วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 23:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่าเหตุใดจึงทำให้เกิดความขัดแย้งได้ ขอความกรุณาให้เป็นไปเพื่อให้เกิดความรู้ เกิดปัญญานะค่ะ
สาธุคะ :b8: tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ก็คงจะเป็นคำว่า "ความคิดเห็น"

มีสองคำคือ ความคิด และ ความเห็น

หมายความว่า "เห็นยังไง ก็ว่าอย่างนั้น คิดยังไงก็ว่าอย่างนั้น"

เรียกว่า มีการรับรู้ข้อมุลที่แตกต่างกัน


เหมือนคนตาบอดคลำช้าง คลำได้หาง เขาก้ว่าช้างมีลักษณะยาวๆเรียวเล็กๆและมีขน

คลำได้งวง เขาก้บอกว่า ช้างมีลักษณะเป็นยาวๆ ใหญ่ๆ โค้งๆขดเป้นวงได้

คลำได้หู เขาก้ว่าช้างมีลักษระแบนๆ โบกไปโบกมาได้

หรือบางคนไม่เคยได้จับช้าง แต่ได้จำมาว่า เขาว่าช้างเป้นมันแบนๆ
ก็เอาไปคิดไปต่างๆนาๆ อาจจะไปจับเจอเอาอะไรแบนๆ ก็คิดไปว่านี่คือช้าง


จะว่าเขาพูดผิด มันก็ไม่ได้
จะว่าเขาพูดถูก มันก็ไม่ได้
เรียกว่าเห้นยังไง คิดยังไง ก็พูดไปอย่างนั้น

ความรู้ทางธรรมก็เหมือนช้าง กล่าวคือค่อนข้างกว้างขวาง ใหญ่โต
เป้นธรรมดาที่คนจับหัวก็เถียงว่าช้างเป้นอย่างนี้ตะหาก
คนจับได้หาง ก็ต้องเถียงสุดใจเหมือนกันว่า ช้างต้องอย่างนี้
ปุถุชนนั้นมีรักโลภโกรธหลง เมื่อความเห้นไม่ตรงกัน ก็ไม่พ้นวิวาทะเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เชิญ คุณคนดี ฯ ท่าน enlighted ท่าน ขงเบ้งฯ ท่าน sriariya ตอนนี้นึกออกเท่านี้

ตอบหน่อย

ส่วนกรัชกายดูลาดเลาก่อน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 18 พ.ค. 2010, 17:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ปุถุชนนั้นมีรักโลภโกรธหลง เมื่อความเห้นไม่ตรงกัน ก็ไม่พ้นวิวาทะเป็นธรรมดา

สาธุคะ ตรงดีแท้ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น เบื้องต้น คุณแก้วกัลยา พึงทำความเข้าใจคำว่า ธรรม ก่อน

คำว่า "ธรรม" ตัวเดียวโดดๆ มีความหมายกว้างคลุมทั้งสิ่งมีชีวิตและไร้ชีวิตครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นักปริยัติผู้ไม่ปฏิบัติย่อมเห็นแตกต่างกันกับผู้ปฎิบัติ

ผู้ปฎิบัติวิปัสสนา ย่อมเห็นต่างจากผู้ปฏิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนา

ผู้ปฏิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนาก็ยังเห็นต่างจากพระโพธิสัตว์อรหันต์และพระพุทธเจ้า

ปัญญามันต้องมีลำดับชั้นขึ้นไป ปัญญาทางโลกเป็นขั้นต่ำสุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น เบื้องต้น คุณแก้วกัลยา พึงทำความเข้าใจคำว่า ธรรม ก่อน

คำว่า "ธรรม" ตัวเดียวโดดๆ มีความหมายกว้างคลุมทั้งสิ่งมีชีวิตและไร้ชีวิตครับ


ธรรมมี 1. โลกียธรรม เป็นเรื่องทางโลกและจักวาล 2. โลกุตตรธรรม หมายถึง ธรรมที่เหนือโลก หรือ ธรรมที่พ้นจากโลก

เพื่อให้เข้าถึงปัญญาทางโลกียธรรม ต้องทำสมาธิหรือสมถกรรมฐาน
เพื่อให้เข้าถึงปัญญาทางโลกุตตรธรรม ต้องทำวิปัสสนากรรมฐาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ธรรมมี
1. โลกียธรรม เป็นเรื่องทางโลกและจักวาล
2. โลกุตตรธรรม หมายถึง ธรรมที่เหนือโลก หรือ ธรรมที่พ้นจากโลก


โลกุตตรธรรม หมายถึง ธรรมที่เหนือโลก หรือ ธรรมที่พ้นจากโลก

คำว่า โลก ในที่นี้ ได้แก่อะไรขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 18 พ.ค. 2010, 20:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


แก้วกัลยา เขียน:
ว่าเหตุใดจึงทำให้เกิดความขัดแย้งได้ ขอความกรุณาให้เป็นไปเพื่อให้เกิดความรู้ เกิดปัญญานะค่ะ
สาธุคะ :b8: tongue


ความเห็นทางธรรมที่แตกต่างกัน เกิดความขัดแยังกัน ก็เพราะสาเหตุที่ว่า

ต่างคนต่างมีความเข้าใจในหลักธรรมเดียวกัน ไม่คนละอย่าง เพราะต่างคนต่างไม่เข้าใจความหมายของภาษา ซึ่งภาษาในพระไตรปิฎกนั้น เป็นสำนวนภาษาที่ไม่ใช่สำนวนภาษาไทย อีกประการหนึ่ง สำนวนภาษาในพระไตรปิฎก ก็เป็นสำนวนภาษาที่มีมาตั้งแต่หลายพันปีก่อน จึงเกิดความเข้าใจกันไปคนละอย่าง
ประการที่สำคัญ เขาเหล่านั้น ไม่ได้มีความคิด ไม่ได้มีความเข้าใจ อันเป็นไปตามหลักความจริงตามยุคตามสมัย จะเรียกว่า "หลงอยู่กับความคิดของตัวเอง" โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักความจริง หรือหลักธรรมชาติ
อนึ่ง เขาเหล่านั้น มิได้มีความรู้ โดยการปฏิบัติให้รู้ให้เห็น ให้เกิดความเข้าใจ อย่างถ่องแท้ แต่ เขาเหล่านั้น เพียงอ่านแล้วเข้าใจเอาเองตามความคิด โดยไม่ได้คำนึง ถึงหลักความจริงตามธรรมชาติ ในที่นี้ จะไม่ยกตัวอย่าง เพราะตัวอย่าง มีอยู่ในหลายกระทู้อยู่แล้วขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิอิ
แค่ชูอมยิ้ม
เด็กบางคนก็ร้องไห้ ดิ้นรน เพราะอยากมาก
แต่บางคนก็ยิ้มเฉยๆ
อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2010, 06:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2010, 09:41
โพสต์: 65

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านคะ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2010, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความคิดความเห็นที่แตกต่าง

เกิดจากทิฏฐิต่างกัน บางครั้งก็เห็นว่าแสดงผิด ๆ แต่ก็บอกว่าถูก ไม่ยอมลงกัน ทำความเห็นให้ตรงกันยาก เพราะไม่มีใครยอมรับว่าตนผิด มีแต่ว่า ความคิด ความเห็นของตนถูก

ทิฏฐิหรือความเห็นไม่ตรงกัน เหตุเพราะยึดตำราหรือคำภีร์ ยึดอาจารย์ แล้วนำมาวิเคราะห์ เจาะลึกว่า ถูกต้องตามความคิด ความเห็น(ทิฏฐิ)ของตน เกิดสำคัญตนว่า คำสอนของครูบาอาจารย์ หรือแม้พระไตรปิฏก เป็นอย่างที่ตนวิเคราะห์ วิจารณ์ไว้

เมื่อเอาความคิดของตนเข้าไปเสริมแต่งให้คำสอนของครูบาอาจารย์นั้นเข้าข้างตน จึงเกิดอัตตาและยึดถือเอาว่าพระไตรปิฏก ตำราคำภีร์ เหล่านั้น เหมือนความคิดของตน แต่คนที่ทำอย่างนี้ไม่ได้มีคนเดียว มีมากมายเป็นร้อยเป็นพัน เมื่อต่างคนต่างความคิด ต่างความเห็น การวิเคราะห์ วิจารณ์จึงไม่เหมือนกัน

เพราะเหตุนั้น เมื่อใดที่แสดงความคิดความเห็นในธรรมหมวดหนึ่งหมวดใด จึงยากที่จะยอมรับความเห็นของคนอื่นได้ ท่านกล่าวไว้ว่า "เพราะทิฏฐิ สมณก็ทะเลาะกับสมณ"

เมื่อเราไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย หรือได้แสดงความเห็นที่ถูกต้องแล้ว ไม่มีใครเชื่อไม่มีใครเห็นด้วย ก็ควรหยุด ไม่ควรว่ากล่าวด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควร ที่ทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจ

พระพุทธเจ้า ไม่เคยบังคับใคร ให้เชื่อให้ศรัทธา ในพระธรรมคำสั่งสอนและไม่กล่าวเสียดสีใครที่ไม่เห็นด้วยกับพระองค์

สัจจะธรรมคือความจริง ไม่เปลี่ยนไปเพราะมีคนโมทนาเยอะ มีพรรคพวกเยอะ หรือเพราะมีคนเชื่อเยอะกว่า สัจจะธรรมความจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนไปตามความเชื่อ ความศรัทธาของใคร

หากสมมุติ มรรคผลพระนิพพาน เป็น สี

คนตาดีกับคนตาดี ท่านไม่พูดไม่ถามกัน
คนตาดีกับคนตาบอด ท่านจะพูดพอประมาณ เพราะคนตาบอดจะจินตนาการไปเรื่อยๆ
คนตาบอดกับคนตาบอด จะถียงกัน ไม่ยอมกัน ขัดแย้งกัน

เราท่านก็เหมือนคนตาบอด คุยกันในเรื่องไม่เคยรู้ ไม่เคยบรรลุด้วยตัวเอง เหมือนตาบอดจูงกัน
คนตาดีท่านไม่ทุ่มเถียงกับคนตาบอดหรอกครับ ..กระผมก็เป็นตนบอดคนหนึ่ง ขอท่านผู้ตาดี โปรดเมตตา..

แหะ.. แหะ..เพ้อเจ้อไปตามประสาคนตาบอด ผิดพลาดขอประทานอภัย ขอรับ

สาธุ :b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แก้ไขล่าสุดโดย วิริยะ เมื่อ 19 พ.ค. 2010, 08:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2010, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
คนดีที่โลกลืม / เขียน
ผู้ปฏิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนาก็ยังเห็นต่างจากพระโพธิสัตว์อรหันต์และพระพุทธเจ้า

...ข้าพเจ้าตั้งฉายาให้ใหม่ว่า...คนที่ลานนี้อยากลืม... :b32:
...ก็แปลพุทธพจน์ไม่เข้าท่า...การปฏิบัติแค่ศีล5ยังครองไม่ได้...ชอบเขียนความเท็จ...
...คุณคนดีฯ เขาชอบเขียนล้อเล่น...ไม่รู้หน้าและอย่าทายใจเขาให้ยากเลยอ่ะนะ...
...อ่านสิ่งที่เขาเขียนแล้ว...คิดยังไงก็ตามคนชอบตอแหลไม่ทันอ่ะค่ะ... :b1:
:b9:
...ในข้อความที่เน้นข้างบนน่ะ...ทุกท่านในลานดูความคิดสิมันทะแม่งอยู่นา...
...คำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนแต่เป็นสัจจธรรมคือความจริงเป็นมาตรฐานเดียว...
...ผู้ปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงความจริงของสัจธรรมคือธรรมชาติแล้วล้วนเห็นชอบสิ่งเดียวกัน...
...พวกที่ชอบเห็นต่างจากคำสอนมันเป็นพวกชอบคุยโม้...มารนอกศาสนาแอบแฝง...
...หรือไม่ก็ปฏิบัติแบบมะนาวไม่มีน้ำ...ขนมจีนไม่มีน้ำยา...เลยมาสอนคนอื่นเพี้ยนๆ... :b6:
:b9: :b32:
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2010, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แก้วกัลยา / เขียน
ว่าเหตุใดจึงทำให้เกิดความขัดแย้งได้ ขอความกรุณาให้เป็นไปเพื่อให้เกิดความรู้ เกิดปัญญานะค่ะ
สาธุคะ :b8: tongue

:b16:
...มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตคือสัตวโลกในความหมายที่เป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น...
...สั่งสอนอบรมได้...กระทำได้ทั้งสิ่งดีและไม่ดี...ฉลาด มีมันสมอง มีสติปัญญาในการคิด...
...ความขัดแย้งเกิดจากการมีความคิดไม่ตรงกัน...จากการรับรู้ในสิ่งเดียวกันผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...
...สิ่งเดียวกันรับรู้คนละด้านก็เกิดการขัดแย้งได้ดังตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าให้ทุกคนไปคลำช้าง...
:b6:
...แต่ละคนให้ไปคลำช้างคนละจุด...แล้วให้มาอธิบายว่าสิ่งเดียวกันที่ให้ไปคลำคืออะไร...
...ทุกคนอธิบายความจริงของสิ่งที่คลำได้...ต่างยืนยันว่าของตนเองถูก...เกิดการขัดแย้งขึ้นมา...
...และเมื่อพระพุทธเจ้าอธิบายว่านั่นคือช้างทั้งตัวแต่ให้ไปคลำคนละที่...จึงไม่มีใครผิด...
...นั่นเองความขัดแย้งจึงคลี่คลาย...ทั้งหลายทั้งปวงการขัดแย้งก็ไม่ใช่สิ่งไม่ดีแต่มีแง่ให้คิดได้เสมอ...
...เพราะฉะนั้น...การอ่านสิ่งที่เขียนในลานนี้...ให้หมั่นคิดไตร่ตรองและใช้กาลามสูตรสิบเชื่อด้วยเหตุผล...
:b4: :b4:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 19 พ.ค. 2010, 10:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2010, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
ความคิดความเห็นที่แตกต่าง

เกิดจากทิฏฐิต่างกัน บางครั้งก็เห็นว่าแสดงผิด ๆ แต่ก็บอกว่าถูก ไม่ยอมลงกัน ทำความเห็นให้ตรงกันยาก เพราะไม่มีใครยอมรับว่าตนผิด มีแต่ว่า ความคิด ความเห็นของตนถูก

ทิฏฐิหรือความเห็นไม่ตรงกัน เหตุเพราะยึดตำราหรือคำภีร์ ยึดอาจารย์ แล้วนำมาวิเคราะห์ เจาะลึกว่า ถูกต้องตามความคิด ความเห็น(ทิฏฐิ)ของตน เกิดสำคัญตนว่า คำสอนของครูบาอาจารย์ หรือแม้พระไตรปิฏก เป็นอย่างที่ตนวิเคราะห์ วิจารณ์ไว้

เมื่อเอาความคิดของตนเข้าไปเสริมแต่งให้คำสอนของครูบาอาจารย์นั้นเข้าข้างตน จึงเกิดอัตตาและยึดถือเอาว่าพระไตรปิฏก ตำราคำภีร์ เหล่านั้น เหมือนความคิดของตน แต่คนที่ทำอย่างนี้ไม่ได้มีคนเดียว มีมากมายเป็นร้อยเป็นพัน เมื่อต่างคนต่างความคิด ต่างความเห็น การวิเคราะห์ วิจารณ์จึงไม่เหมือนกัน

เพราะเหตุนั้น เมื่อใดที่แสดงความคิดความเห็นในธรรมหมวดหนึ่งหมวดใด จึงยากที่จะยอมรับความเห็นของคนอื่นได้ ท่านกล่าวไว้ว่า "เพราะทิฏฐิ สมณก็ทะเลาะกับสมณ"

เมื่อเราไม่เชื่อ ไม่เห็นด้วย หรือได้แสดงความเห็นที่ถูกต้องแล้ว ไม่มีใครเชื่อไม่มีใครเห็นด้วย ก็ควรหยุด ไม่ควรว่ากล่าวด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควร ที่ทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจ

พระพุทธเจ้า ไม่เคยบังคับใคร ให้เชื่อให้ศรัทธา ในพระธรรมคำสั่งสอนและไม่กล่าวเสียดสีใครที่ไม่เห็นด้วยกับพระองค์

สัจจะธรรมคือความจริง ไม่เปลี่ยนไปเพราะมีคนโมทนาเยอะ มีพรรคพวกเยอะ หรือเพราะมีคนเชื่อเยอะกว่า สัจจะธรรมความจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนไปตามความเชื่อ ความศรัทธาของใคร

หากสมมุติ มรรคผลพระนิพพาน เป็น สี

คนตาดีกับคนตาดี ท่านไม่พูดไม่ถามกัน
คนตาดีกับคนตาบอด ท่านจะพูดพอประมาณ เพราะคนตาบอดจะจินตนาการไปเรื่อยๆ
คนตาบอดกับคนตาบอด จะถียงกัน ไม่ยอมกัน ขัดแย้งกัน

เราท่านก็เหมือนคนตาบอด คุยกันในเรื่องไม่เคยรู้ ไม่เคยบรรลุด้วยตัวเอง เหมือนตาบอดจูงกัน
คนตาดีท่านไม่ทุ่มเถียงกับคนตาบอดหรอกครับ ..กระผมก็เป็นตนบอดคนหนึ่ง ขอท่านผู้ตาดี โปรดเมตตา..

แหะ.. แหะ..เพ้อเจ้อไปตามประสาคนตาบอด ผิดพลาดขอประทานอภัย ขอรับ

สาธุ :b8:


รูปภาพ

ตะเอง ตะเองชื่อจริงว่า วิริยะ เหย๋อออออ....

หากสมมุติ มรรคผลพระนิพพาน เป็น สี

คนตาดีกับคนตาดี ท่านไม่พูดไม่ถามกัน
คนตาดีกับคนตาบอด ท่านจะพูดพอประมาณ เพราะคนตาบอดจะจินตนาการไปเรื่อยๆ
คนตาบอดกับคนตาบอด จะเถียงกัน ไม่ยอมกัน ขัดแย้งกัน

เราท่านก็เหมือนคนตาบอด คุยกันในเรื่องไม่เคยรู้ ไม่เคยบรรลุด้วยตัวเอง เหมือนตาบอดจูงกัน
คนตาดีท่านไม่ทุ่มเถียงกับคนตาบอดหรอกครับ ..กระผมก็เป็นตนบอดคนหนึ่ง ขอท่านผู้ตาดี โปรดเมตตา..

แหะ.. แหะ..เพ้อเจ้อไปตามประสาคนตาบอด ผิดพลาดขอประทานอภัย ขอรับ


อิ อิ :b4: :b4:

กำลังเซ็ง ๆ หง่ะ....ตะเอง....
เดี๋ยวซ่อมกุฏิ เอ้ย ซ่อมบ้านเสร็จก่อน จะไปเที่ยวกาญจนบุรี
จะหาเต้นท์ ไปกาง
:b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 19 พ.ค. 2010, 10:20, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 36 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 234 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร