วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 20:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 123 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ยังไม่รู้ตัวอีกรึ..

ว่าหากมากกว่านี้..คงจะไม่รู้เรื่อง..อะดิ
:b32: :b32:


อิอิ นั่นหนะจิ่จ้า..

เดียรถีย์หลับอยู่..พ่นเดรัจฉานกถาอยู่ได้ตั้งหลายวัน..ยังไม่รู้ตัวอีก นะจ้าๆ

ให้กล่าวข้อธรรมสูงกว่านี้..ภูมิปัญญาเดียรถีย์ก็จะไม่รู้เรื่อง..หนะจิ่ นะจ้าๆ


อนุโมทนาสาธุจ้า
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 04:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


รุ้สิ รู้ รู้ว่า แกมันเป็น สัตว์ 2เพศ ที่เติบโตมาจากการเลี้ยงดูแบบผิดๆไง ไอ้ตุ๊ด วิปริตจิตวิปลาส เดียรถีย์ นอกศาสนา มาพูดดูถูกพระศาสดา พระอรหันต์ ไงไอ้หน้าตัว ตุ๊ดสสสส์ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
รุ้สิ รู้ รู้ว่า แกมันเป็น สัตว์ 2เพศ ที่เติบโตมาจากการเลี้ยงดูแบบผิดๆไง ไอ้ตุ๊ด วิปริตจิตวิปลาส เดียรถีย์ นอกศาสนา มาพูดดูถูกพระศาสดา พระอรหันต์ ไงไอ้หน้าตัว ตุ๊ดสสสส์ :b32:
อนุโมทนาสาธุคร๊าบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b6:
...จุดใหญ่ของคนที่ไม่สามารถบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าได้คือระบุเพศตนไม่ชัดเจน...
...ปัญญาแค่คิดว่าสาระรูปตนเองอยู่เพศอะไรยังไม่เกิดเลย...เวรกรรมๆๆ... :b9:
...แล้วจะมีปัญญาไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธเจ้าได้จะดัย...อ่ะฮ้อยๆๆๆๆ
:b19: :b32:
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
Rosarin เขียน:
tongue
:b6:
...จุดใหญ่ของคนที่ไม่สามารถบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าได้คือระบุเพศตนไม่ชัดเจน...
...ปัญญาแค่คิดว่าสาระรูปตนเองอยู่เพศอะไรยังไม่เกิดเลย...เวรกรรมๆๆ... :b9:
...แล้วจะมีปัญญาไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธเจ้าได้จะดัย...อ่ะฮ้อยๆๆๆๆ
:b19: :b32:
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:

:b6:
...ด้วยความสัตย์จริง...หากใจความที่เขียนได้ล่วงเกินต่อผู้ใดก็ตาม...
...ขออภัยและโปรดอโหสิกรรมบาปนั้นเวรนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยละกัน...
...อย่าได้พยาบาทจองกรรมจองเวรแก่กันและกันเลยนะ...สาธุ
:b8:
:b44: :b44:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
Rosarin เขียน:
tongue
:b6:
...จุดใหญ่ของคนที่ไม่สามารถบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าได้คือระบุเพศตนไม่ชัดเจน...
...ปัญญาแค่คิดว่าสาระรูปตนเองอยู่เพศอะไรยังไม่เกิดเลย...เวรกรรมๆๆ... :b9:
...แล้วจะมีปัญญาไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธเจ้าได้จะดัย...อ่ะฮ้อยๆๆๆๆ
:b19: :b32:
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:

:b6:
...ด้วยความสัตย์จริง...หากใจความที่เขียนได้ล่วงเกินต่อผู้ใดก็ตาม...
...ขออภัยและโปรดอโหสิกรรมบาปนั้นเวรนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยละกัน...
...อย่าได้พยาบาทจองกรรมจองเวรแก่กันและกันเลยนะ...สาธุ
:b8:
:b44: :b44:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


อิอิ

พระอริยะเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็ระบุเพศตนไม่ได้ ละจ้าๆ


จุดใหญ่ของคนที่ไม่สามารถรับธรรมะของพระพุทธเจ้าได้คือหลงตัวเอง ละจ้าๆ

ปัญญาที่จะเห็นว่า สารรูป นั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของตน ยังไม่เกิดเลย เวรกรรมๆๆๆ ละจ้าๆๆ

แล้วจะมีปัญญาเห็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าและพญามารได้จะดัย ละจ้าๆๆๆๆ



อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
:b6:
...ด้วยความสัตย์จริง...หากใจความที่เขียนได้ล่วงเกินต่อผู้ใดก็ตาม...
...ขออภัยและโปรดอโหสิกรรมบาปนั้นเวรนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยละกัน...
...อย่าได้พยาบาทจองกรรมจองเวรแก่กันและกันเลยนะ...สาธุ
:b8:
:b44: :b44:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


อิอิ ที่ล่วงเกินไปนั้น พระอริยะเจ้า พระอรหันต์ ทั้งนั้นเลยนะจ้าๆ

ท่านไม่พยาบาทจองกรรมจองเวรกะใคร ละจ้าๆ

กรรมจากการปรามาสย่อมส่งผลเอง ละจ้าๆ



อนุโมทนาสาธุจ้า
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
Rosarin เขียน:
tongue
:b6:
...จุดใหญ่ของคนที่ไม่สามารถบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าได้คือระบุเพศตนไม่ชัดเจน...
...ปัญญาแค่คิดว่าสาระรูปตนเองอยู่เพศอะไรยังไม่เกิดเลย...เวรกรรมๆๆ... :b9:
...แล้วจะมีปัญญาไตร่ตรองในธรรมของพระพุทธเจ้าได้จะดัย...อ่ะฮ้อยๆๆๆๆ
:b19: :b32:
:b32: :b32: :b32: :b32: :b32:

:b6:
...ด้วยความสัตย์จริง...หากใจความที่เขียนได้ล่วงเกินต่อผู้ใดก็ตาม...
...ขออภัยและโปรดอโหสิกรรมบาปนั้นเวรนั้นแก่ข้าพเจ้าด้วยละกัน...
...อย่าได้พยาบาทจองกรรมจองเวรแก่กันและกันเลยนะ...สาธุ
:b8:
:b44: :b44:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


อโหสิกรรม คร๊าบ

การสำนึกกรรม
แต่ต้องออกมาจากใจ
ถ้าไม่สำนึกจนน้ำตาไหลพรากๆๆๆ
ก็แค่ลมปากน่ะคร๊าบ

ปัญญาติดแค่สาระรูป
ติดแค่ ขันธ์
ติดแค่ ลักษณะ
ติดแค่เพศ

ก็ไม่มีปัญญาที่จะเห็น ความไม่มีเพศของจิต หรอกคร๊าบบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม – จะทราบหรือแน่ใจได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์ครับ?

พระอรหันต์ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพราะเลิกทำกิริยาวาจาเหมือนคนปกติ จึงเป็นไปได้ที่คุณจะรู้สึกว่าพระอรหันต์ท่านก็เป็นแค่คนปกติคนหนึ่ง

พระอรหันต์ท่านไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ จึงเป็นไปได้ที่คุณจะรู้สึกว่าพระอรหันต์ท่านช่างอ่อนน้อมถ่อมตน ราวกับไม่มีคุณวิเศษใดๆอยู่ในตัว

พระอรหันต์ท่านชอบเก็บเนื้อเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร นิยมแต่ความวิเวกและวิมุตติรสแห่งนิพพานอันหาง่ายในวัดหรือป่า จึงเป็นไปได้ที่คุณจะไม่เคยเห็นท่าน หากไม่ไปถึงที่อยู่ของท่านคือวัดหรือป่า เพราะฉะนั้นสบายใจได้ครับ ถ้าคุณเดินไปตามสี่แยกไฟแดง อย่ากังวลว่าจะต้องพลาดพลั้งกระทบไหล่พระอรหันต์ให้เกิดบาปเกิดกรรม พวกท่านไม่ปรากฏให้เห็นง่ายขนาดนั้น

แต่ถ้าหมั่นเข้าวัด ชอบตระเวนไปทำบุญแบบไม่เลือกวัด อันนั้นมีสิทธิ์ครับ เป็นไปได้ที่วันหนึ่งคุณอาจปะเหมาะเคราะห์ดี ได้พบพระอรหันต์ที่ยังมีลมหายใจอยู่ในโลก เพราะวัดและป่าคือบ้านของพระอรหันต์


อย่างไรก็ตาม ในสมัยพุทธกาลมีประวัติมาแล้ว ว่าพระอรหันต์ชื่อปิลินทวัจฉะท่านติดปาก ชอบเรียกใครต่อใครหยาบๆคายๆ ร้อนถึงพระกรรณของพระพุทธองค์ เมื่อชาวบ้านมาฟ้องว่าพระรูปนี้พูดจาไม่สำรวม ไม่เหมาะแก่สมณรูป พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องประกาศว่าพระรูปดังกล่าวหมดจดจากกิเลสแล้ว แต่ยังละความเคยชินทางวาจาไม่ได้ ท่านก็พูดแบบเดิมๆด้วยอำนาจความเคยชิน โดยไม่มีจิตประทุษร้ายเยี่ยงผู้ยังมีโทสะเจืออยู่แต่ประการใด



สรุปว่าถ้าคุณเจอพระอรหันต์ คุณอาจเข้าใจผิดว่าท่านไม่ใช่ เช่นเดียวกับที่ครั้งพุทธกาลเคยมีชาวเมืองเข้าใจผิดพระอรหันต์มาแล้ว

ถ้าเช่นนั้นคนธรรมดาที่ไม่ใช่พระอรหันต์อย่างเราๆท่านๆ จะดูพระอรหันต์ด้วยตาเปล่าได้อย่างไร? อันนี้พอมีหลักอยู่บ้าง ถ้าดูด้วยตาเปล่า เราไม่มีทางรู้แน่ๆว่าใครเป็นพระอรหันต์ แต่เรารู้ได้แน่ๆว่าใคร ‘ไม่ใช่’ พระอรหันต์

หลักดังกล่าวเป็นที่เปิดเผยโดยพระอรหันต์ผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า นามว่า ‘อานนท์’ ท่านกล่าวไว้ในครั้งหนึ่ง ว่าภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีภาระอันปลงลงแล้ว ถึงประโยชน์สูงสุดสำหรับตนแล้ว สิ้นกิเลสอันเป็นตัวก่อภพแล้ว ภิกษุนั้นจะไม่มีประพฤติกรรมดังต่อไปนี้ คือ

๑) ไม่อาจแกล้งปลงชีวิตสัตว์

๒) ไม่อาจถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน

๓) ไม่อาจมีเพศสัมพันธ์

๔) ไม่อาจกล่าวเท็จทั้งรู้

๕) ไม่อาจเป็นผู้สั่งสมเครื่องบันเทิงเริงรมย์เหมือนเมื่อครั้งก่อนบวช

พฤติกรรมต้องห้ามสำหรับพระอรหันต์ทั้ง ๕ ข้อนี้ ถ้าปรากฏในผู้ใด ก็นับว่าไม่ใช่พระอรหันต์เด็ดขาด เนื่องจากความเป็นอรหันต์นั้น เป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีการกลับเสื่อมลงได้ ดังเช่นที่พระอานนท์กล่าวเปรียบไว้ ว่าเหมือนมือและเท้าของใครสักคนขาดไป เขาจะเดินอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี มือและเท้าก็เป็นอันขาดอยู่เสมอ ไม่อาจกลับงอกขึ้นใหม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้เป็นอรหันต์แล้วย่อมไม่กลับมีกิเลสกำเริบขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะอยู่ในอาการใดๆจนชั่วชีวิต

ส่วนถ้าคุณจะ ‘รู้จริง’ ด้วยตนเองว่าใครเป็นพระอรหันต์ ก่อนอื่นคุณต้องเป็นพระอรหันต์ และไม่ใช่พระอรหันต์เปล่าๆ แต่ต้องรู้วาระจิตคนอื่นได้ด้วย เหมือนเช่นที่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นอรหันต์เอกองค์หนึ่งของโลกเคยกล่าวไว้ว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อสามารถพยากรณ์อรหัตผลของตนเอง บอกได้จากจิตว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ก็ไม่เป็นเรื่องแปลกที่จะเป็นผู้ทรงฌาน และเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตผู้อื่น

เมื่อใดใครกล่าวอ้างว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ตัวจริงท่านก็รู้แต่แรกว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่แทนการด่วนกล่าวให้โกรธเคืองกัน ท่านก็จะเมตตาไล่เลียง ซักถามภิกษุนั้น ด้วยอุบายประการต่างๆ จนกว่าผู้เข้าใจผิดจะรู้สึกตัว ว่าความสำคัญตนผิดนั้นเป็นโทษ เป็นเหตุให้ไม่ปฏิบัติเพื่อความเจริญ กระทั่งถอนความเห็นผิดเสียได้เด็ดขาด จะได้พากเพียรเจริญสติให้ถูกทางกันต่อ

มักมีผู้สงสัยว่าพระอรหันต์ท่านสัมผัสว่าใครเป็นอรหันต์ด้วยกันแบบไหน อันนี้หากกล่าวเป็นขั้นๆ ตามสัมผัสอันเกิดจากกระแสจิตของปุถุชนและอริยบุคคล เรียงลำดับจากต่ำไปหาสูง ก็คงพออนุมานได้ดังนี้

๑) ปุถุชนผู้มีราคะและโทสะกล้าแข็งขนาดยอมผิดศีลได้ ย่อมมองออกว่าใครมีราคะและโทสะกล้าแข็งขนาดยอมผิดศีลได้ กับทั้งเป็นพาลพอจะเหมาว่าคนทั้งโลกก็อาจผิดศีลได้เหมือนตนหากถูกเร้าใจมากพอ

๒) กัลยาณชนผู้มีความดีงาม ย่อมมองออกว่าใครมีความดีงาม แต่จะมองไม่ออกว่าใครบ้างที่ว่างจากความยึดมั่นว่ากายใจเป็นตัวตน

๓) อริยบุคคลชั้นโสดาบันผู้สามารถสัมผัสนิพพานเพราะว่างจากอาการยึดมั่นว่ากายใจเป็นตน ย่อมมองออกว่าใครว่างจากอาการยึดมั่นว่ากายใจเป็นตน แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครบ้างมีราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงแล้ว เพราะตนเองยังมีราคะ โทสะ และโมหะได้เท่าเดิม

๕) อริยบุคคลชั้นสกทาคามีผู้มีราคะ โทสะ และโมหะเบาบางลงแล้ว ย่อมมองออกว่าใครมีราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงแล้ว แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครบ้างที่สิ้นราคะและโทสะ

๖) อริยบุคคลชั้นอนาคามีผู้หมดความยินดีในกามคุณ และมีใจอันว่างจากการถูกกระทบกระทั่ง ย่อมมองออกว่าใครละกามคุณได้แล้ว และมีใจอันปลอดจากการกระทบกระทั่งแล้ว แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครละความรู้สึกว่าเป็นตนได้เด็ดขาด

๗) อริยบุคคลชั้นอรหันต์ผู้ทรงฌาน มีความสามารถล่วงรู้วาระจิตคนอื่นได้แจ่มแจ้งแทงตลอด ย่อมรู้ได้ว่าจิตอันรู้ตื่นเบิกบานถาวรเช่นตนเป็นอย่างไร กับทั้งมองลงมาเห็นระดับจิตที่ต่ำกว่าตนได้ทะลุปรุโปร่ง แยกแยะถูกว่าใครเป็นปุถุชน เป็นกัลยาณชน หรือเป็นอริยบุคคลชั้นไหนๆ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระองค์ นี่ถือเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพุทธศาสนา พระอรหันต์ท่านมีประสบการณ์ทางจิตอย่างไรไม่มีใครในระดับจิตต่ำกว่าท่านจะไปล่วงรู้ได้ เรารู้เพียงคำพูดว่าพวกท่านมีจิตที่พรากแล้วจากกายใจ ไม่ยึดแล้วว่ากายใจเป็นตัวตน จึงได้แต่อนุมาน ว่าพวกท่านมองตัวเองด้วยความรู้สึกประมาณเดียวกับที่คุณมองคนอื่น ถ้านี่เป็นมุมมองที่แปลกประหลาดและยากจะจินตนาการ ก็แปลว่าเป็นเรื่องอจินไตย คือคุณ ‘ไม่ควรคิด’ ว่าเป็นอย่างไรเพียงด้วยการอาศัยประสบการณ์สามัญของตนเองครับ

ที่มา ดังตฤณ หนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙ ตอนที่ ๗

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
ถาม – จะทราบหรือแน่ใจได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอรหันต์ครับ?

พระอรหันต์ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพราะเลิกทำกิริยาวาจาเหมือนคนปกติ จึงเป็นไปได้ที่คุณจะรู้สึกว่าพระอรหันต์ท่านก็เป็นแค่คนปกติคนหนึ่ง

พระอรหันต์ท่านไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ จึงเป็นไปได้ที่คุณจะรู้สึกว่าพระอรหันต์ท่านช่างอ่อนน้อมถ่อมตน ราวกับไม่มีคุณวิเศษใดๆอยู่ในตัว

พระอรหันต์ท่านชอบเก็บเนื้อเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร นิยมแต่ความวิเวกและวิมุตติรสแห่งนิพพานอันหาง่ายในวัดหรือป่า จึงเป็นไปได้ที่คุณจะไม่เคยเห็นท่าน หากไม่ไปถึงที่อยู่ของท่านคือวัดหรือป่า เพราะฉะนั้นสบายใจได้ครับ ถ้าคุณเดินไปตามสี่แยกไฟแดง อย่ากังวลว่าจะต้องพลาดพลั้งกระทบไหล่พระอรหันต์ให้เกิดบาปเกิดกรรม พวกท่านไม่ปรากฏให้เห็นง่ายขนาดนั้น

แต่ถ้าหมั่นเข้าวัด ชอบตระเวนไปทำบุญแบบไม่เลือกวัด อันนั้นมีสิทธิ์ครับ เป็นไปได้ที่วันหนึ่งคุณอาจปะเหมาะเคราะห์ดี ได้พบพระอรหันต์ที่ยังมีลมหายใจอยู่ในโลก เพราะวัดและป่าคือบ้านของพระอรหันต์


อย่างไรก็ตาม ในสมัยพุทธกาลมีประวัติมาแล้ว ว่าพระอรหันต์ชื่อปิลินทวัจฉะท่านติดปาก ชอบเรียกใครต่อใครหยาบๆคายๆ ร้อนถึงพระกรรณของพระพุทธองค์ เมื่อชาวบ้านมาฟ้องว่าพระรูปนี้พูดจาไม่สำรวม ไม่เหมาะแก่สมณรูป พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องประกาศว่าพระรูปดังกล่าวหมดจดจากกิเลสแล้ว แต่ยังละความเคยชินทางวาจาไม่ได้ ท่านก็พูดแบบเดิมๆด้วยอำนาจความเคยชิน โดยไม่มีจิตประทุษร้ายเยี่ยงผู้ยังมีโทสะเจืออยู่แต่ประการใด



สรุปว่าถ้าคุณเจอพระอรหันต์ คุณอาจเข้าใจผิดว่าท่านไม่ใช่ เช่นเดียวกับที่ครั้งพุทธกาลเคยมีชาวเมืองเข้าใจผิดพระอรหันต์มาแล้ว

ถ้าเช่นนั้นคนธรรมดาที่ไม่ใช่พระอรหันต์อย่างเราๆท่านๆ จะดูพระอรหันต์ด้วยตาเปล่าได้อย่างไร? อันนี้พอมีหลักอยู่บ้าง ถ้าดูด้วยตาเปล่า เราไม่มีทางรู้แน่ๆว่าใครเป็นพระอรหันต์ แต่เรารู้ได้แน่ๆว่าใคร ‘ไม่ใช่’ พระอรหันต์

หลักดังกล่าวเป็นที่เปิดเผยโดยพระอรหันต์ผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า นามว่า ‘อานนท์’ ท่านกล่าวไว้ในครั้งหนึ่ง ว่าภิกษุใดเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีภาระอันปลงลงแล้ว ถึงประโยชน์สูงสุดสำหรับตนแล้ว สิ้นกิเลสอันเป็นตัวก่อภพแล้ว ภิกษุนั้นจะไม่มีประพฤติกรรมดังต่อไปนี้ คือ

๑) ไม่อาจแกล้งปลงชีวิตสัตว์

๒) ไม่อาจถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน

๓) ไม่อาจมีเพศสัมพันธ์

๔) ไม่อาจกล่าวเท็จทั้งรู้

๕) ไม่อาจเป็นผู้สั่งสมเครื่องบันเทิงเริงรมย์เหมือนเมื่อครั้งก่อนบวช

พฤติกรรมต้องห้ามสำหรับพระอรหันต์ทั้ง ๕ ข้อนี้ ถ้าปรากฏในผู้ใด ก็นับว่าไม่ใช่พระอรหันต์เด็ดขาด เนื่องจากความเป็นอรหันต์นั้น เป็นแล้วเป็นเลย ไม่มีการกลับเสื่อมลงได้ ดังเช่นที่พระอานนท์กล่าวเปรียบไว้ ว่าเหมือนมือและเท้าของใครสักคนขาดไป เขาจะเดินอยู่ก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับแล้วก็ดี ตื่นอยู่ก็ดี มือและเท้าก็เป็นอันขาดอยู่เสมอ ไม่อาจกลับงอกขึ้นใหม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้เป็นอรหันต์แล้วย่อมไม่กลับมีกิเลสกำเริบขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะอยู่ในอาการใดๆจนชั่วชีวิต

ส่วนถ้าคุณจะ ‘รู้จริง’ ด้วยตนเองว่าใครเป็นพระอรหันต์ ก่อนอื่นคุณต้องเป็นพระอรหันต์ และไม่ใช่พระอรหันต์เปล่าๆ แต่ต้องรู้วาระจิตคนอื่นได้ด้วย เหมือนเช่นที่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นอรหันต์เอกองค์หนึ่งของโลกเคยกล่าวไว้ว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อสามารถพยากรณ์อรหัตผลของตนเอง บอกได้จากจิตว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ก็ไม่เป็นเรื่องแปลกที่จะเป็นผู้ทรงฌาน และเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตผู้อื่น

เมื่อใดใครกล่าวอ้างว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ตัวจริงท่านก็รู้แต่แรกว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่แทนการด่วนกล่าวให้โกรธเคืองกัน ท่านก็จะเมตตาไล่เลียง ซักถามภิกษุนั้น ด้วยอุบายประการต่างๆ จนกว่าผู้เข้าใจผิดจะรู้สึกตัว ว่าความสำคัญตนผิดนั้นเป็นโทษ เป็นเหตุให้ไม่ปฏิบัติเพื่อความเจริญ กระทั่งถอนความเห็นผิดเสียได้เด็ดขาด จะได้พากเพียรเจริญสติให้ถูกทางกันต่อ

มักมีผู้สงสัยว่าพระอรหันต์ท่านสัมผัสว่าใครเป็นอรหันต์ด้วยกันแบบไหน อันนี้หากกล่าวเป็นขั้นๆ ตามสัมผัสอันเกิดจากกระแสจิตของปุถุชนและอริยบุคคล เรียงลำดับจากต่ำไปหาสูง ก็คงพออนุมานได้ดังนี้

๑) ปุถุชนผู้มีราคะและโทสะกล้าแข็งขนาดยอมผิดศีลได้ ย่อมมองออกว่าใครมีราคะและโทสะกล้าแข็งขนาดยอมผิดศีลได้ กับทั้งเป็นพาลพอจะเหมาว่าคนทั้งโลกก็อาจผิดศีลได้เหมือนตนหากถูกเร้าใจมากพอ

๒) กัลยาณชนผู้มีความดีงาม ย่อมมองออกว่าใครมีความดีงาม แต่จะมองไม่ออกว่าใครบ้างที่ว่างจากความยึดมั่นว่ากายใจเป็นตัวตน

๓) อริยบุคคลชั้นโสดาบันผู้สามารถสัมผัสนิพพานเพราะว่างจากอาการยึดมั่นว่ากายใจเป็นตน ย่อมมองออกว่าใครว่างจากอาการยึดมั่นว่ากายใจเป็นตน แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครบ้างมีราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงแล้ว เพราะตนเองยังมีราคะ โทสะ และโมหะได้เท่าเดิม

๕) อริยบุคคลชั้นสกทาคามีผู้มีราคะ โทสะ และโมหะเบาบางลงแล้ว ย่อมมองออกว่าใครมีราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงแล้ว แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครบ้างที่สิ้นราคะและโทสะ

๖) อริยบุคคลชั้นอนาคามีผู้หมดความยินดีในกามคุณ และมีใจอันว่างจากการถูกกระทบกระทั่ง ย่อมมองออกว่าใครละกามคุณได้แล้ว และมีใจอันปลอดจากการกระทบกระทั่งแล้ว แต่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครละความรู้สึกว่าเป็นตนได้เด็ดขาด

๗) อริยบุคคลชั้นอรหันต์ผู้ทรงฌาน มีความสามารถล่วงรู้วาระจิตคนอื่นได้แจ่มแจ้งแทงตลอด ย่อมรู้ได้ว่าจิตอันรู้ตื่นเบิกบานถาวรเช่นตนเป็นอย่างไร กับทั้งมองลงมาเห็นระดับจิตที่ต่ำกว่าตนได้ทะลุปรุโปร่ง แยกแยะถูกว่าใครเป็นปุถุชน เป็นกัลยาณชน หรือเป็นอริยบุคคลชั้นไหนๆ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระองค์ นี่ถือเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพุทธศาสนา พระอรหันต์ท่านมีประสบการณ์ทางจิตอย่างไรไม่มีใครในระดับจิตต่ำกว่าท่านจะไปล่วงรู้ได้ เรารู้เพียงคำพูดว่าพวกท่านมีจิตที่พรากแล้วจากกายใจ ไม่ยึดแล้วว่ากายใจเป็นตัวตน จึงได้แต่อนุมาน ว่าพวกท่านมองตัวเองด้วยความรู้สึกประมาณเดียวกับที่คุณมองคนอื่น ถ้านี่เป็นมุมมองที่แปลกประหลาดและยากจะจินตนาการ ก็แปลว่าเป็นเรื่องอจินไตย คือคุณ ‘ไม่ควรคิด’ ว่าเป็นอย่างไรเพียงด้วยการอาศัยประสบการณ์สามัญของตนเองครับ

ที่มา ดังตฤณ หนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙ ตอนที่ ๗


พระอรหันต์ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เพราะเลิกทำกิริยาวาจาเหมือนคนปกติ จึงเป็นไปได้ที่คุณจะรู้สึกว่าพระอรหันต์ท่านก็เป็นแค่คนปกติคนหนึ่ง

เหอๆๆ ทำแบบปุถุชน แบบนี้ เป็นหรือปล่า อ๊ะจ๊าก
หรือต้องวางฟอร์ม

เพราะวัดและป่าคือบ้านของพระอรหันต์

เริงรมย์ อยู่ในบ้านในวัด หรืออ๊ะจ๊าก
ของหยาบๆ นะนั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2010, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...การที่nuuได้อ่านข้อคิดข้อแนะนำแล้วสามารถแยกแยะถูกผิดได้ก่อนเชื่อเป็นสิ่งที่ดี...
...ซึ่งเป็นเรื่องของคนที่มีสติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองตามหลักกาลามสูตรสิบ...
...บางครั้งการทำดีก็เพื่อความดี...คนที่เขาคิดไม่ได้ก็ปล่อยเขาไปตามกรรมเถอะนะ...
:b34:
...Rosarin...ยังสุขสุขสบายดี...และยินดีเสนอความคิดที่คิดว่าดีอย่างมีเหตุผล...
...nuu...ไม่ต้องกังวลใจกับสิ่งที่คนอื่นเขาขัดแย้ง...เพราะมันเป็นความเห็นของเขา...
...เลือกเชื่ออย่างมีเหตุผล...การเข้ามาในลานนี้ก็คือยินดีรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นได้ค่ะ...
:b16:
:b27: :b27:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2010, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่งอ่านกระทู้นี้ :b9: หนุกหนาน มีกล่าวพาดพิงถึง หื่นกาม ด้วยเพิ่งเห็นนะเนี่ย :b32:

แล้วป๊อดไลท์ กับ หนูระเริง จะมาอีกไหมหนอ :b3:

ใครเห็นสองคนนั้นเข้ามาอีกช่วยส่ง SMS บอกที :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
:b12:
...การที่nuuได้อ่านข้อคิดข้อแนะนำแล้วสามารถแยกแยะถูกผิดได้ก่อนเชื่อเป็นสิ่งที่ดี...
...ซึ่งเป็นเรื่องของคนที่มีสติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองตามหลักกาลามสูตรสิบ...
...บางครั้งการทำดีก็เพื่อความดี...คนที่เขาคิดไม่ได้ก็ปล่อยเขาไปตามกรรมเถอะนะ...
:b34:
...Rosarin...ยังสุขสุขสบายดี...และยินดีเสนอความคิดที่คิดว่าดีอย่างมีเหตุผล...
...nuu...ไม่ต้องกังวลใจกับสิ่งที่คนอื่นเขาขัดแย้ง...เพราะมันเป็นความเห็นของเขา...
...เลือกเชื่ออย่างมีเหตุผล...การเข้ามาในลานนี้ก็คือยินดีรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นได้ค่ะ...
:b16:
:b27: :b27:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


เหอๆๆ

พระเวสสันดร กามาวจร ชั้น 4
พระญามาร กามาวจร ชั้น 6

เทียบกามา ก็หนักกว่า แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
:b12: อิ อิ
แล้วปะรำปะราอย่างนี้ เกิดขึ้นเพื่ออะไร.. :b12:



นิพพานัง ปรมัง สุขัง
ปรมัง มาจากคำว่า ปาร้ำ ปรา (ออกเสียงสำเนียงอินเดีย) แปลว่าดั้งเดิม
(สหายธรรมเชื้อสายอินเดียบอกมา )

แล้วดูเอนไลท์มันปรามาสพระอุปคุตพระอรหันต์มหาเถระเจ้าเยี่ยงไรบ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
ไอ้หน้าตัวตุ๊ด แกเก่งกว่าพระอุปคุตพระอรหันต์เถระเจ้า ท่าน หรือไงว่ะ? :b32:


เหอๆๆ

ก็ลองแสดงธรรมของพระอุปคุตมาสิ
จะชี้ให้ดู ว่าติดข้องอะไร

ปริวิตก ด้วยอีกรายหรือเปล่า

เหอๆๆ


ควรแบนมันตั้งนานแล้ว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 123 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 145 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร