วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 23:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


จะมีด้วยหรึ่อ..ที่การเชี่อเรี่องกรรมแต่ไม่ถูกหลักกรรม

ลองดูตามนี้..

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=31499

ตรงไหน..ไม่สละสล่วย..ก็ข้าม ๆ ไป..
ดูตรงที่เป็นสาระ..สาระหน่อยก็แล้วกัน

ใครมีความคีดดด..อย่างไรก็แลกเปลี่ยนกัน..กันดูนะครับ

แต่ความเครียด..ไม่เอานะครับ
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 23:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


น่าจะเป็นผิดหลักธรรมหรือเปล่าครับ :b10:
แต่ผิดหลักกรรมก็ไม่ผิดนะคิดว่า (ผิดหลักกฏแห่งกรรมประมาณนั้นหรือเปล่า) :b1:

เชื่ออย่างไรผิดหลักกฏแห่งกรรม คุณกรัชกายเขาคงจะย่อหัวชื่อให้ดูน่าสนมากว่านะ :b10:

หากจะเป็นว่า เชื่อกรรมอย่างไรผิดหลักคำสอนเรื่องกฏแห่งกรรม มันยาวไป อ่า :b6:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 07 พ.ค. 2010, 23:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 23:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ..

..ผิดหลักกรรม..ดูแล้วก็..งง..งง :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


จะมีด้วยหรึ่อ..ที่การเชี่อเรี่องกรรมแต่ไม่ถูกหลักกรรม



กรรม หมายถึง การกระทำ

เชื่อเรื่องกรรม คือ เชื่อเรื่องการกระทำ
แต่ไม่ถูกหลักกรรม คือ แต่ไม่ถูกหลักของการกระทำ


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสน

กับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า
(past-action determinism) เรียกสั้นๆ ว่า ปุพเพกตเหตุวาท


๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่
(theistic determinism) เรียกสั้นๆ ว่า อิศวรกรณวาท หรือ อิศวรนิรมิตวาท


๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย
(indeterminism หรือ accidentalism) เรียกสั้นๆ ว่า อเหตุวาท




ข้อ 1 การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า "

ตรงนี้หมายถึง ไม่ว่าจะความสุข หรือความทุกข์ทั้งปวง ( ทั้งหมด )
ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำไว้


การเชื่อแบบนี้ เป็นการเชื่อที่ผิดหลักของกรรมหรือการกระทำ

ความสุขหรือความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนั้นๆ ล้วนเกิดจากเหตุที่เรากำลังกระทำทั้งสิ้น
หาใช่เกิดจากปัจจัยภายนอกไม่ เป็นที่ตัวเราเองต่างหากที่กำลังกระทำให้เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นๆ



ข้อ 2 " การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ "


เมื่อเข้าใจในข้อ 1 ย่อมเข้าใจในข้อ 2



ข้อ 3 " การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย "


เมื่อเข้าใจในข้อ 1 ข้ออื่นๆย่อมไม่มีสงสัย

ส่วนที่มีคำถาม ถามกลับมาว่า



๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า (past-action determinism)
เรียกสั้นๆ ว่า ปุพเพกตเหตุวาท

แล้ววาทะแบบนี้ ล่ะคร๊าบ

ในชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ

แล้ววาทะนี้ ล่ะคร๊าบ

เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน

วาทะนี้อีกคร๊าบ

เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ

มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง



ตรงนี้ เป็นการแสดงถึงผลที่ได้รับ จากการกระทำที่เคยกระทำไว้ในอดีต

ให้สังเกตุดูรูปประโยคนะคะ จะมีคำว่า
" ทั้งปวง " ซึ่งหมายถึง ทั้งหมด
ไม่ใช่เฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรืออันใดอันหนึ่ง

สร้างเหตุไว้อย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า (past-action determinism)
เรียกสั้นๆ ว่า ปุพเพกตเหตุวาท

แล้ววาทะแบบนี้ ล่ะคร๊าบ

ในชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ

แล้ววาทะนี้ ล่ะคร๊าบ

เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน

วาทะนี้อีกคร๊าบ

เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ

มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง




ตรงนี้เป็นเพียงเรื่องเล่า ที่พระองค์ทรงระลึกถึงกรรมที่พระองค์ได้เคยกระทำไว้ แล้วได้รับผล
พระองค์เพียงนำมาแสดงให้รู้ว่า สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้นอย่างแน่นอน

เมื่อเข้าใจหลักของกรรมหรือการกระทำแล้ว เมื่อเกิดการกระทบใดๆ ให้ร้ายแรงแค่ไหนหรือดีแค่ไหน
ย่อมไม่หวั่นไหว และไม่ไปยึดติดในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จะเพียรสร้างแต่เหตุที่ดีให้มีเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ส่วนเหตุที่เป็นผลร้ายใดๆที่มีกเดขึ้น ย่อมมีสติ สัมปชัญญะรู้อยู่ ไม่ตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น
เพราะการตอบโต้ คือ เหตุใหม่ที่กำลังจะกระทำให้เกิดขึ้น

แม้กระทั่งคิดแก้ไข ก็ไม่ควรคิดที่จะไปแก้ไขใดๆ ควรมีสติ สัมปชัญญะรู้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ให้อภัยต่อผู้ที่มากระทำกับเรา หากเขายังไม่เลิกลา นั่นคือ ยังคงมีเหตุอยู่ เมื่อเหตุหมดแล้ว
สภาวะเขาจะจบลงด้วยตัวของเขาเอง เพราะเราเคยกระทำกับเขาไว้ เขาย่อมมากระทำกับเรา


เหตุมี ผลย่อมมี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ ๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า และ ๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ ถูกต้องบางส่วนนะครับ ไม่ใช่ผิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
จะมีด้วยหรึ่อ..ที่การเชี่อเรี่องกรรมแต่ไม่ถูกหลักกรรม



กรรม หมายถึง การกระทำ

เชื่อเรื่องกรรม คือ เชื่อเรื่องการกระทำ
แต่ไม่ถูกหลักกรรม คือ แต่ไม่ถูกหลักของการกระทำ


มีลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์และความเป็นไปในชีวิตของมนุษย์อยู่ ๓ ลัทธิ ซึ่งต้องระวังไม่ให้เข้าใจสับสน

กับหลักกรรม คือ

๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า
(past-action determinism) เรียกสั้นๆ ว่า ปุพเพกตเหตุวาท


๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่
(theistic determinism) เรียกสั้นๆ ว่า อิศวรกรณวาท หรือ อิศวรนิรมิตวาท


๓. อเหตุอปัจจยวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย
(indeterminism หรือ accidentalism) เรียกสั้นๆ ว่า อเหตุวาท




ข้อ 1 การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า "

ตรงนี้หมายถึง ไม่ว่าจะความสุข หรือความทุกข์ทั้งปวง ( ทั้งหมด )
ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำไว้


การเชื่อแบบนี้ เป็นการเชื่อที่ผิดหลักของกรรมหรือการกระทำ

ความสุขหรือความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนั้นๆ ล้วนเกิดจากเหตุที่เรากำลังกระทำทั้งสิ้น
หาใช่เกิดจากปัจจัยภายนอกไม่ เป็นที่ตัวเราเองต่างหากที่กำลังกระทำให้เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นๆ



ข้อ 2 " การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ "


เมื่อเข้าใจในข้อ 1 ย่อมเข้าใจในข้อ 2



ข้อ 3 " การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวง เป็นไปสุดแต่โชคชะตาลอยๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย "


เมื่อเข้าใจในข้อ 1 ข้ออื่นๆย่อมไม่มีสงสัย

ส่วนที่มีคำถาม ถามกลับมาว่า



๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า (past-action determinism)
เรียกสั้นๆ ว่า ปุพเพกตเหตุวาท

แล้ววาทะแบบนี้ ล่ะคร๊าบ

ในชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ

แล้ววาทะนี้ ล่ะคร๊าบ

เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน

วาทะนี้อีกคร๊าบ

เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ

มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง



ตรงนี้ เป็นการแสดงถึงผลที่ได้รับ จากการกระทำที่เคยกระทำไว้ในอดีต

ให้สังเกตุดูรูปประโยคนะคะ จะมีคำว่า
" ทั้งปวง " ซึ่งหมายถึง ทั้งหมด
ไม่ใช่เฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรืออันใดอันหนึ่ง

สร้างเหตุไว้อย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น


ปัจจุบันขณะจิต เกิดดับ หนึ่งในล้านวินาที

ปัจจุบันทั้งปวง จึงเป็นอดีต
แต่ ที่กล่าว เช่นนั้น
เพราะ ลัทธิเดียรถีย์
ปล่อยตามยถากรรม

ไม่อาจรู้ได้ว่า จิตปัจจุบันขณะ เปลี่ยนอนาคตได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
ลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ ๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า และ ๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ ถูกต้องบางส่วนนะครับ ไม่ใช่ผิด


เทพบันดาลสุขทุกข์ให้ใครไม่ได้ น๊าคร๊าบ
เสกปุ๊ป บรรลุธรรมปั๊ป ให้สุขตลอดไป เทพทำตัวเองยังไม่ได้ น๊าคร๊าบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดีที่โลกลืม เขียน:
ลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ ๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า และ ๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ ถูกต้องบางส่วนนะครับ ไม่ใช่ผิด






การที่สอนคนให้ไปเชื่อกับสิ่งนอกตัวว่าเป็นเหตุที่ดลบันดาลให้เป็นไปในเรื่องสุขและทุกข์นั้น
ทำให้ผู้ถูกสอนและเชื่อในคำสอนนั้น มีจิตที่อ่นแอ เป็นคนที่งมงาย ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้

สอนแบบไหน ย่อมได้รับผลเช่นนั้น สอนให้คนงมงาย
ผลที่ได้รับคือ เราเองก็งมงาย เรียกว่า มีศรัทธาแต่ขาดปัญญา

สิ่งนอกตัว เราไม่สามารถนำมายืนยันให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้
แต่แนวทางการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ที่พระองค์ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้นั้น
สามารถนำมาทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ และสามารถพิสูจน์ได้ ว่าทำแล้วได้ผลจริง
ทำให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ สมกับดังคำที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า


อตฺตา หิ อตฺตาโน นาโถ

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
คนดีที่โลกลืม เขียน:
ลัทธิมิจฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกข์ ๑. ปุพเพกตเหตุวาท การถือว่า สุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะกรรมเก่า และ ๒. อิสสรนิมมานเหตุวาท การถือว่าสุขทุกข์ทั้งปวงเป็นเพราะการบันดาลของเทพผู้เป็นใหญ่ ถูกต้องบางส่วนนะครับ ไม่ใช่ผิด






การที่สอนคนให้ไปเชื่อกับสิ่งนอกตัวว่าเป็นเหตุที่ดลบันดาลให้เป็นไปในเรื่องสุขและทุกข์นั้น
ทำให้ผู้ถูกสอนและเชื่อในคำสอนนั้น มีจิตที่อ่นแอ เป็นคนที่งมงาย ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้

สอนแบบไหน ย่อมได้รับผลเช่นนั้น สอนให้คนงมงาย
ผลที่ได้รับคือ เราเองก็งมงาย เรียกว่า มีศรัทธาแต่ขาดปัญญา

สิ่งนอกตัว เราไม่สามารถนำมายืนยันให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ ไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้
แต่แนวทางการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ที่พระองค์ทรงทิ้งแนวทางไว้ให้นั้น
สามารถนำมาทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ และสามารถพิสูจน์ได้ ว่าทำแล้วได้ผลจริง
ทำให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ สมกับดังคำที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า


อตฺตา หิ อตฺตาโน นาโถ

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน



อย่าปรามาศนะคร๊าบ
เป็นแนว ศรัทธาธิกะ น๊าคร๊าบ
ตรัสรู้ได้ ในแปดอสงไขย เร็วกว่า วิริยาธิกะสิบหกอสงไขย นะคร๊าบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
ปัจจุบันขณะจิต เกิดดับ หนึ่งในล้านวินาที

ปัจจุบันทั้งปวง จึงเป็นอดีต
แต่ ที่กล่าว เช่นนั้น
เพราะ ลัทธิเดียรถีย์
ปล่อยตามยถากรรม

ไม่อาจรู้ได้ว่า จิตปัจจุบันขณะ เปลี่ยนอนาคตได้





รู้แล้วว่าเก่งอภิธรรม เก่งตำรา

การจะกล่าวอะไร ก็ควรกล่าวที่ปัจจุบันก่อน
ถ้าผู้อ่านเขาต้องการรู้รายละเอียด ค่อยแตกสภาวะออกไป

ตำราก็มีเยอะแยะ เรื่องจิตปัจจุบันขณะ สามารถเปลี่ยนอนาคตได้
สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 00:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
ปัจจุบันขณะจิต เกิดดับ หนึ่งในล้านวินาที

ปัจจุบันทั้งปวง จึงเป็นอดีต
แต่ ที่กล่าว เช่นนั้น
เพราะ ลัทธิเดียรถีย์
ปล่อยตามยถากรรม

ไม่อาจรู้ได้ว่า จิตปัจจุบันขณะ เปลี่ยนอนาคตได้





รู้แล้วว่าเก่งอภิธรรม เก่งตำรา

การจะกล่าวอะไร ก็ควรกล่าวที่ปัจจุบันก่อน
ถ้าผู้อ่านเขาต้องการรู้รายละเอียด ค่อยแตกสภาวะออกไป

ตำราก็มีเยอะแยะ เรื่องจิตปัจจุบันขณะ สามารถเปลี่ยนอนาคตได้
สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น


นี่แหละคร๊าบ เป็นปัจจุบันของผมคร๊าบบ
แต่มันล้ำป้าวัลลัย ไปหลายอสงไขยคร๊าบ
จะตามผม ไม่่เห็นฝุ่นหรอกคร๊าบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 01:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
walaiporn เขียน:
enlighted เขียน:
ปัจจุบันขณะจิต เกิดดับ หนึ่งในล้านวินาที

ปัจจุบันทั้งปวง จึงเป็นอดีต
แต่ ที่กล่าว เช่นนั้น
เพราะ ลัทธิเดียรถีย์
ปล่อยตามยถากรรม

ไม่อาจรู้ได้ว่า จิตปัจจุบันขณะ เปลี่ยนอนาคตได้





รู้แล้วว่าเก่งอภิธรรม เก่งตำรา

การจะกล่าวอะไร ก็ควรกล่าวที่ปัจจุบันก่อน
ถ้าผู้อ่านเขาต้องการรู้รายละเอียด ค่อยแตกสภาวะออกไป

ตำราก็มีเยอะแยะ เรื่องจิตปัจจุบันขณะ สามารถเปลี่ยนอนาคตได้
สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น


นี่แหละคร๊าบ เป็นปัจจุบันของผมคร๊าบบ
แต่มันล้ำป้าวัลลัย ไปหลายอสงไขยคร๊าบ
จะตามผม ไม่่เห็นฝุ่นหรอกคร๊าบ






ค่ะ อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




post-343-1181794836.jpg
post-343-1181794836.jpg [ 51.07 KiB | เปิดดู 5540 ครั้ง ]
สวัสดีขอรับสหายธรรม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 00:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สวัสดี..เช่นกันครับ.. :b12:

กำลังรออยู่เลยละนี้.. :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร