| ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ | |
| ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=30933 | หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | 
| เจ้าของ: | ศิรัสพล [ 19 เม.ย. 2010, 15:15 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| พระสูตรต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างจริงๆ ชั้นพระสูตรและอรรถกถา ในการอาศัยโยนิโสมนสิการในการเจริญวิปัสสนากระทั่งบรรลุอรหันต์ ขอนำเอามาให้อ่าน ศึกษา ทำความเข้าใจให้ดี เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เป็นประโยชน์แก่การเจริญก้าวหน้าในทางธรรมต่อไป ดังนี้ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>> พระสูตรหลัก >>>>>>>>>>>>>>>>>>>> เถรคาถา จตุกกนิบาต ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในจตุกกนิบาต ๑. นาคสมาลเถรคาถา สุภาษิตชี้โทษแห่งบ่วงมัจจุราช [๓๒๓] เราเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำคนหนึ่ง ตก แต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวยงาม ทัดทรงดอกไม้ ลูบ ไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีที่ถนนหลวง ท่ามกลาง พระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนว- โทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น ลำดับนั้นจิตของเราก็ หลุดพ้นจากสรรพกิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว. ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... agebreak=0 >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> อรรถกถาอธิบายขยายความ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จตุกกนิบาต ๑. นาคสมาลเถรคาถา อรรถกถาจตุกกนิบาต อรรถกถานาคสมาลเถรคาถาที่ ๑ บทว่า อลงฺกตา ได้แก่ คาถาของท่านพระนาคสมาลเถระ. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร? ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านพระนาคสมาลเถระนี้บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา ในคิมหสมัยได้เห็นพระศาสดาเสด็จดำเนินบนภาคพื้นอันร้อนระอุไปด้วยแสงพระอาทิตย์ จึงได้ถวายร่ม. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสักยราชตระกูล ได้นามว่านาคสมาละ เจริญวัยแล้วได้ศรัทธาบวชในสมาคมแห่งพระญาติ ได้เป็นผู้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า ตลอดกาลเล็กน้อย. วันหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตยังพระนคร เห็นหญิงนักฟ้อนคนหนึ่งประดับตกแต่งแล้วฟ้อนอยู่ ในเมื่อดนตรีกำลังประโคมอยู่ในหนทางใหญ่ เริ่มตั้งความสิ้นไปและความเสื่อมไปว่า วาโยธาตุอันกระทำให้วิจิตรนี้ย่อมเปลี่ยนแปรกรัชกายไปโดยประการนั้นๆ ด้วยอำนาจความแผ่ไป น่าอัศจรรย์สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ดังนี้แล้ว ได้บำเพ็ญขวนขวายวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- แผ่นดินร้อนดังเพลิง แผ่นดินดุจมีเถ้ารึงไหล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จจงกรมอยู่ที่กลางแจ้ง เรากั้นร่มขาวเดินทางไปได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าเข้าไปกลางแจ้งนั้น แล้วเกิดความคิดขึ้นว่า ภูมิภาคถูกพยับแดดแผ่คลุม แผ่นดินนี้จึงเป็นเหมือนถ่าน เพลิง พายุใหญ่ทำสรีรกายให้ลอยขึ้นได้ตั้งขึ้นอยู่ หนาวร้อนย่อมทำให้ลำบาก ขอได้โปรดรับร่มนี้อันเป็นเครื่องป้องกันลมและแดดเถิด ข้าพระองค์จักสัมผัสพระนิพพาน. พระชินเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงอนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา มีพระยศใหญ่ ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรงรับไว้ในกาลนั้น เราจักเป็นจอมเทวดา เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ กัป ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๕๐๐ ครั้งและได้เป็นเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เราได้เสวยกรรมของตนซึ่งก่อสร้างไว้ดีแล้วในปางก่อน นี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ภพที่สุดกำลังเป็นไปอยู่ ถึงทุกวันนี้ชนทั้งหลายก็พากันกั้นเศวตฉัตรให้เราตลอดกาลทุกเมื่อ ในแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายร่มนั้นไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายร่ม เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๔๗ ก็แลครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้พยากรณ์พระอรหัตผล โดยระบุข้อปฏิบัติของตนขึ้นเป็นประธานด้วย ๔ คาถาว่า เราเดินทางเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำ คนหนึ่ง ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์นุ่งห่มสวยงาม ทัด ทรงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรี ที่ถนนหลวง ท่ามกลางพระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอัน ธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบาย อันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนวโทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น ลำดับนั้น จิตของเราก็หลุดพ้นจาก สรรพกิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลงฺกตา ความว่า มีตัวประดับด้วยอาภรณ์มีกำไรมือเป็นต้น. บทว่า สุวสนา ได้แก่ เครื่องนุ่งห่มผ้าดี คือนุ่งผ้างาม. บทว่า มาลินี ได้แก่ ทัดทรงดอกไม้ คือมีพวงดอกไม้ประดับแล้ว. บทว่า จนฺทนุสฺสทา ได้แก่ มีร่างกายลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์. บทว่า มชฺเฌ มหาปเถ นารี ตูริเย นจฺจติ นฏฺฏกี ความว่า หญิงนักฟ้อนคือหญิงฟ้อนรำคนหนึ่งในสถานที่ตามที่กล่าวแล้ว ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีมีองค์ ๕ ในท่ามกลางถนนพระนคร คือกระทำการฟ้อนรำอยู่ตามปรารถนา. บทว่า ปิณฺฑิกาย ได้แก่ เพื่อภิกษา. บทว่า ปวิฏฺโฐมฺหิ ได้แก่ เราเข้าไปยังพระนคร. บทว่า คจฺฉนฺโต นํ อุทิกฺขิสํ ความว่า เมื่อเดินไปบนถนนในพระนคร ตรวจดูถนนเพื่อกำจัดอันตราย ได้แลดูหญิงนักฟ้อนนั้น. ถามว่าเหมือนอะไร? แก้ว่า เหมือนบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้. อธิบายว่า อารมณ์มีรูปเป็นต้นอันเป็นบ่วงแห่งมัจจุคือแห่งมัจจุราช อันธรรมชาติดักไว้ คือเที่ยวสัญจรอยู่ในโลก ย่อมนำมาซึ่งความพินาศโดยส่วนเดียวฉันใด หญิงนักฟ้อนแม้นั้นก็ฉันนั้น ย่อมนำมาซึ่งความพินาศโดยส่วนเดียวแก่ปุถุชนคนบอด เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าเสมือนกับบ่วงแห่งมัจจุราช. บทว่า ตโต แปลว่า เพราะเหตุนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเป็นผู้ข้องอยู่เสมือนบ่วงแห่งมัจจุราช. บทว่า เม ได้แก่ เรา. บทว่า มนสีกาโร โยนิโส อุทปชฺชถ ความว่า การกระทำไว้ในใจโดยแยบคายเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ว่า ร่างกระดูกนี้อันเอ็นเกี่ยวพันไว้ อันเนื้อฉาบทาไว้ อันผิวหนังปิดบังไว้ ไม่สะอาดมีกลิ่นเหม็นน่าเกลียดและปฏิกูล มีอันปิดบัง ย่ำยี ทำลาย กำจัดความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา จึงแสดงอาการอันแปลกเช่นนี้. บทว่า อาทีนโว ปาตุรหุ ความว่า เมื่อว่าโดยหัวข้อคือการเข้าไปทรงไว้ตามสภาวะของกายอย่างนี้ เมื่อเรามนสิการ ถือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป และความผุพังไปพร้อมด้วยกิจ (ตามความเป็นจริง) แห่งกายนั้น และแห่งจิตและเจตสิกอันอาศัยกายนั้น และเมื่อจิตและเจตสิกปรากฏโดยความเป็นภัย เหมือนเมื่อยักษ์และรากษสเป็นต้นปรากฏ อาทีนวโทษมีอาการเป็นอันมากปรากฏแก่เราในเพราะเหตุนั้น และย่อมได้รับอานิสงส์ในพระนิพพานโดยเป็นปฏิปักษ์ต่ออาทีนวโทษนั้น. บทว่า นิพฺพิทา สมติฏฺฐถ ความว่า ความเบื่อหน่ายย่อมสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งอาทีนวานุปัสสนา การตามพิจารณาเห็นโทษ คือนิพพิทาญาณย่อมสำเร็จแล้วในหทัยของเรา, จิตในการจับรูปธรรมและนามธรรมเหล่านั้น แม้เพียงครู่เดียวก็ไม่ปรากฏ. โดยที่แท้เกิด แต่เพียงวางเฉยในรูปธรรมนามธรรมนั้นเท่านั้น ด้วยอำนาจความเป็นผู้ใคร่จะพ้นเป็นต้น. บทว่า ตโต ความว่า เบื้องหน้าแต่วิปัสสนาญาณ. บทว่า จิตฺตํ วิมุจฺจิ เม ความว่า จิตของเราได้หลุดพ้นแล้วจากสรรพกิเลสโดยลำดับแห่งมรรค ในเมื่อโลกุตรภาวนาเป็นไปอยู่. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงแสดงเหตุเกิดขึ้นแห่งผล. จริงอยู่ ในขณะแห่งมรรคจิต กิเลสทั้งหลาย ชื่อว่าย่อมหลุดพ้น. ในขณะแห่งผลจิต กิเลสชื่อว่าหลุดพ้นแล้ว ฉะนี้แล. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. จบอรรถกถานาคสมาลเถรคาถาที่ ๑ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จตุกกนิบาต ๑. นาคสมาลเถรคาถา จบ. ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... &i=323&p=1 | |
| เจ้าของ: | enlighted [ 12 พ.ค. 2010, 23:04 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| ศิรัสพล เขียน: พระสูตรต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างจริงๆ ชั้นพระสูตรและอรรถกถา ในการอาศัยโยนิโสมนสิการในการเจริญวิปัสสนากระทั่งบรรลุอรหันต์ ขอนำเอามาให้อ่าน ศึกษา ทำความเข้าใจให้ดี เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เป็นประโยชน์แก่การเจริญก้าวหน้าในทางธรรมต่อไป ดังนี้ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>> พระสูตรหลัก >>>>>>>>>>>>>>>>>>>> เถรคาถา จตุกกนิบาต ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในจตุกกนิบาต ๑. นาคสมาลเถรคาถา สุภาษิตชี้โทษแห่งบ่วงมัจจุราช [๓๒๓] เราเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำคนหนึ่ง ตก แต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวยงาม ทัดทรงดอกไม้ ลูบ ไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีที่ถนนหลวง ท่ามกลาง พระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนว- โทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น ลำดับนั้นจิตของเราก็ หลุดพ้นจากสรรพกิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว. ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... agebreak=0 >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> อรรถกถาอธิบายขยายความ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จตุกกนิบาต ๑. นาคสมาลเถรคาถา อรรถกถาจตุกกนิบาต อรรถกถานาคสมาลเถรคาถาที่ ๑ บทว่า อลงฺกตา ได้แก่ คาถาของท่านพระนาคสมาลเถระ. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร? ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านพระนาคสมาลเถระนี้บังเกิดในเรือนมีตระกูล ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา ในคิมหสมัยได้เห็นพระศาสดาเสด็จดำเนินบนภาคพื้นอันร้อนระอุไปด้วยแสงพระอาทิตย์ จึงได้ถวายร่ม. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสักยราชตระกูล ได้นามว่านาคสมาละ เจริญวัยแล้วได้ศรัทธาบวชในสมาคมแห่งพระญาติ ได้เป็นผู้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า ตลอดกาลเล็กน้อย. วันหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตยังพระนคร เห็นหญิงนักฟ้อนคนหนึ่งประดับตกแต่งแล้วฟ้อนอยู่ ในเมื่อดนตรีกำลังประโคมอยู่ในหนทางใหญ่ เริ่มตั้งความสิ้นไปและความเสื่อมไปว่า วาโยธาตุอันกระทำให้วิจิตรนี้ย่อมเปลี่ยนแปรกรัชกายไปโดยประการนั้นๆ ด้วยอำนาจความแผ่ไป น่าอัศจรรย์สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ดังนี้แล้ว ได้บำเพ็ญขวนขวายวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- แผ่นดินร้อนดังเพลิง แผ่นดินดุจมีเถ้ารึงไหล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จจงกรมอยู่ที่กลางแจ้ง เรากั้นร่มขาวเดินทางไปได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าเข้าไปกลางแจ้งนั้น แล้วเกิดความคิดขึ้นว่า ภูมิภาคถูกพยับแดดแผ่คลุม แผ่นดินนี้จึงเป็นเหมือนถ่าน เพลิง พายุใหญ่ทำสรีรกายให้ลอยขึ้นได้ตั้งขึ้นอยู่ หนาวร้อนย่อมทำให้ลำบาก ขอได้โปรดรับร่มนี้อันเป็นเครื่องป้องกันลมและแดดเถิด ข้าพระองค์จักสัมผัสพระนิพพาน. พระชินเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงอนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา มีพระยศใหญ่ ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรงรับไว้ในกาลนั้น เราจักเป็นจอมเทวดา เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ กัป ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๕๐๐ ครั้งและได้เป็นเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เราได้เสวยกรรมของตนซึ่งก่อสร้างไว้ดีแล้วในปางก่อน นี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ภพที่สุดกำลังเป็นไปอยู่ ถึงทุกวันนี้ชนทั้งหลายก็พากันกั้นเศวตฉัตรให้เราตลอดกาลทุกเมื่อ ในแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายร่มนั้นไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายร่ม เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๔๗ ก็แลครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้พยากรณ์พระอรหัตผล โดยระบุข้อปฏิบัติของตนขึ้นเป็นประธานด้วย ๔ คาถาว่า เราเดินทางเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำ คนหนึ่ง ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์นุ่งห่มสวยงาม ทัด ทรงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรี ที่ถนนหลวง ท่ามกลางพระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอัน ธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบาย อันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนวโทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น ลำดับนั้น จิตของเราก็หลุดพ้นจาก สรรพกิเลส ขอท่านจงดูความที่แห่งธรรมเป็นธรรมอันดีเลิศ เราได้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ได้ทำกิจพระพุทธศาสนาเสร็จแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลงฺกตา ความว่า มีตัวประดับด้วยอาภรณ์มีกำไรมือเป็นต้น. บทว่า สุวสนา ได้แก่ เครื่องนุ่งห่มผ้าดี คือนุ่งผ้างาม. บทว่า มาลินี ได้แก่ ทัดทรงดอกไม้ คือมีพวงดอกไม้ประดับแล้ว. บทว่า จนฺทนุสฺสทา ได้แก่ มีร่างกายลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์. บทว่า มชฺเฌ มหาปเถ นารี ตูริเย นจฺจติ นฏฺฏกี ความว่า หญิงนักฟ้อนคือหญิงฟ้อนรำคนหนึ่งในสถานที่ตามที่กล่าวแล้ว ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีมีองค์ ๕ ในท่ามกลางถนนพระนคร คือกระทำการฟ้อนรำอยู่ตามปรารถนา. บทว่า ปิณฺฑิกาย ได้แก่ เพื่อภิกษา. บทว่า ปวิฏฺโฐมฺหิ ได้แก่ เราเข้าไปยังพระนคร. บทว่า คจฺฉนฺโต นํ อุทิกฺขิสํ ความว่า เมื่อเดินไปบนถนนในพระนคร ตรวจดูถนนเพื่อกำจัดอันตราย ได้แลดูหญิงนักฟ้อนนั้น. ถามว่าเหมือนอะไร? แก้ว่า เหมือนบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้. อธิบายว่า อารมณ์มีรูปเป็นต้นอันเป็นบ่วงแห่งมัจจุคือแห่งมัจจุราช อันธรรมชาติดักไว้ คือเที่ยวสัญจรอยู่ในโลก ย่อมนำมาซึ่งความพินาศโดยส่วนเดียวฉันใด หญิงนักฟ้อนแม้นั้นก็ฉันนั้น ย่อมนำมาซึ่งความพินาศโดยส่วนเดียวแก่ปุถุชนคนบอด เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าเสมือนกับบ่วงแห่งมัจจุราช. บทว่า ตโต แปลว่า เพราะเหตุนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงเป็นผู้ข้องอยู่เสมือนบ่วงแห่งมัจจุราช. บทว่า เม ได้แก่ เรา. บทว่า มนสีกาโร โยนิโส อุทปชฺชถ ความว่า การกระทำไว้ในใจโดยแยบคายเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ว่า ร่างกระดูกนี้อันเอ็นเกี่ยวพันไว้ อันเนื้อฉาบทาไว้ อันผิวหนังปิดบังไว้ ไม่สะอาดมีกลิ่นเหม็นน่าเกลียดและปฏิกูล มีอันปิดบัง ย่ำยี ทำลาย กำจัดความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา จึงแสดงอาการอันแปลกเช่นนี้. บทว่า อาทีนโว ปาตุรหุ ความว่า เมื่อว่าโดยหัวข้อคือการเข้าไปทรงไว้ตามสภาวะของกายอย่างนี้ เมื่อเรามนสิการ ถือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป และความผุพังไปพร้อมด้วยกิจ (ตามความเป็นจริง) แห่งกายนั้น และแห่งจิตและเจตสิกอันอาศัยกายนั้น และเมื่อจิตและเจตสิกปรากฏโดยความเป็นภัย เหมือนเมื่อยักษ์และรากษสเป็นต้นปรากฏ อาทีนวโทษมีอาการเป็นอันมากปรากฏแก่เราในเพราะเหตุนั้น และย่อมได้รับอานิสงส์ในพระนิพพานโดยเป็นปฏิปักษ์ต่ออาทีนวโทษนั้น. บทว่า นิพฺพิทา สมติฏฺฐถ ความว่า ความเบื่อหน่ายย่อมสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งอาทีนวานุปัสสนา การตามพิจารณาเห็นโทษ คือนิพพิทาญาณย่อมสำเร็จแล้วในหทัยของเรา, จิตในการจับรูปธรรมและนามธรรมเหล่านั้น แม้เพียงครู่เดียวก็ไม่ปรากฏ. โดยที่แท้เกิด แต่เพียงวางเฉยในรูปธรรมนามธรรมนั้นเท่านั้น ด้วยอำนาจความเป็นผู้ใคร่จะพ้นเป็นต้น. บทว่า ตโต ความว่า เบื้องหน้าแต่วิปัสสนาญาณ. บทว่า จิตฺตํ วิมุจฺจิ เม ความว่า จิตของเราได้หลุดพ้นแล้วจากสรรพกิเลสโดยลำดับแห่งมรรค ในเมื่อโลกุตรภาวนาเป็นไปอยู่. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงแสดงเหตุเกิดขึ้นแห่งผล. จริงอยู่ ในขณะแห่งมรรคจิต กิเลสทั้งหลาย ชื่อว่าย่อมหลุดพ้น. ในขณะแห่งผลจิต กิเลสชื่อว่าหลุดพ้นแล้ว ฉะนี้แล. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. จบอรรถกถานาคสมาลเถรคาถาที่ ๑ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จตุกกนิบาต ๑. นาคสมาลเถรคาถา จบ. ที่มา : http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... &i=323&p=1 อิอิ ตัวอย่าง เริ่มโยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนา อย่างแยบคาย ตั้งแต่สมัย พระพุทธเจ้ากาลก่อน คือ พระปทุมุตตระ มาแยบคายสุดๆ สมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม พระชินเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงอนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา มีพระยศใหญ่ ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรงรับไว้ในกาลนั้น เราจักเป็นจอมเทวดา เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ กัป ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๕๐๐ ครั้งและได้เป็นเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เราได้เสวยกรรมของตนซึ่งก่อสร้างไว้ดีแล้วในปางก่อน นี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ภพที่สุดกำลังเป็นไปอยู่ ถึงทุกวันนี้ชนทั้งหลายก็พากันกั้นเศวตฉัตรให้เราตลอดกาลทุกเมื่อ ในแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายร่มนั้นไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายร่ม เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. | |
| เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 12 พ.ค. 2010, 23:07 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| ขออนุญาติคุณศิรพลครับ ดูประโยคนี้ครับ มีสมถะด้วยครับ ....ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น .... | |
| เจ้าของ: | mes [ 13 พ.ค. 2010, 12:01 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| คุณคิรัสพล       กระทูคุณคิรัสพลคงไม่ได้ต้องการแสดงว่า โยนิโสอย่างเดียวล้วนๆใช่ไหมครับ เพราะมีพุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า Quote Tipitaka: นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน ฯเปฯ ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาก็ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ผู้ใดมีทั้งฌานและปัญญานั่นแล จึงนับว่าอยู่ใกล้นิพพาน | |
| เจ้าของ: | enlighted [ 13 พ.ค. 2010, 12:15 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| mes เขียน: คุณคิรัสพล       กระทูคุณคิรัสพลคงไม่ได้ต้องการแสดงว่า โยนิโสอย่างเดียวล้วนๆใช่ไหมครับ เพราะมีพุทธภาษิตกล่าวไว้ว่า Quote Tipitaka: นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน ฯเปฯ ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาก็ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ผู้ใดมีทั้งฌานและปัญญานั่นแล จึงนับว่าอยู่ใกล้นิพพาน โยนิโส ตอนนั้น ไกลจากนืพพาน สีอสงไขย แสนกัปป์ คร๊าบ | |
| เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 พ.ค. 2010, 13:36 ] | ||
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | ||
| ฝากลิงค์เรื่องที่พูดๆถึงกันไว้ด้วยขอรับ   viewtopic.php?f=2&t=31566 
 | |||
| เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 พ.ค. 2010, 13:37 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| enlighted เขียน: โยนิโส ตอนนั้น  ไกลจากนืพพาน สีอสงไขย แสนกัปป์ คร๊าบ ไกลขนาดนั้นเลยหรือ   | |
| เจ้าของ: | enlighted [ 13 พ.ค. 2010, 15:48 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| กรัชกาย เขียน: enlighted เขียน: โยนิโส ตอนนั้น  ไกลจากนืพพาน สีอสงไขย แสนกัปป์ คร๊าบ ไกลขนาดนั้นเลยหรือ  มีเศษ อีก เจ็ดแสน สามหมื่นสองพันสองร้อยห้าปี กับอีก ยี่สิบเก้าวัน อือื | |
| เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 พ.ค. 2010, 17:24 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| enlighted เขียน: กรัชกาย เขียน: enlighted เขียน: โยนิโส ตอนนั้น  ไกลจากนืพพาน สีอสงไขย แสนกัปป์ คร๊าบ ไกลขนาดนั้นเลยหรือ  มีเศษ อีก เจ็ดแสน สามหมื่นสองพันสองร้อยห้าปี กับอีก ยี่สิบเก้าวัน อือื พุทโธ ธัมโม สังโฆ    โยนิโส  ท่าน enlighted แนะนำให้ท่านพูดเรื่อง ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปล่อยหอยขม ฯลฯ เข้าท่ากว่าน่านะ   | |
| เจ้าของ: | enlighted [ 13 พ.ค. 2010, 17:32 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| กรัชกาย เขียน: enlighted เขียน: กรัชกาย เขียน: enlighted เขียน: โยนิโส ตอนนั้น  ไกลจากนืพพาน สีอสงไขย แสนกัปป์ คร๊าบ ไกลขนาดนั้นเลยหรือ  มีเศษ อีก เจ็ดแสน สามหมื่นสองพันสองร้อยห้าปี กับอีก ยี่สิบเก้าวัน อือื พุทโธ ธัมโม สังโฆ    โยนิโส  ท่าน enlighted แนะนำให้ท่านพูดเรื่อง ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปล่อยหอยขม ฯลฯ เข้าท่ากว่าน่านะ  อิอิ ปลดปลอ่ยสัตว์ และนางระบำรำฟ้อน เป็นโยนิโส พระโพธิสัตว์อยู่แล้ว อิอิ | |
| เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 พ.ค. 2010, 17:35 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| enlighted เขียน: พุทโธ ธัมโม สังโฆ    โยนิโส  ท่าน enlighted แนะนำให้ท่านพูดเรื่อง ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปล่อยหอยขม ฯลฯ เข้าท่ากว่าน่านะ อิอิ ปลดปลอ่ยสัตว์ และนางระบำรำฟ้อน เป็นโยนิโส พระโพธิสัตว์อยู่แล้ว อิอิ อะไร "โยนิโส" ได้แก่อะไร ? | |
| เจ้าของ: | enlighted [ 13 พ.ค. 2010, 17:38 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| กรัชกาย เขียน: enlighted เขียน: พุทโธ ธัมโม สังโฆ    โยนิโส  ท่าน enlighted แนะนำให้ท่านพูดเรื่อง ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปล่อยหอยขม ฯลฯ เข้าท่ากว่าน่านะ อิอิ ปลดปลอ่ยสัตว์ และนางระบำรำฟ้อน เป็นโยนิโส พระโพธิสัตว์อยู่แล้ว อิอิ อะไร "โยนิโส" ได้แก่อะไร ? [๓๒๓] เราเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำคนหนึ่ง ตก แต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวยงาม ทัดทรงดอกไม้ ลูบ ไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีที่ถนนหลวง ท่ามกลาง พระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนว- โทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น | |
| เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 พ.ค. 2010, 17:45 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| enlighted เขียน: กรัชกาย เขียน: enlighted เขียน: พุทโธ ธัมโม สังโฆ    โยนิโส  ท่าน enlighted แนะนำให้ท่านพูดเรื่อง ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปล่อยหอยขม ฯลฯ เข้าท่ากว่าน่านะ อิอิ ปลดปลอ่ยสัตว์ และนางระบำรำฟ้อน เป็นโยนิโส พระโพธิสัตว์อยู่แล้ว อิอิ อะไร "โยนิโส" ได้แก่อะไร ? [๓๒๓] เราเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำคนหนึ่ง ตก แต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวยงาม ทัดทรงดอกไม้ ลูบ ไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีที่ถนนหลวง ท่ามกลาง พระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนว- โทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น อ้อ...ข้อความทั้งหมดนั้นหรือ โยนิโส ของท่าน | |
| เจ้าของ: | enlighted [ 13 พ.ค. 2010, 18:00 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| กรัชกาย เขียน: enlighted เขียน: กรัชกาย เขียน: enlighted เขียน: พุทโธ ธัมโม สังโฆ    โยนิโส  ท่าน enlighted แนะนำให้ท่านพูดเรื่อง ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ปล่อยปลาไหล ปล่อยหอยขม ฯลฯ เข้าท่ากว่าน่านะ อิอิ ปลดปลอ่ยสัตว์ และนางระบำรำฟ้อน เป็นโยนิโส พระโพธิสัตว์อยู่แล้ว อิอิ อะไร "โยนิโส" ได้แก่อะไร ? [๓๒๓] เราเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำคนหนึ่ง ตก แต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวยงาม ทัดทรงดอกไม้ ลูบ ไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีที่ถนนหลวง ท่ามกลาง พระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนว- โทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น อ้อ...ข้อความทั้งหมดนั้นหรือ โยนิโส ของท่าน อิอิ แบบนั้นใช้เวลานานเกินไป ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าในกาลก่อน โน้นนนนนนนนนนนนนนน อิอิ | |
| เจ้าของ: | กรัชกาย [ 13 พ.ค. 2010, 18:07 ] | 
| หัวข้อกระทู้: | Re: ตัวอย่างการใช้โยนิโสมนสิการเจริญวิปัสสนาจนบรรลุอรหันต์ | 
| enlighted เขียน: [๓๒๓] เราเดินเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร ได้เห็นหญิงฟ้อนรำคนหนึ่ง ตก แต่งร่างกายด้วยเครื่องอาภรณ์ นุ่งห่มผ้าสวยงาม ทัดทรงดอกไม้ ลูบ ไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ฟ้อนรำอยู่ในวงดนตรีที่ถนนหลวง ท่ามกลาง พระนคร เป็นดุจบ่วงแห่งมัจจุราชอันธรรมชาติมาดักไว้ เพราะฉะนั้น การกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย จึงบังเกิดขึ้นแก่เรา อาทีนว- โทษปรากฏแก่เรา ความเบื่อหน่ายก็ตั้งลงมั่น อ้อ...ข้อความทั้งหมดนั้นหรือ โยนิโส ของท่าน อิอิ แบบนั้นใช้เวลานานเกินไป ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าในกาลก่อน โน้นนนนนนนนนนนนนนน อิอิ แล้วโยนิโสในปัจจุบันที่ท่านเข้าใจคืออะไร โยนิโส ? | |
| หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง | 
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ | |