วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 11:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2011, 23:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มี.ค. 2011, 09:41
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L การฝึกสมาธิเป็นบาปมหันต์ เป็นที่สถิตของเปรต.....!!!!!!!
คงไม่จริงหรอกค่ะ เพราะการนั่งสมาธิ เป็นสิ่งที่ดี ทำแล้วก็สบายใจด้วย
นั่งแล้วก็ไม่เคยเห็นจะเป็นอะไรแบบนั้นเลย....งง :b10: :b5: :b5: :b10: :b26: :b26:

.....................................................
เห็นสิ่งใด เอามาคิด พินิจไว้

เพื่อเตือนใจ ตนเอง มิให้หลง

เห็นเขาผิด คิดแก้ตน ให้อาจอง

ใจมั่นคง น้อมมาดู รู้ภายใน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 03:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำอะไรแล้สสบายใจ เอามาวัดว่าดีไม่ได้หรอกนะครับ ไม่งั้นด่าคนแล้วสบายใจก็ดีด้วยสิครับ

สมาธิที่นั่งๆ กันอยู่ในปัจจุบัน แบ่งได้หลายๆ แบบ อย่างหนึ่งคือ นั่งจับโน่นนับนี่ อะไรสักอย่างเป็นเครื่องหมาย แต่ไม่ได้นึ่งๆ จริงๆ ได้ยินได้รู้สึกแต่ก็พยายามเฉยๆ ไว้ หรือท่องบ่นอะไรพึมพำตามประสาเขาว่ามา แบบนี้เป็นเพียงสมาธิขั้นจิ๊บจ้อย บาปเท่าคนนั่งตกปลาที่นั่งนิ่งๆ จ้องสายเบ็ด เกิดเป็นอุเบกขาเวทนา เพราะจิตยังมี โลภะ โทสะ โมหะอยู่ (เอคทัคตา อุเบกขา เกิดร่วมกับ โลภะ โทสะ โมหะ ได้) ... ถ้ากดความฟุ้งซ่านลงไปได้บ้าง ก็จะทำให้คิดอะไรได้ดีกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ก็จะได้เพียงช่าวงหลังจากทำสมาธิในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ...

ถ้าเริ่มนิ่งมากขึ้น เป็นขณิกกะขั้นปลายๆ สมาธิเท่าพวกนักกีฬา นักดาบ นักกอล์ฟ ฯ สมาธิแบบนี้ปลุกพระได้แล้ว เปรตถึงจะเริ่มครอบ ได้เห็นโน่นเห็นนี่ในนิมิตร บางคนทำนายทายทักได้ ดูอนาคตได้ อ่านใจคนออก ระลึกชาติได้ มีตาทิพย์ หูทิพย์ ฯ แต่ที่ว่ามาทั้งหมด เป็นฤทธิ์ของเปรต หรือเทวปุตมารที่เข้ามาครอบ ตัวเขาเองยังไม่ได้อะไรเลย ถ้าหลง ก็ไปเป็นเจ้าทรงนายทรง บ้างก็ว่าตนเองเป็นอรหันต์ก็ยังมี ... พวกที่แท้งลูก พอได้สมาธิระดับนี้ ลูกจะเข้ามาครอบทันทีเพื่อแก้แค้น ... แบบนี้มีเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

ถ้าพ้นระดับนี้ไปได้ ก็เป็นอุปจาระ จะเริ่มได้คาถาอาคมได้บ้าง จับพระจับธาตุได้ แต่ไม่สามารถแยกออกได้ว่า อันใหนธาตุฤาษี อันใหนธาตุอริยะบุคคล ส่วนมากจะเหมาว่าเป็นธาตุพระพุทธเจ้า พระธาตุเลยมีเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่หาที่เป็นของอริยะจริงๆ ไม่มีเลย ... แบบนี้ก็พอหาได้บ้าง แต่น้อย

พ้นจากนี้ก็เป็นฌาน หาแทบไม่ได้เลย เพราะต้องกด โลภะ โทสะ โมหะ ให้ถึงที่สุดกำลังของมนุษย์ ฌานจะเกิดไม่ได้หากจิตยังมีโลภะ โทสะ โมหะ ร่วมอยู่ด้วย ...แต่ถึงจะได้ก็ไปติดตาข่ายดักพรหม

ทำสมาธิให้จิตสงบก่อนแล้วต่อยไปวิปัสสนา ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่มีปรากฏในพระไตรปิฏก

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 04:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมแนะนำให้คุณ Supareak Mulpong อ่านพุทธธรรม ฉบับขยายความของท่านเจ้าคุณปยุตโต เถอะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Yodyood ! จะเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะำไปหยุดแค่หลวงปู่หลวงพ่อ แล้วท่านจะเอาอะไรไปตรวจสอบว่าหลวงปู่หลวงพ่อเรียนจบธรรมวินัยบอกทางเราได้ถูกแน่นอน ... พระพุทธเจ้าตรัส ๑ ไำม่มี ๒ ทรงตรัสสิ่งที่เป็นความจริงอย่างแท้จริง ใครไปเอามาดัดแปลงแก้ไขก็คือการแสดงความเท็จ ไปอ้างพระพุทธเจ้า ก็จะประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ยิ่งนุ่งเหลืองห่มเหลืองยิ่งหนัก

Quote Tipitaka:
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๒ อังคุตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาท วรรคที่ ๑๑

[๑๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่แสดงธรรมว่า อธรรม ฯลฯที่แสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า วินัย ฯลฯ ที่แสดงวินัยว่า มิใช่วินัย ฯลฯ ที่แสดงพระดำรัสอันพระตถาคตมิได้ทรงภาษิต มิได้ตรัสไว้ว่า พระตถาคตทรงภาษิตไว้ตรัสไว้ ฯลฯ ที่แสดงพระดำรัสอันพระตถาคตได้ทรงภาษิตไว้ ตรัสไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงภาษิต มิตรัสไว้ ฯลฯ ที่แสดงกรรมอันพระตถาคตมิได้ทรงสั่งสมว่า พระตถาคตทรงสั่งสม ฯลฯ ที่แสดงกรรมอันพระตถาคตมิได้ทรงสั่งสม ไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงสั่งสมไว้ ฯลฯ ที่แสดงสิ่งอันพระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้ว่า พระตถาคตทรงบัญญัติไว้ ฯลฯ ที่แสดงสิ่งอันพระตถาคตทรงบัญญัติ ไว้ว่า พระตถาคตมิได้ทรงบัญญัติไว้ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็น ประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมากเพื่ออนัตถะใช่ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งย่อมประสบบาปใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมยังสัทธรรมนี้ให้อันตรธาน ฯ

[๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่ห้ามอรรถและธรรมโดยสูตรซึ่งตนเรียนไว้ไม่ดี ด้วยพยัญชนะปฏิรูปนั้น ชื่อว่าปฏิบัติแล้วเพื่อมิใช่ประโยชน์ของชนมาก เพื่อมิใช่สุขของชนมาก เพื่อความฉิบหาย เพื่อมิใช่ประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุพวกนั้นยังจะประสพบาปเป็นอันมาก และทั้งชื่อว่าทำสัทธรรมนี้ให้อันตรธานไปอีก


Quote Tipitaka:
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ๗. อาณิสูตร

[๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม

แม้ฉันใดดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้นว่าควรเล่าเรียนควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวก ภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

[๖๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก
เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ


เรื่องสมาธิ เท่าที่บอกให้ฟัง เป็นประสบการณ์ตรง ไม่ได้เขียนขึ้นมาลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไป พวกที่ทำนายทายทักได้ เห็นโน่นเห็นี่ ฯ รอบๆ ตัวผมมีเยอะ ผมก็เกือบหลง ดีว่าได้พบสัตตบุรุษก่อน

พระพุทธองค์ได้วางหลัก มหาปเทศ ๔ ไว้

Quote Tipitaka:
ฯลฯ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงโภคนครแล้ว ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ อานันทเจดีย์ ในโภคนครนั้น ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมหาประเทศ ๔ เหล่านี้ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังต่อไปนี้

[๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรมนี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัยลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่หนึ่งนี้ไว้ ฯ

[๑๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่าสงฆ์พร้อมทั้งพระเถระ พร้อมทั้งปาโมกข์ อยู่ในอาวาสโน้น ข้าพเจ้าได้ฟังมาได้รับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สองนี้ไว้ ฯ

[๑๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้เป็นเถระมากรูปอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรมทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตรเทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตรเทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั้น จำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สามนี้ไว้ ฯ

[๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุเป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรมนี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้นพวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัยลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สี่นี้ไว้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศทั้ง ๔ เหล่านี้ไว้ ฉะนี้แล ฯ


ถ้ายังจะเอาเจ็บแลกประสบการณ์กันอยู่ ก็คงว่าอะไรกันไม่ได้ .... :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
สัมมาก็คือตัวปัญญา ต้องมีปัญญาก่อน แล้วถึงจะเกิดเป็นสัมมาสมาธิได้


อย่างข้างบนนี้ไม่ใช่ เส้นผมบังภูเขา นะ ต้องบอกว่า ภูเขาบังเส้นผม

ปริยัติ ไม่ปฏิบัติ ปฏิเวธไม่เกิด

ปริยัติ วิปัสสนา วิปัสสนู ต้องดูดีๆ มีดีให้ดู


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 12:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่อน ที่ แข็ง
แข็ง ที่ อ่อน

:b30: :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 12:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...หลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนา
...ให้ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์...สัมมาสมาธิต้องมาจากสัมมาทิฐิ...
...คำว่า...ธรรมะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...เป็นสภาพธรรมชาติเกิด-ดับ 6 ทาง...
...1)ตา-เห็นรูป2)หู-ได้ยินเสียง3)จมูก-ได้กลิ่น4)ลิ้น-รับรส5)กาย-รับสัมผัส6)ใจ-รับอารมณ์...
...แต่ละทางทำหน้าแทนกันไม่ได้และเกิดแต่ละทางไม่พร้อมกันต่างอันต่างเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป...
...สภาพความจริงที่ปุถุชนไม่เข้าใจธรรมะ...พอลืมตาสำหรับคนที่ตาไม่บอดก็เห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ...
...นี่เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ...ทุกคนเห็นแบบเดียวกันไม่ว่าคนไทย/จีน/แขก/ฝรั่ง/นิโกร/ฯลฯ...
...ก็คือไม่เข้าใจธรรมะนั่นเอง...ต่อเมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนแล้วไตร่ตรองเหตุผลจนเข้าใจ...
...ขณะที่เข้าใจเท่านั้นเรียกว่ากำลังเป็นสัมมาทิฐิ...หลังจากนั้นก็เห็นและคิดเป็นคน สัตว์ สิ่งของ...
...ต่อให้อยู่เฉยๆทั้งวันไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ฆ่าอะไรเลย ก็ยังไม่พ้นทำอกุศลกรรมคือทำบาปอยู่นั่นเอง...
...ทุกวันจึงต้องหมั่นให้ทานเช่นตักบาตร...รักษาศีลตั้งแต่ตื่นจนเข้านอนศีล5บริสุทธิ์...ภาวนาก่อนนอน...
...ขณะไหว้พระสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิก่อนนอนทุกวันนั้นเป็นการตรวจและรวมบุญจากทาน ศีล ภาวนา...
...จากนั้นให้แผ่เมตตาสรรพสัตว์...ความเป็นเปรตมาจากการสะสมการกระทำของคนที่มีจิตใจตระหนี่ถี่เหนียว...
...ขี้หลง(คนทุกคนมีโมหะคือความหลงผิดว่ามีคน สัตว์ สิ่งของมารองรับความพอใจไม่พอใจของตนเอง...
...โลภ โกรธ หลง เป็นพื้นฐานจิตใจของคนทุกคนบนโลกมนุษย์ ถ้ามีนิสัยขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้หึง ขี้หวงมากๆ...
...คือว่าคนๆนั้นฝึกสะสมจิตใจที่มีความเป็นเปรตวิสัยตั้งแต่ยังอยู่ในร่างกายคน...พอหมดอายุขัยก็เป็นเปรตเลย...
:b13: :b12:
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณทักษา ! ผมบอกที่ใหนว่าพระไตรปิฏกบันทึกมาผิด ใครจะไปแก้สูตรคูณได้ มันเป็นกฏไม่ได้มาจากการตรึก แก้ได้ก็ตรวจสอบได้

ที่ถูกดัดแปลง คือ ไอ้ตัวที่เกิดขึ้นมาเพื่ออธิบายพระไตรปิฏก ไม่ช่พระไตรปิฏก เปรียญธรรม ๙ ประโยคบ้านเราไปเรียนไอ้ตัวนี้ ไม่ได้ไปเรียนพระไตรปิฏก

พระไตรปิฏกทำขึ้นมาโดยพระอรหันต์ ไม่ใช่ปุถุชน ทำกันคราวละ ๕๐๐ รูป เข้ามาเมืองไทยราว พ.ศ. ๒๒๐ ถ้าจะตรวจสอบคำสอนของพระเถระ ก็ต้องเอามาทบทวนจัดลงในพระสูตรพระวินัยนี่แหละ (ฉบับแปลไทยมีผิดบ้าง ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ถ้าอ่านแล้วมันขัดกับสูตรอื่น ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน ก็ต้องกลับไปดูต้นฉบับบาลี)

พระไตรปิฏกถูกทิ้ง คือ เอาไปเก็บไว้ในตู้เฉยๆ พันกว่าปี ทำศาลาเก็บอย่างดี กันปลวกมดมอด แต่ไม่มีใครอ่าน แบบนี้เรียกว่าูถูกทิ้งหรือเปล่า?

ที่พระสอนผิด เพราะท่านไม่ได้อ่านพระไตรปิฏก ท่านอาศัยรู้ตามๆ กันมา อาศัยถามกันเอา

คุณไร้นา! ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คือ ศึกษาภาคทฤษฎีก่อน เป็นปัญญาที่ได้มาจากการสดับรับฟังแต่บุคคลอื่น หรือ สุตตมยปัญญา แล้วก็สำรวมไว้ เรียกว่า ศีลมยปัญญา จากนั้นก็ปฏบัติวิปัสสนาภาวนา พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ตามความเป็นจริงว่ามันไม่เที่ยงฯ ก็จะรู้เองเห็นเองว่า มันดับความพอใจไม่พอใจและความหลงได้ ... มันก็มีแค่นี้ ถ้าทำสมาธิแล้วเกิดเป็นปัญญาได้ง่ายๆ จะมีพระพุทธเจ้าเต็มอินเดียไปหมด เพราะนั่งมาก่อนนพระพุทธเจ้าเกิดเสียอีกไม่รู้กี่พันปี ทุกวันนี้พระอรหันต์คงมีเต็มโลก มีทุกศาสนา ก็สอนให้ไปนั่งสมาธิกันหมด

คุณ Rosarin! ทาน ศีล ภวนา คือ รู้จักให้กับตนเองด้วยปัญญา พอมีปัญญารู้เห็นความจริงแล้ว ก็จะรู้จักเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีจริงๆ ให้กับตนเอง จากนั้น ความคิดที่อยากจะเอาของดีๆ ให้กับคนอื่นมันจะเกิดขึ้นมาเอง แบบนี้เรียกว่า ทำทานแบบพุทธ คือ ทำด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต

การมีชีวิตอยู่ในกรอบของศีล ก็เพราะมีปัญญา รู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ไม่ได้ให้ไปรักษาศีลบริสุทธิ์ เพราะมันฝืนธรรมชาติ ไม่ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ทางสายกลาง ที่เราผิดศีลเพราะ โลภะ โทสะ โมหะ ที่เราฝืนมันได้ยากยิ่ง ให้ทำไปสมควรแก่ธรรม รู้จักฉลาดที่จะหลบหนีภัยเวรทั้ง ๕ ประการ ศีลที่มาจากปัญญาแบบนี้ถึงจะเรียกว่าศีลของพุทธ

และวิปัสสนาภาวนา คือ ฝึกพิจารณาอารมณ์ ๖ ในขณะปัจจุบันว่า มันไม่เที่ยงฯ ไม่ได้ให้ไปสวดมนต์ ทำสมาธิ เพราะการวิปัสสนาภาวนา เป็นบุญสูงสุด ดับ โลภะ โทสะ โมหะ ที่เกิดกับจิตปัจจุบันได้ทันที เกิดปัญญาสะสม ทำให้เกิดเกิดอนิจจสัญญา ทุกขสัญญา อนัตตสัญญา จะทำให้ศีลบริสุทธิ์ขึ้นเองเป็นอัตโนมัติ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
คุณไร้นา! ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คือ ศึกษาภาคทฤษฎีก่อน เป็นปัญญาที่ได้มาจากการสดับรับฟังแต่บุคคลอื่น หรือ สุตตมยปัญญา แล้วก็สำรวมไว้ เรียกว่า ศีลมยปัญญา จากนั้นก็ปฏบัติวิปัสสนาภาวนา พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ตามความเป็นจริงว่ามันไม่เที่ยงฯ ก็จะรู้เองเห็นเองว่า มันดับความพอใจไม่พอใจและความหลงได้ ... มันก็มีแค่นี้ ถ้าทำสมาธิแล้วเกิดเป็นปัญญาได้ง่ายๆ จะมีพระพุทธเจ้าเต็มอินเดียไปหมด เพราะนั่งมาก่อนนพระพุทธเจ้าเกิดเสียอีกไม่รู้กี่พันปี ทุกวันนี้พระอรหันต์คงมีเต็มโลก มีทุกศาสนา ก็สอนให้ไปนั่งสมาธิกันหมด


ตัวอักษรทั้ง 4 สี Supareak Mulpong

มองเห็นและเข้าใจว่าเป็นปัญญาแบบใด และปัญญาที่ว่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 14:57
โพสต์: 32

แนวปฏิบัติ: กำหนดรู้
งานอดิเรก: วาดรูป
สิ่งที่ชื่นชอบ: .......กำลังค้นหาต่อไป
ชื่อเล่น: โป้ ครับ..
อายุ: 14

 ข้อมูลส่วนตัว


- -
อันนั้นหน่ะผู้ไม่รู้ ไม่เคยปฏิบัติ อ่านอย่างเดียวว่างั้นเถอะ

อ่านเเล้วเอามาเเปลความผิด คนที่รู้ที่ปฏิบัติเขาจะรู้ด้วยตัวของเขาเอง

สมาธิคือ สิ่งที่ทำให้เกิดปัญญาในการดับทุกข์

ส่วนไอ้พวกเปรตมาสิ่งสถิตย์อะไรหน่ะ คนที่ทำสมาธิ รักษาศีลไม่เอาไปใช้ในทางที่ผิด สมาธิ ศีลรักษา

เเต่พวกที่เล่นของคุณไสยอาจจะโดนได้

คุณต้องวิเคราะห์ให้ดีๆนะ

.....................................................
เมตตะคุนัง อะระหัง เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 20:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
คำสอนแบบนี้หายไป เพราะพระไตรปิฏกถูกทิ้งมาพันกว่าปีแล้ว ไม่มีใครสนใจ เลยมีแต่คำสอนที่ผิดๆ ถูกๆ ปนกันมาถึงปัจจุบัน ... ผู้ที่ปฏิบัติจนบรรลุอริยะบุคคล ก็เลยไม่มีมาพันกว่าปีเหมือนกัน โสดาปัตติมรรคก็ยังไม่มี


:b32: :b32: :b32:
สงสัยท่าน ซุปฯ..จะเกิดหน้าแล้ง.. :b12:..น้ำมีเยอะแยะบอกว่าไม่มีน้ำ

มีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ...บอกว่า...เมืองไทยไม่เคยขาดพระอรหันต์

กระผมฟังแล้วก็...จำใว้..มีปัญญาดีเมื่อไรคงได้รู้กัน

แต่..ท่านซุปฯ..บอกว่า..ไม่เคยมีมานานเป็นพันปีแล้ว...

ฟังแล้วก็คิด.. :b6: :b6: :b6:

พระเอาอะไรไปรู้...ว่ามีมาตลอด :b10:
ท่านซุปฯ..เอาอะไรไปรู้...ว่าไม่เคยมีมานานเป็นพันไปแล้ว :b10:

งานนี้ต้องมีคนเดาเอา...แน่ ๆ...
ใครรู้..ใครเดา..หน่อ.. :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในหนังสือพุทธธธรรมท่านเจ้าคุณ ยกพุทธพจน์มากมาย รวมถึงที่มาของพุทธพจน์นั้นๆในพระไตรปิฏก
คำตอบสำหรับวิธีปฏิบัติในหลายๆรูปแบบขึ้นกับจริตก็มีอยู่
หรือถ้าไม่เชื่อว่าที่บันทึกมันจริงตามที่อ้างก็ย้อนกลับไปอ่านพระไตรปิฏกได้ครับมีอ้างอิงไว้หมด

แต่ก่อนอื่นผมว่าคุณ Supareak ลองพิจารณาตัวเองก่อนดีกว่าไหมครับ?
คุณคงบรรลุอรหันต์ไปแล้วละมัง ถึงได้พูดถูกอยู่คนเดียว?
<ถ้ากระชากคอขนาดนี้แล้วยังไม่หยุดแล้วกลับไปค่อยๆพิจารณาเรื่องทั้งหมดใหม่ ผมก็ปลงแล้วครับ>


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ nigpo คงมีตาทิพย์มั้ง ถึงเที่ยวบอกใครต่อใครไปว่าใครทำอะไรไม่ทำอะไรได้ ... พวกมาร กลัวคนจะรู้ความจริง กลัวคนอ่านพระไตรปิฏก กลัวคนปฏิบัติจนบรรลุอริยะบุคคล มันก็จะหาทางลากนรชนทั้งหลายให้ห่างจากธรรมวินัยทุกวิถีทาง ผู้ที่ได้รู้ ได้ปฏิบัิติ เขาก็ได้พบสุขในปัจจุบันเฉพาะะตน เป็นสุขที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ การจะไล่เที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลแล้ว จึงไม่มีใครทำกัน เพราะมันเอาแสดงออกมาให้เห็นไม่ได้ มันเป็นเรื่องรู้เฉพาะตน เหมือนพยายามจะอธิบายความเค็มของเกลือให้คนไม่มีลิ้นฟัง ก็เลยได้แต่เอามาบอกวิธีการหรือบอกความจิรงให้ฟัง ...

ปัญญา แปลว่า ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ เกิดมาจากการเรียนรู้ ภาษาบาลีเรียกว่า ปริยัติ พระพุทธเจ้าทั้งหลายเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาไม่พอที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ปัญญาจะได้มากจากการรู้ตาม เรียกว่าสาวก เราจึงเรียกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายว่า บรมครู เพราะถ้าไม่มีพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้มาเกิด พวกเราก็จะหาทางออกจากชาติชรามรณะไม่ได้เลย พวกปัญเจกพุทธเจ้า ก็ได้แต่เอาตัวรอดเฉพาะตนเท่านั้น ไม่ได้สอนใคร

หลังจากได้เรียนจนรู้แล้วว่า ทุกข์คือสิ่งที่ทำให้เกิดชาติชรามรณะ และรู้ว่ากองทุกข์ทั้งปวงเกิดเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส ใจคิดนึก แล้วเกิดการปรุงแต่ง มีความพอใจไม่พอใจและความหลงเข้ามาประกอบ (เกิดจากการประชุมกันของธรรม ๓ ประการ คือ อายตนะ ผัสสะ เวทนา) ที่มันเกิดเป็นทุกข์เพราะเราไม่รู้จักมันตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จักมัน เราก็ดับความพอใจไม่พอใจที่เกิดขึ้นเมื่อจิตเกิดขึ้นมารับรู้อารมณ์ได้

ความจริงก็คือ ธรรมชาติทั้งหลาย เป็นเพียงสิ่งที่เกิดมาจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวแล้วก็ต้องแตกสลาย มีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แปรปรวนตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนึ่งอยู่กับที่ บังคับบัญชาไม่ได้ ฯ สรุปเป็นคำๆ เดียวว่า มันไม่เที่ยงฯ อะไรที่ไม่เที่ยง สิ่งนั้นเอามายึดถือเป็นสาระไม่ได้ เอามาเป็นตัวตนก็ไม่ได้

การเอาความจริงไปดับทุกข์ที่เกิดกับเราทั้ง ๖ ทาง ต้องทำที่ผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะ เช่น ตาเห็นรูป ให้พิจารณาสิ่งที่เห็นทันทีว่า มันไม่เที่ยงฯ (ต้องทำให้ครบทั้ง ๖ ทาง เรียกว่าส่วนของวิชชาทั้ง ๖) เพียงเท่านี้ ความพอใจไม่พอใจและความหลงก็จะไม่เกิดกับปัจจุบันอารมณ์

ถ้ารู้อย่างนี้ ให้สำรวมระลึกไว้ แล้วมีชีวิตประกอบกับการวิปัสสนา ให้ดับทุกข์ก่อนมันจะเกิด ณ ที่ที่มันจะเกิด ทุกข์เกิดที่ใหนเราดับมันที่นั่น เกิดทางตาดับทางตา ฯ เกิดทางหูดับทางหู ฯ เกิดทางจมูกดับทางจมูก ฯ เกิดทางลิ้นดับทางลิ้น ฯ เกิดทางกายดับทางกาย ฯ เกิดทางใจก็ดับทางใจ เรียกว่า การเจริญปัญญา คือ ให้จิตสะสมความจริง คือ ความคิดเห็นว่า ผัสสะสฬาตนะทั้งหลายมันไม่เที่ยงไว้มากๆ ความจริงนี้ (ทำให้เกิดอนิจสัญญา ทุกขสัญญา อนัตตสัญญา) จะเป็นฐานให้ความเห็นชอบมั่นคงขึ้น จนกลายเป็นความเห็นถาวรในที่สุด เรียกว่า การเกิดอินทรีย์ของปัญญา

การเจริญปัญญาที่เอามาดับทุกข์ได้ ภาษาบาลีเรียกว่า การวิปัสสนาภาวนา เป็นบุญสูงสุดในศาสนานี้ เพราะทำให้เกิดปัญญาดับทุกข์ได้ถาวร จะพาให้บรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุด

เมื่อได้เริ่มทำ (ปฏิบัติ) ก็จะรู้เองเห็นเองว่า ความรู้แบบนี้ ด้วยวิธีนี้ ดับทุกข์ได้จริงๆ (เกิดปฏิเวธ)

นอกจากสิ่งที่นำมาดับการเกิดของความพอใจไม่พอใจเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส ใจคิดนึก ได้ทันที ไม่เรียกว่าปัญญา

โลกขาดอริยบุคคลมา ๑๔๐๐ ปีแล้ว เพราะความหมายที่แท้จริงของคำว่าปัญญาหายไป เลยพากันไปหาปัญญาในสมาธิ มีพระอรหันต์คนตั้งเต็มไปหมด พระอรหันต์ที่ธรรมตั้งไม่มีเลย เพราะไปเอาวัตรปฏิบัติของพราหมณ์มาปฏิบัติ พวกที่เชื่อตามว่าท่านโน้นท่านนี้เป็นอรหันต์ ก็ได้แต่เชื่อตามเท่านั้น เพราะไม่สามารถพิสูจณ์ได้ด้วยตนเอง พอไปทำสมาธิ ได้โอกาสพวกมารเข้าแทรก เป่าหู่ว่า ท่านโน้นท่านนี้เป็นอรหันต์ .... เกิดเป็นคนดันโง่กว่าเปรต

ในพระไตรปิฏก ต้องพิจารณาดูดีๆ ว่า แต่ละสูตรนั้น พระพุทธองค์สอนใคร ระดับใหน เป็นพระเสขะ พระอเสขะ เป็นอริยบุคคล เป็นพราหมณ์ หรือคนธรรมดา ไปจับเอามามั่วๆ อย่าง เห็นพระสูตรขึ้นต้นว่า ดูก่อนภิกษุ พระที่เป็นสมมุติสงฆ์ก็ดันไปเข้าใจว่า เราก็บวชเป็นพระนะ น่าจะนำสูตรนี้มาปฏิบัติได้ ท่านคงลืมนึกไปว่า สูตรนั้นท่านสอนพระอริยะที่ตั้งอยู่ตั้งแต่โสดาปัตติผลเป็นต้นไป เมื่อเอามาปฏิบัติ ก็ไม่ได้ผลอะไร ได้แต่สมถะที่ไมีปัญญา พอสงบได้ที่ โดนเทวปุตมารเสียบ และก็ยังไปเข้าใจว่าพระไตรปิฏกบันทึกมาผิด ... พอสงบได้ที่ ทีนี้ก็เริ่มเห็นโน่นเห็นนี่ แล้วก็กู่ไม่กลับ ...

พวกที่น่าสงสารที่สุด ก็คือ ชาวพุทธที่ตั้งหน้าตั้งตามาปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะดับทุกข์ แต่ก็ใจร้อน คิดว่า ท่านโน้นท่านนี้ต้องเป็นอริยะแน่ๆ ก็ไปขอเป็นลูกศิษย์ ท่านว่าอะไรมาก็ปฏบิัติตามด้วยความเคารพ ไม่ได้ทบทวนธรรมวินัย คือ ไม่ได้เรียนรู้ อาศัยรู้ตามๆ กันมา เลยพากันหลงทางไปเป็นจำนวนมาก ....

สิ่งที่เอามาบอก ไม่ได้บอกว่า ผมพูดถูกอยู่คนเดียว แต่มันเป็น ความจริง ก็เท่านั้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทิฎฐิ...เป็นตัวสำคัญมาก..

บ่อเกิดของทิฎฐิ...ก็เป็นเรื่องที่..เราเป็นคนทำมันเอง..สะสมมายาวนาน..จนไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นที่ตรงไหน...ในสังสารวัฎ...

พระพุทธองค์..ยกเรื่อง..กรรม..เป็นอจินไตยไป สำหรับคนทั่วไป(ที่มิใช่พระพุทธเจ้า)...คืออย่าไปมัวนั่งคิดหาให้เสียเวลาภาวนา..

แต่..ทิฎฐิ..ก็เปลี่ยนแปลงได้...คนที่จะเปลี่ยนมันได้..ก็ตัวเราเองนี้แหละ..ส่วนโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงนั้น...ก็ขึ้นกับเหตุและปัจจัย..อีก

เหตุและปัจจัย...ที่จะทำให้เปลี่ยนไปในทางดี...ก็คือบุญ...

ท่านซุปฯ...จะทำบุญด้วยอะไรมา..หรือทำบุญร่วมกับใครมาบ้าง...บุญนั้น ๆ หรือคน ๆ นั้น..จะมาเป็นเหตุแก่ท่านซุปฯ..เอง

สงสัย..ไม่ได้ทำกับท่านยอดยุทธ..ซะละมั้ง....ก็ขนาดกระชากคอแล้วยังไม่เซให้เห็นเลยนิ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2011, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 14:57
โพสต์: 32

แนวปฏิบัติ: กำหนดรู้
งานอดิเรก: วาดรูป
สิ่งที่ชื่นชอบ: .......กำลังค้นหาต่อไป
ชื่อเล่น: โป้ ครับ..
อายุ: 14

 ข้อมูลส่วนตัว


เเล้วคุณปฏิบัติ ถึงขั้นยังครับ

ถึงมาบอกกล่าวได้ หรือคุณเเค่ อ่านมาเฉยๆ มันไม่ใช่ไรหรอกครับ

ผมกลัวผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมเขาจะหลงทางครับ

.....................................................
เมตตะคุนัง อะระหัง เมตตา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 137 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร