วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 18:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2011, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


มรรค มีผู้นิยามแบบให้เข้าใจง่ายๆว่า คือenter นั่นเอง
แล้วคุณmes พอจะทราบ ระดับโคตรภูบุคคล มั่งไหมครับ smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 01:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระที่นิพพานแล้ว คือเป็นพระอรหันต์ ยังมีทุกข์เวทนาอยู่
เข็มแทงยังเจ็บอยู่
ยังรู้สึกถึง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ยกเว้นทุกข์ทางใจ(โทมนัส) ......................โทสะ + มนัส

การไม่มีโทมนัส ก็จัดว่า เป็นสุข ระดับหนึ่ง เลิกกังวล ไปได้
จะสุขแบบไหน
คงเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนครับ

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สุขในฌานยังมีอาพาธอยู่รึเปล่าหล่ะครับ
แล้วสุขในนิพพานยังมีอาพาธอยู่รึเปล่า :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ดังนั้นสมาธิที่ใช้หาใช่สัมมาสมาธิไม่

นันพาโลโฮฮับมั่วเอาเอง....สัมมาสมาธิในทางพระพุทธศาสนานับจากปฐมฌาณขึ้นไป..

เขาไม่เรียกมั่วครับ เขาเรียกการพิจารณาธรรม
ถามหน่อย ถ้าสัมมาสมาธินับจากปฐมฌาณขึ้นไป
แล้วทำไม สาวกของพระพุทธเจ้าตั้งหลายองค์
บรรลุดวงตาเห็นธรรมได้ เพียงแค่ได้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า
เพียงครั้งเดียว


หลับยู๋ไปแยกไปทำความรู้จักกับสมาธิให้ซึ่งใจเสียก่อนว่า
อย่างไหนเป็นมิจฉาสมาธิ อย่างไหนเป็นสัมมาสมาธิ
และที่สำคัญไปดูเรื่องเหตุปัจจัยให้ถ่องแท้เสียก่อน

นายกับนายเม็ด ไปดูซิว่า เหตุใดถึงทำให้นายสองคนต้องมานั่งสมาธิ
แล้วนายมานั่งสมาธิเพราะต้องการอะไร
เหตุทั้งหมดมันใช่ความอยากได้ฌาณหรือเปล่า
และความอยากได้โน้นได้นี่ มันเป็นกิเลสตัณหามั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 09:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
มรรค มีผู้นิยามแบบให้เข้าใจง่ายๆว่า คือenter นั่นเอง
แล้วคุณmes พอจะทราบ ระดับโคตรภูบุคคล มั่งไหมครับ smiley


ต้องขอประทานอภัยท่านหลับอยู่ก่อนครับที่ถามอย่างหนึ่งแต่จะตอบอีกอย่างหนึ่ง

ท่านหลับอยู่ถามผมว่า ไปไหนมา

ผมตอบ สามวา สองศอก

ที่ผมตัดมาแปะเป็นของต่างลัทธิกับหินยาน แต่น่าสนใจในสาระครับ





อ้างคำพูด:
อนุตรธรรม เรื่อง ลักษณะของผู้ที่จะได้นิพพานในยุคพระสมณโคดมนี้




บทความนี้ เขียนขึ้นเพื่อให้ท่านตรวจเช็คตัวท่านเอง จะได้ไม่หลงตัวเองว่าอรหันต์ และนิพพานในพุทธกาลหรือชาตินี้แน่ๆ และจะได้ไม่ไปป่าวประกาศให้พุทธสาสนิกชนเข้าใจผิด (ซึ่งไม่ควรประกาศตนเช่นนั้นว่าตนได้อรหันต์แล้ว หรือนิพพานชาตินี้แน่ๆ) เพราะยุคนี้ ไม่มีอรหันตสาวกบนโลก มีแต่พระอนาคามี หรือพระอรหันตโพธิสัตว์เท่านั้น ดังนี้




ลักษณะของผู้ที่จะได้นิพพานในยุคพุทธกาลนี้ (แต่จะได้เมื่อจุติบนสวรรค์)




๑) มีบุญน้อย คือ พวกได้บุญถึงสุขาวดีนั้นไม่มีเกณฑ์ได้นิพพานในยุคของพระสมณโคดมเลย ใครก็ตามที่ได้จุติที่สุขาดีนั้น จำไว้ว่าเขาจะไม่ให้ท่านได้นิพพานในยุคนั้นๆ จะต้องเวียนว่ายตายเกิดโปรดสัตว์ต่อไปก่อน จึงจะนิพพานทีหลัง

๒) มีกรรมน้อย คือ ได้ชำระชดใช้ไปมากมายแล้ว เช่น เกิดมายากจนก็ทำงานเป็นชาวนามานานแล้ว ไม่มีหนี้สิน อยู่แบบสมถะมากๆ แบบนี้เข้าข่ายจะได้ พวกที่กรรมมาก เช่น เป็นพระราชามาเกิด เคยทำสงคราม พวกนี้ ไม่ทันศาสนานี้

๓) เป็นผู้น้อย คือ พร้อมเป็นสาวกแล้วเต็มที่ ละความเป็นเจ้าได้อย่างเด็ดขาด โกนหัวแล้วหมดจากความเป็นเจ้าอย่างแท้จริง เข็ดแล้ว เบื่อแล้ว ในการเกิดเป็นเจ้าซึ่งหาความสุขได้ยาก มีแต่เวรกรรมหนัก ขอความหลุดพ้นทุกข์อย่างเร็วแทน

๔) ไร้ชื่อเสียง คือ สังคมและยุคสมัยไม่ค่อยเห็นค่า ไม่เห็นว่ามีประโยชน์ในทางโลก อยู่ทางโลกจึงไร้ชื่อเสียง นี่คือ กระบวนการธรรมชาติที่จะบีบให้เข้าสู่ทางธรรมอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อเข้าทางธรรมแล้วก็ไม่มีชื่อเสียง แต่ได้มรรคผลจริง

๕) ไร้พรรคพวก คือ ไม่ค่อยมีพรรคพวก ไม่ค่อยมีบริวาร หาคนที่เหมือนกับตัวเองไม่ได้ คนอื่นเขามีบารมีมาก มีบริวารพรรคพวกมากกัน พวกของตนเองหายไปไหนหมด หาเข้าไม่ได้ (หายไปนิพพานหมดแล้วนั่นเอง) หาคนที่คล้ายตนยาก

๖) รับกรรมมาก คือ คนอื่นเขาไม่ค่อยได้รับวิบากอย่างเรา เราเป็นฝ่ายรับมาก ก่อกรรมใหม่น้อย คือ เลือกทางได้น้อยมากๆ สถานการณ์และเหตุปัจจัยต่างๆ นำพามาเองโดยมาก ก่อกรรมใหม่ๆ ตามใจชอบไม่ค่อยได้ เช่น จนจึงไม่มีเงินทำอะไร

๗) กรรมใหม่น้อยคือ ก่อกรรมใหม่ หรือทำอะไรตามใจตนเองได้น้อย นึกอยากทำอะไรก็มีสิ่งขัดขวาง ติดขัด มีอุปสรรค หรือขาดแคลนปัจจัยไปหมด นี่คือ พวกจะได้นิพพานเร็ว แต่ถ้ามีอิสระเต็มที่ ทำอะไรก็ได้ตามใจ กรรมใหม่จะเกิดได้มาก

๘) มีห่วงภาระน้อยคือ ไม่ค่อยห่วงใคร ไม่ค่อยสนใจใคร คิดแต่เอาตัวเองรอดก็พอใจแล้ว ขี่เกียจ ไม่ค่อยมีแรงใจแรงกายไปทำอะไรมาก เบื่อ อยากพัก อยากหยุด อยากเลิก อยากสบายอยู่เฉยๆ กับเขาเสียที ไม่มีไฟจะไปทำอะไรต่ออีก

๙) ไม่ชอบช่วยใครคือ ไม่เอาอะไรกับใครแล้ว ไม่สานต่อบุญ ต่อกุศล ไม่บำเพ็ญบารมีอีกแล้ว ละวางบุญบารมี ลอยบุญลอยบาปหมด หมดแรงจะช่วยใครแล้ว จะคิดแต่เอาตัวเองรอดอย่างไรเท่านั้น แต่ไม่มีบุญพอเสวยแบบฝรั่งที่เป็นปัจเจกชน




ถ้าไม่เข้าข่ายจะได้นิพพานในยุคนี้ ควรทำอย่างไร




๑) ยอมรับความจริงว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้นิพพานในพุทธกาลนี้ เราไม่ได้ไม่เป็นไร

๒) ยอมรับความจริงว่านิพพานมีวาระ มียุคสมัยของมัน ไม่ใช่ยุคเราไม่เป็นไร รอได้

๓) ใจเย็น นิพพานยุคต่อไปก็ได้ เช่น ยุคพระศรีอาริยเมตตรัย ไม่ต้องบังคับตนเอง

๔) วางแผนไปเกิดต่อยังสุคติภูมิ ซึ่งถ้าปฏิบัติธรรมยิ่งยวด จะได้ถึงสุขาวดีสวรรค์

๕) ผ่อนปรนการปฏิบัติ ไม่ต้องเคร่ง เพราะไม่ได้รีบเร่งที่จะเอานิพพานในชาตินั้นๆ

๖) หาทางสายกลางของตนแม้ไม่เคร่งครัด คือ ผิดศีลมากกว่าด้วยจำเป็นก็ไม่เป็นไร

๗) ปรับตัวอยู่กับยุคสมัยปัจจุบัน แม้ผิดศีลก็ยอมรับสถานการณ์ที่บีบคั้นตนเองได้

๘) ปฏิบัติจิตให้บริสุทธิ์ไม่ต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาแค่พอประมาณ เหมาะสมกับตัว
๙) บำเพ็ญบารมีให้มากเข้าไว้ คือ เน้นบำเพ็ญบารมี มากกว่าทำจิตให้บริสุทธิ์
_
_________________

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ดังนั้นสมาธิที่ใช้หาใช่สัมมาสมาธิไม่

นันพาโลโฮฮับมั่วเอาเอง....สัมมาสมาธิในทางพระพุทธศาสนานับจากปฐมฌาณขึ้นไป..

เขาไม่เรียกมั่วครับ เขาเรียกการพิจารณาธรรม
ถามหน่อย ถ้าสัมมาสมาธินับจากปฐมฌาณขึ้นไป
แล้วทำไม สาวกของพระพุทธเจ้าตั้งหลายองค์
บรรลุดวงตาเห็นธรรมได้ เพียงแค่ได้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า
เพียงครั้งเดียว

นี่แหละมั่วแท้ๆ ไอ้นี่ ถามปัญญาอ่อน :b32:
หลับยู๋ไปแยกไปทำความรู้จักกับสมาธิให้ซึ่งใจเสียก่อนว่า
อย่างไหนเป็นมิจฉาสมาธิ อย่างไหนเป็นสัมมาสมาธิ
และที่สำคัญไปดูเรื่องเหตุปัจจัยให้ถ่องแท้เสียก่อน
กาสรฮับ เข้าใจป่ะ สัมมาสมาธินับจากปฐมฌาณ ฟายเอ๋ย
นายกับนายเม็ด ไปดูซิว่า เหตุใดถึงทำให้นายสองคนต้องมานั่งสมาธิ
แล้วนายมานั่งสมาธิเพราะต้องการอะไร
เหตุทั้งหมดมันใช่ความอยากได้ฌาณหรือเปล่า
และความอยากได้โน้นได้นี่ มันเป็นกิเลสตัณหามั้ย

เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าทำสมาธิต้องนั่งอย่างเดียวเหอๆๆๆๆพาโลโฮฮับ :b32:



ข้าว่าเอ็งเลิกสอดดีกว่าว่ะ ยิ่งสอดก็ยิ่งออกลูกโง่แบบกาสรมากขึ้นเรื่อยๆ :b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 11:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ้อ....ผม คิดว่าไม่เวิรค์นะครับกับที่คุณmes เอามาแปะ ล่าสุดนี้หน่ะครับ :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
เอ้อ....ผม คิดว่าไม่เวิรค์นะครับกับที่คุณmes เอามาแปะ ล่าสุดนี้หน่ะครับ :b14:


เอาไว้ศึกษาครับ

ทุกอย่างที่เราพบ ไม่จำเป็นต้องเชื่อ หรือ ปฏิเสธ

อย่างน้อยจะได้รู้ว่า อย่างนี้ก็ยังมี

จริง เท็จ ถูก ผิด เอาไว้นมสิการ

นมสิการแล้ว

โยนิโสมนสิการ

โยนิโสมนสิการว่าทำไมถึงผิด

โยนิโสมนสิการว่าทำไมถึงถูก



อกุศลยังให้เกิดกุศลได้ครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปฏิจสมุปบาท

เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ



ผมตีความเอาว่า นิพพาน = ไม่มีอวิชชา สมการที่ (1)
ฌาณ = มีอวิชชา สมการที่ (2)
จาก (1) และ (2) จะได้
สุขในนิพพาน = สุขไม่มีอวิชชา สมการที่ (3)
สุขในฌาณ = สุขมีอวิชชา สมการที่ (4)

(3) ไม่เท่ากับ (4)

ไม่ว่า รูป หรือ อรูปฌาณ ก็ต้องประคองจิตไว้ใน นิมิตหรืออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเสมอซึ่งยังมีสังขารและวิญญาณ และพวก ฯ ส่วนนิพพานนั้น สังขาร, วิญญาณ และพวก ดับหมด

คือถ้าผมคิดอย่างนี้ สงสัยว่าสุขในฌาณจะเท่ากับสุขในนิพพานได้อย่างไรคับ ผิดตรงไหนคับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ดังนั้นสมาธิที่ใช้หาใช่สัมมาสมาธิไม่

นันพาโลโฮฮับมั่วเอาเอง....สัมมาสมาธิในทางพระพุทธศาสนานับจากปฐมฌาณขึ้นไป..

เขาไม่เรียกมั่วครับ เขาเรียกการพิจารณาธรรม
ถามหน่อย ถ้าสัมมาสมาธินับจากปฐมฌาณขึ้นไป
แล้วทำไม สาวกของพระพุทธเจ้าตั้งหลายองค์
บรรลุดวงตาเห็นธรรมได้ เพียงแค่ได้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า
เพียงครั้งเดียว

นี่แหละมั่วแท้ๆ ไอ้นี่ ถามปัญญาอ่อน :b32:
หลับยู๋ไปแยกไปทำความรู้จักกับสมาธิให้ซึ่งใจเสียก่อนว่า
อย่างไหนเป็นมิจฉาสมาธิ อย่างไหนเป็นสัมมาสมาธิ
และที่สำคัญไปดูเรื่องเหตุปัจจัยให้ถ่องแท้เสียก่อน
กาสรฮับ เข้าใจป่ะ สัมมาสมาธินับจากปฐมฌาณ ฟายเอ๋ย
นายกับนายเม็ด ไปดูซิว่า เหตุใดถึงทำให้นายสองคนต้องมานั่งสมาธิ
แล้วนายมานั่งสมาธิเพราะต้องการอะไร
เหตุทั้งหมดมันใช่ความอยากได้ฌาณหรือเปล่า
และความอยากได้โน้นได้นี่ มันเป็นกิเลสตัณหามั้ย

เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าทำสมาธิต้องนั่งอย่างเดียวเหอๆๆๆๆพาโลโฮฮับ :b32:

ข้าว่าเอ็งเลิกสอดดีกว่าว่ะ ยิ่งสอดก็ยิ่งออกลูกโง่แบบกาสรมากขึ้นเรื่อยๆ :b7:

อาแป๊ะ! มาว่าอั๊วสอด ลื้อกับอั๊วใครเข้ามากระทู้นี้ก่อนกัน อั๊วเข้ามาป็นคนแรก
ลื้อเข้ามาเป็นคนที่เท่าไร พุทโถ่! ไม่ได้ดูตัวเองเลย สักแต่มีปาก
พูดจาไม่มีหูรูด ดูอะไรให้มันถ้วนทั่วเสียก่อนแล้วค่อยพร่าม นี่หรือมาพูดเรื่องนิพพาน
ระวังเดินตรงท่อนะ อาแป๊ะเอ้ย
พูดเป็นนกแก้ว นกขุนทอง อธิบายความไม่เป็นแล้วริจะมาพูดธรรมตลกสิ้นดี
ไม่อายบ้างหรือ มากางตำราคุยกันในเรื่องการปฏิบัติ
อาแป๊ะอั๊วว่าลื้อ ไปไหว้เจ้าของลื้อเหมือนเดิมดีกว่า
ลื้อคิดว่าอั๊วอยากเสวนากับลื้อเหรอ อั๊วเพียงแค่จะถลกหนังพวกลื้อ
ให้ชาวบ้านเขาดูแค่นั้นแหล่ะ
ตลกจริงๆ มากางตำราพล่ามเอาๆ บอกจะไปนิพพานฮา ฮา ฮา
สงสัยมีเจ้าพ่อกูเกิลเป็นศาสดาแน่ๆ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อถ้าผมคิดอย่างนี้ สงสัยว่าสุขในฌาณจะเท่ากับสุขในนิพพานได้อย่างไรคับ ผิดตรงไหนคับ?


สุขในฌาณ เท่ากับ สุขในนิพพาน ได้ที่ สุขในไม่มีกิเลสครับ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปละครับ ขี้เกียจเถียงกับพวกเจ้กตื่นไฟ
เอะอะมันโวยวาย ด่าลูกเดียว นี้ถ้ามันขากถุยใส่หน้าเราได้
มันคงทำไปแล้วมั้ง เค้าแป๋อ้า! ว้ากตะลุงตุ้งแช่ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปพ้นๆก็ดี กาสรโฮ พาโสโฮฮับ
เลอะเทอะนิสัยผู้หญิง แยกแยะอะไรมิออกเอ็งยังไม่รู้เล้ยว่าเขาคุยกันเรื่องอะไรนุ่งกระโปรงได้เลย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: มีคนบ่นบ่อยๆว่า บางครั้งก็เบื่อกระดานธรรมมะ ถามว่าเพราะอะไร ต้องตอบว่าพวกเรายึดสมมุติ บัญญัติกันเกินไป สมมุติบัญญัติมันเป็น แค่แนวทาง ประโยคเดียวกันจากคำภีร์(ซึงบางครั้งก็คัดลอกมาผิด)และถ้าสมมุติว่าคัดลอกมาถูก 10 คนก็ยังตีความไม่เหมือนกัน อย่างคนไม่เคยได้ฌาณ ก็เที่ยวไปพูด ไปวิจารณ์ เรื่องฌาณเสียเละเทะ ไอ้คนที่เชียร์ก็เชียร์เสียจน คิดว่าฌาณนี้มันวิเศษเสียจนเข้าใกล้พระอรหันต์ ไปแล้ว ส่วนฝ่ายตรงข้าม ยิ่งพวกองุ่นเปรี้ยว ก็กล่าวหาว่าฌานนี้ มันถ่วงความเจริญ เอาทีเดียว เป็นสมธิ โง่ซึมบ้าง เป็นมิจฉาสมาธิไปเลยก็มี
.....ไม่เคยไปปารีส ก็อ่านอยู่แต่ตำรา แล้วก็มาเล่าเป็นฉากๆไป คนไม่เคยไปด้วยกันบางคนก็เชื่อ บางคนที่ฟังมาแบบอื่น เขาก็ไม่เชื่อ คนเคยไปปารีสนั่งฟังอยู่ได้แต่นั่งฟังตาปริบๆ
......ที่จริงคำภีร์นั้นคือแผนที่ เดินทางจริง(ปฏิบัติ) ผ่านไปถึงไหน ก็นำมาเปรียบเทียบกับแผนที่ ไอ้ภูเขา แม่น้ำที่พบขณะเดินทางจริง(ปฏิบัติ)มันตรงกับแผนที่(คัมภีร์)ไหม ถ้าทำอย่างนี้ ก็ไม่ต้องมาเถียงกัน เพราะมันตรงกันหมดนั่นแหละ ถูกต้องมันดูที่ผล คือภาวะของจิต มันไม่ได้ดูว่าเก่งคำภีร์กว่าคนอื่น
......อีกเรื่อง ที่พยายามจะสอนคนอื่นจังคือเรื่งมิจฉาสมาธิ ความจริงสมาธิ(สมรรถกรรมฐาน)มันเป็น มันเป็นฐานของวิปัสนา มันไม่ได้เริ่มต้นที่ไหน มันเริ่มต้นที่ทำไปเพื่อเป็นฐานของวิปัสนาแล้วก็เป็นสัมมาสมาธิแล้ว(ถ้าทำไปเพื่อคุณวิเศษอื่นๆเหาะเหินเดินอากาศตามที่เชื่อกัน)จะเรียกอะไรก็เรียกกันไป
......อีกคำคำว่านิพพาน มันหมายความดับสนิทของทุกข์ ส่วนอรหันต์นั้น คืออริยะบุคคลที่อยู่เหนือทุกข์และสุขเสียแล้ว คือทุกและสุขไม่สามารถครอบงำจิตได้อีก เปรียบน้ำไม่ทำให้ใบบอนเปียกได้นั่นแหละ......เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2011, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ในที่นี้เราคุยกันแต่ ฌาณที่เป็นกุศลจิต(ปฐมฌาณขึ้นไปเท่านั้นครับ ถึงนี้ก็มีพวกมั่ว มา
ตู่ว่า เป็นมิจฉาสมาธิmes ก็ไม่ได้กล่าวถึงสมาธิที่เป็นอกุศลหรืออัพยากฤต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 144 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร