วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 15:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

มีผู้ไปศึกษาลัทธิอนุตรธรรม ที่มีธรรมาจารย์จากจีนมาถ่ายทอดโดยตรง มีสถานธรรมเกิดขึ้นมากมาย
ส่วนที่ดีก็มีมาก น่าอนุโมทนา แต่มีบางส่วน บางท่าน ปฏิเสธพระไตรปิฏก ปฏิเสธการปฏิบัติธรรม ที่มีการสอนในพระไตรปิฏก ฯลฯ


งมงายไม่มีหน้าที่ตัดสินว่า คำสอนไหนผิด หรือถูก
แต่ขอให้ศึกษาบทความทางวิชาการด้านล่างนี้ประกอบการตัดสินใจ จะเป็นคุณูปการเป้นอย่างมากสำหรับผู้ที่รักพระพุทธศาสนาจริง ๆ

บทความนี้มาในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ที่มีสอนในระดับมหาวิทยาลัยทั่วไป


การเผยแพร่ของลัทธิพุทธตันตรยาน

นิกายพุทธตันตระ (Tantric Buddhism) เชื่อว่าแนวทางของตนถือกำเนิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลโดยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กล่าวกันว่า พระศากยมุนีพุทธได้จัดให้มีการประชุมขึ้นที่เมืองศรีธานยกฏกะและทรงสั่งสอนเกี่ยวกับทางลี้ลับหรือทางลัด (Esoteric path) ที่เป็นธรรมละเอียดลึกซึ้งซึ่งไม่ทรงเปิดเผยทั่วไปแก่สาธารณชน แต่จะทรงแสดงให้ฟังเฉพาะคนที่สติปัญญาเฉลียวฉลาดเท่านั้น ดังนั้นคำสอนนี้จึงเรียกว่ารหัสยานหรือคุยหยาน ซึ่งแปลว่า ลึกลับ เช่นเดียวกับที่พระองค์เคยทรงสั่งสอนวิถีทางให้แก่นิกายมหายานมาก่อนที่เขาคิชฌกูฏ คติความเชื่อดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวทิเบตและนักปราชญ์ชาวอินเดียบางท่านก็เห็นคล้อยตามว่า พระพุทธเจ้าได้สอนหลักปฏิบัติแบบตันตระ มนตร์ มุทรา และธารณี ให้แก่พุทธศาสนิกชนด้วย โดยอ้างว่าผู้ที่ฉลาดอย่างพระพุทธองค์คงจะไม่ทรงละเว้น ที่จะนำเอาหลักปฏิบัติเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถา มารวมไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อดึงดูดพุทธศาสนิกชนให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น

จากร่องรอยทางประวัติศาสตร์ นักปราชญ์ชาวอินเดียได้สืบอายุของนิกายพุทธตันตระไปจนถึงสมัยของท่านเมไตรยนาถและอสังคะแห่งสำนักโยคาจาร ซึ่งอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 อันเป็นช่วงที่ศาสนาฮินดูกำลังเฟื่องฟูอย่างมาก พระพุทธศาสนาในขณะนั้นจึงอยู่ในภาวะที่ต้องแข่งขันต่อสู้กับศาสนาฮินดู ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดของพระพุทธศาสนา คณาจารย์ฝ่ายมหายานจึงตัดสินใจที่จะใช้วิธีประนีประนอมระหว่างกลุ่มชน 2 ฝ่าย คือ กลุ่มชาวพุทธยุคใหม่ และกลุ่มชาวฮินดูที่นับถือพระศิวะ (ไศวนิกาย) เพื่อให้ประชาชนหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนาดังเดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
คณาจารย์ฝ่ายมหายานทั้งหลายเห็นว่า ลำพังพระธรรมแท้ๆ ยากที่จะทำให้ชาวบ้านเข้าถึงได้ จึงคิดแก้ไขให้เหมือนศาสนาฮินดู คือกลับไปยกย่องเรื่องเวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีหาลาภ พิธีเสกเป่า ลงเลขยันต์ต่างๆ จนในที่สุดนิกายพุทธตันตระจึงระคนปนเประหว่างมหายานนิกายโยคาจารกับศาสนาฮินดูจนแทบแยกไม่ออก พระสงฆ์เองก็ต้องทำหน้าที่เหมือนพราหมณ์ทุกอย่าง ลัทธินี้จึงเรียกว่า มนตรยาน (Mantrayana) หรือตันตรยาน (Tantrayana) เพราะนับถือพิธีกรรมและการท่องบ่นสาธยายเวทมนตร์อาคมเป็นสำคัญ โดยที่เวทมนตร์แต่ละบทเรียกว่า ธารณี (Dharani) มีอานิสงส์ความขลังความศักดิ์สิทธิ์พรรณนาไว้วิจิตรลึกล้ำนักหนา ธารณีมนต์เหล่านี้มีทั้งประเภทยาวขนาดหน้าสมุด และประเภทสั้นเพียงคำสองคำ ซึ่งเรียกว่าหัวใจคาถาหรือหัวใจธารณี สามารถทำให้ผู้สาธยายพ้นจากทุกข์ภัยนานาชนิด และให้ได้รับความสุขสวัสดิมงคลและโชคลาภตามความปรารถนา
ฉะนั้นเป็นธรรมดาอยู่ ที่ลัทธินี้จะได้รับการต้อนรับจากพุทธศาสนิกชนผู้ยังเป็นปุถุชนอยู่ ด้วยสามัญปุถุชนย่อมแสวงหาที่พึ่งไว้ป้องกันภัย ศาสนาพราหมณ์อ้างเอาอานุภาพของพระเป็นเจ้าปกป้อง ลัทธิพุทธมนตรยานจึงแต่งมนตร์อ้างอานุภาพของพระรัตนตรัยและอ้างอานุภาพของพระโพธิสัตว์ตลอดจนอานุภาพของเทพเจ้าทั้งหลายซึ่งนับถือกันว่าเป็นธรรมบาล รวมเอาเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์เข้าไว้ด้วยก็มี แล้วสั่งสอนแพร่หลายในหมู่พุทธศาสนิกชน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
นิกายพุทธตันตระมีวิธีสอนแตกต่างจากมหายานยุคต้นๆ อย่างชัดเจน มหายานสอนหลักธรรมในพระสูตรและศาสตร์ต่างๆ ที่ใครๆ ก็สามารถหาอ่านได้ และเป็นหนังสือที่คนทั่วไป พอจะทำความเข้าใจได้ แต่ตรงกันข้าม คัมภีร์เล่มใหม่อันยืดยาวของนิกายตันตระสงวนไว้สำหรับบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกแล้วเพียงไม่กี่คน และบุคคลเหล่านั้นจะต้องได้รับการสอนจากครูโดยตรง นอกจากนั้นคัมภีร์ยังเขียนไว้ด้วยภาษาที่ลึกลับ เข้าใจยาก และคลุมเครือชวนให้สงสัยอีกด้วย ทั้งไม่ยอมอ้างว่าคัมภีร์เหล่านั้นเป็นคำสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้า แต่กลับบอกว่าเป็นของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ซึ่งกล่าวกันว่าพระองค์ได้ทรงสอนคัมภีร์เหล่านั้นตั้งแต่อดีตกาลอันไกลโพ้น แม้ว่าจุดมุ่งหมายของนิกายตันตระยังเป็นพุทธภาวะเช่นเดียวกับนิกายมหายาน แต่มิใช่เป็นสิ่งที่จะได้บรรลุในอนาคตอันไกลแสนไกลนานแสนนานอย่างแต่ก่อน หากแต่พุทธภาวะนั้นมีอยู่ในร่างกายของเรานี่เอง และในชั่วขณะจิตตุปบาทที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เอง ซึ่งเราบรรลุได้ด้วยวิธีการที่ใหม่เอี่ยม รวดเร็วทันใจและง่ายๆ อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว

การเกิดขึ้นของนิกายตันตระดำรงอยู่นานถึง 3 สมัยด้วยกัน คือ สมัยแรกมีชื่อเรียกว่า มนตรยาน (Mantrayana) ซึ่งได้เริ่มต้นในพุทธศตวรรษที่ 8 แต่เพิ่งจะมีการเผยแพร่คำสอน อย่างจริงจังหลังจากพุทธศตวรรษที่ 10 นิกายนี้ได้ก่อให้เกิดเวทมนตร์คาถาต่างๆ ขึ้นมากมาย โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้เวทมนตร์คาถาเหล่านั้นเข้าช่วยให้การแสวงหาพระโพธิญาณทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นในพุทธศาสนาจึงมีมนตร์ มีมุทระ มีมัณฑละ และเทพเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้นทั้งที่มีในตำราและนอกตำรามากมาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
และพอหลังจาก พ.ศ.1293 นิกายตันตระนี้ ก็ได้รับการจัดระบบใหม่ขึ้นมา มีชื่อเรียกว่า วัชรยาน ซึ่งก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคำสอนดั้งเดิมอยู่ในเรื่องพระเจ้า 5 พระองค์ (Five Tathagatas) นิกายย่อยที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในช่วงนั้นคือ นิกายสหชยาน ซึ่งเน้นหนักไปในทางการทำสมาธิและเจริญวิปัสสนา อีกทั้งสอนโดยใช้ปริศนาปัญหาธรรมและภาพปริศนาต่าง ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ระบบการเรียนการสอนที่กำหนดตายตัว เมื่อถึงพุทธวรรษที่ 15 นิกายกาลจักรก็เกิดขึ้น ซึ่งกาลจักรนี้เป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า นิกายนี้ได้ขยายขอบเขตแห่งคำสอนกว้างขวางยิ่งขึ้น และเน้นหนักไปทางโหราศาสตร์ด้วย

นิกายดังกล่าวนี้เองได้เจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา นักบวชในนิกายนี้ไม่เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า สิทธะ (Siddha) หรือผู้วิเศษ ซึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรนักจากพระโพธิสัตว์ แต่กล่าวกันว่าหลังจากที่สิทธะได้บรรลุถึงภูมิที่ 8 แล้ว ก็จะมีฤทธานุภาพต่างๆ ครบถ้วน สิทธะเป็นบุคคลที่เป็นแบบฉบับซึ่งจัดว่าเป็นอริยะ

ต่อมานิกายพุทธตันตระได้แตกแยกสาขาออกไปอีก แบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ คือ พวกวามจารี หรือพุทธตันตระฝ่ายซ้าย พวกนี้ประพฤติเลื่อนเปื้อนไม่รักษาพรหมจรรย์ มีลักษณะเป็นหมอผีมากขึ้น คือ อยู่ในป่าช้า ใช้กะโหลกหัวผีเป็นบาตร และมีภาษาลับพูดกันเฉพาะพวกเรียกว่า "สนธยาภาษา" ถือการเสพกามคุณเป็นการบรรลุวิโมกข์ เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มี "ศักติ" (Shakti) คือ ชายาคู่บารมี พระพุทธปฏิมาก็มีรูปอุ้มกอดศักติ การบรรลุนิพพานต้องทำให้ธาตุชายธาตุหญิงมาสมานกัน ธาตุชายเป็นอุบาย ธาตุหญิงเป็นปรัชญา เมื่ออุบายรวมกับปรัชญาจึงได้ผลคือนิพพาน

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าพระพุทธองค์มีพระกายที่ 4 เรียกว่า วัชรสัตว์ ซึ่งทำเป็นรูป พระพุทธนิรันดรกำลังสวมกอดนางตารามเหสีของพระองค์ในท่าร่วมสังวาส (ยับยุม) พระพุทธ-รูปแบบนี้และปฏิมากรรมที่คล้ายกันนี้ มีในพิพิธภัณฑ์ของประเทศเนปาลมาก และพระในลัทธินี้ต้องทำพิธีเสพเมถุนกับหญิงอยู่เรื่อยๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์กับนางตารา และยังมีความเชื่อกันอีกด้วยว่า ความเป็นพุทธะตั้งอยู่ในอวัยวะสืบพันธุ์ของหญิงหรือโยนี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
นิกายดังกล่าวนี้เองได้เจริญขึ้นในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา นักบวชในนิกายนี้ไม่เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า สิทธะ (Siddha) หรือผู้วิเศษ ซึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรนักจากพระโพธิสัตว์ แต่กล่าวกันว่าหลังจากที่สิทธะได้บรรลุถึงภูมิที่ 8 แล้ว ก็จะมีฤทธานุภาพต่างๆ ครบถ้วน สิทธะเป็นบุคคลที่เป็นแบบฉบับซึ่งจัดว่าเป็นอริยะ

ต่อมานิกายพุทธตันตระได้แตกแยกสาขาออกไปอีก แบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ คือ พวกวามจารี หรือพุทธตันตระฝ่ายซ้าย พวกนี้ประพฤติเลื่อนเปื้อนไม่รักษาพรหมจรรย์ มีลักษณะเป็นหมอผีมากขึ้น คือ อยู่ในป่าช้า ใช้กะโหลกหัวผีเป็นบาตร และมีภาษาลับพูดกันเฉพาะพวกเรียกว่า "สนธยาภาษา" ถือการเสพกามคุณเป็นการบรรลุวิโมกข์ เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มี "ศักติ" (Shakti) คือ ชายาคู่บารมี พระพุทธปฏิมาก็มีรูปอุ้มกอดศักติ การบรรลุนิพพานต้องทำให้ธาตุชายธาตุหญิงมาสมานกัน ธาตุชายเป็นอุบาย ธาตุหญิงเป็นปรัชญา เมื่ออุบายรวมกับปรัชญาจึงได้ผลคือนิพพาน

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อว่าพระพุทธองค์มีพระกายที่ 4 เรียกว่า วัชรสัตว์ ซึ่งทำเป็นรูป พระพุทธนิรันดรกำลังสวมกอดนางตารามเหสีของพระองค์ในท่าร่วมสังวาส (ยับยุม) พระพุทธ-รูปแบบนี้และปฏิมากรรมที่คล้ายกันนี้ มีในพิพิธภัณฑ์ของประเทศเนปาลมาก และพระในลัทธินี้ต้องทำพิธีเสพเมถุนกับหญิงอยู่เรื่อยๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อพระพุทธองค์กับนางตารา และยังมีความเชื่อกันอีกด้วยว่า ความเป็นพุทธะตั้งอยู่ในอวัยวะสืบพันธุ์ของหญิงหรือโยนี

ในขณะที่อีกพวกหนึ่งเรียกว่า พวกทักษิณจารี หรือพุทธตันตระฝ่ายขวา พวกนี้ยังประพฤติธรรมวินัย ถ้าเป็นพระยังรักษาพรหมจรรย์ เข้าใจตีความให้เป็นธรรมโดยกล่าวว่าสัญลักษณ์เหล่านั้น จะถือเอาตรงตัวไม่ได้ เช่น ในคัมภีร์สาธนมาลาของท่านอนังควัชระ ซึ่งเป็นสิทธาจารย์คนหนึ่งในนิกายนี้ ได้กล่าวว่า "สาธุ" (Sadhu) หมายถึง นักบวชควรได้รับการบำเรอจากสตรีเพศ เพื่อให้ได้เสวยมหามธุรา ข้อความเช่นนี้เป็นสนธยาภาษา จะต้องไขความว่า สตรีเพศในที่นี้ท่านให้หมายเอาปัญญา สาธุเป็นเพศชาย จะต้องสร้างอุบายเพื่อรวมเป็นหนึ่ง (เอกีภาพ) เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้พระนิพพาน แต่พวกวามจารีนั้นหาคิดเช่นนั้นไม่ พวกเขาได้ถือเอาตามตัวอักษรเลยทีเดียว ถึงกับสอนว่า ผู้ใดมอบสตรีให้สิทธะจะได้กุศล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



:b8:
จะเห็นว่า พุทธตันตระสอนให้คนกลับไปสู่กิเลส สอนให้คนเชื่อของขลังและอาคม และสอนให้บำเพ็ญตบะแต่ไม่ต้องทำอย่างลำบากยากเย็นอะไร คือธรรมชาติประสงค์ให้มนุษย์ทำอย่างไรก็ให้อนุโลมทำไปตามนั้น พวกตันตระมีพิธีกรรมเรียก จักรบูชา และทำกันอย่างในลัทธิศักติ คือ ผู้ชายกับผู้หญิงจำนวนเท่าๆ กัน ไปพบกันในที่ลับตาเวลามืดค่ำแล้วนั่งล้อมเป็นวงเข้า เอาเทพีที่เคารพบูชาตั้งกลาง หรือไม่ก็ใช้เครื่องหมายโยนีของหญิงตั้งไว้บูชา บางทีก็ให้หญิงเปลือยกาย หญิงพวกนี้โดยมากเป็นภรรยาของพระ จุดหมายในการทำพิธีนี้ อยู่ที่การบูชาโยนีเป็นสำคัญ ในพิธีมีการเสพสุรา กินปลา กินเนื้อ ข้าวตากกัน แล้วเสพเมถุน การกระทำ 5 อย่างนี้คือ ดื่มสุรา (มัทยะ) กินเนื้อ (มังสา) กินปลา (มัตสะ) กินข้าว (มุทระ) และเสพเมถุน (เมถุนะ) เรียกว่า ตัตตวะทั้ง 5 (Pancha Tattva) แต่พวกทักษิณจารีตีความ "ม" ทั้ง 5 ว่า ได้แก่ ปัญจขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ถ้าว่ากันโดยต้นกำเนิดแล้ว นิกายตันตรยานนี้ได้มีวิวัฒนาการมาจากปฏิกิริยาเพื่อต่อต้านภยันตรายที่คุกคามพุทธศาสนาในอินเดียสมัยนั้น ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ในระยะแรกปรากฏว่าคณาจารย์ชาวพุทธประสบความสำเร็จในการพัฒนาตันตระล้ำหน้าพวกฮินดูมาก เพราะมนตรยานมีอิทธิพลในทางเข้าเร้าอารมณ์ให้เลื่อมใสง่าย และมีพิธีกรรมอันสวยสดงดงาม ส่วนสหัชยานมีอิทธิพลในด้านการปฏิบัติสมาธิอย่างลึกซึ้ง

แต่เมื่อเริ่มมีเรื่องเลอะเทอะผิดธรรมวินัยเข้ามาปะปนมากขึ้น และมีการแก้ไขละทิ้ง
ธรรมวินัยดั้งเดิมมากขึ้น พระพุทธศาสนาที่แท้จริงจึงค่อยๆ เสื่อมไป โดยถูกอิทธิพลศาสนาพราหมณ์กลืนไปทีละเล็กละน้อยในรูปของลัทธิตันตรยานนี้เอง หลังจากนั้นมา คณะสงฆ์บางกลุ่ม ก็ถูกเบี่ยงเบนความคิดด้วยลัทธิตันตระที่พัฒนาถึงขีดสุด จนเชื่อว่าชีวิตทางเพศไปกันได้กับภิกษุภาวะ ทั้งๆ ที่ก่อนนั้นทัศนะเรื่องประพฤติพรหมจรรย์ไม่ข้องเกี่ยวด้วยกามารมณ์ยังดำรงอยู่อย่างมั่นคงในหมู่คณะสงฆ์ จนเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 จึงมีหลักฐานว่าในแคว้นกัษมิระ มีภิกษุแต่งงาน และตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา นิกายตันตระก็ยอมรับรองการแต่งงานของภิกษุตามหมู่บ้านที่นิกายนี้ขยายออกไป นี่คือสภาพการพระพุทธศาสนาในอินเดียยุคปลายที่เข้าสู่ภาวะเสื่อม กระทั่งสูญสิ้นไปในเวลาต่อมา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 48 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร