วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 19:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 01:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 01:17
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมสงสัยว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ธรรมะ ศาสนา นิพพาน วิญญาณ สวรรค และอื่นๆ ล้วนเป็นอนัตตา หรือ ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่จริง ยึดถือไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก เหมือนที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา แล้วทำไม่ พระพุทธเจ้าท่านต้องเทศนาเผยแผ่หลักธรรมให้ความว่างเปล่า(อนัตตา) ให้แก่เราท่านที่ไม่มีตัวไม่มีตนตั้งแต่แรกด้วย พูดสรุปง่ายๆ ถ้าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตนอย่างมนุษย์ด้วย เรียนผู้รู้ทั้งหลายช่วยให้ผมรู้แจ้งในธรรมด้วย ว่าผมเข้าใจธรรมะส่วนไหนผิด.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองมีคนมาทำอะไรให้คุณเจ็บช้ำน้ำใจดูสิ

ถามว่า
ถ้าคุณไม่มีตัวตน...แล้วใครเป็นผู้โกรธ?

สิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่มีอยู่ จะไปโกรธอะไรได้อย่างไร

ผู้โกรธนั่นแหละ คือเรา
นั่นแหละอัตตา นั่นแหละตัวตน
ก็เพราะกระทบอัตตาตัวตน เราถึงโกรธ

การที่เราพูดว่า สรรพสิ่งเป้นเพียงอนัตตา ไม่มีตัวตน
มันเป้นเพียงความคิด


อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าทุกสิ่งไม่มีตัวตน
ถ้างั้นความเป็นพ่อแม่ลูกย่อมไม่มีสิ
ก็ไหนว่า ทุกสิ่งล้วนสมมุติ ไม่มีตัวตนแท้จริง

อันนี้เป้นความเข้าใจผิด

ก็ข้อทเ้จจริงมีอยู่ว่า เราเป้นพ่อแม่ลูกกัน
จะปฏิเสธว่าไม่มช่ได้อย่างไร
แต่ความเป็นพ่อแม่มันมีความสิ้นสุด อย่างมากเป้นได้ไม่เกิน 120 ปี ก็ต้องตายจากกัน

พอเราไปเกิดใหม่ เป็นลูกหมูลูกวัว แม่หมูแม่วัว ก็เป็นพ่อแม่เราในเวลาปัจจุบัน
อดีตพ่อแม่ที่เป็นคน ก็ไม่รู้พลัดหลงหันไปทางไหนแล้ว

ในเรื่องที่ยกตัวอย่างมา มี "ความจริง" อยู่ 2 ระดับ

ระดับแรก คือ "จริงโดยสมมุติ" คือ เป้นจริงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เช่นเกิดมาเป้นพ่อแม่ลูกกัน (เกิดขึ้น)
เป้นพ่อแม่ลูกกันอยู่ระยะเวลาหนึ่ง (ตั้งอยูี่)
ตายจากกันไป (ดับไป)
เห้นได้ว่า การเป้นพ่อแม่ลูกกันนั้น มันเป้นความจริงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่ที่สุดแล้ว ก็กลายเป้นเท็จขึ้นมาอีก


แต่ "ความจริง" ระดับที่สูงกว่า คือความจริงโดยไม่เป้นเท้จอีก
เป้นอกาลิโก คือเวลาไม่มีผลอะไร
จริงตลอดมา จริงตลอดไป ไม่มียกเว้น
เช่นคำว่า "ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป" ซึ่งเป้นความจริงทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ
ไม่มีทางเป้นเท็จได้
เราเรียกว่าจริงระดับนี้ว่า จริงโดยปรมัตถ์ คือจริงๆสุดๆ ไม่มีทางเท็จอีก


ถ้าเราคิดว่าเราไม่มีตัวตน
ผมให้ทดสอบง่ายๆ ลองหยิกผิวหนังตัวเองแรงๆดูสิ
ถ้าไม่มีเราในโลกนี้จริง เราต้องไม่เจ็บ
แต่ปรากฏว่าเราเจ็บ ก็แสดงว่ามีเราอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




1980.jpg
1980.jpg [ 12.04 KiB | เปิดดู 6295 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
cool

การสั่งสอนธรรมของพระพุทธเจ้า ทรงมุ่งผลในทางปฏิบัติ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพหรือมีชีวิตอย่างไร ก็สามารถเข้าใจและนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ตามสมควรแก่สภาพหรือชีวิตนั้น ๆ พระพุทธองค์ตรัสรู้ อริยสัจ และทรงนำมาสั่งสอนแก่มวลมนุษย์ ...ในส่วนของ อนัตตา หรือ อนัตตตา แปลว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน มิใช่อัตตา มิใช่ตัวตน หรือ สภาพที่บังคับบัญชาไม่ได้ โดยทั่วไปหมายถึง สังขารธรรม อันได้แก่ ขันธ์ 5 อยู่ในไตรลักษณ์ร่วมกับอีก 2 คำ คือ อนิจจัง กับ ทุกขัง นั่นเอง หลักใหญ่แล้วคือการสอนให้ปล่อยวางความรู้สึกว่ามีตัวเองและสิ่งของที่เป็นของตนเอง เพราะความรู้สึกดังกล่าวเป็นมานะ (ความถือตัว) และจะทำให้ยึดติด คืออุปาทานที่เกิดจากอำนาจของตัณหาและทำให้เราเป็นทุกข์ในที่สุด การสอนเรื่องอนัตตา เป็นการสอนวิธีการแห่งปัญญา โดยนำหลักความจริงที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนา แสดงให้เห็นสภาพความจริงของสิ่งทั้งปวง เพื่อนำไปสู่การดับทุกข์ในที่สุด

“มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น และมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ”

...ครับ เมื่อการเกิดเป็นทุกข์ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนธรรมเพื่อให้มนุษย์ไม่ต้องมาเกิดอีก เพื่อให้รู้เท่าทันชีวิต ไม่หลงงมงาย มุ่งผลสำเร็จคือความสุข สะอาด สว่าง สงบ เป็นอิสระ พ้นจากภาพมายา พ้นจากความยึดมั่นถือมั่น พ้นจากความมีอัตตา เพื่อความเป็นอนัตตาในที่สุด ...

มีบุญที่ยิ่งใหญ่แล้วครับ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพุทธศาสนา...


:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


แก้ไขล่าสุดโดย ningnong เมื่อ 05 ต.ค. 2010, 03:28, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขยายความเรื่องการมีตัวตนก่อนนะครับ
วัตถุต่างๆ(รวมถึงร่างกายของสิ่งมีชีวิต) พลังงาน มีอยู่จริงครับ ไม่ใช่ไม่มีครับ
เราเริ่มนิยามสิ่งที่เป็น"ก้อนเดียวกัน"ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งเดียว
เรานิยามต่อไปว่าสิ่งที่เรา"บังคับได้"โดยตรงว่าเป็นตัวเรา
เรานิยามต่อไปอีกว่าสิ่งที่เราเคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยว่าเกี่ยวข้องกับเรา
ด้วยอวิชชาเป็นแรงขับ
เราเริ่มบำรุงบำเรอสิ่งที่เรียกว่า"ตัวเรา"ด้วยอาหารก็ดี เครื่องแต่งกายก็ดี ฯ
เราเริ่มบัญญัติความเป็นเจ้าของ อาทิเช่น ที่ดิน ทรัพสินย์ ฯ
ด้วยความหลงที่มีมาก เราเริ่มยึดกับสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นหนา
มีความไม่ต้องการที่จะเสียมันไป ต้องการให้มันคงอยู่
ซ้ำร้ายยังต้องการมีสิ่งต่างๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความหลงนี้เองที่เรียกว่า อัตตา


ทั้งมนุษย์ และ อมนุษย์ ล้วนหลงในความมีตัวตนนี้เอง (อัตตา)
เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งมวลถูกหลอก(จริงๆแล้วหลอกตัวเอง) ด้วยสมมุติบัญญัติที่อุปโหลกขึ้นมาเอง
ด้วยมูลเหตุต่างๆที่มี อวิชชาเป็นแรงขับ ซึ่งบดบังความจริง คือ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา
การหลอกตัวเองนั้นเองที่ทำให้บังเกิดการเข้าไปยึดในสมมุติสัจจะทั้งหลายว่าเที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลง หรือ มีตัวมีตน
ก่อเกิดเป็นภพ ชาติ เกิด แก่ ตาย นับไม่ถ้วนทั้งในความคิดก็ดี
[ทั้งในการเกิด ตายแบบที่สามัญชนเข้าใจก็ดี ขอละไว้สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องชาติหน้า ชาติที่แล้ว]
ซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งความทุกข์

ด้วยความกรุณาของพระพุทธเจ้าผู้ตัดแล้วซึ่งเหตุแห่งทุกข์แล้ว (ความทุกข์จึงหมดไปอย่างถาวร)
ท่านจึงช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ฝึกสอนได้ให้พ้นทุกข์ตามสิ่งที่ท่านได้ตรัสรู้ด้วยตนเอง

ปล. อัตตาไม่มีจริง เพราะความหลงก่อให้เกิดอัตตา


แก้ไขล่าสุดโดย Yodyood เมื่อ 05 ต.ค. 2010, 06:57, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Guzbell เขียน:
ผมสงสัยว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ธรรมะ ศาสนา นิพพาน วิญญาณ สวรรค และอื่นๆ ล้วนเป็นอนัตตา
หรือ ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่จริง ยึดถือไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก
เหมือนที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา

แล้วทำไม่ พระพุทธเจ้าท่านต้องเทศนาเผยแผ่หลักธรรมให้ความว่างเปล่า(อนัตตา)
ให้แก่เราท่านที่ไม่มีตัวไม่มีตนตั้งแต่แรกด้วย

พูดสรุปง่ายๆ ถ้าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
แล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตนอย่างมนุษย์ด้วย
เรียนผู้รู้ทั้งหลายช่วยให้ผมรู้แจ้งในธรรมด้วย ว่าผมเข้าใจธรรมะส่วนไหนผิด.



แล้วทำไม่ พระพุทธเจ้าท่านต้องเทศนาเผยแผ่หลักธรรมให้ความว่างเปล่า(อนัตตา)
ให้แก่เราท่านที่ไม่มีตัวไม่มีตนตั้งแต่แรกด้วย


หาก ทุกข์ไม่บังเกิดขึ้น
คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ครับ

คำสอนของพระพุทธเจ้า คือสิ่งที่จะทำความสงบเย็นให้บังมีเกิดขึ้น

หากความโศรก ความคับแค้น ความร่ำไห้รำพัน ความทุกข์ระทม
อันมีสาเหตุมาจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่บังเกิดมีขึ้น
พระพุทธเจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอุบัติเกิดมีขึ้นมาก็ได้...ครับ :b45:


พูดสรุปง่ายๆ ถ้าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
แล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตนอย่างมนุษย์ด้วย
เรียนผู้รู้ทั้งหลายช่วยให้ผมรู้แจ้งในธรรมด้วย ว่าผมเข้าใจธรรมะส่วนไหนผิด.


เพราะความไม่รู้ว่า เพราะความหลง เพราะความมืดบอด นั่นเองครับ
พระพุทธเจ้าจึงต้องมาเปิดเผยบอกเล่าความจริงแท้ ให้ปรากฏเกิดขึ้น
เพื่อให้รู้ เพื่อให้หายโง่ ครับ :b45:


แก้ไขล่าสุดโดย อนัตตญาณ เมื่อ 05 ต.ค. 2010, 07:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อัตตา กับ อนัตตา นี่ต่างกันอย่างไรคะ? เห็นหลายๆ กระทู้มักกล่าวแต่เรื่องเหล่านี้ เอาแค่พอเข้าใจก็พอค่ะ ไม่ต้องยาว :b8:

tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


จัทร์เพ็ญ เขียน:
อัตตา กับ อนัตตา นี่ต่างกันอย่างไรคะ? เห็นหลายๆ กระทู้มักกล่าวแต่เรื่องเหล่านี้ เอาแค่พอเข้าใจก็พอค่ะ ไม่ต้องยาว :b8:

tongue


ลองนึกถึงรถสักคันหนึ่ง

แล้วตั้งคำถามว่า "ตรงไหนที่เรียกว่ารถ รถอยู่ที่ไหน"
แล้วลองหาตำแหน่งดู

เราจะหาไม่พบตำแหน่งที่ชัดเจนเลยว่ารถอยู่ตรงไหน หาไม่เจอเลย
จิ้มไปตรงไหนก็ไม่ใช่รถ เจอแต่ล้อบ้าง ตัวถังบ้าง เพลาบ้าง แต่หาคำว่ารถไม่เจอ

ต่อเมื่อเราเรียกรวมๆ เราถึงเจอคำว่า"รถ"

"รถ" ก็คืออัตตภาพของการรวมตัวกันของชิ้นส่วน
คำว่า"รถ" คือชื่อ ของสิ่งของจำนวนหนึ่งที่รวมๆกันอยู่



ทำนองเดียวกัน การมีอยู่ของ"เรา" ตัวเรานี่แหละ
ก็เป็นการประกอบกันขึ้นของสรรพสิ่งต่างๆที่รวมๆกันอยู่

สมมุติว่าชื่อจริงคุณจันทร์เพ็ญ ชื่อว่าจันทร์เพ็ญจริงๆ
ถามว่า คนไหนคือจันทร์เพ้ญ

ถ้าจะเอาหลักรูปธรรมเป็นเกณฑ์ (physical) แล้วหาจันทร์เพ็ญว่าอยู่ตรงไหน
ก้จะปรากฏว่าชี้ไปตรงไหนก็ไม่เจอจันทร์เพ็ญ
แขนก็ไม่ใช่ขันทร์เพ็ญ ขาก็ไม่ใช่จันทร์เพ้ญ ตับก็ไม่ใช่จันทร์เพ้ญ
หาอวัยวะหนึ่งใดที่คือจันทร์เพ้ญไม่ได้เลย

แล้วถ้าเอาจันทร์เพ้ญไปแยกให้ละเอียด เพื่อจะหาว่าจันทร์เพ้ญจริงๆอยู่ตรงไหน
แยกจนเป็นเซลล์ เป้นโมเลกุล ก้จะไม่เจอจันทร์เพ็ญ

แม้กระทั่งแยกจนเล็กเป้นธาตุเช่น คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน
ก็หาจันทร์เพ้ญไม่เจอ ไม่เจอเลย
แล้วไหนล่ะที่ว่าเป็น "ตัวจันทร์เพ็ญ"

นี่แหละ ทั้งๆที่จันทร์เพ็ญหายใจอยู่ทนโท่นะ แต่ตัวจันทร์เพ้ญจริงๆไม่เจอ


ถ้าจะเอานามธรรมเป็นเกณฑ์
ความเป็นจันทร์เพ้ญก้คือการรวมตัวกันของนามธรรมทั้งหลาย
เช่นความรู้สึกนึกคิด ความจำ ความชอบ
เช่นว่าชอบสีชมพู ไม่ชอบสีเขียว ชอบน้ำหอมกลื่นนั้น ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นนี้ เกลียดคนนั้น รักคนนี้

เวลาไปทำงานก้มีท่าทางแบบนี้ นิสัยแบบนี้ คำพูดกริยาต่างๆก็แสดงออกแบบหนึ่ง
พออยู่กับเพื่อน จันทร์เพ้ญก็เป้นอีกจันทรเพ้ญหนึ่ง
อยู่กับลูกก็เป็นคนอีกแบบหนึ่ง
ถามว่า แล้วคนไหนล่ะ จันทร์เพ็ญ
คนที่อยู่ที่บ้าน หรือยู่กับเพื่อน หรืออยู่ที่ออฟฟิส

ถ้าเราปฏิเสธว่าคนที่ออฟฟิส ไม่ใช่เรา ที่อยู่กับเพื่อนไม่ใช่ตัวเรา
ตัวเราจริงๆอยู่ที่บ้าน
ก็ขอถามว่า แล้วตัวเราที่อยู่ที่บ้านน่ะ คนไหนจันทร์เพ้ญ
ตอนที่อารมณ์ดี หรือตอนที่อารมณ์ร้าย ตอนเช้าหรือตอนเย็น


เห้นไหมครับ เราหาจันทร์เพ้ญไม่เจอตัวแท้ๆสักอันหนึ่ง
ไม่ว่าจะหาที่รูปธรรม หรือหาที่นามธรรม
มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (อนิจจัง)
มันไม่เคยอยู่อย่างคงสภาพเดิมเลย (ทุกขัง)
หาตัวตนอันใดอันหนึ่งเป้นเราไม่ได้เลย (อนัตตา)


สรุปว่า อัตตาหรืออัตภาพที่ชื่อว่าจันทร์เพ็ญ ... เป็นอนัตตา นั่นเอง

งงไหมล่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 05 ต.ค. 2010, 13:25, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 13:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Guzbell เขียน:
ผมสงสัยว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ธรรมะ ศาสนา นิพพาน วิญญาณ สวรรค และอื่นๆ ล้วนเป็นอนัตตา หรือ ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่จริง ยึดถือไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก เหมือนที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา แล้วทำไม่ พระพุทธเจ้าท่านต้องเทศนาเผยแผ่หลักธรรมให้ความว่างเปล่า(อนัตตา) ให้แก่เราท่านที่ไม่มีตัวไม่มีตนตั้งแต่แรกด้วย พูดสรุปง่ายๆ ถ้าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตนอย่างมนุษย์ด้วย เรียนผู้รู้ทั้งหลายช่วยให้ผมรู้แจ้งในธรรมด้วย ว่าผมเข้าใจธรรมะส่วนไหนผิด.


:b1: พระเจ้าช่วยกล้วยทอด....

เจอคำถามนี้...เอกอน.... :b8:

จุ๊...จุ๊...จุ๊...หนีไปหลับดีกว่า...

:b30: :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


tongue

Guzbel พูดว่า
ทำไม่ พระพุทธเจ้าท่านต้องเทศนาเผยแผ่หลักธรรมให้ความว่างเปล่า(อนัตตา) ให้แก่เราท่านที่ไม่มีตัวไม่มีตนตั้งแต่แรกด้วย พูดสรุปง่ายๆ ถ้าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตนอย่างมนุษย์ด้วย เรียนผู้รู้ทั้งหลายช่วยให้ผมรู้แจ้งในธรรมด้วย ว่าผมเข้าใจธรรมะส่วนไหนผิด.

อนัตตาธรรม แสดงความเห็น

เพราะมนุษย์เกือบทั้งหมด รวมทั้งตัวคุณGuzbel ถูก "อวิชชา" ความมืดบอด ไม่รู้ ห่อหุ้ม ปิดบังตา ปิดบังจิตใจอยู่ ปากพูดและใจคิดได้ว่าเป็นอนัตตา แต่ พฤติกรรม ความเป็นจริงทั้งหมดมันเต็มไปด้วยความเห็นผิด ยึดผิด มิจฉาทิฐิ ว่าเป็นอัตตา ตัวกู ของกู

เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงค้นพบความจริงว่าจิตของพระองค์ จิตคนทั้งโลก และสัตว์โลกทั่วสากลจักรวาล ล้วนแล้วแต่ถูกครอบงำด้วยความเห็นผิดว่าเป็น อัตตา ตัวกู ของกู ทุกข์และความเวียนว่ายตายเกิดจึงมีอยู่ร่ำไป

เมื่อเปลื้องความเห็นผิด ยึดผิด ว่าเป็น อัตตา ตัวกู ของกู ออกได้แล้ว พระองค์ได้สัมผัส สภาวะไร้อัตตา หรือ อนัตตา เข้าถึงนิพพานธาตุอันเป็นที่สิ้นสุดทุกข์และความเวียนว่ายตายเกิด พระองค์จึงได้พระนามว่า สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ หลังจากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอน

วิธีการถอนความเห็นผิด คือ อัตตา มาเกิดความเห็นถูกต้อง ใจยอมรับ อนัตตา จนพฤติกรรมของชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ได้ถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมา สร้างความสงบ สุขเย็นที่แท้จริงให้กับมนุษย์ และสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นการปลดเปลื้อง อวิชชา ความมืดบอด ไม่รู้ ให้หมดไปจากจิตมนุษย์ ที่ยอมรับ ปฏิบัติตาม

อัตตา = ความเห็นผิด (มิจฉาทิฐิ) ว่าเป็นตัวตน เรา เขา มีแก่นสาร สาระ

อนั้ตตา = ความเห็นถูกต้อง (สัมมาทิฐิ) ว่า ไม่ใช่ตัวตน เรา เขา ว่างเปล่า กลวง ไร้สาระ แก่น สาร ยึดถือเอาเป็นเจ้าของไม่ได้ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้

ท่อนท้ายนี้ฝากถึงคุณ จันทร์เพ็ญ ด้วยนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ก.ค. 2010, 15:02
โพสต์: 146

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มึนๆ คะ แต่ก็ขอขอบคุณ คุณชาติสยามและคุณอนัตตาธรรมนะค่ะ :b8: tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สิ่งที่มีจริง มี 4 อย่างคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
นอกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง
เรา เป็นผลผลิตของ จิต เจตสิก รูป
เรา มิได้มีจริง เป็นแค่สภาวะธรรม ชั่วครั้งชั่วคราว
สิ่งที่มีจริง และไม่มีจริง เป็น อนัตตาทั้งหมด คือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ไม่มีตัวตน
กาย มิได้มีจริง เป็นแค่สภาวะธรรม เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว
ปลา 1 ตัว ไม่ใช่ตัวตน...............หรือ
สัตว์ 1 ตัว ไม่ใช่ตัวตน...................หรือ
คำว่า ไม่ใช่ตัวตน(อนัตตา) จึง น่าจะมีความหมายมากเกินไปกว่า รูปธรรม

ในความรู้สึกของเราเรา (หรือในทางวิทยาศาสตร์)
รูปธรรม คือสิ่งที่มองเห็น จับต้องได้ สัมผัสได้เป็นสสาร มีอะตอมเป็นส่วนประกอบ นั่นคือ เป็นตัวเป็นตน
นามธรรม คือ สิ่งที่มองไม่เห็น ไม่จับต้องได้ เป็นพลังงานต่างๆ ไม่มีอะตอมเป็นส่วนประกอบ นั่นคือ ไม่มีตัวตน

แต่ในทางพระพุทธศาสนา........

สิ่งใด ไม่ใช่ รูปธรรม สิ่งนั้นคือนามธรรม
สิ่งใด ไม่ใช่ นามธรรม สิ่งนั้นคือ รูปธรรม
ทั้ง นามธรรม และรูปธรรม ไม่ใช่ตัวตน (เป็นอนัตตา)
ก้อนหิน เป็นรูปธรรม จึงไม่ใช่ตัวตน
สัตว์ บุคคล เป็นรูปธรรม(ในทางวิทย์) ยังไงก็ไม่ใช่ตัวตน

ถ้าแปล คำว่า อนัตตา ไม่ถูก อาจทำให้คน ดึงดันที่จะให้นิพพานเป็นอัตตา
อนัตตา ไม่ได้แปลว่า ไร้แก่นสาร หรือ ปรวนแปรเอาแน่เอานอนไม่ได้
แต่อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครมีอำนาจไปบังคับบัญชา

พูดเอง ก็งงเอง ..........................ขอจบ :b23:

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Guzbell เขียน:
ผมสงสัยว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ธรรมะ ศาสนา นิพพาน วิญญาณ สวรรค และอื่นๆ ล้วนเป็นอนัตตา หรือ ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่จริง ยึดถือไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก เหมือนที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา แล้วทำไม่ พระพุทธเจ้าท่านต้องเทศนาเผยแผ่หลักธรรมให้ความว่างเปล่า(อนัตตา) ให้แก่เราท่านที่ไม่มีตัวไม่มีตนตั้งแต่แรกด้วย พูดสรุปง่ายๆ ถ้าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตนอย่างมนุษย์ด้วย เรียนผู้รู้ทั้งหลายช่วยให้ผมรู้แจ้งในธรรมด้วย ว่าผมเข้าใจธรรมะส่วนไหนผิด.


สวัสดี คุณ Guzbell…
คุณสงสัยว่า “ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตน” คำถามนี้น่าจะเป็นคำถามหลัก ของท่าน.
คำว่า อนัตตา มีปรากฏในพระธรรมเทศนาทั่วๆ ไปในพระสูตร จนเกิดความเข้าใจว่า เป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ไปก็มี.

พระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ประกาศ ตั้งขึ้นในพระศาสนานี้ ก็เพื่อให้รู้จักความจริงของชีวิต และการปฏิบัติอย่างถูกต้องต่อชีวิต. ความจริง คือสัจจะ. การปฏิบัติอย่างถูกต้อง คือการปฏิบัติที่ไกลจากสิ่งที่ทำให้ชีวิตเดือดร้อน ซึ่งก็เป็นที่มาของคำว่า อริ+ยะ. ดังนั้นพระพุทธองค์ประกาศ อริยะสัจจธรรม อันเป็นสัจจะเกี่ยวกับชีวิต และหนทางการปฏิบัติอันถูกต้องต่อชีวิต ไม่ใช่ประกาศหลักอนัตตาเพื่อชีวิต.

การทำความเข้าใจ “ทุกข์สัจจ์” ด้วยไตรลักษณ์ ซึ่งมีอนัตตลักขณะ อันเป็นสามัญลักษณะโดยเป็นสัจจะหนึ่งในสังขตธรรมทั้งปวงนั้น,เป็นการเรียนรู้ ทำให้ชัด ก็เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับทิฏฐิอันเกี่ยวกับ “ทุกข์สัจจ์” ที่ถือไว้ผิดๆ เช่น ความคิดความเห็นว่าโลกเที่ยง ความคิดความเห็นว่าโลกนี้ขาดสูญ ต่างๆเหล่านั้นให้ตรงให้เข้าใจจริงๆ , เพราะด้วยเหตุว่า ทิฏฐิความเห็นต่างๆ เหล่านี้ ไม่อาจทำให้เห็นเหตุเห็นผลในการขจัดรากเง่าแห่งความทุกข์ กลับก่อให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมาอีกประการหนึ่งคือ เกิดอุปาทานในขันธ์ทั้งหลาย ซึ่งก็ก่อให้เกิดอัตตาขึ้นมานั่นเอง.

การก่อขึ้น การเกิดขึ้น ของ อัตตา ที่เราท่านทั้งหลาย เรียกว่า “ตัวตน” จึงไม่ใช่ทุกสรรพสิ่ง แต่แท้จริงแล้ว อัตตา ก็คือความยึดมั่นถือมั่นเป็น “อัตตา” (เป็นสิ่งที่ “มีตน มีเรา ของเรา เป็นเรา เข้าไปข้องเข้าไปเกี่ยว” ), ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเป็นอารมณ์ที่จิตเข้าไปรับรู้ เข้าไปประกอบเท่านั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เท่านั้นเอง แต่เรากลับไปยึด ให้เกิดตัวตน เป็นตน ของตน มีในตน ขึ้นมา. ความไม่รู้ความเห็นความจริง อย่างนี้ก็จะนำไปสู่การหาตัวตน การสร้างตัวตน การรักษาตัวตน ซึ่งเรียกว่า ทิฏฐานุสัยขึ้นมา อันเป็นส่วนให้ อาสวะความเคยชินต่างๆ เกิดขึ้นเป็นความโลภ ความโกรธ และความหลง.

ต่อปัญหาที่ว่า แล้วสรรพสิ่งทั้งหลาย มีจริงหรือไม่ มีตัวมีตนหรือไม่ ?
เช่นนั้น เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย มีจริงเป็นจริง แต่ไม่เป็นจริงโดยความเป็นตัวเป็นตน อันก่อให้เกิดปัญหา ความเดือดความร้อนในชีวิต, เพราะตัวตน เป็นตน ของตน มีในตน นั้นมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก แต่เกิดขึ้นในภายหลังเพราะไปยึดไปถือเอาเท่านั้นเอง.

เมื่อเข้าใจความจริงถึงลักษณะของอัตตา อย่างนี้, สักกายทิฏฐิ ย่อมถูกขจัดไปได้ แต่ถึงกระนั้นความรักความเยื่อใยในตัวตนของตน ก็ยังไม่อาจขจัดไปได้ด้วยการรู้การเข้าใจเท่านั้น เพราะด้วยเหตุว่า ความเคยชินต่างๆ อันเป็นอาสวะนั้น เป็นอนุสัยที่นอนเนื่องหมักหมมในสันดานมานาน ต้องค่อยๆ ขัดเกลา ชะล้างความติดใจยินดีให้หมดไป ด้วยอรหัตมรรค หรือการปฏิบัติเพื่อนำจิตให้ออกจากกิเลส.

หวังว่า คงจะอธิบายให้เข้าใจได้ว่า “ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตน” ได้ นะครับ.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 05 ต.ค. 2010, 16:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะความไม่รู้ ความจริงของสิ่งปรากฏอยู่ ย่อมนำไปสู่ ความเกิด อันหาที่สุดไม่ได้
มีกรรมดีกรรมชั่วคอยหมุนให้สัตว์ ไปเกิดในภพภูมิต่างๆตามเหตุปัจจัย
เมื่อเป็นดังนี้ สิ่งต่างๆที่เราสะสมไว้ทั้งดี ชั่ว ล้วนเป็นผลเหตุเกิดในปัจจุบันชาตินี้
และชาติหน้าให้ดำรงสืบไป ไม่มีที่สิ้นสุด

การสะสมกรรมดี กรรมชั่ว ของแต่ละบุคคล-สัตว์ ย่อมมีมากน้อยแตกต่างกันไป
มีความพึงพอใจเป็นที่ตั้ง มีการกระทำทางใจเป็นแดนเกิด
เมื่อเป็นดังนี้ ธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงไว้จึงมีความเหมาะสมแตกต่างกันไปตาม
เหตุปัจจัยที่สะสมมาของบุคคล-สัตว์ นั้นๆ

ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา แม้เราจะได้ฟังมาแล้ว ว่าเป็นดังนี้ แต่กระนั้น การจะถอดถอน
ความเห็นผิดที่เราสะสมไว้มาช้านาน มาเป็นตัวตนในปัจจุบันชาตินี้ ย่อมไม่อาจอาศัย
ความคิดนึกว่า มันว่างจากตัวตน ยืดถือไม่ได้ ย่อมไม่อาจละความเห็นผิดได้ด้วย
การทำไว้ในใจว่า ไม่มีตัวตน โลกนี้ไม่มี ตามคำกล่าว ความว่า ที่เราเคยได้ยินมา
เปรียบเหมือนคนตาบอด ยืนอยู่บนทางทั้งสี่ ไม่รู้ทิศใดเป็นทิศใด แล้วกล่าวว่า
รูปร่าง ลักษณะ แสง สี นี้ไม่มี คำกล่าว ของคนตาบอดจะเชื่อถือได้อย่างไร

การจะถอดถอนความเห็นผิดที่สะสมมานานนั้น พระองค์จึงต้องแสดงเหตุปัจจัย แห่ง
ความเกิดทั้งหลาย ทั้งอวิชชา และสัมมาทิฏฐิ
เปรียบเหมือนคนตาดี กล่าวว่า รูปร่าง ลักษณะ แสง สี มีอยู่อย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
ตั้งอยู่อย่างไร และไม่มีความตั้งอยู่อย่างไร ย่อมน่าฟังควรแก่การพิจารณากว่าคนตาบอด
กล่าวไว้

ดังนี้ การละความเห็นผิดนี้ หากไม่ละที่ต้นตอเหตุเกิด ย่อมไม่อาจถอดถอนความเห็นผิดได้ทั้งหมด
มายาหลอกลวงทั้งหลาย ที่ปรากฏอยู่ ที่รู้สึกได้ทางอายตนะ ล้วนมีเหตุปัจจัยแห่งความเกิดอยู่
เมื่อเป็นดังนี้ หากเราไม่สาวลงไปจากมายาหลอกลวงนี้ให้ถึงต้นตอเหตุเกิด ละอย่างไรๆก็ไม่ขาด
หากไม่ละที่ต้นตอเหตุเกิด และไม่อาจ ดับสนิทได้ ด้วยการทำไว้ในใจ ว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา
ไม่มีตัวตน ยืดถือไม่ได้

มายาหลอกลวงที่ทำให้คนหลงนั้น ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากความว่าง ความไม่มีนี้เสียเลย
อะไรที่มีความตั้งอยู่ ย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา อัตตามีอย่างไร อนัตตา ย่อมมีอยู่อย่างนั้น
มีอยู่ในนั้นเอง

ขอบคุณครับ

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ม.ค. 2010, 20:24
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b6: ถ้าสิ่งที่เป็นอนัตตานี้ มันไม่ใช่เหตุที่ทำให้เราเกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องทรงเหนื่อยที่จะสร้างบารมีมาหรอก เราก็ไม่ต้องไปสนใจอนัตตาอันนี้ แต่โดยความเป็นจริงสิ่งที่เข้าใจว่าไม่น่าใส่ใจอันนี้แหละ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทางกายทางใจ :b6: ของแค่นี้ น่าจะนึกออกนะเนี่ย(ทุกขสัจจ์)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 22

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Guzbell เขียน:
ผมสงสัยว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ ธรรมะ ศาสนา นิพพาน วิญญาณ สวรรค และอื่นๆ ล้วนเป็นอนัตตา หรือ ไม่มีตัวไม่มีตนอยู่จริง ยึดถือไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก เหมือนที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา แล้วทำไม่ พระพุทธเจ้าท่านต้องเทศนาเผยแผ่หลักธรรมให้ความว่างเปล่า(อนัตตา) ให้แก่เราท่านที่ไม่มีตัวไม่มีตนตั้งแต่แรกด้วย พูดสรุปง่ายๆ ถ้าทุกสิ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่ควรยึดมั่นถือมั่นแล้ว ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาเทศนาภาพมายาที่ไม่มีตัวตนอย่างมนุษย์ด้วย เรียนผู้รู้ทั้งหลายช่วยให้ผมรู้แจ้งในธรรมด้วย ว่าผมเข้าใจธรรมะส่วนไหนผิด.


พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีตัวตน สอนเรื่องไม่มีตัวตน ให้ผู้ไม่มีตัวตนรู้เรื่องการมีตัวตนกับไม่มีตัวตนต่างกันอย่างไร หากเรายึดมั่นในตัวตน เราก็จะมีตัวตน หากเราไม่ยึดมั่นในตัวตน เราก็จะไม่มีตัวตน ทุกข์สุขไม่มีตัวตนแต่ถ้าเรายึดมั่นทุกข์สุข เราก็จะมีทุกข์มีสุขเป็นตัวตน หากทำกรรมไม่ดี ก็จะมีผลทำให้เราทุกข์มากสุขน้อย เช่นเจอน้องมหาลัยขาวสวยหมวยอึ๋ม มาให้ติวการบ้าน อดใจไม่ไหวพาไปหวดซะ หลังจากนั้นไม่นานเธอโทรมาว่าเธอเป็นเอดส์ หลังจากนั้นไม่นานเราก็ดำลงดำลง ทุกข์แทบอยากฆ่าตัวตาย แต่ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้าว่าตัวตนไม่มี น้องหมวยเป็นมายา สอนการบ้านเสร็จ ไล่กลับบ้าน เราก็ไม่ทุกข์..อันนี้เป็นความคิดโง่ๆของศิษย์โง่ที่ขี้เกียจปฏิบัติครับ ผิดถูกต้องขออำไพ ผมยัง งงตัวเองเหมือนกัน เอาพอ ขำขำ..


แก้ไขล่าสุดโดย ศิษย์โง่งม เมื่อ 05 ต.ค. 2010, 20:52, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 151 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร