วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 10:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ประเพณีสงกรานต์ไทย เป็นประเพณีที่ดีงามส่งเสริมให้ประชาชน บุตรหลาน

ได้แสดงออกถึงความเคารพ ต่อผู้บุคคลผู้สูงอายุ (ทุกวันก็เป็นวันของการทำความดี)

และ ในขณะเดียวกัน ผู้สูงอายุ ก็จะอวยพร ให้พร (เปิดโอกาส หรือ บอก แนะนำ)

ให้บุตรหลาน หรือผู้น้อย ได้กระทำในสิ่งที่ดีงาม อันจะเป็นเหตุให้เกิดผลดีต่อไป

ซึ่งเป็นการสั่งสมความดีที่ควรกระทำในชีวิตประจำวัน


พอถึงวันสงกรานต์คราใด ทำให้นึกถึงน้ำ ทุกที ในคำสอนทางพระพุทธศาสนา

ไม่มีการนิมนต์พระมานั่งเรียงแถวแล้วสรงน้ำที่มือหรือที่ตัว (ซึ่งเข้าใจว่ามีขึ้นมาใน

ภายหลัง) แต่ในคำสอนทางพระพุทธศาสนาพบคำว่า สรงน้ำพระ (ในเมื่อมีเหตุ)

ดังตัวอย่างเช่น พระภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคท้องร่วง นอนจมกองอุจจาระปัสสาวะ

พระผู้มีพระภาคเสด็จไปกับท่านพระอานนท์ เพื่อทำการดูแลโดยการสรงน้ำทำความ

สะอาดร่างกายให้ ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์ ได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลายดูแล

กันเองเมื่อยามที่อาพาธ (ป่วย)


พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 301

เรื่องพระอาพาธโรคท้องร่วง

[๑๖๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคท้องร่วง นอน

จมกองมูตรกองคูถของตนอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีท่านอานนท์เป็น

ปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดำเนินไปตามเสนาสนะ ได้เสด็จเข้าไปทางที่อยู่

ของภิกษุรูปนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุรูปนั้น นอนจมกองมูตรกองคูถ

ของตนอยู่ ครั้นแล้วเสด็จเข้าไปใกล้ภิกษุรูปนั้น แล้วตรัสถามว่า เธออาพาธ

เป็นโรคอะไรภิกษุ ?

ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าอาพาธเป็นโรคท้องร่วง พระพุทธเจ้าข้า.

พ. เธอมีผู้พยาบาลไหมเล่า ภิกษุ ?

ภิ. ไม่มี พระพุทธเจ้าข้า.

พ. เพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลายจึงไม่พยาบาลเธอ ?

ภิ. เพราะข้าพระพุทธเจ้ามิได้ทำอุปการะแก่ภิกษุทั้งหลาย ฉะนั้น

ภิกษุทั้งหลายจึงไม่พยาบาลข้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เธอไปตัก

น้ำมา เราจักสรงน้ำภิกษุรูปนี้.

ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระพุทธบัญชาว่า เป็นดังนั้น พระ-

พุทธเจ้าข้า ดังนี้แล้ว ตักน้ำมาถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรดน้ำ ท่านพระ

อานนท์ขัดสี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกศีรษะ ท่านพระอานนท์ยกเท้าแล้ว วาง

บนเตียง.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ

เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า

ในวิหารหลังโน้น มีภิกษุอาพาธหรือ ภิกษุทั้งหลาย ?

ภิ. มี พระพุทธเจ้าข้า.

พ. ภิกษุรูปนั้นอาพาธเป็นโรคอะไร ภิกษุทั้งหลาย ?

ภิ. ท่านรูปนั้น อาพาธเป็นโรคท้องร่วง พระพุทธเจ้าข้า.

พ. ภิกษุรูปนั้น มีผู้พยาบาลไหมเล่า ภิกษุทั้งหลาย ?

ภิ. ไม่มี พระพุทธเจ้าข้า.

พ. เพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลายจึงไม่พยาบาลเธอ ?

ภิ. เพราะท่านรูปนั้นมิได้ทำอุปการะแก่ภิกษุทั้งหลาย ฉะนั้น ภิกษุ

ทั้งหลายจึงไม่พยาบาลท่านรูปนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่มีมารดาไม่มีบิดา ผู้ใดเล่าจะพึง

พยาบาลพวกเธอ ถ้าพวกเธอจักไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจักพยาบาล ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา ผู้นั้นพึงพยาบาลภิกษุอาพาธ ถ้ามี

อุปัชฌายะๆ พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย ถ้ามีอาจารย์ ๆ

พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย ถ้ามีสัทธิวิหาริก ๆ พึงพยาบาล

จนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย ถ้ามีอันเตวาสิก ๆ พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต

หรือจนกว่าจะหาย ถ้ามีภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะ ภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะพึงพยาบาล

จนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย ถ้ามีภิกษุผู้ร่วมอาจารย์ ภิกษุผู้ร่วมอาจารย์

พึงพยาบาลจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย ถ้าไม่มีอุปัชฌายะ อาจารย์

สัทธิวิหาริก อันเตวาสิก ภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะ หรือภิกษุผู้ร่วมอาจารย์ สงฆ์

ต้องพยาบาล ถ้าไม่พยาบาลต้องอาบัติทุกกฏ.

อีกเหตุการณ์หนึ่ง พระปูติคัตตติสสเถระ ป่วยเป็นต่อมขึ้นตามตัว พระผู้มีพระภาค

เสด็จไปกับท่านพระอานนท์ เพื่อปรนนิบัติดูแลรักษาโดยการให้อาบน้ำ ขัดสีตามตัว

นำผ้านุ่งและห่มไปซักด้วยน้ำร้อน เมื่อผ้านุ่งผ้าห่มแห้งก็ให้นุ่งห่มตามเดิม จนทำให้

ท่านมีร่างกายเบา และหลังจากนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมให้ฟัง จนทำให้

ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ หน้าที่ 435

๗. เรื่องพระปูติคัตตติสสเถระ

ได้ยินว่า กุลบุตรชาวกรุงสาวัตถีผู้หนึ่ง ฟังธรรมกถาในสำนักของพระศาสดา

ถวายชีวิตในพระศาสนา ได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว ได้ชื่อว่า พระติสสเถระ.

เมื่อกาลล่วงไป ๆ โรคเกิดขึ้นในสรีระของท่าน. ต่อมทั้งหลาย ประมาณเท่าเมล็ด

ผักกาดผุดขึ้น. มัน (โตขึ้น) โดยลำดับประมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว ประมาณเท่า

เมล็ดถั่วดำ ประมาณเท่าเมล็ดกระเบา ประมาณเท่าผลมะขามป้อม ประมาณเท่าผล

มะตูม แตกแล้ว. สรีระทั้งสิ้น ได้เป็นช่องเล็กช่องน้อย ชื่อของท่านเกิดขึ้นแล้ว

ว่า พระปูติคัตตติสสเถระ (พระติสสเถระผู้มีกายเน่า). ต่อมา ในกาลเป็นส่วนอื่น

กระดูกของท่าน แตกแล้ว. ท่านได้เป็นผู้ที่ใคร ๆ ปฏิบัติไม่ได้. ผ้านุ่งและผ้าห่ม

เปื้อนด้วยหนองและเลือด ได้เป็นเช่นกับขนมร่างแห. พวกภิกษุมีสัทธิวิหาริกเป็นต้น

ไม่อาจจะปฏิบัติได้ (จึงพากัน) ทอดทิ้งแล้ว. ท่านเป็นผู้ไม่มีที่พึ่งนอน ( แซ่ว ) แล้ว.

ก็ธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ทรงละการตรวจดูโลก สิ้น ๒ วาระ

(คือ) ในกาลใกล้รุ่ง เมื่อทรงตรวจดูโลก ทรงตรวจดูจำเดิมแต่ขอบปากจักรวาล ทำ

พระญาณให้มุ่งต่อพระคันธกุฎี. เมื่อทรงตรวจดูเวลาเย็น ทรงตรวจดูจำเดิมแต่พระ

คันธกุฎี ทำพระญาณให้มุ่งต่อที่(ออกไป ) ภายนอก. ก็ในสมัยนั้น พระปูติคัตต-

ติสสเถระ ปรากฏแล้วภายในข่ายคือพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดา

ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของติสสภิกษุ ทรงดำริว่า "ภิกษุนี้ ถูกพวกสัทธิวิหาริก

เป็นต้น ทอดทิ้งแล้ว, บัดนี้ เธอยกเว้นเราเสีย ก็ไม่มีที่พึ่งอื่น" ดังนี้ แล้ว จึงเสด็จ

ออกจากพระคันธกุฎี เหมือนเสด็จเที่ยวจาริกในวิหาร เสด็จไปสู่โรงไฟ ทรงล้างหม้อ

ใส่น้ำ ยกตั้งบนเตา เมื่อทรงรอให้น้ำร้อน ได้ประทับยืนในโรงไฟนั่นเอง: ทรงรู้ว่า

น้ำร้อนแล้ว เสด็จไปจับปลายเตียงที่ติสสภิกษุนอน. ในกาลนั้น พวกภิกษุ กราบทูลว่า

"ขอพระองค์ จงเสด็จหลีกไป พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์จักยก (เอง) แล้ว ( ช่วย

กัน ) ยกเตียง นำไปสู่โรงไฟ. พระศาสดาทรงให้นำรางมาทรงเทน้ำร้อนใส่ แล้ว

ทรงสั่งภิกษุเหล่านั้นให้ ( เปลื้อง ) เอาผ้าห่มของเธอ ให้ขยำด้วยน้ำร้อน แล้วให้

ผึ่งแดด ลำดับนั้น พระศาสดา ประทับยืนอยู่ในที่ใกล้ของเธอ ทรงรดสรีระนั้น

ให้ชุ่มด้วยน้ำอุ่นทรงถูสรีระของเธอ ให้เธออาบแล้ว. ในที่สุดแห่งการอาบของเธอ,

ผ้าห่มนั้นแห้งแล้ว. ทีนั้น พระศาสดาทรงช่วยเธอให้นุ่งผ้าห่มนั้น ทรงให้ขยำผ้า

กาสาวะที่เธอนุ่งด้วยน้ำ แล้วให้ผึ่งแดด. ทีนั้น เมื่อน้ำที่กายของเธอพอขาด (แห้ง)

ผ้านุ่งนั้นก็แห้ง. เธอนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่งห่มผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง เป็นผู้มีสรีระเบา

มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง นอนบนเตียงแล้ว. พระศาสดาประทับยืน ณ ที่เหนือศีรษะของ

เธอ ตรัสว่า ภิกษุ กายของเธอนี้ มีวิญญาณไปปราศแล้ว หาอุปการะมิได้ จักนอน

บนแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า

"ไม่นานหนอ กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน. กายนี้

มีวิญญาณไปปราศ อันบุคคลทิ้งแล้ว, ราวกับ

ท่อนไม้ไม่มีประโยชน์ฉะนั้น."
อีกเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ได้สรงน้ำพระ แต่ได้ถวายน้ำดื่ม (ปานียทาน) คือ

นางพราหมณี คนหนึ่ง ได้ถวายน้ำแด่พระผู้มีพระภาคพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ที่กำลัง-

กระหาย ผลจากการถวายน้ำนั้น ทำให้นางได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาในสวรรค์ชั้น

ดาวดึงส์ ลงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสถามถึงอดีตกรรมของนาง

นางได้กราบทูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภายหลังการสนทนาจบลง นางเทพธิดาได้บรรลุ

เป็นพระโสดาบัน

(ไม่ได้สรงน้ำ แต่มีกุศลจิตเกิดขึ้นถวายน้ำ)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 74

ตติยนาวาวิมาน

(ว่าด้วยนาวาวิมาน)

พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในชนบท พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่

เสด็จถึงตำบลบ้านพราหมณ์ ชื่อ ถูณะ แคว้นโกศล. พวกพราหมณ์

คหบดีชาว ถูณะ ได้ยินมาว่า เขาว่าพระสมณโคดมเสด็จถึงเขตบ้านของ

พวกเราแล้ว. ครั้งนั้น พราหมณคหบดีชาว ถูณะ ที่ไม่เลื่อมใส เห็นผิด

ตระหนี่เป็นปกติ คิดกันว่า ถ้าพระสมณโคดมเข้าบ้านนี้ประทับอยู่ ๒-๓

วัน ก็จะพึงทำชนนี้ทั้งหมดให้อยู่ในถ้อยคำของพระองค์ แต่นั้น พราหมณ-

ธรรม [ลัทธิ ธรรมเนียม ประเพณี] ก็จะไม่ได้ที่พึ่งพาอาศัย จึงพา

กันขวนขวาย จะไม่ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในบ้านตำบลนั้น

จึงช่วยกันนำเรือที่เขาพักไว้ที่ท่าน้ำ ออกไปเสีย [ไม่ให้ข้าม] ช่วยกันสร้าง

สะพานทางเดินและแพไว้ ทั้งสร้างโรงประปาเป็นต้นไว้ด้วย ในหมู่บ้าน

ตำบลนั้น เว้นบ่อน้ำไว้บ่อเดียว บ่อน้ำนอกนี้ ก็ช่วยกันเอาหญ้าเป็นต้น

ถมให้เต็มแล้วปิดเสีย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อุทานว่า

ครั้งนั้นแล พราหมณคหบดีชาว ถูณะ พากันเอาหญ้าและฟางถมบ่อน้ำ

จนถึงปากบ่อ ด้วยประสงค์ว่า ขอสมณะโล้นเหล่านั้น อย่าได้ดื่มน้ำเลย.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบอาการวิปริตของคนเหล่านั้น ทรง

เอ็นดูพวกเขา จึงพร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ข้ามแม่น้ำไปทางอากาศ เสด็จ

ไปถึง ถูณะพราหมณคาม ตามลำดับ ทรงแวะออกจากทางประทับนั่ง

เหนืออาสนะที่จัดไว้ ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง. สมัยนั้น หญิงทาสีเทินหม้อน้ำ

จำนวนมาก เดินผ่านไปไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า. ในหมู่บ้านตำบลนั้น

เขาทำกติกานัดหมายกันไว้ว่า ถ้าพระสมณโคดมจักเสด็จมา ณ ที่นี้ ไม่พึง

ทำการต้อนรับพระองค์เป็นต้น. พระสมณโคดมและเหล่าสาวกมาถึงเรือน

ก็ไม่พึงถวายแม้แต่อาหาร.

หญิงทาสีภริยาของพราหมณ์คนหนึ่ง ในหมู่บ้านตำบลนั้น เดินถือ

หม้อน้ำ พบพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง แวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุ รู้ว่า

หมู่ภิกษุลำบากกาย กระหายน้ำ เพราะเดินเหนื่อยมา มีจิตเลื่อมใส

ประสงค์จะถวายน้ำดื่ม จึงตกลงใจว่า ถึงหากว่า ชาวบ้านของเราจะตั้ง

กติกากันไว้ว่า ไม่พึงถวายสิ่งไร ๆ ไม่พึงทำสามีจิกรรมแก่พระสมณโคดม

ดังนี้ แม้เมื่อเป็นดังนั้น ผิว่าเราได้พระทักขิไณยบุคคล ซึ่งเป็นบุญเขต

เช่นนี้แล้ว ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน แม้ด้วยเพียงถวายน้ำดื่มไซร้ ครั้งไรเล่า

เราจึงจักหลุดพ้นจากชีวิตลำเค็ญนี้ได้ นายของเรา ทั้งชาวบ้านเราทั้งหมด

จะฆ่า จะจองจำเราก็ตามทีเถิด เราจักถวายปานียทาน (น้ำดื่ม) ในบุญเขต

เช่นนี้ละ แม้จะถูกเหล่าทาสีที่เทินหม้อน้ำ คนอื่น ๆ จะห้ามปราม ก็ไม่

อาลัยในชีวิต ลดหม้อน้ำลงจากศีรษะ ประคองด้วยมือทั้ง ๒ แล้ววาง

ลง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง เกิดปีติโสมนัส เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นิมนต์ให้เสวยน้ำดื่ม. พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าทรงเห็นจิตเลื่อมใสของนาง เมื่อจะทรงอนุเคราะห์นาง จึงทรง

กรองน้ำล้างพระหัตถ์และพระบาทแล้วจึงเสวยน้ำดื่ม. น้ำในหม้อมิได้

หมดสิ้นไปเลย. นางเห็นแล้วก็มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายแก่ภิกษุรูปหนึ่งอีก

ได้ถวายแก่ภิกษุอื่น ๆ จนครบทุกรูป. น้ำก็มิได้สิ้นเปลืองหมดไป. นาง

ร่าเริงยินดี ยกหม้อที่เต็มน้ำอย่างเดิม เดินมุ่งหน้าไปยังเรือน. พราหมณ์

สามีของนางรู้ว่า นางถวายน้ำดื่ม เข้าใจว่าหญิงคนนี้ทำลายธรรมเนียมบ้าน

เสียแล้ว เราก็ต้องถูกครหาแน่ละ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงตบตีทั้ง

ต่อยทั้งเตะนางล้นกลิ้งไปที่พื้น เพราะความพยายามนั้น นางก็สิ้นชีวิต

ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. วิมานอย่างเดียวกับที่กล่าวไว้ในปฐมนาวาวิมาน

ก็เกิดแก่นาง.

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเรียกท่านพระอานนท์มาตรัส

สั่งว่า อานนท์ เธอจงนำน้ำจากบ่อมาให้เราทีเถิด. พระเถระทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ชาวถูณะถมบ่อน้ำเสียแล้ว ไม่อาจนำน้ำมา

ถวายได้ พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงใช้ทั้งครั้งที่สอง ทั้งครั้ง

ที่สาม. ในครั้งที่สาม พระเถระถือบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า เดิน

บ่ายหน้าไปยังบ่อน้ำ เมื่อพระเถระกำลังเดินไป น้ำในบ่อก็เต็มล้นไหล

ไปโดยรอบ. หญ้าฟางทั้งหมดก็ลอยไหลออกไปเอง. น้ำที่ไหลนั้นก็เพิ่ม

สูงขึ้น ๆ เต็มแหล่งน้ำแห่งอื่น ๆ ล้อมหมู่บ้านตำบลนั้น ท่วมพื้นที่หมู่บ้านไว้.

พวกพราหมณ์เห็นปาฏิหาริย์นั้น ก็เกิดอัศจรรย์จิตไม่เคยมี จึงขอขมา

พระผู้มีพระภาคเจ้า. น้ำหลากหลายก็หายวับไปทันที. พราหมณ์ท้งหลาย

เหล่านั้นจัดแจงสถานที่อยู่สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า และหมู่ภิกษุ นิมนต์

เพื่อเสวยในวันพรุ่ง พอรุ่งขึ้น ก็จัดมหาทาน เลี้ยงดูหมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้า

เป็นประธาน ด้วยของเคี้ยวของกินอันประณีต. พราหมณ์คหบดีชาวถูณะ

ทุกคน เข้าไปนั่งเฝ้าใกล้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเสวยเสร็จชักพระหัตถ์

ออกจากบาตรแล้ว. สมัยนั้น เทวดาองค์นั้น พิจารณาสมบัติของตน

ทบทวนถึงเหตุแห่งสมบัตินั้น ก็รู้เหตุนั้นว่า ปานียทาน ถวายน้ำดื่ม

เกิดปีติโสมนัสว่า เอาเถิด เราจักถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าเดี๋ยวนี้

แหละ เกิดความอุตสาหะว่า จำเราจักการทำความที่สักการะแม้เล็กน้อย

ที่ทำให้ท่านผู้ปฏิบัติชอบ มีผลอันโอฬาร และปรากฏตัวในมนุษยโลก

จึงมีอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวารมาพร้อมกับวิมาน ที่ประกอบด้วยอุทยาน

เป็นต้น ด้วยเทวฤทธิ์ ด้วยเทวานุภาพอันใหญ่ยิ่ง ทั้งที่หมู่มหาชนเห็น ๆ

อยู่นั้นแหละ ลงจากวิมานเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว

ยืนประคองอัญชลีอยู่. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระพุทธประสงค์

จะประกาศผลกรรมให้ประจักษ์แก่บริษัทนั้น จึงตรัสถามเทวดาองค์นั้น

ด้วย ๔ คาถาว่า
ดูก่อนเทพนารี เจ้าขั้นนาวาวิมานปิดทอง เจ้า-

ลงเล่นสระโบกขรณี หักดอกปทุมด้วยมือ ถูฏาคาร

นิเวศของเจ้า จัดไว้พิมพ์เดียวกัน ประหนึ่งเนรมิตเป็น

สัดส่วน เมื่อส่องแสงก็ส่องแสงสว่างโดยรอบสี่ทิศ.

เพราะบุญอะไร วรรณะของเจ้าจึงเป็นเช่นนี้

เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่เจ้า และโภคะ

ทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่เจ้า.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ตถาคตขอถามเจ้า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์เจ้าได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร

เจ้าจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของเจ้า

จึงสว่างไสวไปทุกทิศ. พระสังคีติกาจารย์กล่าวว่า

เทวดาองค์นั้นดีใจ ถูกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ตรัสถาม ครั้นแล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผล

อย่างนี้. คาถาที่เทวดากล่าวตอบมีว่า

ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน

ในมนุษยโลก ข้าพระองค์ พบภิกษุทั้งหลาย ลำบาก

กาย ระหายน้ำ จึงได้ขวนขวายถวายน้ำให้ท่านดื่ม

ผู้ใดแลขวนขวายถวายน้ำ แก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ลำบาก

กาย กระหายน้ำ ให้ท่านดื่ม. แม่น้ำหลายสาย

ที่มีน้ำเย็น มีสวนไม่มาก มีบุณฑริกบัวขาวมาก

ย่อมเกิดมีแก่ผู้นั้น. แม่น้ำหลายสาย ย่อมเรียงราย

ไหลล้อมวิมานนั้นเป็นประจำ มีแม่น้ำ ที่มีน้ำเย็น

ลาดด้วยทราย มีมะม่วง สาละ หมากหอม

หว้า ราชพฤกษ์ และแคฝอยที่ออกดอกสะพรั่ง

ผู้คำบุญแล้วย่อมได้วิมานอันประเสริฐสุด ที่ประกอบ

ด้วยภูมิภาคเช่นนั้น ซึ่งงดงามนักหนา นี้เป็นผล

ของกรรมนั้น ทั้งนั้น คนที่ทำบุญแล้ว ย่อมได้ผล

เช่นนี้......



เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทาน
อนุโมทนาบุญกับผู้ใส่บาตรตามวัด กรวดน้ำอุทิศบุญ
เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน
รักษาศีล อาราธนาศีล เจริญวิปัสสนา ได้ปฏิบัติธรรม
ได้ถวายข้าวพระพุทธรูป สักการะพระธาตุ
ทำงานบ้านช่วยพ่อแม่ทุกวัน
ฟังธรรมศึกษาธรรม
เจริญพุทธานุสติ ถึง มรณานุสติ 8 อย่าง
และจะเจริญอาโปกสิน
รักษาอาการป่วยของแม่ทุกวัน
วันนี้ได้งานงานถวายพัดลมเพดานหลายตัว และโตะหลายตัว
ให้แก่สถานีอนามัย รวมแล้ว ประมาณ 20000 บาท
ที่ผ่านมาได้มีงานบุญเลี้ยงพระทั้งวัด มา ประมาณ 3 วัน
และวันสงกราต์นี้มีการก่อพระเจดีย์ทราย
มีการถวายสังฆทานประมาณ 1000 ชุด
กราบพระพุทธชินราช บริจาคเงินให้ทางว้ด
แห่หลวงพ่อโพธิ์ ซึ่งพระพระสักสิทย์ประจำหมู่บ้าน
อนุโมทนากับผู้มาทำบุญที่วัดมีการสวดมนต์ปฏิบัติธรรม อาราธนาศีล
และคุณแม่ก็ได้บริจาคเสื้อผ้าแก่ผู้ยากจน
และงานสงกรานต์ปีนี้จะมีการจัดซุ้มเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน
รวมงบประมาณ ประมาณ 100000 บาท
มีการนิมนต์พระ มา ประมาณ 35 รูป และจะมาสมทบ อีกเป็น 50 รูป จาก
พระหลายวัดมาฉันภัตราหารเพล และเทศรรมะตอนบ่าย
และสร้างบารมีครบทั้ง 10 อย่าง ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ร่วมบุญใส่บาตรซื้อเครื่องมือแพทย์ให้ ร.พ. สว่างแดนดิน
โทร 089-8164343

ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 150 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร