วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 16:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
อิ อิ ถามเขาแล้วจะมีเวลาเข้ามาอ่านมั๊ยน่ะ...


เวลาอ่านน่ะมีอยู่ครับ...แต่อาจจะไม่ค่อยมีเวลาตอบ :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
:b16:

ไม่รู้จิ่...

หึ หึ...ไม่รู้...มันก็คงจะเป็นอย่างที่มันเป็น...มั๊ง...หึ หึ

:b2: :b2: :b2:

อ้างคำพูด:
พอดีเอกอนไม่ค่อยชอบตามหา...อะไรประมาณนี้หรอก...
เพราะ... มันเป็นอะไรที่แปลก...หาเท่าไรก็หาไม่เจอ...
ไอ้ที่คิดน่ะ...ไม่เจอหรอก...
แต่ไอ้ที่เจอ...หุ หุ...ไม่ต้องคิด...อิ อิ :b13: :b13:

5555...อุ อุ ... :b13: :b13:

อย่างนี้แสดงว่าเจอแล้วอ่ะดิ :b10: :b10:
เจอแล้วก็บอกหน่อยก็ได้ เพราะยังมีคนที่ยังไม่เจออีกเยอะ เผื่อว่าจะได้เจอกันถ้วนหน้า :b13: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ.

ความไม่ทำบาปทั้งสิ้น ความยังกุศลให้ถึงพร้อม ความทำจิต
ของตนให้ผ่องใส(ผ่องแผ้ว) นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

จิตที่ผ่องใส หรือผ่องแผ้ว ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ พระอริยเจ้าพระอรหันต์ทุกท่านในคืนวันเพ็ญเดือน 3 นั้น พระองค์ทรงหมายถึง อรหัตผลจิต ที่ผ่องแผ้ว แจ่มใส ไม่มีอาสวะอันใดจะฉาบทาได้อีกต่อไป เพราะบาป บุญอันใด พระอรหันตเจ้าก็ลอยไปได้หมดแล้ว
--------------

จิตที่สะอาด ... หมายเอาเฉพาะ การที่จิตไม่กระจัดจายและเกลื่อนกล่นไปตาม ไปด้วยกับบาปกรรมอันเป็นอกุศลกรรม เกี่ยวเนื่องไปกับอกุศลกรรมบถ 10

จิตที่บริสุทธิ์ หมายเอาเฉพาะ จิตในจตุตถฌานที่ปลอดโปร่งจาก การแสวงหากาม ไม่มีแล่นไปทุกขเวทนา ไม่จมอยู่กับสุขเวทนา ทั้งทางกายทางใจ เป็นจิตที่ควรแก่งานในการเจริญวิปัสสนา

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบคุณ อรูปครับ

ที่ถามว่าจิตเกิดจากอะไร...........ตอบว่าเกิดจากอารมณ์ และนามรูปนั่นแลคืออารมณ์ทำให้จิตเกิด
เมื่อนามรูปดับ จิต มโน หรือวิญญาณก็ดับสนิทไปพร้อม

ที่ถามว่าจิตหน้าตาเป็นอย่างไร........ตอบว่าหน้าตาของจิต จะแสดงตนปรากฏออกมาเป็นสภาพรู้
หรือบางทีก็ถูกเรียกว่าตัวรู้ ตัวรู้จะเกิดและดับอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ เพราะยังมีสิ่งที่ถูกรู้ตัวรู้จึงยังมี

สำหรับหน้าตาของจิตที่แตกต่างไปจากนี้ ล้วนไม่ใช่ตัวแท้ของจิตแต่จะถูกเรียกว่า เจตสิกแทน
ไม่ว่าจะเป็นนิมิต เป็นสี เป็นดวง เป็นความรู้สึก เป็นความคิด เป็นรูปร่าง เป็นความนิ่ง
เป็นความสงบ เป็นสติ เป็นปัญญา หรือเป็นกิเลส สิ่งทั้งปวงล้วนคืออาการของจิต
เป็นพฤติของจิต เป็นมายาของจิต เป็นสิ่งปรุงแต่งด้วยจิต

ที่ถามว่า โลก....ธรรม....จิตอะไรที่เกิดก่อน..........ตอบว่า เกิดขึ้นพร้อมกัน
เมื่อจิตเกิด โลกก็เกิด เมื่อจิตดับโลกก็ดับ และโลกก็คือธรรม จิตก็คือธรรม


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย จางบาง เมื่อ 11 ต.ค. 2010, 18:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
สวัสดีครับ...ท่านสมาชิก (บ้านเลขที่ 5) ผู้ทรงเกียรติ

ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะมีเพื่อนที่เพิ่งเริ่มสนใจศึกษาธรรมคนหนึ่งถามมา กระผมเห็นว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจดี ก็เลยเอามาตั้งกระทู้ถามความเห็นของท่านสมาชิกทั้งหลาย

คำตอบของท่านกรัชกาย ตอบได้ตรงประเด็นเป๊ะเลย
ว่าแต่จิตขุ่นมัวนั้นเป็นอย่างไรเล่าท่าน


ถามต่ออีกว่า...ว่าแต่จิตขุ่นมัว นั้นเป็นอย่างไรเล่าท่าน

คำถามนี้ พึงตอบด้วยอุปมา ท่านประธานพึงไปที่คลองแสนแสบ (ในอดีตขวัญกับเรียมเคยลงเล่นน้ำด้วยกัน) จิตที่ขุ่นมัวก็เหมือนน้ำในคลองแสนแสบปัจจุบัน (ซึ่งใครลงไปแล้วคันคะเยอ) ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลขุ่นเน่าเสีย ใครจะนำน้ำนั้นไปทำประโยชน์ที่ประณีตไม่ได้เลย ฉันใด

หรืออีกอย่างหนึ่ง ตักน้ำมาซัก 1 แก้วนะ แล้วเทสีต่างๆ เช่น สีเขียว สีแดง เป็นต้นลงในน้ำนั้น น้ำก็จะแปรสภาพไป จะใช้ดื่มก็ไม่ได้ จะใช้ล้างหน้าล้างตาก็ไม่เหมาะ กลายเป็นน้ำเสียไป ฉันใด

จิตที่ขุ่นมัวด้วยเครื่องเศร้าหมองก็ฉันนั้น คือใครๆจะใช้ทำประโยชน์อันสุขุมไม่ได้

หากยังนึกไม่ออก ไว้เกิดทะเลาะตบตีกับภรรยา เรื่องมีเมียน้อยแล้วลองสังเกตดูจิตที่ขุ่นมัวนะครับนะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อพอมองเห็นสภาพจิตที่ขุ่นมัวแล้ว ลองสังเกตจิตที่ใสๆบ้าง

1. แข็งแรง มีพลังมาก ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนกระแสน้ำ ที่ถูกควบคุมให้ไหลพุ่งไปในทิศทางเดียวย่อมมีกำลังแรงกว่าน้ำ ที่ถูกปล่อยให้ไหลพร่ากระจายออกไป

2. ราบเรียบ สงบซึ้ง เหมือนสระ หรือ บึงน้ำใหญ่ ที่มีน้ำนิ่ง ไม่มีลมพัดต้อง ไม่มีสิ่งรบกวนให้กระเพื่อมไหว

3. ใส กระจ่าง มองเห็นอะไรๆได้ชัด เหมือนน้ำสงบนิ่ง ไม่เป็นริ้วคลื่น และฝุ่นละอองที่มีก็ตกตะกอนนอนก้นหมด

4. นุ่มนวล ควรแก่งาน หรือเหมาะแก่การใช้งาน เพราะไม่เครียด ไม่กระด้าง ไม่วุ่น ไม่ขุ่นมัว ไม่สับสน ไม่เร่าร้อน ไม่กระวนกระวาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




ไหนๆ ก็อ้างอิงคลองแสนแสบแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
อย่างนี้แสดงว่าเจอแล้วอ่ะดิ :b10: :b10:
เจอแล้วก็บอกหน่อยก็ได้ เพราะยังมีคนที่ยังไม่เจออีกเยอะ เผื่อว่าจะได้เจอกันถ้วนหน้า :b13: :b13:


จริง ๆ ทุก ๆ คนก็คงจะเจอกันมาบ้างแล้วล่ะ...
แต่...คิดไม่ถึง...
เราปฏิบัติธรรมกันภายใต้อุปกรณ์ขันธ์นะ...
ถ้าเราเป็นผู้ที่สังเกตเห็นภาวะที่เกิด-ดับแห่งขันธ์...มากพอ...
เราจะสังเกตเห็น...สภาวะหนึ่ง...ที่พระพุทธองค์เจอ...
ตอนที่พระพุทธองค์...ปลงแล้วว่า...การปฏิบัติแบบทรมานสังขาร...ไม่ใช่ทาง...น่ะ...

พระองค์ไม่ได้ไปล้วงจิตผ่องใสมาจากการตั้งเป้าไว้ในจินตนาการแล้วเอื้อมไป...
จริง ๆ พระองค์พยายามจะทำเช่นนั้น....แต่...ไม่เจอ...
พระองค์พยายามจน...ต้องย้อนเวลาหาอดีต...เมื่อตอนเด็ก ๆ น่ะ...
ตอนที่พระองค์นั่งหายใจอยู่ในสวน...น่ะ...
ซึ่งพระองค์ต้องเห็นอะไร...ในนัยแห่งสภาวะนั้น ๆ ...
นั่นคือ...เอกอนเห็นว่า...พระองค์ไม่ได้ผลิตจิต "ผ่องใส" จากการเดินทางเข้าไปสำรวจสิ่งใหม่...
แต่...เป็นการย้อนกลับเข้าไปสำรวจในสิ่งที่พระองค์ลืมเลือนไป...

เอกอนก็แค่พยายามแกะร่องรอยการเดินทางของพระองค์... :b14:
หรือว่าเอกอนเข้าใจผิด... :b5: ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 23:17
โพสต์: 257

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประเภทธรรมะ
ชื่อเล่น: หยุย
อายุ: 0
ที่อยู่: ห้วยขวาง

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
หัสพล พวงแก้ว เขียน:
จิตผ่องใสนั้นต้องปราศจากอกุศลจิตทั้งมวล มีแต่จิตที่ป็นกุศล ซึ่งทำให้ใจเบิกบาน ปิติสุข
แต่ถ้าจะให้ดีจิตว่างจะดีที่สุด เพราะปราศจากการปรุงแต่งใดๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรือ
อกุศล จิตจะปล่อยวางไม่ไปยินดียินร้ายทั้งสิ้น แค่ตามรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไปเท่านั้นครับ smiley

:b8: :b8: :b8:

แล้วจิตที่เป็นกุศล กับจิตว่าง อันไหนผ่องใสกว่ากันครับ :b10: :b10: :b13: :b13:


ถ้าเป็นจิตที่ผ่องใสก็ต้องเป็นจิตที่เป็นกุศลครับ เพราะปราศจากอกุศล แต่จิตว่างนั้นหมายถึงจิตที่ปราศจากการปรุงแต่งใดๆไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลครับ(นิพพานชั่วขณะ) ซึ่งทุกๆคนก็สามารถที่จะมีจิตว่างได้โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาพระธรรมหรือได้ปฎิบัติธรรมนั้นจะมีโอกาสได้มากกว่าเพราะมีสติตื่นรู้อยู่ตลอด แต่เพราะเราไม่สามารถจะคงสติไว้ได้ตลอดอาจจะเป็นเพราะอินทรีย์บารมีเรายังไม่แก่กล้ามากพอที่จะตามรู้จิตได้ทันครับ เพราะจิตของเรานั้นเกิดดับเร็วมาก ไวกว่าแสงหลายร้อยเท่า 1วินาทีนั้นจิตจะเกิดดับ เกิดดับ เป็นล้านครั้ง (ถ้าผิดพลาดจากการคำนวนต้องขออภัยด้วยครับ) ต้องอาศัยปัญญาตามรู้สภาวะจิตไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังไม่สามารถละตัวตนเราได้ ตราบนั้นจิตก็ยังคงยึดอยู่ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรือไม่ก็ตาม เหมือนมีตราชั่งอันหนึ่ง ซ้ายมือจิตผ่องใส(กุศล) ขวามือจิตขุ่นมัว(อกุศล) ส่วนตรงกลางก็จิตว่าง(นิพพาน) คราวนี้ก็คงจะพอเข้าใจแล้วนะครับว่าจิตตัวไหนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ถ้าจะให้ดีควรตามรู้จิตแต่ละตัวให้เกิดปัญญา(เหตุและผลตามอริยสัจ)เพราะถ้าเราตามรู้จิตที่เป็นกุศลหรืออกุศลได้อย่างแท้จริงแล้วเราก็จะสามารถที่จะรู้สภาวะที่จิตเป็นอิสระทั้งมวลได้โดยไม่ยากถึงแม้จะไม่เกิดขึ้นตลอด
หรือที่เรียกว่า นิพพานชั่วขณะครับ สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นจิตแบบไหนขอให้เราได้ตามรู้จิตของเราในทุกขณะจะทำให้เราได้เกิดมีปัญญาขึ้นมาถ้าอินทรีย์เรามากพอก็จะละไม่ไปยึดติดกับสิ่งนั้นเอง เพราะถ้าเราไม่ยึดติดก็เท่ากับว่าเราได้ละตัวตนไปแล้วส่วนหนึ่งครับ อันนี้ต้องสั่งสมไปเรื่อยๆครับแต่ว่าจะกี่ชาตินั้นอันนี้ก็คงต้องพึ่งบุญเก่าที่สั่งสมมาด้วยครับ :b18:

.....................................................
สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม
ทุกอย่างไม่ควรยึดถือ
อกุศลน้อยนิด อย่าคิดทำ
กุศลน้อยนิด ให้คิดทำ
ทำกุศลวันละนิด ดีกว่าคิดที่จะทำ

พระพุทธองค์ยังถูกนินทา
ประชาชนธรรมดามีหรือจะหนีพ้น

ไม่อยากทุกข์แต่ก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เรียนรู้ทุกข์ จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


หัสพล พวงแก้ว เขียน:
ถ้าเป็นจิตที่ผ่องใสก็ต้องเป็นจิตที่เป็นกุศลครับ เพราะปราศจากอกุศล

:b6: :b6: :b6:
อ้างคำพูด:
แต่จิตว่างนั้นหมายถึงจิตที่ปราศจากการปรุงแต่งใดๆไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลครับ(นิพพานชั่วขณะ)

จิตที่ปรุงแต่งด้วยกุศล จะผ่องใสกว่า จิตที่ปราศจากการปรุงแต่งใดๆหรือครับ :b10: :b10: :b13: :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:

[color=#0040BF]จริง ๆ ทุก ๆ คนก็คงจะเจอกันมาบ้างแล้วล่ะ...
แต่...คิดไม่ถึง...
เราปฏิบัติธรรมกันภายใต้อุปกรณ์ขันธ์นะ...
ถ้าเราเป็นผู้ที่สังเกตเห็นภาวะที่เกิด-ดับแห่งขันธ์...มากพอ...
เราจะสังเกตเห็น...สภาวะหนึ่ง...ที่พระพุทธองค์เจอ...
ตอนที่พระพุทธองค์...ปลงแล้วว่า...การปฏิบัติแบบทรมานสังขาร...ไม่ใช่ทาง...น่ะ...

พระองค์ไม่ได้ไปล้วงจิตผ่องใสมาจากการตั้งเป้าไว้ในจินตนาการแล้วเอื้อมไป...
จริง ๆ พระองค์พยายามจะทำเช่นนั้น....แต่...ไม่เจอ...

:b6: :b6: :b6:
อ้างคำพูด:
พระองค์พยายามจน...ต้องย้อนเวลาหาอดีต...เมื่อตอนเด็ก ๆ น่ะ...
ตอนที่พระองค์นั่งหายใจอยู่ในสวน...น่ะ...
ซึ่งพระองค์ต้องเห็นอะไร...ในนัยแห่งสภาวะนั้น ๆ ...

:b14: :b14: :b14:

อ้างคำพูด:
นั่นคือ...เอกอนเห็นว่า...พระองค์ไม่ได้ผลิตจิต "ผ่องใส" จากการเดินทางเข้าไปสำรวจสิ่งใหม่...
แต่...เป็นการย้อนกลับเข้าไปสำรวจในสิ่งที่พระองค์ลืมเลือนไป...

เอกอนก็แค่พยายามแกะร่องรอยการเดินทางของพระองค์... :b14:
หรือว่าเอกอนเข้าใจผิด... :b5: ...


:b13: :b13: :b13:
กระผมว่าท่านเข้าใจไม่ผิดหรอกครับ พระองค์ไม่ได้ผลิตจิตที่ผ่องใสจริงๆอย่างท่านว่านั่นแหละ เพราะว่าอันที่จริงแล้วมันใสของมันอยู่แล้วไม่ต้องไปผลิต(ทำให้เกิด) แต่ที่ไม่ใสก็เพราะมันเปรอะเปื้อนไปด้วยอุปปาทานขันธ์

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ถามต่ออีกว่า...ว่าแต่จิตขุ่นมัว นั้นเป็นอย่างไรเล่าท่าน

คำถามนี้ พึงตอบด้วยอุปมา ท่านประธานพึงไปที่คลองแสนแสบ (ในอดีตขวัญกับเรียมเคยลงเล่นน้ำด้วยกัน) :

:b32: :b32: :b32:
ขวัญ vs เรียม

อ้างคำพูด:
จิตที่ขุ่นมัวก็เหมือนน้ำในคลองแสนแสบปัจจุบัน (ซึ่งใครลงไปแล้วคันคะเยอ) ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลขุ่นเน่าเสีย ใครจะนำน้ำนั้นไปทำประโยชน์ที่ประณีตไม่ได้เลย ฉันใด

หรืออีกอย่างหนึ่ง ตักน้ำมาซัก 1 แก้วนะ แล้วเทสีต่างๆ เช่น สีเขียว สีแดง เป็นต้นลงในน้ำนั้น น้ำก็จะแปรสภาพไป จะใช้ดื่มก็ไม่ได้ จะใช้ล้างหน้าล้างตาก็ไม่เหมาะ กลายเป็นน้ำเสียไป ฉันใด

จิตที่ขุ่นมัวด้วยเครื่องเศร้าหมองก็ฉันนั้น คือใครๆจะใช้ทำประโยชน์อันสุขุมไม่ได้

:b8: :b8: :b8:
อ้างคำพูด:
หากยังนึกไม่ออก ไว้เกิดทะเลาะตบตีกับภรรยา เรื่องมีเมียน้อยแล้วลองสังเกตดูจิตที่ขุ่นมัวนะครับนะ :b32

พอดีว่ากระผมไม่นิยมการใช้ความรุนแรงกับเด็ก สตรี และคนยุคขวัญเรียม ครับ :b32:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
พอดีว่ากระผมไม่นิยมการใช้ความรุนแรงกับเด็ก สตรี และคนยุคขวัญเรียม ครับ :b32:


งั้นเอาใหม่ เมื่อท่านประธานว่ายุคขวัญเรียมเก่าไป ก็เอาเดี๋ยวนี้ขณะนี้ซึ่งยังละอ่อนอยู่ ก็คือว่า ขณะใด ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ (สัมผัส) แล้วเกิดความชอบ ความชังในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ขณะนั้นจิตใจก็เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสแล้วล่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 ต.ค. 2010, 11:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้สอดคล้องความเห็นข้างบน พึงอ้างพุทธพจน์เป็นต้นนี้


“สมัยต่อมา เด็กนั้นอาศัยความเจริญเติบโต อินทรีย์ทั้งหลายแก่กล้าขึ้น มีกามคุณทั้ง 5 พรั่งพร้อมบริบูรณ์ ย่อมปรนเปรอตน...เขาเห็นรูปด้วยตาแล้ว ย่อมติดใจในรูปที่น่ารัก ย่อมขัดใจในรูปที่ไม่น่ารัก...
ฟังเสียงด้วยหู....ดมกลิ่นด้วยจมูก...ลิ้มรสด้วยลิ้น...ต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...ทราบธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมติดใจ ในเสียง...กลิ่น...รส... โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์ที่น่ารัก ย่อมขัดใจในเสียง...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์ที่ไม่น่ารัก
มิได้มีสติไว้คอยกำกับตัว เป็นอยู่โดยมีจิตคับแคบ ไม่รู้จักตามเป็นจริง ซึ่งภาวะหลุดรอดปลอดพ้นของจิต และภาวะหลุดรอดปลอดพ้นด้วยปัญญา ที่จะทำให้บาปอกุศลธรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่ตัวเขา ดับไปได้โดยไม่เหลือ
เขาคอยประกอบเอาความยินดียินร้ายเข้าไว้อย่างนี้แล้ว พอเสวยเวทนาอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม
เขาย่อมครุ่นคำนึง ย่อมบ่นถึง ย่อมหมกใจอยู่กับเวทนานั้น เมื่อเขาครุ่นคำนึง เฝ้าบ่นถึง หมกใจอยู่กับเวทนานั้น ความติดใจอยาก (นันทิ ความเพลิดเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น ความติดใจอยากในเวทนาทั้งหลาย (กลาย) เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย เขาก็มีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย ก็มีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย ก็มีชรามรณะ ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความเสียใจ ความคับแค้นผิดหวัง ก็มีพรั่งพร้อม ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จึงมีได้ด้วยประการฉะนี้”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ฯลฯ

มิได้มีสติไว้คอยกำกับตัว เป็นอยู่โดยมีจิตคับแคบ ไม่รู้จักตามเป็นจริง ซึ่งภาวะหลุดรอดปลอดพ้น

ของจิต และภาวะหลุดรอดปลอดพ้นด้วยปัญญา ที่จะทำให้บาปอกุศลธรรม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วแก่ตัวเขา

ดับไปได้โดยไม่เหลือ

ฯลฯ


ขออนุญาตกระชับพื้นที่ให้แคบเข้า อาจแลเห็นจุดตาย (จุดดับของทุกข์) ตามพุทธพจน์นั่นก็คือการฝึก

สติให้พร้อมจนมันเป็นไปเองตามธรรมดาของมัน แล้วเนื้อความทั้งท่อนบนท่อนล่างก็ระงับดับไป

วิธีก็มีอยู่แล้ว นั่นคือการฝึกตามแนวสติปัฏฐาน

หลักท่านมีแล้ว ก็เหลือแต่ปัญหาว่า พวกเราเข้าใจหลักนั่นไหม แล้วปฏิบัติธรรมสอดคล้องกับหลักการ

นั่นหรือยัง ถ้าปฏิบัติถูกต้องตามหลักการนั้นก็จบ หากยังก็ไม่จบคงต้องว่ากันแบบนี้ต่อไป :b1: :b8:

“ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้นความโศกและ

ปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุโลกุตรธรรม เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพานนี้

คือ สติปัฏฐาน ๔”

viewtopic.php?f=2&t=18808&p=84866#p84866

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2010, 23:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ค. 2010, 23:55
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยนะครับ ท่าน natdanai ที่ถามนอกประเด็น
เพียงผมถามขึ้นมาลอยๆ เท่านั้น

สนธนาธรรมครับ ที่ท่านจางบางลางเลือน ตอบ ผมขอถามต่อ
จางบางลางเลือน เขียน:
ที่ถามว่าจิตเกิดจากอะไร...........ตอบว่าเกิดจากอารมณ์ และนามรูปนั่นแลคืออารมณ์ทำให้จิตเกิด
เมื่อนามรูปดับ จิต มโน หรือวิญญาณก็ดับสนิทไปพร้อม


แสดงว่า ก่อนจิตจะเกิด ต้องมีอารมณ์ นามรูปเกิดก่อนใช่หรือเปล่าครับ
แล้วนามรูป อารมณ์ นี้เกิดจากอะไรครับ

จางบางลางเลือน เขียน:
ที่ถามว่าจิตหน้าตาเป็นอย่างไร........ตอบว่าหน้าตาของจิต จะแสดงตนปรากฏออกมาเป็นสภาพรู้
หรือบางทีก็ถูกเรียกว่าตัวรู้ ตัวรู้จะเกิดและดับอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ เพราะยังมีสิ่งที่ถูกรู้ตัวรู้จึงยังมี

สำหรับหน้าตาของจิตที่แตกต่างไปจากนี้ ล้วนไม่ใช่ตัวแท้ของจิตแต่จะถูกเรียกว่า เจตสิกแทน
ไม่ว่าจะเป็นนิมิต เป็นสี เป็นดวง เป็นความรู้สึก เป็นความคิด เป็นรูปร่าง เป็นความนิ่ง
เป็นความสงบ เป็นสติ เป็นปัญญา หรือเป็นกิเลส สิ่งทั้งปวงล้วนคืออาการของจิต
เป็นพฤติของจิต เป็นมายาของจิต เป็นสิ่งปรุงแต่งด้วยจิต


แล้วตัวรู้หรือจิตรู้ นี้มีหน้าตาอย่างไรครับ


จางบางลางเลือน เขียน:
ที่ถามว่า โลก....ธรรม....จิตอะไรที่เกิดก่อน..........ตอบว่า เกิดขึ้นพร้อมกัน
เมื่อจิตเกิด โลกก็เกิด เมื่อจิตดับโลกก็ดับ และโลกก็คือธรรม จิตก็คือธรรม


แล้วทำไม ช่วงที่โลก ได้กำลังเกิดขึ้นมา ทำไมจิตของเราทั้งหลายจึงไม่รู้ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 136 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร