วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 06:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 04:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณ อรูป ผมก็คิดว่าคุณถามขึ้นมาลอยๆ เหมือนประหนึ่งว่าคุณมีความรู้ดี
ในสิ่งที่คุณถามขึ้นมาลอยๆ แต่ผมมันร้อนวิชากำลังมองหาคำถามเพื่อให้สมองมันได้ยืดเส้นยืดสาย
และเผอิญคำถามคุณดูมันน่าสนใจ แถมชื่อของคุณก็น่าสนใจอีกด้วย เพราะผมก็สงสัยว่า
คนที่ใช้ชื่ออรูปนี่ เขาสามารถทำอรูปฌาณให้เกิดได้รึเปล่าหว่า ถ้าได้จะได้ถามวิธีทำซะหน่อย


และในเมื่อผมได้จุ้นจ้านไปตอบคำถามลอยๆของคุณ โดยมิได้มีชาวบ้านเขาเชื้อเชิญ
ผมก็จะตอบคำถามใหม่ที่คุณเชื้อเชิญต่อไป ตามความเข้าใจและความไม่เข้าใจที่อยู่ในตับไตของผม

แต่ก่อนอื่นผมชักได้กลิ่นทะแม่งๆว่า คุณกับผมนี่คงเดินกันคนละสายและเข้าใจกันคนละทาง
หรือถือเอาครูคนละคน แต่คุณจะเป็นใคร หรือใครจะเป็นครูคุณ ผมก็ขอรายงานความส่วนตัว
ไว้สักนิดว่า ผมมันประเภทไม่มีครูเป็นตัวตนเป็นบุคคล มีแต่ครูเป็นตำรา หนังสือ และ
โดยมากจะชอบแบบเ็ซ็น เลยหยิบคำตอบแบบเซ็นมาตอบคุณ


ที่คุณถามว่า ก่อนจิตจะเกิดต้องมีอารมณ์ใช่หรือเปล่า...........ตอบว่า..ใช่
ที่ถามว่า...นามรูปเกิดก่อนใช่รึเปล่า........ตอบว่า..เกิดขึ้นพร้อมกัน มีอยู่ด้วยกัน
เกิดพร้อมด้วยกัน ดับพร้อมด้วยกัน เมื่อมีวิญญาณก็มีนามรูป เมื่อมีนามรูปก็มีวิญญาณ
วิญญาณกับนามรูปอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้นและทรงอยู่ เหมือนไม้อ้อ2ท่อนพิงกัน
หากเอาท่อนหนึ่งออกไป ท่อนหนึ่งก็ล้ม

ที่ถามว่านามรูปอารมณ์เกิดจากอะไร...........ตอบว่า...นามรูปเกิดจากวิญญาณ
ส่วนอารมณ์เกิดขึ้นเมื่อจิต ได้เข้าไปเจาะจง กำหนด เข้าไปนอนตาม เมื่อจิต
กำหนดอะไร เจาะจงอะไร นอนตามสิ่งไร สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่
ของวิญญาณ และนามรูปก็คืออารมณ์ของวิญญาณ เป็นที่ตั้งของวิญญาณ

ที่ถามว่าแล้วตัวรู้หรือจิตรู้นี่หน้าตาเป็นอย่างไร........ตอบว่า...หน้าตาตัวรู้ ก็คือหน้าที่คุณกำลังรู้
อยู่เช่นเห็นภาพก็รู้ คิดก็รู้ รู้สึกก็รู้ วนเวียนรู้อยู่โดยผ่านทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

ในกรณีย์ของคำถามนี้ว่าจิตรู้เป็นอย่างไร คุณอาจหมายเอาจิตที่หยุดระงับการปรุงแต่งถ้อยคำ
บัญญัติ หยุดการปรุงแต่งคำพูด และทรงอยู่ด้วยอาการรู้แต่ปราศจากการเคลื่อนขยับกิริยาเป็น
ความเข้าใจสิ่งทั้งปวง มีแต่รู้ล้วนๆที่ไม่มีสัญญา เวทนา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ

ถ้าคุณหมายถึงจิตรู้อย่างนี้.....ผมก็ตอบว่าแม้แต่ตัวรู้ที่กำลังทรงตัวรู้อยู่โดยไม่มีคำพูดบัญญัตินี้
ก็เป็นวิญญาณรู้ที่ยังไม่ดับสนิท แต่ยังคงมีอยู่ทรงตัวอยู่ได้เพราะอาศัยระบบประสาทของรูปขันธ์
ที่ยังทำงานอยู่เป็นที่ตั้ง เป็นที่ผูกไว้ ไม่ให้ตัวรู้ดับสนิทไปพร้อมความดับระงับของสัญญา
เวทนาเจตนาผัสสะมนสิการ ดังนั้นจิตของผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธจึงยังมีตัวรู้อยู่ แต่เป็น
ตัวรู้ที่ไม่มีการปรุงแต่ง

ที่ถามว่าทำไมช่วงที่โลกเกิดขึ้นมาจิตของเราจึงไม่รู้.........ตอบว่าคำถามนี้ของคุณคงกำลัง
เข้าใจความหมายของคำว่าโลกไปคนละทางกับผม

คำว่าโลกในความหมายของผมจะเกิดขึ้น เมื่อจิตเกิดขึ้นมาทำหน้าที่และปรุงแต่งขึ้นมา
เช่นถ้าสภาพรู้คุณหายไป โลกก็หายไปด้วยจากคุณด้วย แต่พอสภาพรู้คุณเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
โลกก็ปรากฏแก่คุณอีกครั้ง

ผมตอบคำถามคุณเพียงเท่านี้ ถ้าหากคุณไม่ห่างตำราเกินไป คุณก็จะพบว่าผมก็กางตำรามาตอบ

ด้วยความยินดีและสาธุในธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย จางบาง เมื่อ 13 ต.ค. 2010, 04:59, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 20:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ค. 2010, 23:55
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอขอบคุณ และยินดีครับ ท่านจางบางลางเลือนที่ให้คำตอบ แก่ผม

จริงๆแล้ว ผมเอง ก็ไม่ได้เป็นผู้รู้ ถึงระดับตรัสรู้เป็นพระอริยเจ้า หรอกครับ ผมเองก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาที่ยังมีกิเลสหนาอยู่ แต่พยายามละให้เบาบาง

ส่วนคำถามที่ผมตั้งขึ้นมานั้น ผมเองก็ไม่มีคำตอบเบ็ดเสร็จหรอกครับ เพียงแต่สันนิษฐานเท่านั้น
เพราะยังเป็นจิตที่มีอวิชชาอยู่ (คิดว่าคำถามเหล่านี้ น่าจะมีคำตอบ โดยหลักธรรมในพุทธศาสนาครับ)

ส่วนเรื่องชื่อนั้น ผมเองก็ไม่ได้ยึดติด กับชื่อหรอกครับ แต่ที่ตั้งชื่อนี้ ก็เพียงแต่สัญญา(จำ)ได้ว่า ชื่อนี้ ก็มีอยู่ในหลักธรรม ขององค์สัมมาสัมพระพุทธเจ้า ที่ทรงค้นพบ อย่างเช่น อรูปฌาน หรือ อรูปราคะ เป็นต้น
ส่วนที่ว่า ผมปฏิบัติ กรรมฐานอรูปฌาน หรือไม่ ผมเองก็ปฏิบัติบ้าง ครับ

ส่วนคำถามที่ถามนั้น ข้อแรก ผมคิดว่า ท่านใช้หลักธรรม ปฏิจสมุปบาท มาตอบ ซึ่งผมคิดว่าจิตสุดท้าย คือจิตวิชชาครับ ถามว่าเกิดจากอะไรนั้น ผมตอบไม่ได้ ผมยังไม่มีญาณ รู้ ถึงขั้นนั้นครับ

ส่วนคำถามข้อสอง ผมคิดว่า จิตรู้ นี้มีหน้าตา เป็นความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อครับ (ถ้าถอดจิตแล้วมาส่องกระจกดูตัวเอง ก็คงไม่เห็นได้ด้วยตาเนื้อ)

ส่วนคำถามข้อที่สามนั้น ผมคิดว่า โลก กับ ธรรม นั้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันครับ ส่วนจิตนั้นเกิดพร้อมกันหรือหลัง นั้นผมยังไม่มีญาณหยั่งรู้ครับ

ถ้าคำถาม และคำตอบ ทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ ก็ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันนะครับ
คิดซะว่าสนธนาธรรมแลกเปลี่ยนความคิด

ภาษาพูด กับ ภาษาใจ อาจไม่ได้ไปด้วยกันครับ

(แต่ก่อน ผมเองก็ศึกษาธรรมะ เปิดตำราอ่านหนังสือด้วยตนเอง จากหลวงพ่อหลายท่าน หนังสือเซนก็เคยอ่าน ไม่มีอาจารย์ท่านใด มาสอนตัวต่อตัวกับผมหรอกครับ ก็เหมือนกับท่านนี่แหระ )


แก้ไขล่าสุดโดย อรูปะ เมื่อ 17 ต.ค. 2010, 10:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 193 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร