ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=31179
หน้า 5 จากทั้งหมด 5

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 07 พ.ค. 2010, 22:13 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

enlighted เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เหอๆๆ

จะหาข้างใน ก็หาไปเหอะ
จะหาวิธี ก็หาไปเหอะ


อันนี้เงาของจิตหรือเงาของวิญญาณขอรับ ?


จิตคิดจิตเกิด จิตแสวงหา จิตถูกทำลายบันลัยล่ะคร๊าบ


ก็เป็นเงาของจิต :b32:

ไฟล์แนป:
girljump.gif
girljump.gif [ 128.49 KiB | เปิดดู 3468 ครั้ง ]

เจ้าของ:  enlighted [ 07 พ.ค. 2010, 22:27 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

กรัชกาย เขียน:
enlighted เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เหอๆๆ

จะหาข้างใน ก็หาไปเหอะ
จะหาวิธี ก็หาไปเหอะ


อันนี้เงาของจิตหรือเงาของวิญญาณขอรับ ?


จิตคิดจิตเกิด จิตแสวงหา จิตถูกทำลายบันลัยล่ะคร๊าบ


ก็เป็นเงาของจิต :b32:


คำสอนข้าพเจ้า ไม่สงวนลิขสิทธิ์หรอก

อิอิ

เจ้าของ:  enlighted [ 07 พ.ค. 2010, 22:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

เลขสมาชิก: 2245
เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006, 12:36
ตอบ:6781

เหอๆๆ

เป็นสมาชิกมาตั้งแต่ปี 06 เพื่งจะมาโดน เงาจิตได้ก็วันนี้แหละ

อิอิ

เจ้าของ:  ธรรมบุตร [ 08 พ.ค. 2010, 19:47 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

โลกทั้งผองพี่น้องกัน..

พุทธศาสนาไม่เพียงมองว่า
สรรพชีวิตในโลกล้วนเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น
หากยังเห็นว่าสรรพชีวิตล้วนมีความเกี่ยวดองกันในฐานะญาติมิตร อย่างน้อยก็ในอดีต
ดังมีพุทธพจน์ตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ แทบไม่มีเลยที่ไม่เคยเป็น
มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว ของกันและกันมาก่อน

ความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันของสรรพชีวิตตลอดจนสรรพสิ่งในโลกนี้
เป็นแนวคิดที่กำลังขยายตัวเข้าสู่แวดวงวิทยาศาสตร์มากขึ้น
อาทิเช่น ควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งศึกษาถึงความจริงในระดับที่เล็กกว่าอนุภาค
ก็พบว่า คุณสมบัติของอนุภาคใดอนุภาคอื่นนั้นไม่แยกจากอนุภาคอื่น
รวมทั้งไม่แยกจากวิธีการหรือความคิดของบุคคลที่เป็นผู้สังเกตด้วย
ทำนองเดียวกับที่สสารและพลังงานไม่อาจแยกจากกันได้อย่างเด็ดขาด

มีวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อีกหลายสาขาที่กำลังมาถึงข้อสรุปดังกล่าว
อาทิเช่น ชีววิทยา ความรู้ด้านพันธุกรรมช่วยให้พบว่า
มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ล้วนเป็นญาติพี่น้องกัน แม้ไม่ต้องถึงกับตรวจยีน
วิชาการด้านชาติวงศ์วิทยา (geneology) ก็สามารถยืนยันในเรื่องนี้ได้
เมื่อสองปีที่แล้วมีบทความชื่อ "Royal We" ตีพิมพ์ในหนังสือ The Atlantic Monthly
ผู้เขียนคือสตีฟ ออลสันได้สรุปจากการค้นคว้าด้านชาติวงศ์วิทยาว่า
คนยุโรปทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันล้วนมีบรรพบุรุษเป็นคน ๆ เดียวกัน
โดยสามารถย้อนกลับไปหาบุคคลผู้นั้นได้เพียงแค่ ๖๐๐ ปีเท่านั้น คือเมื่อราวค.ศ.๑๔๐๐
โดยไม่ต้องย้อนไปไกลถึงสมัยที่มนุษย์ยังอยู่ถ้ำ
หรือเพิ่งหัดเดิน ๒ ขาที่ทวีปอาฟริกาเมื่อล้านกว่าปีที่แล้วด้วยซ้ำ

เขายังบอกต่อไปด้วยเมื่อใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาประกอบจะพบว่า
ทุกคนที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวยุโรปล้วนสืบสายมาจากศาสดามะหะหมัด
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าในอดีตมีการอพยพข้ามประเทศและ ข้ามทวีป
อันเป็นผลจากสงคราม ลัทธิอาณานิคม และความผันผวนทางการเมือง
สังคมในประเทศต่างๆ ก็พบว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ประชากรโลกทั้ง ๖,๐๐๐ ล้านคน
เวลานี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันเมื่อ ๒,๐๐๐ ปีที่แล้ว
นั่นหมายความว่าขงจื๊อ และบุคคลในประวัติศาสตร์อีกหลายคน
(ซึ่งย่อมรวมถึงพระพุทธเจ้าและโสกราตีส)ก็เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนใน เวลานี้ด้วย
แม้จะต่างสีผิว ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม แต่เราทุกคนเป็นญาติพี่น้องกันโดยสายเลือด
ไม่เว้นแม้กระทั่งยิวกับอาหรับที่กำลังรบกันอยู่ในเวลานี้

ที่จริงถ้าเราใช้หลักคณิตศาสตร์พื้นฐานก็พอมองเห็นเค้าอยู่
เพราะว่าบรรพบุรุษของเราแต่ละรุ่นจะมีจำนวนเพิ่มเป็น ๒ เท่าเมื่อย้อนขึ้นไปแต่ละรุ่น
เช่น เรามีพ่อแม่รวม ๒ คน มีปู่ย่าตายายรวม ๔ คน
ถ้าย้อนขึ้นไปอีกรุ่นก็เพิ่มเป็น ๘ คน แล้วก็ ๑๖ คน
จำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแบบที่เรียกว่า exponential
ทีนี้ถ้าย้อนขึ้นไปถึง ๔๐ รุ่น หรือประมาณ ๑,๒๐๐ ปี
บรรพบุรุษของเราถึงตอนนั้นจะมากมายอย่างคาดไม่ถึง
คือมีมากกว่า ๑ ล้านล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าจำนวนคนทั้งหมด
เท่าที่เคยเกิดมาในโลกนี้ทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าทุกคนที่มีชีวิตเมื่อพันปีที่แล้ว (ซึ่งมีไม่ถึงพันล้านคน)
ล้วนเป็นบรรพบุรุษของเราแต่ละคนในเวลานี้ทั้งนั้น

นอกจากวิชาการสมัยใหม่เช่น ชาติวงศ์วิทยาจะทำให้เราเห็นว่า มนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน
ต่างมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันโดยสายเลือดแล้ว
พันธุศาสตร์ยังช่วยให้เราเห็นว่า แม้กระทั่งกับสรรพสัตว์ในธรรมชาติ
เราก็โยงถึงกันได้ในทางพันธุกรรม เช่น รู้กันมานานแล้วว่าในเซลล์ของเราทุกเซลล์
มีชีวิตอื่นเข้ามาปะปนจนกลายเป็น ส่วนหนึ่งของเซลล์เรา
ที่เห็นชัดคือไมโตคอนเดรีย (mitochondria)

ไมโตคอนเดรียเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่เกิดมาเมื่อ ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ล้านปีที่แล้ว
มีลักษณะคล้ายแบคทีเรียโบราณ
จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม มันได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์เรา
และมีบทบาทสำคัญมากในการผลิตพลังงานให้แก่เซลล์ทุกเซลล์ในตัวเรา
มันมีธรรมชาติที่เป็นของมันเอง แต่ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปแล้ว

ยิ่งกว่านั้นเป็นไปได้มากว่าในเซลล์ของเรา จะมียีนของสัตว์อื่นเข้ามาปะปนมากมาย
เช่นเดียวกับที่พบว่าในเซลล์ของแมวนั้น มียีนของหนูและลิงบาบูนเข้ามาผสมด้วย
ยีนของหนูยังพบได้ในเซลล์ของหมู แม้แต่ปลาเทร้าท์ก็ยังมียีนของนกมาปะปน
การที่ยีน "กระโดด" ข้ามสายพันธุ์นี้มิใช่ข้อยกเว้น
หากเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ
จนน่าจะกล่าวได้ว่าสัตว์ทุกชนิดในโลก (รวมทั้งมนุษย์) ล้วนเป็นญาติ
หรือมีความเกี่ยวดองกันทางพันธุกรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ศาสตร์สมัยใหม่ ถ้าศึกษาอย่างจริงจัง
สามารถช่วยให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสรรพชีวิต และสรรพสิ่งได้
พูดอีกอย่างคือทำให้เราตระหนักว่า เราทั้งหมดล้วนเป็นญาติพี่น้องกัน
ความรู้อย่างนี้แหละที่จะช่วยให้เราลดความอหังการลงไป
อ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น และรักกันมากขึ้นด้วย
แทนที่จะรังเกียจเดียดฉันท์เพราะความต่างทางด้านสีผิว เชื้อชาติ ภาษา หรือศาสนา
ความต่างเหล่านั้นแม้จะมีอยู่จริง
แต่ก็เป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับความเหมือนและความคล้ายคลึง
ที่สำคัญก็คือ ความต่างนั้นเป็นสิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่สิ่งที่เรามีเหมือนกันนั้นฝังลึกอยู่ในสายเลือด อันมิอาจแปรเป็นอื่นได้

การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นโดยไม่เลือกสีผิว เชื้อชาติ ภาษาและประเทศ
จึงมิใช่แค่จริยธรรมแบบพุทธเท่านั้น
หากยังเป็นจริยธรรมสากลสำหรับโลกทุกยุคสมัยด้วย

เจ้าของ:  noohmairu [ 08 พ.ค. 2010, 21:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

อิอิ

อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:

เจ้าของ:  เจตพัฒน์ [ 08 พ.ค. 2010, 21:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

ตายเหมือนกัน tongue

เจ้าของ:  sansook [ 11 พ.ค. 2010, 15:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

ตั้งใจจะอ่านแค่ อำมาตย์ กับไพร่ เหตุไฉนจึงไหลลงอารมณ์?????
อย่าไปคิดมากกันเลยนะ
ก็เพราะเหตุ และผลนั่นแหละ ที่แยกแยะความคิดของเรา ๆ ออกไปต่าง ๆ นา ๆ
ต่างมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น ผิด ถูก ผสมกันไป มนุษย์ ก็ยังงี้แหละ ไม่งั้น จะเกิดซ้ำ เกิดซากกันอยู่ยังงี้รึ ว่ามั๊ย ?
ตั้งใจทำแต่ความดีกันดีกว่า ไม่ต้องอ้างเหตุ อ้างผลอะไร
คิดแค่ "ทำดี ไม่สูญเปล่า ทำดีไม่หายไปไหน ต้นทุนไม่มี กำไรล้วน ๆ "

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 พ.ค. 2010, 12:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

ขอให้ดวงวิญญาณของไพร่ที่ถูกยิงด้วยอาวุธสงครามเสียชีวิตบนท้องถนนที่ผ่านมาและยังจะมีตามมาอีกตลอด

เดือนพฤษภานี้จงไปสู่สุคติด้วยเทอญ :b8:

ไฟล์แนป:
P8450250-6.gif
P8450250-6.gif [ 130.68 KiB | เปิดดู 3341 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 พ.ค. 2010, 12:29 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

พฤษภกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง

โททนต์เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี

นรชาติวางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์

สถิตทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา

http://addmin.ob.tc/-View.php?N=287

ไฟล์แนป:
C5_1500_B.jpg
C5_1500_B.jpg [ 85.51 KiB | เปิดดู 3328 ครั้ง ]

เจ้าของ:  หลับอยุ่ [ 15 พ.ค. 2010, 12:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน



i dont need your civil war... warrrr

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 พ.ค. 2010, 16:18 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

การประหัตประหารผลาญชีวิตินทรีย์มนุษย์ เป็นการละเมิดศีลข้อ 1 อย่างร้ายแรง เป็นบาปกรรมอย่างมหันต์

ศีล 5 เดิมเรียกว่า สิกขาบท (ข้อฝึกความประพฤติ) 5

บางครั้งอรรถถาเรียกว่า นิจศีล (ศีลประจำ หรือ ศีลที่ควรรักษาเป็นนิตย์)


อาชญากรรมที่ร้ายแรงแทบทั้งหมดเป็นเรื่องของการละเมิดศีล 5 ในสังคมที่มากด้วยการสังหาร

ผลาญชีวิต การปองร้าย การทำร้ายกัน การลักขโมย ปล้น แย่งชิง การทำความผิดทางเพศ

มีคดีฆาตกรรม โจรกรรม การข่มขืน หลอกลวง การเสพของมึนเมาและสิ่งเสพติด ตลอดจนการก่อปัญหา

และอุบัติเหตุต่างๆ
เนื่องมาจากของมึนเมาและสิ่งเสพติดเหล่านั้น ระบาดแพร่หลายทั่วไป ชีวิตและทรัพย์สิน

ไม่ปลอดภัย จะอยู่ไหนหรือไปที่ไหนก็ไม่มีความมั่นใจเต็มไปด้วยความห่วงใยวิตกกังวล จิตใจหวาดผวา

บ่อยๆ

ผู้คนพบเห็นกันแทนที่จะอบอุ่นใจ ก็หวาดระแวงกัน อยู่กันไม่เป็นปกติสุข สุขภาพจิตของประชาชน

ย่อมเสื่อมโทรม ยากที่จะพัฒนาคุณภาพและสมรรถภาพของจิต และสังคมเช่นนั้น ก็ไม่เป็นสภาพ

แวดล้อมที่เกื้อกูลสำหรับการสร้างสรรค์สิ่งดีงามที่สูงขึ้นไป เพราะมีความเดือดร้อนระส่ำระสายยุ่งแต่การ

แก้ปัญหา และมีแต่กิจกรรมที่บ่อนทำลายให้สังคมเสื่อมโทรมลงไปทุกที

การขาดศีล 5 จะเนื่องมาจากเหตุใดก็ตาม จึงย่อมเป็นมาตรฐานวัดความเสื่อมโทรมของสังคม

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 พ.ค. 2010, 16:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

ส่วนสภาพพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตที่ตรงข้ามจากนี้นั่นแหละ คือ การมีศีล 5

ดังนั้น ศีล 5 จึงเป็นเกณฑ์มาตรฐานอย่างต่ำที่สุดของความประพฤติมนุษย์ สำหรับรักษาสภาพแวดล้อม

ทางสังคมให้อยู่ในภาวะเกื้อกูล และเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิตที่ดีงาม

ไฟล์แนป:
Y8715244-5.gif
Y8715244-5.gif [ 119.1 KiB | เปิดดู 3289 ครั้ง ]

เจ้าของ:  enlighted [ 15 พ.ค. 2010, 17:36 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

อิอิ

คุณกระบี่ไร้เงาโพสต์ไว้ดีจัง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงอย่าพูดดิรัจฉานกถา ซึ่งมีหลายอย่าง
คือ พูด
เรื่องพระราชา
เรื่องโจร
เรื่องมหาอำมาตย์
เรื่องกองทัพ
เรื่องรบ
เรื่องข้าว
เรื่องน้ำ
เรื่องผ้า
เรื่องที่นอน
เรื่องดอกไม้
เรื่องของหอม
เรื่องญาติ
เรื่องยาน
เรื่องบ้าน
เรื่องนิคม
เรื่องนคร
เรื่องชนบท
เรื่องสตรี
เรื่องบุรุษ
เรื่องคนกล้าหาญ
เรื่องตรอก
เรื่องท่าน้ำ
เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว
เรื่องเบ็ดเตล็ด
เรื่องโลก
เรื่องทะเล
เรื่องความเจริญ และ
ความเสื่อม
ด้วยประการนั้นๆ ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะถ้อยคำนี้ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น
ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ
เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 พ.ค. 2010, 19:41 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: อำมาตย์ กับ ไพร่ ไม่มีอะไรต่างกัน

อ้างคำพูด:
พรหมจรรย์


พรหมจรรย์ แปลว่า อะไร ได้แก่อะไร ? :b1:

หน้า 5 จากทั้งหมด 5 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/