน:
00 เขียน:

เป็นกำลังใจให้จ้า :b17:

ปราบมารสารเลวในใจเธอให้ได้นะจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b53:

:b8: :b8: :b8:


สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง


คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)


อ้างคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)


สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)


00 เขียน:
อนุโมทนาสาธุจ้า






เหตุทั้งหมดเกิดจากตรงนี้ คือ คนๆนี้อยากสอนวารินเน่ แต่วารินเน่ให้การปฏเสธ
จึงได้มีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมา



00 เขียน:
จขกท. Varinne
การเจริญสติปัฏฐาน และการเจริญนิวรณ์ นั้นต่างกันครับ

การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อชำระจิตให้สะอาดด้วยการเจริญโลกุตตรฌานด้วยวิปัสสนาจิต มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

แต่การเจริญนิวรณ์ คือสิ่งที่คุณVarinne ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นการเจริญนิวรณ์โดยเจตนา เพื่อยึดเอารูปนามตลอดไป ยิ่งปฏิบัติยิ่งฟุ้ง ฟุ้งไปความคิดความคำนึงของตนแต่นึกว่า เป็นสมถะบ้าง วิปัสสนาบ้าง
แล้วแต่ว่าความฟุ้งนั้นจะแล่นไปในภายนอก หรือในภายใน

ที่แล่นไปในภายนอก ก็คือการใส่ใจในการก้าวเดิน เหมือนหุ่นยนต์ แล้วแล่นไปในภายในคือความตามติดใจจดจ่อในอาการนั้นว่าเป็นความรู้สึกตัวเป็นสัมปชัญญะเป็นสติ

ยิ่งเจริญนิวรณ์มากเท่าไหร่ จะยิ่งปักยิ่งปำอยู่กับอุเบกขาอันประกอบด้วยอุทธัจจะจนยากที่จะไถ่ถอน

ในเบื้องต้น เข้าใจเสียก่อนว่า จิตเป็นกุศลเมื่อไหร่ให้ผลเป็นสุขเสมอ
เพียงแต่ จขกท. สงบจิตจากเครื่องกังวล จากความคิดโลภ คิดโกรธ คิดเบียดเบียน จากความคิดความตรึกในความขุ่นใจ ใดๆ ระลึกในพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นที่ให้มีความสงบเย็น แล้วสวดมนต์ จิตที่สงบเพียงชั่วครู่ก็จะสัมผัสได้ ด้วยอาการนั้นสติปัฏฐาน 4 ก็ยังชื่อว่า บริบูรณ์
มีนิวรณ์อันสงบระงับ

ในเบื้องต้นจับความรู้สึกเช่นนี้ก็เพียงพอ

เจริญธรรม



เกิดการตอบโต้

varinne เขียน:
00 เขียน:
อ้างคำพูด:
ขอโทษนะคะ... แต่ว่า เราไม่ได้เจริญ นิวรณ์ อะไรก็ตามที่คุณพูดมาทั้งสิ้นคะ
แล้วคุณบอกว่าเราฟุ้ง นึกว่าเป็นสมถะบ้าง วิปัสสนา อะไรบ้าง คุณมั่วหรือเปล่าคะ เราไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้นคะ เราแค่ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นในจิตใจของเรา
โกรธ ก็รู้ว่าโกรธ ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง

นี่คือ การเจริญสติปัฏฐานของเราคะ
กรุณาอย่าสับสน



ฟุ้งตามสบาย

อ้างคำพูด:
แล้วที่คุณพูดมาน่ะ เราว่าไม่ใช่เจริญสติปัฏฐานหรอก ก็แค่หนีกิเลสไปเป็นพรหมลูกฟักก็แค่นั้นแหละ และสุดท้าย เราไม่ได้ต้องการเบื้องต้นด้วยคะ เราว่าคุณยังสอบอารมณ์คนไม่ได้หรอกคะ พูดจริงๆ



หลงในทิฏฐิ อย่างยากไถ่ถอน
ตามสบายนะ Onion_L Onion_L




พูดแบบนี้ก็ไปไกลๆเลยคะ ไม่ต้อนรับ Onion_L Onion_L



ตามหลักของผู้ที่สนใจเรื่องการปฏิบัติของผู้อื่นนั้น จะไม่ตอแยหรือเซ้าซี้ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ยินดีด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ใช้ยูสเซอร์ใหม่อีกสองยูสเซอร์ ไปกล่าวโจมตีแนวทางการปฏิบัติของวารินเน่
รวมทั้งมาถกเถียงกับคานะเลิฟ แบบในทำนองยั่วยุจะให้เขาโกรธ


นี่หรือ สภาวะของผู้ที่เอ่ยอ้างตนเองว่า อันผู้สลัดตัวตนออกแล้ว ย่อมไม่มีความกระหาย
แลเห็นประโยชน์ และสาระ แก่นสารใดๆ ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ...


อีกยูสเซอร์ก็พร่ำพูดว่า


00 เขียน:

ความรู้สึก ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้

เพราะมีตัวตน จึงไปข้องกับความรู้สึก


:b17: :b17: :b17:


อะฮั้นไม่ตอบยาวๆๆหรอกฮ่า
อะฮั้นขอตอบสั้นๆๆ
กระซิบเบาๆๆ ข้างๆหูเธอว่า

สภาวะที่เธอสำรอกออกมาทั้งหมด

เรียกว่า

วิปัสสนึกไปต่างๆนาๆๆ

จุ๊ปส์ๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:


การโพสมาของคนๆนี้ เป็นการเปิดเผยสภาวะ ด้วยคิดว่า เราคงจำไม่ได้
ยูสเซอร์นี้ เพิ่งจะสมัครเข้ามาใหม่ แล้วเรื่องการกินเจนี่ เราเขียนไว้ในบล็อกนานแล้ว
และเขียนไว้ชัดเจนว่า ทำไมถึงกิน กินเพื่ออะไร

เหตุที่เรากิน เพราะต้องการให้ด้านกำลังใจของพนักงานบริษัทคนหนึ่ง
แม่ของพี่เขาป่วย ซึ่งเขามีความหวังว่า เป็นความเชื่อของเขา
ว่าถ้าพาใครไปรับอนุตรธรรมได้ แม่เขาจะอยู่ได้อีกนาน เมื่อเขามาขอร้องให้ช่วย
ก็เลยไปถือศิล8 กินเจ และรับอนุตรธรรมให้กับพี่เขา เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ น่าจะ 10 กว่าปีมาแล้ว
แต่ได้นำไปบันทึกไว้ในบล็อก ซึ่งคนๆนี้ ได้เข้าไปอ่านในบล็อก และได้อ่านจากกระทู้ในบอร์ด
ที่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องมุมมอง ของการรับอนุตรธรรมกัน เรียกว่าสนทนาธรรมแบบไม่มีแบ่งแยก
ว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน นี่อีกหนึ่งยูสเซอร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพิ่งสมัครเข้ามา

แล้วก็เรื่องการเหม็นกลิ่นคนนั้น คนๆนี้อ่านไม่ละเอียดเองว่า เราเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง
แล้วทำไม เราถึงต้องเลิกกินเจ ทั้งที่กินมาเป็นปี เหตุที่ต้องเลิกเพราะอะไร


ที่เลิกกินเจ เพราะเธอกระหายอยากกกกกกก
อยาก มากินของคาวยังไงล่ะจ๊ะ

กระหายอยากมากินของคาวไงล่ะจ๊ะ

ถ้าเธอไม่ดิ้นรน เธอก็จะพึงใจ ในของที่กินอยู่เดิม
แต่เธอดิ้นรน ดิ้นรน เพื่อไปหาของคาวกิน ไงล่ะจ๊ะ

จนเป็นเหตุให้ชี้ให้เห็น และล้วงให้เธอสำรอก ออกมาไงล่ะจ๊ะ

จุ๊ปส์ๆๆๆ






รู้สึกว่า คำพูดเธอนี่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามตัวละครให้หมดเลยนะ
เวลาขาดสติ เธอมักจะชอบใช้การเน้นคำพูดที่ส่อไปในทางที่เธอถนัดนะ
เห็นโพสแบบนี้หลายกระทู้ละ เธอหนีอะไรหนีได้ หนีได้แค่ชั่วคราว
แต่เงาของเธอ เธอหนีมันไม่ได้หรอก มันจะตามหลอกหลอนเธอตลอดชีวิต
จนกว่าเธอจะยอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เธอเป็น เธอถึงจะหลุดจากสภาวะนี้ได้


ปรุงแต่งไปตามกิเลสของเธอตามสบายนะจ๊ะ
อุบายของเธอที่นำมาใช้ไม่ได้ผลหรอก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 23:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:


รู้สึกว่า คำพูดเธอนี่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามตัวละครให้หมดเลยนะ
เวลาขาดสติ เธอมักจะชอบใช้การเน้นคำพูดที่ส่อไปในทางที่เธอถนัดนะ
เห็นโพสแบบนี้หลายกระทู้ละ เธอหนีอะไรหนีได้ หนีได้แค่ชั่วคราว
แต่เงาของเธอ เธอหนีมันไม่ได้หรอก มันจะตามหลอกหลอนเธอตลอดชีวิต
จนกว่าเธอจะยอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เธอเป็น เธอถึงจะหลุดจากสภาวะนี้ได้


ปรุงแต่งไปตามกิเลสของเธอตามสบายนะจ๊ะ
อุบายของเธอที่นำมาใช้ไม่ได้ผลหรอก


อิอิ ไม่มีสติ ปล่อยไหลตามความรู้สึกไปอีกแล้วละจ้าคุณป้าขา


อนุโมทนาสาธุจ้า
:b17:

:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 23:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted กับ noohmairu

เริ่มจะพูดเหมือนๆกันเข้าไปทุกทีแล้วนะคะ

อิอิ

ขาดความเป็นตัวของตัวเองมากนักหรือไง
เจ้าแม่แถถลอก

และตัวแม่ที่ใช้ยูสเซอร์พวกนั้นก็คือนัง Bwitch สารเลว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:


การโพสมาของคนๆนี้ เป็นการเปิดเผยสภาวะ ด้วยคิดว่า เราคงจำไม่ได้
ยูสเซอร์นี้ เพิ่งจะสมัครเข้ามาใหม่ แล้วเรื่องการกินเจนี่ เราเขียนไว้ในบล็อกนานแล้ว
และเขียนไว้ชัดเจนว่า ทำไมถึงกิน กินเพื่ออะไร

เหตุที่เรากิน เพราะต้องการให้ด้านกำลังใจของพนักงานบริษัทคนหนึ่ง
แม่ของพี่เขาป่วย ซึ่งเขามีความหวังว่า เป็นความเชื่อของเขา
ว่าถ้าพาใครไปรับอนุตรธรรมได้ แม่เขาจะอยู่ได้อีกนาน เมื่อเขามาขอร้องให้ช่วย
ก็เลยไปถือศิล8 กินเจ และรับอนุตรธรรมให้กับพี่เขา เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ น่าจะ 10 กว่าปีมาแล้ว
แต่ได้นำไปบันทึกไว้ในบล็อก ซึ่งคนๆนี้ ได้เข้าไปอ่านในบล็อก และได้อ่านจากกระทู้ในบอร์ด
ที่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องมุมมอง ของการรับอนุตรธรรมกัน เรียกว่าสนทนาธรรมแบบไม่มีแบ่งแยก
ว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน นี่อีกหนึ่งยูสเซอร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพิ่งสมัครเข้ามา

แล้วก็เรื่องการเหม็นกลิ่นคนนั้น คนๆนี้อ่านไม่ละเอียดเองว่า เราเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง
แล้วทำไม เราถึงต้องเลิกกินเจ ทั้งที่กินมาเป็นปี เหตุที่ต้องเลิกเพราะอะไร


ที่เลิกกินเจ เพราะเธอกระหายอยากกกกกกก
อยาก มากินของคาวยังไงล่ะจ๊ะ

กระหายอยากมากินของคาวไงล่ะจ๊ะ

ถ้าเธอไม่ดิ้นรน เธอก็จะพึงใจ ในของที่กินอยู่เดิม
แต่เธอดิ้นรน ดิ้นรน เพื่อไปหาของคาวกิน ไงล่ะจ๊ะ

จนเป็นเหตุให้ชี้ให้เห็น และล้วงให้เธอสำรอก ออกมาไงล่ะจ๊ะ

จุ๊ปส์ๆๆๆ






รู้สึกว่า คำพูดเธอนี่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามตัวละครให้หมดเลยนะ
เวลาขาดสติ เธอมักจะชอบใช้การเน้นคำพูดที่ส่อไปในทางที่เธอถนัดนะ
เห็นโพสแบบนี้หลายกระทู้ละ เธอหนีอะไรหนีได้ หนีได้แค่ชั่วคราว
แต่เงาของเธอ เธอหนีมันไม่ได้หรอก มันจะตามหลอกหลอนเธอตลอดชีวิต
จนกว่าเธอจะยอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เธอเป็น เธอถึงจะหลุดจากสภาวะนี้ได้


ปรุงแต่งไปตามกิเลสของเธอตามสบายนะจ๊ะ
อุบายของเธอที่นำมาใช้ไม่ได้ผลหรอก


เธอถนัดสำรอก

และถนัดอ้างหลวงพ่อเขาสุกิม อย่างน่าอับอายขายขี้หน้า
เธอถนัดวิปัสสนึก
สติไหล

เป็นนักดูสภาวะระดับหนึ่งจริงๆๆ
ต่อไปคงเป็นระดับสองได้
ขนาดอุบายยังไม่ได้ผลนะเนี่ย
ยังไหลเยิ้มขนาดนี้

จุ๊ปส์ๆๆ






อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 00:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:


การโพสมาของคนๆนี้ เป็นการเปิดเผยสภาวะ ด้วยคิดว่า เราคงจำไม่ได้
ยูสเซอร์นี้ เพิ่งจะสมัครเข้ามาใหม่ แล้วเรื่องการกินเจนี่ เราเขียนไว้ในบล็อกนานแล้ว
และเขียนไว้ชัดเจนว่า ทำไมถึงกิน กินเพื่ออะไร

เหตุที่เรากิน เพราะต้องการให้ด้านกำลังใจของพนักงานบริษัทคนหนึ่ง
แม่ของพี่เขาป่วย ซึ่งเขามีความหวังว่า เป็นความเชื่อของเขา
ว่าถ้าพาใครไปรับอนุตรธรรมได้ แม่เขาจะอยู่ได้อีกนาน เมื่อเขามาขอร้องให้ช่วย
ก็เลยไปถือศิล8 กินเจ และรับอนุตรธรรมให้กับพี่เขา เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ น่าจะ 10 กว่าปีมาแล้ว
แต่ได้นำไปบันทึกไว้ในบล็อก ซึ่งคนๆนี้ ได้เข้าไปอ่านในบล็อก และได้อ่านจากกระทู้ในบอร์ด
ที่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องมุมมอง ของการรับอนุตรธรรมกัน เรียกว่าสนทนาธรรมแบบไม่มีแบ่งแยก
ว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน นี่อีกหนึ่งยูสเซอร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพิ่งสมัครเข้ามา

แล้วก็เรื่องการเหม็นกลิ่นคนนั้น คนๆนี้อ่านไม่ละเอียดเองว่า เราเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง
แล้วทำไม เราถึงต้องเลิกกินเจ ทั้งที่กินมาเป็นปี เหตุที่ต้องเลิกเพราะอะไร


ที่เลิกกินเจ เพราะเธอกระหายอยากกกกกกก
อยาก มากินของคาวยังไงล่ะจ๊ะ

กระหายอยากมากินของคาวไงล่ะจ๊ะ

ถ้าเธอไม่ดิ้นรน เธอก็จะพึงใจ ในของที่กินอยู่เดิม
แต่เธอดิ้นรน ดิ้นรน เพื่อไปหาของคาวกิน ไงล่ะจ๊ะ

จนเป็นเหตุให้ชี้ให้เห็น และล้วงให้เธอสำรอก ออกมาไงล่ะจ๊ะ

จุ๊ปส์ๆๆๆ






รู้สึกว่า คำพูดเธอนี่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามตัวละครให้หมดเลยนะ
เวลาขาดสติ เธอมักจะชอบใช้การเน้นคำพูดที่ส่อไปในทางที่เธอถนัดนะ
เห็นโพสแบบนี้หลายกระทู้ละ เธอหนีอะไรหนีได้ หนีได้แค่ชั่วคราว
แต่เงาของเธอ เธอหนีมันไม่ได้หรอก มันจะตามหลอกหลอนเธอตลอดชีวิต
จนกว่าเธอจะยอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เธอเป็น เธอถึงจะหลุดจากสภาวะนี้ได้


ปรุงแต่งไปตามกิเลสของเธอตามสบายนะจ๊ะ
อุบายของเธอที่นำมาใช้ไม่ได้ผลหรอก


เธอถนัดสำรอก

และถนัดอ้างหลวงพ่อเขาสุกิม อย่างน่าอับอายขายขี้หน้า
เธอถนัดวิปัสสนึก
สติไหล

เป็นนักดูสภาวะระดับหนึ่งจริงๆๆ
ต่อไปคงเป็นระดับสองได้
ขนาดอุบายยังไม่ได้ผลนะเนี่ย
ยังไหลเยิ้มขนาดนี้

จุ๊ปส์ๆๆ






อิอิ




enlighted สารเลว

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
enlighted กับ noohmairu

เริ่มจะพูดเหมือนๆกันเข้าไปทุกทีแล้วนะคะ

อิอิ

ขาดความเป็นตัวของตัวเองมากนักหรือไง
เจ้าแม่แถถลอก

และตัวแม่ที่ใช้ยูสเซอร์พวกนั้นก็คือนัง Bwitch สารเลว


เธออยากสนิทสนมเป็นคนๆเดียวกับใครมากนักหรือจ๊ะ
เปลื้องออกมาให้หมดสิจ๊ะ
แล้วเธออาจจะได้สนิทสนม สมใจ เป็นหนึ่งเดียว

จุ๊ปส์ๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
enlighted กับ noohmairu

เริ่มจะพูดเหมือนๆกันเข้าไปทุกทีแล้วนะคะ

อิอิ

ขาดความเป็นตัวของตัวเองมากนักหรือไง
เจ้าแม่แถถลอก

และตัวแม่ที่ใช้ยูสเซอร์พวกนั้นก็คือนัง Bwitch สารเลว


อิอิ เพี้ยนตัวแม่เชิญสำรอกเลยนะจ้า :b4:


อนุโมทนาสาธุจ้า
:b8:

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 00:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ enlighted กับ noohmairu เริ่มจะโพสต์เวลาเดียวกันด้วยละจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 00:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:


การโพสมาของคนๆนี้ เป็นการเปิดเผยสภาวะ ด้วยคิดว่า เราคงจำไม่ได้
ยูสเซอร์นี้ เพิ่งจะสมัครเข้ามาใหม่ แล้วเรื่องการกินเจนี่ เราเขียนไว้ในบล็อกนานแล้ว
และเขียนไว้ชัดเจนว่า ทำไมถึงกิน กินเพื่ออะไร

เหตุที่เรากิน เพราะต้องการให้ด้านกำลังใจของพนักงานบริษัทคนหนึ่ง
แม่ของพี่เขาป่วย ซึ่งเขามีความหวังว่า เป็นความเชื่อของเขา
ว่าถ้าพาใครไปรับอนุตรธรรมได้ แม่เขาจะอยู่ได้อีกนาน เมื่อเขามาขอร้องให้ช่วย
ก็เลยไปถือศิล8 กินเจ และรับอนุตรธรรมให้กับพี่เขา เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ น่าจะ 10 กว่าปีมาแล้ว
แต่ได้นำไปบันทึกไว้ในบล็อก ซึ่งคนๆนี้ ได้เข้าไปอ่านในบล็อก และได้อ่านจากกระทู้ในบอร์ด
ที่มีการสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องมุมมอง ของการรับอนุตรธรรมกัน เรียกว่าสนทนาธรรมแบบไม่มีแบ่งแยก
ว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน นี่อีกหนึ่งยูสเซอร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพิ่งสมัครเข้ามา

แล้วก็เรื่องการเหม็นกลิ่นคนนั้น คนๆนี้อ่านไม่ละเอียดเองว่า เราเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง
แล้วทำไม เราถึงต้องเลิกกินเจ ทั้งที่กินมาเป็นปี เหตุที่ต้องเลิกเพราะอะไร


ที่เลิกกินเจ เพราะเธอกระหายอยากกกกกกก
อยาก มากินของคาวยังไงล่ะจ๊ะ

กระหายอยากมากินของคาวไงล่ะจ๊ะ

ถ้าเธอไม่ดิ้นรน เธอก็จะพึงใจ ในของที่กินอยู่เดิม
แต่เธอดิ้นรน ดิ้นรน เพื่อไปหาของคาวกิน ไงล่ะจ๊ะ

จนเป็นเหตุให้ชี้ให้เห็น และล้วงให้เธอสำรอก ออกมาไงล่ะจ๊ะ

จุ๊ปส์ๆๆๆ






รู้สึกว่า คำพูดเธอนี่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตามตัวละครให้หมดเลยนะ
เวลาขาดสติ เธอมักจะชอบใช้การเน้นคำพูดที่ส่อไปในทางที่เธอถนัดนะ
เห็นโพสแบบนี้หลายกระทู้ละ เธอหนีอะไรหนีได้ หนีได้แค่ชั่วคราว
แต่เงาของเธอ เธอหนีมันไม่ได้หรอก มันจะตามหลอกหลอนเธอตลอดชีวิต
จนกว่าเธอจะยอมรับตามความเป็นจริงในสิ่งที่เธอเป็น เธอถึงจะหลุดจากสภาวะนี้ได้


ปรุงแต่งไปตามกิเลสของเธอตามสบายนะจ๊ะ
อุบายของเธอที่นำมาใช้ไม่ได้ผลหรอก


เธอถนัดสำรอก

และถนัดอ้างหลวงพ่อเขาสุกิม อย่างน่าอับอายขายขี้หน้า
เธอถนัดวิปัสสนึก
สติไหล

เป็นนักดูสภาวะระดับหนึ่งจริงๆๆ
ต่อไปคงเป็นระดับสองได้
ขนาดอุบายยังไม่ได้ผลนะเนี่ย
ยังไหลเยิ้มขนาดนี้

จุ๊ปส์ๆๆ






อิอิ




enlighted สารเลว


เธอบรรเลงคลิบลับความสาระเลว สำรอกออกมาเองนะ จิบอกไห่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 00:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงคุณ walaiporn

การอ้างอิง คำกล่าว ที่เช่นนั้นแสดงไว้ แล้วดังนี้

อ้างคำพูด:
จขกท. Varinne
การเจริญสติปัฏฐาน และการเจริญนิวรณ์ นั้นต่างกันครับ

การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อชำระจิตให้สะอาดด้วยการเจริญโลกุตตรฌานด้วยวิปัสสนาจิต มีพระนิพพานเป็นอารมณ์

แต่การเจริญนิวรณ์ คือสิ่งที่คุณVarinne ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นการเจริญนิวรณ์โดยเจตนา เพื่อยึดเอารูปนามตลอดไป ยิ่งปฏิบัติยิ่งฟุ้ง ฟุ้งไปความคิดความคำนึงของตนแต่นึกว่า เป็นสมถะบ้าง วิปัสสนาบ้าง
แล้วแต่ว่าความฟุ้งนั้นจะแล่นไปในภายนอก หรือในภายใน

ที่แล่นไปในภายนอก ก็คือการใส่ใจในการก้าวเดิน เหมือนหุ่นยนต์ แล้วแล่นไปในภายในคือความตามติดใจจดจ่อในอาการนั้นว่าเป็นความรู้สึกตัวเป็นสัมปชัญญะเป็นสติ

ยิ่งเจริญนิวรณ์มากเท่าไหร่ จะยิ่งปักยิ่งปำอยู่กับอุเบกขาอันประกอบด้วยอุทธัจจะจนยากที่จะไถ่ถอน

ในเบื้องต้น เข้าใจเสียก่อนว่า จิตเป็นกุศลเมื่อไหร่ให้ผลเป็นสุขเสมอ
เพียงแต่ จขกท. สงบจิตจากเครื่องกังวล จากความคิดโลภ คิดโกรธ คิดเบียดเบียน จากความคิดความตรึกในความขุ่นใจ ใดๆ ระลึกในพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณว่าเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นที่ให้มีความสงบเย็น แล้วสวดมนต์ จิตที่สงบเพียงชั่วครู่ก็จะสัมผัสได้ ด้วยอาการนั้นสติปัฏฐาน 4 ก็ยังชื่อว่า บริบูรณ์
มีนิวรณ์อันสงบระงับ

ในเบื้องต้นจับความรู้สึกเช่นนี้ก็เพียงพอ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


noohmairu เขียน:
อิอิ enlighted กับ noohmairu เริ่มจะโพสต์เวลาเดียวกันด้วยละจ้า



ถูกค้า

อิอิ

แฉตัวเองก็เป็นด้วย :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 276 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 132 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร