วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 22:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 01:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
คนดีที่โลกลืม เขียน:
ลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ ๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า และ ๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ ถูกต้องบางส่วนนะครับ ไม่ใช่ผิด


เทพบันดาลสุขทุกข์ให้ใครไม่ได้ น๊าคร๊าบ
เสกปุ๊ป บรรลุธรรมปั๊ป ให้สุขตลอดไป เทพทำตัวเองยังไม่ได้ น๊าคร๊าบ


เทพบันดาลสุขทุกข์ได้ชั่วคราวครับ ไม่งั้นคนในเมืองไทยคงไม่ขอหวยพวกเทพหรอก ส่วนการบรรลุธรรม ให้สุขตลอดไปนั้น ทุกคนต้องทำด้วยตัวเอง


แก้ไขล่าสุดโดย คนดีที่โลกลืม เมื่อ 09 พ.ค. 2010, 01:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




53.gif
53.gif [ 150.33 KiB | เปิดดู 2297 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
:b8:
สวัสดี..เช่นกันครับ.. :b12:

กำลังรออยู่เลยละนี้.. :b32: :b32:


เย็นๆค่อยๆสนทนากันนะครับ :b1:

จุดใต้ตำตอ

http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=4906

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
เทพบันดาลสุขทุกข์ได้ชั่วคราวครับ ไม่งั้นคนในเมืองไทยคงไม่ขอหวยพวกเทพหรอก ส่วนการบรรลุธรรม ให้สุขตลอดไปนั้น ทุกคนต้องทำด้วยตัวเอง



สำหรับ คนดี ฯ ฟังดูขอรับ :b1:

http://www.youtube.com/watch?v=1wWw9fnlyzQ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(นำโจทก์เดิมมาฉายซ้ำให้พิจารณากันอีกที)


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ

๑.ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่าทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า

เรียกสั้นๆว่าปุพเพกตเหตุวาท (เป็นลัทธินิครนถ์)

๒.อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่

เรียกสั้นๆ ว่า อิศวรกรณวาท หรือ อิศวรนิรมิตวาท (เป็นลัทธิพราหมณ์)

๓.อเหตุอปัจจยวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย

เรียกสั้นๆ ว่า อเหตุวาท (เป็นลัทธิอาชีวก)


“ภิกษุทั้งหลาย ลัทธิเดียรถีย์ ๓ ระบบเหล่านี้ ถูกบัณฑิตไต่ถาม ซักไซ้ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างการถือสืบๆกันมา

ยืนกรานอยู่ในหลักอกิริยา
(การไม่กระทำ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
enlighted เขียน:
คนดีที่โลกลืม เขียน:
ลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ ๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า และ ๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ ถูกต้องบางส่วนนะครับ ไม่ใช่ผิด


เทพบันดาลสุขทุกข์ให้ใครไม่ได้ น๊าคร๊าบ
เสกปุ๊ป บรรลุธรรมปั๊ป ให้สุขตลอดไป เทพทำตัวเองยังไม่ได้ น๊าคร๊าบ


เทพบันดาลสุขทุกข์ได้ชั่วคราวครับ ไม่งั้นคนในเมืองไทยคงไม่ขอหวยพวกเทพหรอก ส่วนการบรรลุธรรม ให้สุขตลอดไปนั้น ทุกคนต้องทำด้วยตัวเอง


อิอิ

เทพเจ้าลูกแก้วที่สิงในคุณใบไม้ ยังเที่ยวชักชวน ให้ต้องเสียเงินซื้อนิพพานเลย

อ๊ะจ๊าก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาที่พระพุทธจ้าตรัสแย้งลัทธิแต่ละลัทธิๆนั่น ดูลัทธิที่ ๑

๑.สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี

อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่คนเราได้เสวยทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นเพราะกรรมที่กระทำไว้ในปางก่อน

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์ ๓ พวกนั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๑)แล้วถามว่า “ทราบว่า ท่านทั้งหลาย

มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้...จริงหรือ ?”

ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว รับว่าจริง

เราก็กล่าวกะเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็จักต้องเป็นผู้ทำปาณาติบาต เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ

จะต้องเป็นผู้ทำอทินนาทาน เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุ จะต้องเป็นผู้ประพฤติอพรหมจรรย์...

เป็นผู้กล่าวมุสาวาท...

ฯลฯ

เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ เพราะกรรมที่ทำไว้ปางก่อนเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า

“สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และ สิ่งไม่ที่ควรทำโดยจริงจัง

มั่นคง ดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรม

เฉพาะตนไม่ได้
นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างแรกของเราต่อสมณพราหมณ์ ผู้มีวาทะ มีทิฐิอย่างนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 09 พ.ค. 2010, 20:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาที่ตรัสแย้งลัทธิที่ ๒


๒.อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่

เรียกสั้นๆ ว่า อิศวรกรณวาท หรือ อิศวรนิรมิตวาท (ลัทธิพราหมณ์)

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๒ )กล่าวกะเขาว่า

ท่านจักเป็นผู้ทำปาณาติบาต ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุ

จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน...

ประพฤติอพรหมจรรย์...

กล่าวมุสาวาท...

ฯลฯ

เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ ก็เพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหตุน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้าเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดี

ว่า “สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี เมื่อไม่กำหนดถือเอาสิ่งที่ควรทำ และ สิ่งไม่ที่ควรทำ

โดยจริงจังมั่นคง ดังนี้ สมณพราหมณ์พวกนี้ ก็เท่ากับอยู่อย่างหลงสติ ไร้เครื่องรักษา จะมีสมณวาทะที่

ชอบธรรมเฉพาะตนไม่ได้
นี้แล เป็นนิคหะอันชอบธรรมอย่างที่สองของเราต่อสมณพราหมณ์ ผู้มีวาทะ

มีทิฐิอย่างนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาที่ตรัสแย้งลัทธิที่ ๓


๓.อเหตุอปัจจยวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย

เรียกสั้นๆ ว่า อเหตุวาท (ลัทธิอาชีวก)

“ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น เราเข้าไปหา (พวกที่ ๓ )กล่าวกะเขาว่า

“ท่านก็จักเป็นผู้ทำปาณาติบาต โดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย

จักเป็นผู้ทำอทินนาทาน....

ประพฤติอพรหมจรรย์....

กล่าวมุสาวาท...

ฯลฯ

เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยน่ะสิ”

“ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอาความไม่มีเหตุไม่มีเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่า

“สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ” ก็ย่อมไม่มี ฯลฯ”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




avatar2089_30.gif
avatar2089_30.gif [ 16.26 KiB | เปิดดู 2234 ครั้ง ]
ที่ ฯลฯ ต่อยอดความเห็น...ได้อีกมากมาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ที่ ฯลฯ ต่อยอดความเห็น...ได้อีกมากมาย



อิอิ
ก๊ากๆๆๆ

เอามาต่อยอด ได้มากมายจริงๆๆ คร๊าบบบ


ไปขุดมาจากหนังสือพุทธธรรม ของมหาจุฬา
ไปขุดของเค้ามา ทำลิ้งไว้ด้วยน๊าคร๊าบบบ
อ้างอิงที่มาด้วยน๊าคร๊าบบบบบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ที่ ฯลฯ ต่อยอดความเห็น...ได้อีกมากมาย



อิอิ
ก๊ากๆๆๆ

เอามาต่อยอด ได้มากมายจริงๆๆ คร๊าบบบ


ไปขุดมาจากหนังสือพุทธธรรม ของมหาจุฬา
ไปขุดของเค้ามา ทำลิ้งไว้ด้วยน๊าคร๊าบบบ
อ้างอิงที่มาด้วยน๊าคร๊าบบบบบ



ป๊อดไลท์ กลับไปที่กระทู้เดิมจะเห็นลิงค์ แต่ตรงนี้เห็นว่าเคยผ่านมาแล้ว จึงไม่ทำลิงค์ให้

ดังนั้น ดูให้รอบคอบก่อนแสดงความเห็นอะไรออกมานะคร๊าบบบบบบ :b1:

เป็นไงอ่านแล้ว ตรงกับความเห็นเราบ้างไหมล่าหืออออ :b28:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อิอิ
ก๊ากๆๆๆ

เอามาต่อยอด ได้มากมายจริงๆๆ คร๊าบบบ



จะต่อยอดให้ดู เป็นตัวอย่าง เช่น นาย ก. ดื่มเหล้าเมาแล้วขับรถแล้วประสบอุบัติเหตุ จึงนึกโทษเทวดา

ภูตผีปีศาจกลั่นแกล้งบันดาลให้ตนเป็นไปอย่างนั้น การคิดอย่างนี้ก็ต่อยอดข้อที่สองได้ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ที่คิดอย่างท่านป๊อดไลท์ ไม่มีวันไม่มีทางที่รู้สิ่งที่เป็นปัจจุบันชาตินี้ได้ ลองดูซ้ำอีกที

พอดีมีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมาค่ะเมื่อวันที่ 2 - 4 เมษายนที่ผ่านมานี้ค่ะ ชีได้สอนการปฏิบัติ การเดินจงกรมและการนั่งสมาธิ ชุดแรกให้ทำอย่างละ 15 นาที วันแรกที่ได้ทำฟุ้งซ่านมากเลยค่ะไม่มีสมาธิ วันที่สองก็ทำแต่ก็เหมือนเดิมค่ะ พอตกเย็นได้สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ท่านได้ให้การบ้านเพิ่ม เป็นนั่งสมาธิ 20 นาที เดินจงกรม 20 นาที 3 ชุดติดกัน เราเริ่มทำกับเพื่อนอีกคนค่ะ ไปปฏิบัติกันที่พระธาตุ ชุดแรกผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอชุดที่ 2 ตอนนั่งสมาธิเริ่มรู้สึกว่า หายใจติดขัด หัวใจเต้นแรงมาก อยากอาเจียร เหมือนคนจะเป็นลมค่ะ
พอทำชุดที่ 3 ก็เป็นเหมือนเดิม เพื่อนที่ไปด้วยกันก็เป็น จึงคิดว่าอากาศร้อนไปหรือสมาธิไม่ดีพอรึเปล่า ก็เลยคุยกับเพื่อนว่า วันรุ่งขึ้นค่อยทำกันตอนเช้า ว่าจะเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า
ตกตอนเช้า ก็ไปปฏิบัติธรรมเหมือนเดิม คือ ทำ 3 ชุดเหมือนตอนกลางคืน แล้วก็ย้ายสถานที่ ก็เป็นเหมือนเดิม เป็นอาการเป็นเหมือนตอนกลางคืน แต่คราวนี้นั่งไปทนไม่ไหว ร้องไห้เลยค่ะน้ำตาไหลออกมา หัวใจเหมือนจะเต้นออกมาจากอกเลย

ตอนเย็นไปสอบอารมณ์ พระท่านก็ถามว่า ตอนนั่งสมาธิเห็นอะไรหรือเปล่า เราก็เล่าไปตามอาการที่เกิดขึ้น ท่านก็ไม่ได้ตกใจอะไร แค่บอกให้เรากำหนดรู้ แล้วไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ด้วยความที่เราอยากรู้ว่าเพราะอะไร จึงถามพระอาจารย์ ไปอีกรอบ ท่านก็ตอบว่า เป็นพวกสัมพเวสี แถว ๆ วัดนี่แหละ โยมไม่ต้องไปอยากรู้หรอก
แต่ข้องใจหน่ะค่ะว่า คนอื่นเค้าเป็นเหมือนกันหรือเปล่า รบกวนท่านผู้รู้ช่วยตอบให้หายข้องใจได้
ไหมค่ะ ว่าเป็นเพราะเหตุใดเราจึงเกิดอาการเช่นนี้ขึ้น

http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 82424.html

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 09 พ.ค. 2010, 22:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ผู้ที่คิดอย่างท่านป๊อดไลท์ ไม่มีวันไม่มีทางที่รู้สิ่งที่เป็นปัจจุบันชาตินี้ได้ ลองดูซ้ำอีกที

พอดีมีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมาค่ะเมื่อวันที่ 2 - 4 เมษายนที่ผ่านมานี้ค่ะ ชีได้สอนการปฏิบัติ การเดินจงกรมและการนั่งสมาธิ ชุดแรกให้ทำอย่างละ 15 นาที วันแรกที่ได้ทำฟุ้งซ่านมากเลยค่ะไม่มีสมาธิ วันที่สองก็ทำแต่ก็เหมือนเดิมค่ะ พอตกเย็นได้สอบอารมณ์กับพระอาจารย์ท่านได้ให้การบ้านเพิ่ม เป็นนั่งสมาธิ 20 นาที เดินจงกรม 20 นาที 3 ชุดติดกัน เราเริ่มทำกับเพื่อนอีกคนค่ะ ไปปฏิบัติกันที่พระธาตุ ชุดแรกผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พอชุดที่ 2 ตอนนั่งสมาธิเริ่มรู้สึกว่า หายใจติดขัด หัวใจเต้นแรงมาก อยากอาเจียร เหมือนคนจะเป็นลมค่ะ
พอทำชุดที่ 3 ก็เป็นเหมือนเดิม เพื่อนที่ไปด้วยกันก็เป็น จึงคิดว่าอากาศร้อนไปหรือสมาธิไม่ดีพอรึเปล่า ก็เลยคุยกับเพื่อนว่า วันรุ่งขึ้นค่อยทำกันตอนเช้า ว่าจะเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า
ตกตอนเช้า ก็ไปปฏิบัติธรรมเหมือนเดิม คือ ทำ 3 ชุดเหมือนตอนกลางคืน แล้วก็ย้ายสถานที่ ก็เป็นเหมือนเดิม เป็นอาการเป็นเหมือนตอนกลางคืน แต่คราวนี้นั่งไปทนไม่ไหว ร้องไห้เลยค่ะน้ำตาไหลออกมา หัวใจเหมือนจะเต้นออกมาจากอกเลย

ตอนเย็นไปสอบอารมณ์ พระท่านก็ถามว่า ตอนนั่งสมาธิเห็นอะไรหรือเปล่า เราก็เล่าไปตามอาการที่เกิดขึ้น ท่านก็ไม่ได้ตกใจอะไร แค่บอกให้เรากำหนดรู้ แล้วไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ด้วยความที่เราอยากรู้ว่าเพราะอะไร จึงถามพระอาจารย์ ไปอีกรอบ ท่านก็ตอบว่า เป็นพวกสัมพเวสี แถว ๆ วัดนี่แหละ โยมไม่ต้องไปอยากรู้หรอก
แต่ข้องใจหน่ะค่ะว่า คนอื่นเค้าเป็นเหมือนกันหรือเปล่า รบกวนท่านผู้รู้ช่วยตอบให้หายข้องใจได้
ไหมค่ะ ว่าเป็นเพราะเหตุใดเราจึงเกิดอาการเช่นนี้ขึ้น

http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 82424.html

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0


เหอๆๆ

มีแต่พวกไหลไปตามคิด ไหลไปตามรู้สึก ไหลไปตามอารมณ์
แค่กำหนด ก็ไหลไปกับกำหนด ซะแหล่ว

เหอๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
เหอๆๆ

มีแต่พวกไหลไปตามคิด ไหลไปตามรู้สึก ไหลไปตามอารมณ์
แค่กำหนด ก็ไหลไปกับกำหนด ซะแหล่ว

เหอๆๆ


นักพูดไม่มีวันเข้าใจนักทำหรือนักปฏิบัติได้

ยกตัวอย่างเรื่องหยาบๆให้เห็น นาย ข. แลเห็นนาย ก.เดินไต่เส้นลวดซึ่งขึงอยู่ในอากาศด้วยความ

ชำนาญ เพราะเขาอาศัยการฝึกปรือมาเป็นเวลานานและถูกวิธี

นาย ข.ก็นั่งคิดนอนคิดว่า โธ่...เอ้ยของแค่นี้ข้าก็ทำได้ ไม่เห็นยาก ว่าแล้วจึงปืนขึ้นเดินไต่บ้าง ผลปรากฏว่า

พอก้าวเท้าเดินก็พลาดตกลงมาคอหักตาย ฉันใดก็ฉันนั้น

การพูดเพ้อเจ้อนั่นไม่ยาก แต่ทำสิยาก

ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 181 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร