วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 14:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 08:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
การที่อริยบุคคลแสดงตนว่าเป็นอริยบุคคล แสดงตนว่าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้มีอะไรห้าม นอกจากจะบวชเป็นพระ ถึงมีสิกขาบทห้ามไว้

สิ่งที่ผมนำมาแสดง ไม่ได้แสดงเพื่อให้เกิดความแตกต่าง แต่เป็นความจริง ไม่ใช่ความเห็น มีพระสูตรพระวินัยรองรับ ถ้าท่านว่าแปลก ก็เพราะท่านเรียนธรรมวินัยมาไม่จบ เดินหลงทาง

การที่Supareak Mulpongโพสตมาหลอกลวงชาวบ้านว่าตนเป็นโสดาบันมีใครหลงเชื่อบ้าง

แค่พระสูตรพระวินัยที่นำมาอ้างก็อธิบายผิดๆถูก

อธิบายตามทิฏฐิตามระดับกำลังความรู้ต่ำๆของตนเอง

สภาวะธรรมที่แสดงว่าเป็นขั้นโสดาบันก็ไม่เคยแสดงให้เห็น

ผมว่านะ

พี่พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ของผมแสดงได่เนียบกว่าเยอะ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
โสดาบันแสดงธรรมตามญาณทัศนะ คือปัญญาที่เริ่มเห็นวิชชาเป็นครั้งแรก

โสดาบันไม่เที่ยวบอกใครว่าตนคือโสดาบัน เพราะญาณนั้นสั่งเอาไว้ครับ

555555555

อ้างคำพูด:
การที่อริยบุคคลแสดงตนว่าเป็นอริยบุคคล แสดงตนว่าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้มีอะไรห้าม นอกจากจะบวชเป็นพระ ถึงมีสิกขาบทห้ามไว้

สิ่งที่ผมนำมาแสดง ไม่ได้แสดงเพื่อให้เกิดความแตกต่าง แต่เป็นความจริง ไม่ใช่ความเห็น มีพระสูตรพระวินัยรองรับ ถ้าท่านว่าแปลก ก็เพราะท่านเรียนธรรมวินัยมาไม่จบ เดินหลงทาง


จับโกหกโซดาปั่น

โสดาบันไม่รู้จักญาณทัศนะ


ผมบอกว่า


ชัดๆ




โสดาบันนั้น

ในญาณทัศนะจะกำกับมาเลยว่าไม่ให้แสดงตน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Supareak ครับ ผมยังขอยืนยันคำทักท้วงของผมด้วยความปรารถนาดีเช่นเดิม :b45:

ขอยืนยันว่าปัญญาจริงๆของพระโสดาบันนั้นมาจากการเจริญภาวนาไม่ใช่การฟังเอาคิดเอาแต่เพียงอย่างเดียว ท่านเหล่านั้นใช้ความรู้ที่ได้จากการอ่านการฟังเป็นข้อสังเกต เป็นฐาน เป็นเครื่องหมายในการเจริญภาวนา เมื่อการเจริญภาวนาสุกงอมแก่รอบ ท่านเหล่านั้นจะเกิดความรู้ ความเห็น หรือปัญญาญาณ เห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ทั้ง 5 ตรงตามที่ท่านได้อ่านได้ฟังมา เมื่อเห็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ 5 สักกายทิฐิจะขาด เมื่อเห็นว่าพระธรรมคำสอนคือความจริงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาวิจิกิจฉาจะสิ้นไป เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งอื่นใดจะทำให้ถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นนอกจากการเจริญไตรสิกขา สีลัพพัตปรามาสจะมลายไป พร้อมกันนั้น โลภะ โทสะ และโมหะอย่างหยาบอันเป็นเครื่องชักนำบุคคลสู่อบายภูมิทั้ง 4 ก็จะขาดลงด้วยพร้อมกัน เมื่อกิเลสสังโยชน์ทั้ง 3 นี้ขาดสะบั้นอย่างถาวรลงแล้วเท่านั้น พระพุทธองค์จึงจะทรงเรียกท่านเหล่านี้ว่า โสดาบันบุคคล เป็นผู้ถึงกระแสพระนิพพาน และเป็นผู้ไม่ถอยกลับอย่างแท้จริง

ความพอใจไม่พอใจ ยังไม่อาจดับได้ในระดับของพระโสดาบัน ต้องบรรลุถึงภูมิธรรมระดับพระอนาคามี กามราคะและปฏิฆะจึงจะขาดลง

ความหลง ผมเข้าใจว่าจะจางลงๆในทุกระดับขั้นของการบรรลุธรรม และจะขาดสนิทได้ในระดับพระอรหันต์เท่านั้น

ผมได้ทำสิ่งที่ผมเห็นว่าสมควรทำอย่างถึงที่สุดแล้ว ผมไม่มีเจตนาจะลองภูมิ หรือเอาชนะใคร ผมเพียงอยากจะเสนอแนะข้อสังเกตบางประการเผื่อว่าจะเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง เหมือนกับที่ได้มีผู้อื่นกรุณาแนะนำชี้แนะผมมาแล้วในอดีต

:b8: ธรรมรักษาครับ ทุกท่าน :b8:

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
>> ถ้ารู้จักทุกข อยู่กับทุกขจนกว่าจะหมดทุกขก็ไม่ต้องทุกขที่อยากไปจากทุกขนั่นแหละพ้นทุกข

อันนี้คำสอนของพรามหมณ์นะครับ ให้ทรมานตนจนถึงที่สุด พระพุทธเจ้าลองมาแล้ว ๖ ปี บอกว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง


ซุปอ่านดีๆชัดๆ

จากหนังสือพุทธธรรมหน้า๙๕

ท่านป.อ.ปยุตโต


"ภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายอริยะสาวกผู้ได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่คร่ำครวญ ไม่ร่ำไร ไม่รำพัน ไม่ตีอกร้องไห้ ไม่หลงใหลฟั่นเฟือน เธอย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่เสวยเวทนาทางใจ"

"เปรียบเสมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศร แล้วยิงซ้ำด้วยลูกที่๒ผิดไป เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรดอกเดียว ฉันใด อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ ก็ฉันนั้น....ย่อมเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียวไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ"

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วตรงไหนที่อ้างว่า
อ้างคำพูด:
อันนี้คำสอนของพรามหมณ์นะครับ ให้ทรมานตนจนถึงที่สุด พระพุทธเจ้าลองมาแล้ว ๖ ปี บอกว่าไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
โสดาบันแสดงธรรมตามญาณทัศนะ คือปัญญาที่เริ่มเห็นวิชชาเป็นครั้งแรก

โสดาบันไม่เที่ยวบอกใครว่าตนคือโสดาบัน เพราะญาณนั้นสั่งเอาไว้ครับ

555555555


ที่อุตส่าห์พูดผิดๆเอาไว้ให้ท่านโสดาบันทักท้วงก็ไม่ทักท้วง หรือก็ไม่รู้

ถ้าไม่รู้ต้องถอดออกจากโสดาบัน

ที่ผมบอกว่าญาณทัศนะสั่งน่ะผิด

ที่แท้คือนิมิต

คนเรารับรู้ทางสฬายตนะเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่มี

ดังนั้นญาณทัศนะเกิดขึ้นในจิตทางมโนวิญาณด้วยลักษณะนิมิต

ที่เป็นเสียงกระซิบ

ภาพพระพุทธเจ้าเสด็จมา อรหันต์มาสอน นั่นแหละ นิมิต

ฝันที่เป็นจริงก็นิมิต

ที่สั่งคือนิมิต


เป็นโสดาบันไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร



.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอยืนยันว่าปัญญาจริงๆของพระโสดาบันนั้นมาจากการเจริญภาวนาไม่ใช่การฟังเอาคิดเอาแต่เพียงอย่างเดียว ท่านเหล่านั้นใช้ความรู้ที่ได้จากการอ่านการฟังเป็นข้อสังเกต เป็นฐาน เป็นเครื่องหมายในการเจริญภาวนา เมื่อการเจริญภาวนาสุกงอมแก่รอบ ท่านเหล่านั้นจะเกิดความรู้ ความเห็น หรือปัญญาญาณ เห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ทั้ง 5 ตรงตามที่ท่านได้อ่านได้ฟังมา เมื่อเห็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ 5 สักกายทิฐิจะขาด เมื่อเห็นว่าพระธรรมคำสอนคือความจริงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาวิจิกิจฉาจะสิ้นไป เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งอื่นใดจะทำให้ถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นนอกจากการเจริญไตรสิกขา สีลัพพัตปรามาสจะมลายไป พร้อมกันนั้น โลภะ โทสะ และโมหะอย่างหยาบอันเป็นเครื่องชักนำบุคคลสู่อบายภูมิทั้ง 4 ก็จะขาดลงด้วยพร้อมกัน เมื่อกิเลสสังโยชน์ทั้ง 3 นี้ขาดสะบั้นอย่างถาวรลงแล้วเท่านั้น พระพุทธองค์จึงจะทรงเรียกท่านเหล่านี้ว่า โสดาบันบุคคล เป็นผู้ถึงกระแสพระนิพพาน และเป็นผู้ไม่ถอยกลับอย่างแท้จริง


ไม่รู้จริงๆ ว่า คุณเอาอะไรมายืนยัน ผมว่าคุณทบทวนธรรมวินัยใหม่อีกสักรอบจะดีกว่านะครับ ที่คุณได้ยินได้ฟังมา มันไม่ใช่โสดาบัน เป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมอ่านพระไตรปิฏกจบมา ๓ รอบ ไม่มีอะไรที่คุณว่ามาอยู่ในพระไตรปิฏกเลย

พระสารีบุตรเขียนลำดับการเกิดของปัญญาไว้ว่า เกิดจากการได้สดับรับฟังแต่บุคคลอื่น จากนั้นก็สำรวมไว้ และมาฝึกต่อ ปัญญานั้นเกิดตั้งแต่ได้ยินได้ฟังและเข้าใจแล้ว เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม หรือเข้าใจความจริงของโลกและชีวิต การภาวนาเป็นการเจริญปัญญา หรือ ทำให้ปัญญามีมากขึ้น ไม่ใช่การสร้างปัญญา


อ้างคำพูด:
ความพอใจไม่พอใจ ยังไม่อาจดับได้ในระดับของพระโสดาบัน ต้องบรรลุถึงภูมิธรรมระดับพระอนาคามี กามราคะและปฏิฆะจึงจะขาดลง


พวกผมดับได้ ดับได้จริงๆ เพราะมันดับไปต่อหน้าต่อตา ถึงบอกว่าดับได้ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาปฏิบัติแล้วต้องดับควาาพอใจไม่พอใจ หรือทำจิตให้เป็นกุศลได้ทันที ไม่เชื่อก็ลองดูได้

การดับโลภะ โทสะ โมหะ ของโสดาบันตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเป็นต้นไป ดับที่ผัสสะ หรือปัจจุบันอารมณ์ ถ้าดับไปเลย ก็คือบรรลุอรหันต์ ราคะของอนาคามีก็ดับเฉพาะอย่างหยาบ อย่างละเอียดดับเมื่อบรรลุอรหันต์

มีสมัยหนึ่ง มีพระภิกษุจำนวน ๑๐ รูป สำคัญตนผิดว่าได้บรรลุอรหันตผลแล้ว จึงพากันเดินทางไปสำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประกาศอรหันผล พระพุทธองค์รู้ว่าภิกษุทั้งหมดยังไม่บรรลุอรหันต์ จึงดลใจให้ภิกษุทั้งหมดเดินอ้อมไปผ่านป่าช้าแห่งหนึ่ง และเนรมิตศพผู้หญิงตายใหม่วางอยู่บนดิน สภาพเหมือนคนนอนหลับ เมื่อภิกษุทั้งหมดผ่านมาเห็นศพ แทนที่จะรีบตรงไปสำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่ได้ตั้งใจไว้ ก็พากันหยุดวิจารณ์ศพ สักพักจึงหันมามองหน้ากันแล้วกล่าวว่า เรายังไม่บรรลุอรหันต์ และต่างพากันเดินทางกลับ

อ้างคำพูด:
ความหลง ผมเข้าใจว่าจะจางลงๆในทุกระดับขั้นของการบรรลุธรรม และจะขาดสนิทได้ในระดับพระอรหันต์เท่านั้น

มันจะเบาบางลงในระดับสกิทาคามีเป็นต้นไป ปัญญาโสดาบันมีหลายระดับ ระดับที่ปัญญาไม่แข็งแรง ความหลงก็เกิดได้พอๆ กับปุถุชนนั่นแหละครับ

อ้างคำพูด:
ดังนั้นญาณทัศนะเกิดขึ้นในจิตทางมโนวิญาณด้วยลักษณะนิมิต

ที่เป็นเสียงกระซิบ

ภาพพระพุทธเจ้าเสด็จมา อรหันต์มาสอน นั่นแหละ นิมิต

ฝันที่เป็นจริงก็นิมิต


โดนเปรตเล่นงานยังไม่รู้ตัวอีก พระอรหันต์ทั้งหายดับไปหมดแล้ว ไม่มีรูปเหลือ จิตก็ไม่เหลือ จะเอาอะไรมาสอนในนิมิต ...

คุณ mes ทุกขอริยสัจจ์ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ห้ามไม่ได้ เพราะมีการเกิดเป็นเหตุ เราเกิดมาแล้วหนีไม่พ้นต้องเจ็บ ต้องตาย ทุกข์อริยสัจจ์นี้ เกิดมาจากทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้เกิด ทุกขเวทนา สุขเวทนา และอุเบกขาเวทนา ดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองได้ ก็ดับทุกข์อริยสุจจ์ได้ อริยสาวกเรียนรู้ความจริงเรื่องทุกข์ รู้จักการดับของทุกข์ เมื่อเกิดเวทนา ก็ดับได้ด้วยปัญญา จึงเสวยทุกข์ทางกายอย่างเดียว ไม่เสวยทุกข์ทางใจ ท่านไม่ได้สอนให้ทรมาณตนเอง หรืออยู่กับทุกข์จนสิ้นทุกข์ เพราะมันไม่มีเหตุปัจจัยรองรับ

พุทธประวัติหน้าแรก เจ้าชายฯ ทรมาณตนเอง ๖ ปีจนซูปผอม เมื่อท่านเลิกทรมาณตนเอง ปัญจวัคคีก็หนี เพราะเห็นว่าท่านหมดความเพียรแล้ว เมื่อท่านตรัสรู้ จึงกลับมาสอนปัญญจวัคคีว่า ทางนั้นเป็นทางผิด ห้ามไปยุ่งเกียวกับที่สุดของความพอใจและไม่พอใจสุดโต่งทั้ง ๒ ด้าน

ที่พระพุทธองค์ทรมาณตนเอง เพราะท่านเป็นพราหมณ์มาก่อน เป็นศิษย์ของฤาษีพราหมณ์ ๒ ตน สอนให้ท่านไปถือศีล ทำสมาธิ และจะพบปัญญาในสมาธิ หรือที่พราหมณ์เรียกว่าอัตตมัน สุดท้ายท่านก็พบว่า ไม่มีปัญญาอะไรในสมาธิที่จะเอามาดับความตายได้ การทรมาณตนเองก็มาจากคำสอนของพราหมณ์ ถ้าใครทำตามนี้ ก็คือ พยายามฝึกตนเองให้เป็นพระพุทธเจ้า จะได้รู้เองเห็นเองไม่ต้องมีใครมาสอน ...

ญานทัศนะ หรือ ญานวิสัย เกิดกับโสดาบันผู้กายะสักขี สำหรับโสดาบันผู้เป็นศัทราวิมุตและทิฐิปัตตะ ไม่เกิดญานทัศนะ เพราะไม่ต้องด้วยวิโมกข์ ๘ มาก่อน

การแสดงตนว่าเป็นอริยะ ไม่ได้มีห้าม ไม่ได้มีอะไรห้าม ไม่รู้ว่าท่านไปเอามาจากใหน นอกจากพวกไม่บรรลุ แล้วไม่อยากโกหกให้ผิดศีล ก็บอกมามั่วๆ อย่างนั้น กันไม่ให้คนถาม ที่ปกติเขาไม่บอกกันเพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะตน พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ พอเอาความจริงมาแสดง ก็กลับถามว่า แล้วท่านบรรลุหรือยัง พอบอกว่าบรรลุแล้ว พวกก็บอกว่ามั่ว พอไม่บอก ก็หาว่า ไม่บรรลุแล้วอวดอุตริมาสอนธรรม

การห้ามแสดงตน หรือการแสดงอุตริมนุษธรรมถึงแม้นจะมีจริงในตน เกิดจากจากเรื่องบาตรแก่นจัน และท่านก็ห้ามเพาะพระภิกษุ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอคั่นรายการหน่อย ไม่มีอะไร
ครือๆว่า อยากรู้อ่ะนะ เห็นใครๆก็อยากมีอยากเป็นอริยะอยากเป็นโสดาบันกัน เป็นแล้วเอาไปทำอะไรได้ครับ
กันแดดกันฝนได้ไหม :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2011, 22:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ครือๆว่า อยากรู้อ่ะนะ เห็นใครๆก็อยากมีอยากเป็นอริยะอยากเป็นโสดาบันกัน เป็นแล้วเอาไปทำอะไรได้ครับ
กันแดดกันฝนได้ไหม

กันได้หมดแหละครับ ที่ต้องมาทรมาณโดนแดดโดนฝน ฯ ก็เพราะเกิดดันมาแล้วนี่ครับ ถ้าไม่เกิดอีก ก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ใดๆ ในโลกอีก

การได้บรรลุเป็นโสดาบัน ยังดีกว่าการได้เป็นถึงเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ ดีกว่าการได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เพราะดับทุกข์ได้ ทุกข์ที่เหลือของโสดาบัน เทียบได้กับก้อนกรวด ๗ ก้อน เมื่อเทียบกับทุกข์ของปุถุชนที่อาจมีมากพอๆ กับก้อนกรวดทั้งโลกมารวมกัน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 264 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 182 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร