วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 00:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2011, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาอีกเช่นกันคือ
ถืงแม้ศาสนาจะมีคำสอนที่ดี
แต่คนก็ยังทำผิดหลักศาสนากันอยู่
เพราะทำตามตัณหาของตนจนเลยกรอบของศีลธรรมไป

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า

"ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย เราตถาคตเองเป็นที่พึ่งแก่ท่านทั้งหลายไม่ได้ ตถาคตเป็นแค่เพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น ส่วนความเพียรพยายามเพื่อเผาบาปอกุศล ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ทางมีอยู่ เราชี้แล้วบอกแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเดินเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2011, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้แล้วก็ต้องทำตาม
รู้ว่าอะไรชั่วก็ต้องละ
รู้ว่าอะไรดีก็ต้องทำ
รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้ว ทำให้พ้นจากดีจากชั่ว พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง ยิ่งควรต้องทำ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2011, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41:
รู้ว่าอะไรชั่วก็ต้องละ
รู้ว่าอะไรดีก็ต้องทำ
รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้ว ทำให้พ้นจากดีจากชั่ว พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง ยิ่งควรต้องทำ[/quote]

คำว่า "รู้" คำนี้แหละเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาทำความเข้าใจดีๆ หน่อย
เราถือว่า ถ้ารู้แแล้วยังละไม่ได้ก็มีค่าเท่ากับไม่รู้ เพราะตัวรู้ที่มีนั้นไม่มีประสิทธิภาพ เป็นความรู้จอมปลอม ที่ยังคอยหลอกลวงตนเองคนอื่นเรื่อยๆไปได้ไม่สิ้นสุด

องค์ความรู้ที่ได้จากศาสนา(คำสอน)ก็ไม่เหมือนกัน จะให้คนเหมือนกันได้อย่างไร แม้แต่คำสอนเหมือนกัน ฟังด้วยกัน พร้อมกัน ความเข้าใจก็ยังไม่เหมือนกันเลย จะป่่วยกล่าวไปใยถึงสิ่งที่จะนำไปเป็นตัวการปฏิบัติเล่า จริงไหม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2011, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง
เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนาน ด้วยความเหนื่อยยาก ลำบากแสนสาหัส
เพื่อบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ทรงถึงพร้อมด้วยทศพลญาณ และจตุเวสารัชชญาณ
ความรู้ของพระพุทธองค์นั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีเครื่องกั้น ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
พระผู้เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ทรงนำความรู้ที่ทรงค้นพบมาสั่งสอนเวไนยสัตว์
ทั้งหลาย จนได้บรรลุอมตธรรมเป็นจำนวนมาก


Quote Tipitaka:
" พระสมณโคดมบันลือสีหนาท และบันลือ
ในบริษัท ทั้งบันลืออย่างองอาจ เทวดาและมนุษย์ย่อมถามปัญหาพระองค์ พระองค์ถูกถามปัญหา
แล้วย่อมพยากรณ์แก่เทวดาและมนุษย์เหล่านั้นได้ ยังจิตของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นให้ยินดี
ด้วยการพยากรณ์ปัญหา เทวดาและมนุษย์เหล่านั้นย่อมสำคัญปัญหาพยากรณ์ว่า อันตนๆ ควรฟัง
ครั้นฟังแล้ว ย่อมเลื่อมใส ครั้นเลื่อมใสแล้ว ย่อมทำอาการของผู้เลื่อมใส ย่อมปฏิบัติ เพื่อ
ความเป็นอย่างนั้น และปฏิบัติแล้ว ย่อมชื่นชม ดูกรกัสสป ท่านพึงบอกอย่างนี้.
ดูกรกัสสป ครั้งหนึ่งเราอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ เพื่อนพรหมจรรย์ของท่าน
คนหนึ่งในกรุงราชคฤห์นั้น ชื่อว่านิโครธปริพาชก ได้ถามปัญหาในตบะอันกีดกันกิเลสอย่างยิ่ง
เราถูกถามแล้ว ได้พยากรณ์แก่เขา เมื่อเราพยากรณ์แล้วเขาปลื้มใจเหลือเกิน.

[๒๗๓] อเจลกัสสปทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเล่า ฟังธรรมของพระองค์แล้ว
จะไม่ปลื้มใจอย่างเหลือเกิน แม้ข้าพระองค์ฟังธรรมของพระองค์แล้วก็ยังปลื้มใจเหลือเกิน ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง
นัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีป
ในที่มืดด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดย
อเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค
พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนัก
ของพระองค์.


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2011, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เว้นศาสนาพุทธ เพราะคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนแต่เรื่องของทุกข์กับการดับทุกข์เท่านั้น

ศาสนาอื่นๆ ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องเหตุปัจจัย เลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คนเป็นคนดี อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คนเป็นคนไม่ดี แต่เห็นผลว่า ดีมีผลเป็นสุข ชั่วมีผลเป็นทุกข์ เลยมาสอนสาวกว่า จงทำความดี อย่าทำความชั่ว พระพุทธเจ้าสอนต่อว่า ทำเหตุแบบนี้แล้วจะส่งผลให้เป็นคนดี ทำเหตุแบบนี้แล้วจะส่งผลให้เป็นคนไม่ดี

เมื่อคำสอนของศานาอื่นๆ สอนให้คนทำดี บอกว่าทำไม่ดีจะลำบาก ก็เลยเป็นเพียงการระงับที่ปลายเหตุ หรือ ทำให้คนเป็นคนดีได้เป็นพักๆ เท่านั้น ตอนที่นึกถึงคำสอนได้ แต่โดยปกติคนก็ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหา หรือความพอใจไม่พอใจ เมื่อเหตุปัจจัยของการเป็นคนดีไม่ได้ทำ เหตุปัจจัยของการทำไม่ดียังอยู่ครบ คนก็เลยเป็นคนดีจริงๆ ไม่ได้

ธรรมชาติของมนุษย์ใหลลงสู่ที่ต่ำ สังคมมนุษย์จึงมีแต่ความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ใหลไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา ผู้รู้จึงทำตัวสวนกระแส คำว่ากระแสนั้นคือกิเลสตัณหา ผู้รู้คือชาวพุทธ เหมือนปลาเป็นที่ว่ายทวนน้ำ พวกปลาตายก็ใหลตามน้ำไป

เมื่อไม่เข้าใจธรรมชาติของคน ก็หมายถึงไม่เข้าใจตนเองด้วย ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร เกิดมาทำไม การคิดมาจากใหน มีครรลองอย่างไร เมื่อไม่รู้จักตนเอง ก็ไม่มีทางรู้จักคนอื่น จะเริ่มเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ สร้างกฏเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อให้สังคมสงบด้วยเจตนาดี แต่แท้จริง กลายเป็นการตีกรอบตีกรงให้ผู้อื่นอยู่ แปลว่า เริ่มมองผู้อื่นเป็นเดรัจฉาน ขังคนอื่นให้อยู่ในกรอบของกฏ กลายเป็นการมองตัวเองเป็นพระเจ้า ต่อมาจะพัฒนาเป็นมองคนต่างความคิดเป็นศัตรู

คำสอนของทุกศาสนาเว้นศาสนาพุทธมาจากความตรึก หรือคิดมาจากภูมิปัญญาของนักปราชราชบันฑิต ยังมีความเห็นประกอบ ความคิดของคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการสั่งสมข้อมูลประสบการณ์ แต่ทุกคนก็อยู่ในโลก ในธรรมชาติเดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงมีส่วนที่เหมือนและแตกต่าง ทุกคนจะเห็นในสิ่งเดียวกันก็คือ ทำดี มีผลเป็นสุข ทำไม่มีมีผลเป็นทุกข์ เพราะเห็นได้ง่าย ที่ละเอียดลึกกว่านั้นไม่เห็น ก็เกิดการคิดปรุงแต่งไปตามฐานคิดของแต่ละคน

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่ไม่ได้มาจากความตรึก มาจากการตรัสรู้ คือ รู้เห็นความจริงของโลกและชีวิตแล้วจึงเอามาบอก เรียกว่าสัจธรรมหรือความจริงล้วนๆ รู้เหตุรู้ปัจจัย รู้ว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี ฯ คนดีคนเลวก็มีเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ศาสนาพุทธจึงสอนคนให้รู้ความจริง หรือ ธรรมะ เรียกว่าการให้ปัญญา ให้รู้เห็นความเป็นจริงที่แท้จริง แปลว่า สอนยิ่งกว่าความดีความชั่ว เลยดีเลยชั่วไปอีก คือสอนให้รู้เหตุปัจจัย

นิพพาน ต้องดับ โลภะ โทสะ โมหะ ให้หมด และ โลภะ โทสะ โมหะ คือเหตุที่ทำให้คนเป็นคนไม่ดี จึงกลายเป็นว่า การเป็นคนดีแบบพุทธเป็นเพียงผลพลอยได้จากการปฏิบัติเพื่อที่จะดับชาติดับภพ

"เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี ฯ"

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2011, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
Supareak Mulpong เขียน
ศาสนาอื่นๆ ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องเหตุปัจจัย เลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คนเป็นคนดี อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้คนเป็นคนไม่ดี แต่เห็นผลว่า ดีมีผลเป็นสุข ชั่วมีผลเป็นทุกข์ เลยมาสอนสาวกว่า จงทำความดี อย่าทำความชั่ว พระพุทธเจ้าสอนต่อว่า ทำเหตุแบบนี้แล้วจะส่งผลให้เป็นคนดี ทำเหตุแบบนี้แล้วจะส่งผลให้เป็นคนไม่ดี


เห็นด้วยครับ เฉพาะเรื่องของจิต พระพุทธเจ้าท่านยังทรงชี้ให้เห็นถึงสภาวะการเกิดของเจตสิกที่มาพร้อมกับจิต มีทั้งสัญญา เวทนา และสังขาร เป็นเจตสิกที่แยกออกมาเป็น 52 ดวง เกิดเป็น วิญญาณคือ บุญ และบาป
สัญญา เป็นเจตสิกตัวหนึ่ง คือความจำไว้โดยจิต ไม่ใช่สมอง
เวทนา เป็นเจตสิกตัวหนึ่งที่เสวยอารมณ์ มีความสุข มีความทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์
สังขาร มีเจตสิก 50 ดวง คือการคิดดี ไม่ดี หรือกลางๆ ฝ่ายดีก็จะมี 25ดวง เช่น มีสติ มีอโลภะ มีอโทสะ มีอโมหะ และอื่นๆ เจตสิกฝ่ายบาปอีก 14 ดวง ที่เหลือเป็นกลางๆคือ 11 ดวง
ดังนั้นวิญญาณคือตัวจิต แยกออกมาเป็น6 อย่างคือ การรับรู้ทางตา เรียก จักษุวิญญาณ การรับรู้ทางหูเรียก โสตวิญญาณ การรับรู้ทางกลิ่นเรียก ฆานวิญญาณ การรับรู้รสทางลิ้นเรียก ชิวหาวิญญาณ การรับรู้ทางกายเรียก กายวิญญาณ การรับรู้ทางใจเรียกมโนวิญญาณ
การทำงานก็คือ เจตสิกมาติดที่วิญญาณ คือจิตเกิด เจตสิกก็เกิด เช่น จิตโกรธเกิดขึ้น แต่จิตเมตตาจะไม่เกิดขึ้น สติเกิดขึ้น ตัวโมหะคือความไม่รู้จริงก็จะหายไป เป็นต้น
(อ้างอิงจากหนังสือวิปัสสนาภาวนา ของ ฐิตวณฺโณ ภิกฺขุ 2535)

พุทธเรามีเหตุผล ไม่กล่าวขึ้นมาลอยๆ เช่น ร่างกายมีพระจิตนะ พุทธเราไม่กล่าวแบบนั้น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2011, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดีมีผลเป็นสุข ชั่วมีผลเป็นทุกข์ เลยมาสอนสาวกว่า จงทำความดี อย่าทำความชั่ว



อ่านประโยคนี้แล้วนึกถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2011, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำดี ละชั่ว ในคำสอนของพระศาสดา ถ้าแปลตามบาลีจริงๆ ต้องใช้คำว่า หมั่นทำกุศล ไม่ทำอกุศล อันเป็นโลกุตตระ ไม่ใช่โลกียะ

กุศลจิต มาจากกุศลเหตุ คือ อโลภะ อโสทะ อโมหะ

อกุศลจิต มาจากอกุศลเหตุ คือ โลภะ โทสะ โมหะ

การวิปัสสนา จะทำให้จิตเป็นกุศลดับอกุศล เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า อย่าประมาท หมายถึง ให้วิปัสสนาภาวนาเป็นประจำ วิปัสสนาจึงถือเป็นบุญสูงสุดในธรรมวินัยนี้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ใช่ครับที่ว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีนั้นไม่จริง

บางศาสนาก็บอกให้ฆ่าสัตว์บูชายัญ
บางศาสนาก็สอนให้เสพกาม แล้วจะหลุดพ้นเพราะเสพกาม
บางศาสนาก็สอนให้ทรมานตน
บางศาสนาก็สอนให้เป็นชีเปลือย
บางศาสนาก็สอนให้บูชาผีสาง บูชาเปรต
บางศาสนาก็สอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากมีผู้มีอำนาจบันดาล แสดงว่าคนจะดีจะชั่วก็เกิดจากผู้มีอำนาจบันดาล
บางศาสนาสอนว่าทุกอย่างเกิดจากกรรมเก่าบันดาล
บางศาสนาสอนว่าทุกสิ่งอย่างเป็นสิ่งขาดสูญ ไม่มีดีไม่มีชัวไม่มีกรรม อันนี้มิจฉาทิฏฐิขั้นรุนแรง
และ............................




เพราะเหตุนี้และเราจึงมั่นใจว่า ที่เขาว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนดีเหมือนกันนั้น ไม่จริงเลย เพราะความแตกต่างแห่งคำสอนย่อมทำให้คนแตกต่างกัน ดีและเลวต่างกัน ร้อยเปอร์เซ็นต์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


บุรุษผู้มีปัญญาย่อมรู้จักเลือกเฟ้น สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตนเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2011, 05:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
บุรุษผู้มีปัญญาย่อมรู้จักเลือกเฟ้น สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตนเอง


สิ่งที่ดีที่สุดก็ต้องพิจารณาด้วยนะ เพราะบางครั้งคนที่ทำชั่วบางอย่างเขาก็ว่าเขาทำดีที่สุดแล้วเหมือนกัน
สำหรับผู้รู้แล้วไม่ใช่เพียงเพื่อตนเท่านั้นนะ ควรจะช่วยป้องกันคนอื่นจากมิจฉาทิฏฐิด้วยจักเป็นการดี โลกนี้จักได้สงบมากขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2019, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 23:02
โพสต์: 93

ชื่อเล่น: tongka
อายุ: 36
ที่อยู่: tongka34@gmail,com

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนใดๆ ในศาสนาไหนๆ ก็ออกมาจากใจของผู้สอน (ศาสดา) ฉะนั้นเราจึงสามารถเอาคำสอนนั่นแหละย้อนศรกลับไปวัดเกรดคำสอนของศาสดานั้นๆได้ว่าอยู่ในระดับใด และสามารถบ่งบอกถึงจิตใจของศาสดานั้นๆได้ว่าบริสุทธิ์หมดจดหรือว่าหมึกดำเพียงใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2019, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อริยสัจจะธัมมะคือความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีตรงปัจจุบันขณะ
ชั่วขณะที่ดีหรือชั่วไม่ได้อยู่ที่การกระทำแต่อยู่ที่การคิดนึก
อันว่าการคิดนึกไม่ตรงกับการกระทำก็ย่อมเป็นไปได้อยู่
คิดอีกอย่างพูดอีกอย่างทำอีกอย่างเป็นไปได้ทั้งหมด
แต่สัจจะนั้นตรงปัจจุบันขณะไม่เคยเปลี่ยน
ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา
ตถาคตสอนให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี
แต่ความเห็นผิดมีมานานมาก
จำเป็นต้องศึกษาให้ละเอียด
พระพุทธเจ้าทรงแสดง
พระธรรมทั้งดีและชั่ว
ให้คิดไตร่ตรองตาม
ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ให้คิดไตร่ตรอง
ตามคำสัจจะ
ให้เข้าใจ
ก่อนทำ
ฟังให้เข้าใจจริงๆนะก่อนตายจากอัตภาพนี้
https://youtu.be/R5cVDV6hLwk
:b16: :b16:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2019, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสหายไปหลายวัน นึกว่ามีอะไรใหม่ ยังเหมือนเดิม :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2019, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ศาสนา มีความต่างกับลัทธิค่ะ
ศาสดาของศาสนาต่างๆ กับศาสดาของลัทธิ ไม่อาจนำมากล่าวรวมผสมปนเปกันได้

เทคนิคการสอน ของแต่ละศาสนาเพื่อเข้าถึงความบริสุทธิ์แห่งจิต ไม่เหมือนกัน

และ มานะเก้า อัตตวาทุปาทาน นี่แหละ ทำให้มองสิ่งต่างๆ อย่างเหลื่อมล้ำ

tongue


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 130 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron