วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 17:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 135 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2011, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
มันไม่ใช่ให้ไปดูคน สัตว์ สิ่งของแล้วบอกว่าไม่มีตัวตน
คอมพิวเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าคุณ มีอยู่มั้ย แล้วอะไรที่ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์?

มีคนไทยไปบรรยายธรรมะให้ฝรั่งฟัง บอกฝรั่งว่า จริงๆ แล้วคน สัตว์ สิ่งของไม่มี ฝรั่งลุกขึ้นสวนกลางห้องประชุมทันทีว่า I'm here! :b23:

ถ้าคุณว่าเดรื่องคอมพ์ไม่มีตัวตน คุณก็ลองเอาหัวโขกดูสิครับ
แล้วจะรู้ว่ามีหรือไม่มี
คุณว่าใครถูกล่ะระหว่างฝรั่งกับคนไทย ก็เห็นอยู่ว่าคนสอนก็ยังไม่เข้าใจ
ในสิ่งที่ตัวเองสอน มิหน่ำซ้ำใช้บัญญัติผิดอีกต่างหาก
แบบนี้แสดงให้เห็นเลยว่า ผู้สอนยังไม่มีสัมมาทิฐิ ยังไม่เตยเห็นสภาวะไตรลักษณ์
พอได้ยินว่าทุกอย่างล้วนเป็นไตรลักษณ์ ก็เลยคิดว่า ของทุกอย่างบนโลก
เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป แต่แท้จริงมันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าทรงจะบอกถึงเรื่อง
การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ ปรุงแต่งอารมณ์นั้นจนเข้าใจผิดว่า อารมณ์ที่ได้รับ
เที่ยงเป็นตัวตนของเรา
ไตรลักษณ์ เกิดที่จิตเรา ไม่ใช่บอกว่าของทุกอย่างในโลกเป็นไตรลักษณ์
มันต้องบอกว่า สิ่งที่เราไปยึดเขามาในจิตล้วนเป็นไตรลักษณ์

ตัวอย่างเห็นงูเห่าแผ่แม่เบี้ยอยู๋ เขาให้ดูอารมณ์ตัวเองว่าเป็นอย่างไร
ไม่ใช่คิดว่าทุกสิ่งเป็นไตรลักษณ์ เห็นงูก็บอกไม่มีตัวตนเดินเข้าไปหางู

ขอเน้นสัมมาทิฐิหรือสภาวะไตรลักษณ์ ไม่สามารถได้จากการฟังหรืออ่าน
ผู้ที่จะมีสัมมาทิฐิจะต้องเห็นสภาวะไตรลักษณ์ของตัวเองเสียก่อน เมื่อได้ดังนี้
ก็จะเข้าใจว่าเราก็ส่วนเรา คนหรือสัตว์เป็นเพียงสิ่งของภายนอก มันมีอยู่จริง
แต่ไม่เกี่ยวกับเรา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2011, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่ได้คุยกับคุณมา คุณยึดทิฐิแน่นนหาว่า ให้ดูแต่ในจิตใจ ดูเฉยๆ อย่าไปคิด อย่าไปสนใจเรื่องรอบตัว แล้วจะเห็นสิ่งที่คุณบัญญัติว่าไตรลักษณ์ ... :b23:

อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าทรงจะบอกถึงเรื่องการยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ ปรุงแต่งอารมณ์นั้นจนเข้าใจผิดว่า อารมณ์ที่ได้รับเที่ยงเป็นตัวตนของเรา
มันก็ถูกต้องตามธรรมวินัย ... แต่มันไม่ครบถ้วน
อ้างคำพูด:
ตัวอย่างเห็นงูเห่าแผ่แม่เบี้ยอยู๋ เขาให้ดูอารมณ์ตัวเองว่าเป็นอย่างไร
ไม่ใช่คิดว่าทุกสิ่งเป็นไตรลักษณ์ เห็นงูก็บอกไม่มีตัวตนเดินเข้าไปหางู
ความไม่มีตัวตนเป็นของตน ไม่ได้หมายถึงไม่มีตัวตนไม่มีตน ในธรรมวินัยคนแปล แปลเป็นไทยว่า สภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ได้หมายถึงงูไม่มี แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า เป็นเพียงการประชุมกันขั่วคราวของมหาตภูติกับจิตที่เดินทางไปสู่การแตกสลาย งูเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ

ในมาหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์ตรัสสอนให้พระอริยะ ดูกายในกาย ดูเวทนาในเวทนา ดูจิตในจิต ดูธรรมในธรรม ดูกันอย่างไรล่ะครับ ดูไปทำไม เพื่ออะไร ดูแล้วท่านให้ทำอะไรต่อ?


คุณโฮฯ ไอ้ที่โดนหัวเวลาคุณเอาหัวชนเครื่องคอมฯ มันเหล็กกับพลาสติกชัดๆ ตรงใหนล่ะเครื่องคอมฯ

ดวงอาทิตย์ที่คุณเห็นทุกๆ วันนี้ เห็นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด คุณว่า มันจะมีวันดับไปได้สักวันมั้ยครับ?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2011, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
เท่าที่ได้คุยกับคุณมา คุณยึดทิฐิแน่นนหาว่า ให้ดูแต่ในจิตใจ ดูเฉยๆ อย่าไปคิด อย่าไปสนใจเรื่องรอบตัว แล้วจะเห็นสิ่งที่คุณบัญญัติว่าไตรลักษณ์ ...

ตลกดีนี่ครับ ผมให้ดูจิตเฉยๆอย่าไปคิด คุณกลับมาว่าผมมีทิฐิแน่นหนา
ผมถามหน่อยครับคำว่าทิฐินี้มันหมายถึงอะไรครับ ผมถามหน่อยกับคนที่ใช่ความคิด
กับคนที่ให้ดูเฉยๆ อย่างไหนมันสมควรเรียกทิฐิกันครับ นี้ยังไม่ได้เอามิจฉามาเติมให้นะครับ
Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ตัวอย่างเห็นงูเห่าแผ่แม่เบี้ยอยู๋ เขาให้ดูอารมณ์ตัวเองว่าเป็นอย่างไร
ไม่ใช่คิดว่าทุกสิ่งเป็นไตรลักษณ์ เห็นงูก็บอกไม่มีตัวตนเดินเข้าไปหางู
ความไม่มีตัวตนเป็นของตน ไม่ได้หมายถึงไม่มีตัวตนไม่มีตน ในธรรมวินัยคนแปล แปลเป็นไทยว่า สภาพที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ได้หมายถึงงูไม่มี แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า เป็นเพียงการประชุมกันขั่วคราวของมหาตภูติกับจิตที่เดินทางไปสู่การแตกสลาย งูเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ

ใช่งูเป็นสมมุติบัญญัติ แต่ไอ้สิ่งที่มีชีวิตที่เลื้อยอยู่มันมีจริง
สิ่งที่ทำให้ชาวพุทธเข้าใจผิดเพราะคนที่ไม่รู้จริงในสภาวะ เอาบัญญัติมาสอนกันผิดๆ
ไอ้มหาเจตภูติที่คุณบอก มันเป็นเรื่องการพิจารณากายของเรา ไม่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทั่วไป
พูดง่ายๆก็คือกายใครกายมัน หลักการมันเป็นเรื่องของการพิจารณาว่ากายกับจิตเป็นคนละส่วน
จิตไม่ควรไปยึดกายมาเป็นตัวตนว่ากายนี้เป็นของเรา พระพุทธองค์ทรงเน้นไม่ให้ยึดมั่นในกาย
Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าทรงจะบอกถึงเรื่องการยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ ปรุงแต่งอารมณ์นั้นจนเข้าใจผิดว่า อารมณ์ที่ได้รับเที่ยงเป็นตัวตนของเรา
มันก็ถูกต้องตามธรรมวินัย ... แต่มันไม่ครบถ้วน

แล้วมันมีอะไรนอกเหนือจากการยึดมั่นถือมั่นอีกล่ะครับ ไหนลองว่ามาซิครับ
Supareak Mulpong เขียน:
ในมาหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธองค์ตรัสสอนให้พระอริยะ ดูกายในกาย ดูเวทนาในเวทนา ดูจิตในจิต ดูธรรมในธรรม ดูกันอย่างไรล่ะครับ ดูไปทำไม เพื่ออะไร ดูแล้วท่านให้ทำอะไรต่อ?

คุณจะสื่ออะไรครับ เล่นพูดลอยๆแบบนี้ ผมจะไปรู้ได้ไงครับ
กรุณาเล่าแจ้งแถลงไขหน่อยซิครับ


Supareak Mulpong เขียน:
คุณโฮฯ ไอ้ที่โดนหัวเวลาคุณเอาหัวชนเครื่องคอมฯ มันเหล็กกับพลาสติกชัดๆ ตรงใหนล่ะเครื่องคอมฯ
ดวงอาทิตย์ที่คุณเห็นทุกๆ วันนี้ เห็นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด คุณว่า มันจะมีวันดับไปได้สักวันมั้ยครับ?

ความสำคัญไม่ใช่ว่ามันเป็นคอมพ์หรือเปล่า มันเป็นสมมุติบัติญัติ
แต่ที่สำคัญคือมันมีตัวตน มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เราดูอย่างไรมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
ที่สำคัญมันทำให้เราหัวแตกได้


แล้วเรื่องพระอาทิตย์นี่ยิ่งตลกใหญ่ มีใครรู้บ้างว่าดวงอาทิตย์จะดับเมื่อไร
ถ้าคุณว่าพระอาทิตย์ไม่เที่ยง ผ่านมากี่พุทธเจ้าแล้วครับ พระอาทิตย์ก็ยังดวงเดิม
ต่อให้เป็นรุ่นพระศรีอาร์ย์ฯ พระอาทิตย์มันก็ยังเป็นดวงเดิมยังฉายแสงตามปกติครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2011, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ทิฐิ แปลว่า ความเห็น คุณไปแปลว่ามันคืออะไร ... จิตเป็นธรรมชาติที่เราสั่งไม่ได้ การที่คุณพยายามสั่งจิตไม่ให้คิด จริงๆ คุณรู้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในจิต

รูป มีรูปภายนอก รูปภายใน รูปหยาบ รูปละเอียด รูปอดีต รูปปัจจุปัน รูปอนาคต รูปใกล รูปไกล้ ฯ ไปหารายละเอียดเพิ่มเติมเอาเอง

พระศรีอริยเมไตร ถ้ามาเกิดในโลกใบต่อไป ไม่ใช่โลกใบนี้ ดวงอาทิยต์ก็ไม่ใช่ดวงนี้ .. ในขณะที่แสนโกฐจักรวาลกำลังอุบัติ อีกแสนโกฐจักรวาลก็กำลังแตกสลาย .. ธรรมชาติเกินไปตามครรลองนี้สิ้นกาลนาน

ผมถึงไม่อยกจะคุยกับคุณเท่าใหร่ เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่า คุยไปแล้วจะเกิดสาระอะไร นอกจากที่คุณมั่นใจเิกินร้อยในทิฐิแล้วดับเครื่องชน จนคนที่ติดตามหาว่าผมมาทะเลาะกับคุณ ... ผมมาแสดงว่านี้ธรรม นี้ไม่ใช่ธรรม นี้วินัย นี้ไม่ใช่วินัย ก็เท่านั้น :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2011, 03:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ทิฐิ แปลว่า ความเห็น คุณไปแปลว่ามันคืออะไร ... จิตเป็นธรรมชาติที่เราสั่งไม่ได้ การที่คุณพยายามสั่งจิตไม่ให้คิด จริงๆ คุณรู้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในจิ

ใช่ไงทิฐิก็คือความเห็น แต่ที่คุณบอกมันเป็นความคิด
ถ้าพูดถึงภาษาศัพย์ ความคิดคือ"ดำริ"ครับไม่ใช่ทิฐิ

ดังนั้นความหมายของทิฐิของผมก็คือ พูดตามที่เห็น
แต่ของคุณมันพูดตาที่คิด แบบนี้เขาเรียกมิจฉาทิฐิครับ

จิตเป็นสภาวะที่เกิดตามเหตุปัจจัย แต่จิตไม่ได้มีหน้าที่คิด
สิ่งใช้คิดเป็นอายตนะภายในที่เรียกว่า ใจหรือสมองเป็นสังขารขันต์
แล้วเราสามารถไม่ให้คิดได้ด้วยวิธี สมถะกรรมฐาน
Supareak Mulpong เขียน:
รูป มีรูปภายนอก รูปภายใน รูปหยาบ รูปละเอียด รูปอดีต รูปปัจจุปัน รูปอนาคต รูปใกล รูปไกล้ ฯ ไปหารายละเอียดเพิ่มเติมเอาเอง

รูปก็คือรูป นามก็คือนาม เมื่อตาไปกระทบสิ่งภายนอกจนเกิดผัสะ
จากรูปก็กลายเป็นนาม ไอ้รูปที่คุณว่า ถ้าเกิดจากความคิดมันก็เป็นการปรุงแต่ง
หรือจินตนาการครับ
Supareak Mulpong เขียน:
พระศรีอริยเมไตร ถ้ามาเกิดในโลกใบต่อไป ไม่ใช่โลกใบนี้ ดวงอาทิยต์ก็ไม่ใช่ดวงนี้ .. ในขณะที่แสนโกฐจักรวาลกำลังอุบัติ อีกแสนโกฐจักรวาลก็กำลังแตกสลาย .. ธรรมชาติเกินไปตามครรลองนี้สิ้นกาลนาน

ไปกันใหญ่แล้วครับ โลกมันมีกี่ใบกันครับ ถ้าเป็นใบอื่นเขาไม่เรียกว่าโลกแล้วครับ
ที่เขาตั้งสมมุติบัญญัติขึ้นว่า "โลก" เขาใช้เรียกเฉพาะดาวดวงที่เราอาศัยอยู่นี้
วรรคนี้ผมมีความเห็นแค่นี้ครับ เพราะรู้สึกแหยงๆยังไงไม่รู้
Supareak Mulpong เขียน:
ผมถึงไม่อยกจะคุยกับคุณเท่าใหร่ เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่า คุยไปแล้วจะเกิดสาระอะไร นอกจากที่คุณมั่นใจเิกินร้อยในทิฐิแล้วดับเครื่องชน จนคนที่ติดตามหาว่าผมมาทะเลาะกับคุณ ... ผมมาแสดงว่านี้ธรรม นี้ไม่ใช่ธรรม นี้วินัย นี้ไม่ใช่วินัย ก็เท่านั้น :b38:

ผมว่าคุณต้องพิจารณาตัวคุณเองให้มากนะครับ กับที่ว่าทิฐิแล้วดับเครื่องชน
ลองพิจารณาดูด้วยเหตุและผลกับความเห็นต่างๆ แล้วจึงค่อยสรุปว่าใครทิฐิแล้วดับเครื่องชน
เอาแค่คำพูดของประโยคนี้ของคุณ..............
"มาเกิดในโลกใบต่อไป ไม่ใช่โลกใบนี้ ดวงอาทิตย์ก็ไม่ใช่ดวงนี้
นี่ครับคำพูดที่เป็นมิจฉาอย่างแท้จริง เอาเรื่องที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่มาพูด

แล้วเรื่องที่บอกว่า คนอื่นเข้าใจว่า เราทะเลาะกัน
มันเป็นเรื่องของคนอื่น เราไปห้ามไม่ให้เขาคิดไม่ได้ แต่การกระทำที่เกิดขึ้น
ถ้าเป็นการกระทำของเราๆย่อมต้องรู้ดีว่า เราต้องการทะเลาะกับอีกฝ่ายหรือไม่
สำหรับผมแล้ว ผมขอบอกได้เลยครับ ผมพูดไปตามเหตุปัจจัยครับ แต่ใช้สติคอย
ระวังให้อยู่ในหลักการของธรรม ที่สำคัญอยู่ในกฎเกณท์ของเว็บบอร์ดแห่งนี้

เรื่องที่กระทู้นี้ลงถังขยะก็เช่นกันครับ คุณอย่าฉวยโอกาสเอาเป็นข้ออ้างกล่าวโทษ
คนอื่นซิครับ แทนทีจะอธิบายความให้ผู้ดูแลคนที่เอากระทู้ลงถังขยะเข้าใจ
กลับเอามาเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ทั้งๆที่ตัวเองก็มีส่วนในนั้น

สิ่งที่คุณและผมหรือเพื่อนสมาชิก ต้องดูและพิจารณาเรื่องนี้ก็แค่
ดูคุณภาพ ของผู้ดูแลบอร์ดว่ามี วุฒิภาวะพอที่จะเป็นผู้ดูแลบอร์ดหรือไม่
ไม่ใช่หยิบเอาการกระทำของผู้ดูแลมาว่ากล่าวคนอื่น โดยที่ไม่พิจารณาว่า
การกระทำของผู้ดูแลบอร์ดครั้งนี้มันเหมาะสมหรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2011, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


... :b7:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 16:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
eragon_joe เขียน:
อ้างคำพูด:
คนหิว อยู่เป็นปกติสุขไม่ได้
จึงวิ่งหาโน่นหานี่
เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่สำนึกว่าผิดหรือถูก
ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็เผาตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ

คนที่หลงจึงต้องแสวงหา
ถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา
จะหาไปให้ลำบากทำไม
อะไรๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
จะตื่นเงา ตะครุบเงาไปทำไม
เพราะรู้แล้วว่า เงาไม่ใช่ตัวจริง

ตัวจริง คือ สัจจะทั้งสี่ที่มีอยู่ในกายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว


วาทะของพระอาจารย์มั่น


เห็นสัตว์หยั่งลงในสงสารจึงเกิดเมตตา
เห็นคนหลงทางจึงบอกทางออกให้
ถ้านิพพานมีอยู่ในตนแล้ว ยังจะต้องแสวงหาทำไม


eragon_joe เขียน:
อุณณาภพราหมณสูตร
[๙๖๘] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ อินทรีย์ ๕ ประการนี้ มีอารมณ์ต่าง
กัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกันและกัน อินทรีย์ ๕ ประการเป็นไฉน?
คือ จักขุนทรีย์ ๑ โสตินทรีย์ ๑ ฆานินทรีย์ ๑ ชิวหินทรีย์ ๑ กายินทรีย์ ๑
ใจเป็นที่ยึดเหนี่ยว
ของอินทรีย์ ๕ ประการนี้
ซึ่งมีอารมณ์ต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่เสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของกัน
และกัน และใจย่อมเสวยอารมณ์อันเป็นโคจรของอินทรีย์ ๕ ประการนี้.

[๙๖๙] อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งใจเล่า?

พ. ดูกรพราหมณ์ สติเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งใจ.
[๙๗๐] อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งสติเล่า?
พ. ดูกรพราหมณ์ วิมุติเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งสติ.
[๙๗๑] อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งวิมุติเล่า?
พ. ดูกรพราหมณ์ นิพพานเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งวิมุติ. อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งนิพพาน.
พ. ดูกรพราหมณ์ ท่านล่วงเลยปัญหาไปเสียแล้ว ไม่อาจถือเอาที่สุด แห่งปัญหาได้
ด้วยว่าพรหมจรรย์ที่บุคคลอยู่จบแล้ว มีนิพพานเป็นที่หยั่งลง มีนิพพานเป็นเบื้องหน้า มีนิพพาน
เป็นที่สุด.

eragon_joe เขียน:
อุณณาภพราหมณสูตร

อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งนิพพาน.
พ. ดูกรพราหมณ์ ท่านล่วงเลยปัญหาไปเสียแล้ว ไม่อาจถือเอาที่สุด แห่งปัญหาได้
ด้วยว่าพรหมจรรย์ที่บุคคลอยู่จบแล้ว มีนิพพานเป็นที่หยั่งลง มีนิพพานเป็นเบื้องหน้า มีนิพพาน
เป็นที่สุด.


[๙๗๒] ครั้งนั้น อุณณาภพราหมณ์ชื่นชมอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุก
จากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.

[๙๗๓] ครั้นอุณณาภพราหมณ์หลีกไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ-
*ทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า


[๙๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรือนยอดหรือศาลาคล้ายเรือนยอด มีหน้าต่างในทิศเหนือ
หรือทิศตะวันออก เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไป แสงส่องเข้าไปทางหน้าต่าง ตั้งอยู่ที่ฝาด้านไหน? ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลว่า ตั้งอยู่ที่ฝาด้านตะวันตก พระเจ้าข้า.


พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย ศรัทธาในพระตถาคตของอุณณาภพราหมณ์มั่นคงแล้ว มีรากเกิดแล้ว ตั้งอยู่มั่นแล้ว
อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลกจะพึงชักนำไปไม่ได้
ถ้าอุณณาภพราหมณ์ พึงทำกาละในสมัยนี้ไซร้
ย่อมไม่มีสังโยชน์ซึ่งเป็นเครื่องประกอบให้อุณณาภพราหมณ์ต้องมายังโลกนี้อีก.


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 21 มิ.ย. 2011, 17:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 17:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนทีมงานผู้ดูแลบอร์ด

กระทู้นี้ สมควรที่จะลงถังขยะ และถูกลบไปในที่สุดจริง ๆ หรือ

:b1: :b1: :b1:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 17:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
[๖๑๕] ชื่อว่าธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมจกฺกํ นี้ เพราะอรรถว่า
กระไร ฯ
ชื่อว่าธรรมจักร เพราะอรรถว่าพระผู้มีพระภาคทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป
ทรงให้จักรและธรรมเป็นไป ทรงให้จักรเป็นไปโดยธรรม ทรงให้จักรเป็นไป
โดยการประพฤติเป็นธรรม ทรงดำรงอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไป ทรง
ประดิษฐานอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงให้ประชาชนประดิษฐานอยู่ในธรรม
ให้จักรเป็นไป .....

ทรงให้ประชาชนบรรลุถึงความแกล้วกล้าในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงสักการะธรรมให้
จักรเป็นไป ทรงเคารพธรรมให้จักรเป็นไป ทรงนับถือธรรมให้จักรเป็นไป
ทรงบูชาธรรมให้จักรเป็นไป ทรงนอบน้อมธรรมให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรม
เป็นธงให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรมเป็นยอดให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรมเป็น
ใหญ่
ให้จักรเป็นไป ชื่อว่าธรรมจักรเพราะอรรถว่า ก็ธรรมจักรนั้นแล สมณะ
พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ให้เป็นไปไม่ได้
....


พระพุทธองค์ทรงเคารพธรรม
ทรงนับถือธรรม
ทรงบูชาธรรม
ทรงนอบน้อมธรรม
ทรงมีธรรมเป็นธง
ทรงมีธรรมเป็นยอด
ทรงมีธรรมเป็นใหญ่

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2011, 22:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การสนทนาก็อาจจะมีแรงบ้าง..หวังกระชากให้เอ๋ะใจ

แต่...เกิดจากความปรารถณาดีของกัลยาณมิตรที่ต้องการปรับทิฏฐิแก่กัน

ไม่ได้เกิดจากความจงเกลียดจงชัง..เป็นการเฉพาะ

ไม่น่าจะลบนะ...

ฝากท่านผู้ดูแล...ก็พิจารณาดูนะครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2011, 01:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2011, 02:37
โพสต์: 22


 ข้อมูลส่วนตัว


" ท่านจงเปลื้อง (อาลัย) ในก่อนเสีย
จงเปลื้อง (อาลัย) ข้างหลังเสีย,
จงเปลื้อง (อาลัย) ในท่ามกลางเสีย,
จึงเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ มีใจหลุดพ้นในธรรมทั้งปวง จะไม่เข้าถึงชาติและชราอีก."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2011, 08:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2011, 14:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.ybat.org/media/vipassanamai/ ... nanai.html

วิปัสสนานัย เล่ม1-2

http://www.wattamaoh.com

ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ และตรวจเช็ค วิปััสสนาที่ตนปฏิบัติได้
เพราะได้อธิบาย กระบวนการแห่งการวิปัสสนาอย่างละเอียด

ซึ่งผู้ปฏิบัติวิปัสสนาจริง เมื่อได้อ่านได้ฟัง ย่อมแยกแยะออก
และตรวจสอบ ทิฐิ ที่ตนยังค้างคาอยู่ได้

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2011, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


eragon_joe เขียน:
Quote Tipitaka:
[๖๑๕] ชื่อว่าธรรมจักร ในคำว่า ธมฺมจกฺกํ นี้ เพราะอรรถว่า
กระไร ฯ
ชื่อว่าธรรมจักร เพราะอรรถว่าพระผู้มีพระภาคทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป
ทรงให้จักรและธรรมเป็นไป ทรงให้จักรเป็นไปโดยธรรม ทรงให้จักรเป็นไป
โดยการประพฤติเป็นธรรม ทรงดำรงอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไป ทรง
ประดิษฐานอยู่ในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงให้ประชาชนประดิษฐานอยู่ในธรรม
ให้จักรเป็นไป .....

ทรงให้ประชาชนบรรลุถึงความแกล้วกล้าในธรรมให้จักรเป็นไป ทรงสักการะธรรมให้
จักรเป็นไป ทรงเคารพธรรมให้จักรเป็นไป ทรงนับถือธรรมให้จักรเป็นไป
ทรงบูชาธรรมให้จักรเป็นไป ทรงนอบน้อมธรรมให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรม
เป็นธงให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรมเป็นยอดให้จักรเป็นไป ทรงมีธรรมเป็น
ใหญ่
ให้จักรเป็นไป ชื่อว่าธรรมจักรเพราะอรรถว่า ก็ธรรมจักรนั้นแล สมณะ
พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ให้เป็นไปไม่ได้
....


พระพุทธองค์ทรงเคารพธรรม
ทรงนับถือธรรม
ทรงบูชาธรรม
ทรงนอบน้อมธรรม
ทรงมีธรรมเป็นธง
ทรงมีธรรมเป็นยอด
ทรงมีธรรมเป็นใหญ่

:b8: :b8: :b8:


อนัตตาธรรม........
ธัมมจักกัปปวัตน แปลว่า หรือความหมายที่แท้จริงคือ "ขอบเขตแห่งธรรม" (The scop of Dhamma)
ความหมายที่มาจากการเพี้ยนเป็น "ธรรมจักร" อันแปลว่า กงล้อแห่งธรรม นั้นเป็นความหมายที่รองลงมา มิใช่สาระแห่งธัมมจักก ซึ่งได้แก

ธรรมที่ไม่ควรประพฤติ 2 อย่าง

ทางสายกลาง

และ อริยสัจ 4

พยายามจับประเด็นและคันให้พบนัยยะที่แท้จริงแห่งธรรมกันให้มากๆ น่าจะเป็นการดี สำหรับนักศึกษาคัมภีร์ทั้งหลายนะครับ

สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2011, 11:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
มันไม่ใช่ให้ไปดูคน สัตว์ สิ่งของแล้วบอกว่าไม่มีตัวตน
คอมพิวเตอร์ที่อยู่ต่อหน้าคุณ มีอยู่มั้ย แล้วอะไรที่ว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์?

มีคนไทยไปบรรยายธรรมะให้ฝรั่งฟัง บอกฝรั่งว่า จริงๆ แล้วคน สัตว์ สิ่งของไม่มี ฝรั่งลุกขึ้นสวนกลางห้องประชุมทันทีว่า I'm here! :b23:

...แล้วท่านคิดว่าเห็นคอมพิวเตอร์หรือเห็นสภาพเกิด-ดับ...
...ถ้าเห็นคอมพิวเตอร์ก็คือคิดเป็นสิ่งของก็เป็นอัตตา...
...จะเป็นฝรั่งเห็นหรือท่านที่กำลังเห็นรู้ว่ามีมิจฉาทิฐิอยู่...
...ก็ควรจะคิดเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรซะก่อน...
...รู้ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมณ ปัจจุบันขณะ...
...ว่าจิตติดในตัวตน อย่างนี้จึงต้องถอนตัวตนออกมาเป็นผู้ดู...
...โดยให้พิจารณาว่าเป็นธรรมถึงจะเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ...
...จะได้สะสมความเข้าใจถูกเพื่อลดทิฐิมานะที่ถือตัวตนในจิตตนก่อน...
...นี่คือประโยชน์ในการเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฎ...ว่าเป็นสภาพธรรม...
...ไม่ใช่การจดจำพระธรรมแล้วแปลบาลีได้หมดเข้าใจความหมายของศัพท์...
...แล้วเวลาก็ผ่านไป...ไม่ได้เข้าใจเลยว่าธรรมที่กำลังปรากฎหมดไปแล้ว...
...ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันไหนเกิดก่อนหลังก็ไม่รู้(มีผู้รู้ความจริงนี้คนแรกคือพระพุทธเจ้า)...
...รู้แต่ว่าตัวตนของตนกำลังทำสิ่งนั้นสิ่งนี้...ก็คือคิดเป็นเรื่องคน สัตว์ สิ่งของก็เป็นเราทำทุกอย่าง...
...นี่ก็ให้เข้าใจได้เลยเปลี่ยนการเห็นผิดไม่ได้...อนัตตาอย่างนี้คือกลับไปแก้สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่ได้เลย...
...แล้วก็สะสมภพชาติแล้ว...จนกว่าจะบรรลุความเป็นพระโสดาบันบุคคล...ที่เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ...
s002
:b20: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 135 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 49 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร