วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 15:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2011, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อันเนื่องด้วยฝันแบบฝันเตือน
- ฝันถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เราทำ แล้วตื่นมาเราทำจริงๆทั้งที่ไม่อยากทำ(แต่ลดความแรงลงเพราะฉุกคิดจากเหตุในฝัน)
- ฝันถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น(ทั้งเรื่องดีไม่ดี)
- ฝันเตือนถึงการสูญเสียคนที่เรารัก หลายปีมากก่อนเสีย

อันเนื่องด้วยฝันเกี่ยวกับสถานที่(ชุดไม่ต่อเนื่อง)
- คล้ายกับข้อข้างล่าง แต่สำนึกในฝันบอกว่าตัวเราไม่ใช่คน และบางสถานที่ก็ต่างยุคสมัย

อันเนื่องด้วยฝันเกี่ยวกับสถานที่(ชุดต่อเนื่องแต่ไม่สัมพันธ์)
- มีความคล้ายกับสมัยปัจจุบัน
- แต่วิทยาการและศิลปะดูมีความวิจิตรกว่า
- สถานที่ทับซ้อนและคล้ายกับความจริงมีการสลับที่และแตกต่างกันบ้าง
- บางสถานที่ฝันก่อนไปเห็นจริง
- คล้ายกับว่าบริเวณอุดร-ขอนแก่นจะเป็นเมืองหลวง
- คุ้นเคยประทับจิตว่าเคยอยู่ ณ ที่แห่งนั้นจริงๆ (ถ้าให้เดินท่องรู้เลยว่าเลี้ยวทางนี้ทางนั้นไปไหน)
- ในฝันมีเรื่องการเมืองและการทำลายบ้านเมืองในปัจจุบันด้วย

ผมฉุกคิดว่าเหตุร้ายกำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศ เพราะในฝันอาจเป็นเรื่องที่ผมกระทำมาแล้วดำเนินมาแล้ว แต่เวียนมาซ้ำรอยด้วยความชินของการทำกรรม เป็นไปได้มากแค่ไหนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2011, 23:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ว..เจ้าของความฝัน..คิดยังงัยกับฝันของตัวเอง..ละครับ
:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว..เจ้าของความฝัน..คิดยังงัยกับฝันของตัวเอง..ละครับ
:b1:

ไม่ได้คิดอะไรมากครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเราทำได้แค่ดูมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2011, 15:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว..เจ้าของความฝัน..คิดยังงัยกับฝันของตัวเอง..ละครับ
:b1:

ไม่ได้คิดอะไรมากครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเราทำได้แค่ดูมัน


โห ไม่คิดได้จริง ๆ เหย๋อ
เอกอนยังคิดเลย
แต่คิดไม่อ๊อก

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2011, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


บางอย่างคิดมากเกินไปก็เหนื่อยครับ
ปล่อยวางบ้างจะได้สบายใจ

ธรรมสวัสดีครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2011, 02:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
บางอย่างคิดมากเกินไปก็เหนื่อยครับ
ปล่อยวางบ้างจะได้สบายใจ

ธรรมสวัสดีครับ :b8:

ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2011, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ พราหมณวรรคที่ ๕
๖. สุบินสูตร
อรรถกถาสุปินสูตรที่ ๖
พึงทราบวินิจฉัยในสุปินสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มหาสุปินา ความว่า ชื่อว่า มหาสุบิน เพราะบุรุษผู้ใหญ่พึงฝัน และเพราะความเป็นนิมิตแห่งประโยชน์อันใหญ่. บทว่า ปาตุรเหสุ ํ แปลว่า ได้ปรากฏแล้ว.
ในบทนั้น ผู้ฝันย่อมฝันด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ เพราะธาตุกำเริบ ๑ เพราะเคยเป็นมาก่อน ๑ เพราะเทวดาดลใจ ๑ เพราะบุรพนิมิต ๑.
ในฝันเหล่านั้น คนธาตุกำเริบ เพราะดีเป็นต้น เป็นเหตุทำให้กำเริบย่อมฝัน เพราะธาตุกำเริบ และเมื่อฝัน ย่อมฝันหลายอย่าง เช่น ฝันว่าตกจากภูเขา ว่าไปทางอากาศ ว่าถูกเนื้อร้าย ช้างและโจรเป็นต้นไล่ตาม.
เมื่อฝันโดยเคยเป็นมาก่อน ย่อมฝันถึงอารมณ์ที่เป็นมาแล้วในกาลก่อน.
สำหรับผู้ฝันโดยเทวดาดลใจ ทวยเทพบันดาลอารมณ์หลายอย่าง เพราะประสงค์ดีก็มี เพราะประสงค์ร้ายก็มี
เมื่อฝันโดยบุรพนิมิต (ลางบอกล่วงหน้า) ย่อมฝัน อันเป็นบุรพนิมิตของประโยชน์หรือของความพินาศที่ประสงค์จะเกิดด้วยอำนาจบุญและบาป ดุจพระชนนีของพระโพธิสัตว์ ได้นิมิตในการได้พระโอรส ดุจพระเจ้าโกศลทรงฝันเห็นสุบิน ๑๖ และดุจพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้แล ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงฝันเห็นมหาสุบิน ๕ ประการนี้.
ในฝันเหล่านั้น ฝันเพราะธาตุกำเริบ และเพราะเคยเป็นมาก่อนไม่จริง. ฝันเพราะเทวดาดลใจ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เพราะว่า เทวดาทั้งหลายโกรธขึ้นมา ประสงค์จะให้ถึงความพินาศด้วยอุบาย จึงแสร้งทำให้ผิดปกติ. แต่ฝันเพราะบุรพนิมิต เป็นจริงโดยส่วนเดียวแท้.
แม้เพราะความเกี่ยวข้องของมูลเหตุ ๔ อย่างเหล่านี้ต่างกัน ฝันจึงต่างกันไป ฝันแม้ทั้ง ๔ นั้น พระเสกขะและปุถุชนย่อมฝัน เพราะยังละวิปัลลาสไม่ได้. พระอเสกขะไม่ฝัน เพราะละวิปัลลาสได้แล้ว.
ก็เมื่อฝันนั้น หลับฝัน ตื่นฝัน หรือว่าไม่หลับไม่ตื่นฝัน.
ในข้อนี้มีอธิบายได้อย่างไร
ผิว่าหลับฝันก็ผิดอภิธรรม ด้วยว่าสัตว์ย่อมหลับด้วยภวังคจิต ภวังคจิตนั้นหามีรูปนิมิตเป็นต้นเป็นอารมณ์ หรือสัมปยุตด้วยราคะเป็นต้นไม่ จิตเช่นนี้ย่อมเกิดแก่ผู้ฝัน หากตื่นฝันก็ผิดวินัย เพราะว่าฝันที่ตื่นฝันด้วยจิต เป็นอัพโพหาริก (เห็นเหมือนไม่เห็น) จะไม่เป็นอาบัติไม่ได้ เพราะล่วงละเมิดด้วยจิตเป็นอัพโพหาริก เพราะแม้ผู้ฝันทำล่วงละเมิดก็ไม่เป็นอาบัติโดยส่วนเดียวเท่านั้น. เมื่อไม่หลับไม่ตื่นฝัน ชื่อว่าไม่ฝัน ก็เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงไม่มีฝันและจะไม่มีก็ไม่ใช่. เพราะเหตุไร เพราะผู้ฝันเข้าสู่ความหลับดุจลิง.
สมดังที่พระนาคเสนกล่าวไว้ว่า มหาบพิตร ผู้ที่หลับดุจลิงแลย่อมฝัน.
บทว่า กปิมิทฺธป เรโต ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยการหลับของลิง. เหมือนอย่างว่า การหลับของลิงเป็นไปเร็วฉันใด การหลับที่ชื่อว่าเป็นไปเร็ว เพราะแทรกแซงด้วยจิตมีกุศลจิตเป็นต้นบ่อยๆ ก็ฉันนั้น ในความเป็นไปของการหลับใด จิตย่อมขึ้นจากภวังค์บ่อยๆ ผู้ประกอบแล้วด้วยการหลับนั้นย่อมฝัน.
ด้วยเหตุนั้น ฝันนี้จึงเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง อัพยากฤตบ้าง. ในฝันนั้นพึงทราบว่า เป็นกุศลแก่ผู้กระทำการไหว้เจดีย์ ฟังธรรมและแสดงธรรมเป็นต้น เป็นอกุศลแก่ผู้ทำปาณาติบาตเป็นต้น พ้นจากสองอย่างนั้นเป็นอัพยากฤตในขณะอาวัชชนจิตนึก และขณะตทาลัมพนจิตยึดฝันนั้นเป็นอารมณ์. ฝันนี้นั้นเพราะมีวัตถุเป็นทุรพล จึงไม่สามารถจะชักปฏิสนธิของเจตนามาได้ ก็เมื่อเป็นไปแล้ว ฝันอันกุศลและอกุศลอื่นอุปถัมภ์ไว้ย่อมให้วิบาก ให้วิบากก็จริง ถึงอย่างนั้น เจตนาในฝันก็เป็นอัพโพหาริก คือกล่าวอ้างไม่ได้เลย เพราะเกิดในที่อันมิใช่วิสัย.
ก็สุบินนี้นั้น แม้ว่า โดยเวลาฝันในเวลากลางวัน ย่อมไม่จริง. ในปฐมยาม มัชฌิมยามและปัจฉิมยามก็เหมือนกัน. แต่ตอนใกล้รุ่ง เมื่ออาหารที่กินดื่มและเคี้ยวย่อยดีแล้ว โอชะอยู่ตามที่ในร่างกาย พออรุณขึ้น ความฝันย่อมจริง. เมื่อฝันอันมีอิฏฐารมณ์เป็นนิมิต ย่อมได้อิฏฐารมณ์ เมื่อฝันมีอนิฏฐารมณ์เป็นนิมิต ย่อมได้อนิฏฐารมณ์.
ก็มหาสุบิน ๕ เหล่านี้ โลกิยมหาชนไม่ฝัน มหาราชาทั้งหลายไม่ฝัน พระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลายไม่ฝัน อัครสาวกทั้งหลายไม่ฝัน พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ฝัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ฝัน พระสัพพัญญูโพธิสัตว์พระองค์เดียวเท่านั้นย่อมฝัน.
ถามว่า ก็พระโพธิสัตว์ของเราทรงฝันเห็นสุบินเหล่านี้เมื่อไร.
ตอบว่า ทรงฝันในเวลาราตรีกระจ่างของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ โดยรู้พระองค์ว่า พรุ่งนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้า. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วันขึ้น ๑๓ ค่ำก็มี.
พระองค์ทรงฝันเห็นสุบินเหล่านี้แล้ว ทรงลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิ ทรงดำริว่าถ้าเราฝันเห็นสุบินเหล่านี้ในกรุงกบิลพัสดุ์ จะกราบทูลพระชนก หากพระชนนีของเรายังทรงพระชนม์อยู่ เราก็จะทูลพระชนนี แต่ในที่นี้ไม่มีผู้จะทำนายสุบินเหล่านี้ได้ จำเราผู้เดียวจักทำนาย.
แต่นั้นพระโพธิสัตว์ทรงทำนายสุบินด้วยพระองค์เองว่า สุบินนี้จักเป็นบุรพนิมิตของสิ่งนี้ สุบินนี้จักเป็นบุรพนิมิตของสิ่งนี้แล้ว เสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาในอุรุเวลคามถวาย เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถาน ทรงบรรลุสัมโพธิญาณ ประทับอยู่ ณ พระเชตวันตามลำดับ เพื่อยังมหาสุบิน ๕ ที่พระองค์เห็นแล้วในมกุฬพุทธกาล (เวลาก่อนเป็นพระพุทธเจ้ามกุฏพุทธะ) ให้พิสดาร จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วทรงเริ่มเทศนานี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มหาปฐวี ได้แก่ แผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่เต็มท้องจักรวาล.
บทว่า มหาสยนํ อโหสิ ได้แก่ เป็นที่สิริไสยาสน์.
บทว่า โอหิโต คือ วางไว้แล้ว. ก็พระหัตถ์นั้นพึงทราบว่ามิได้วางไว้เหนือน้ำ ที่แท้พาดไปเบื้องบนๆ ของมหาสมุทรด้านทิศปราจีนแล้ววางลงที่สุดแห่งจักรวาลด้านทิศปราจีน.
แม้ในบทเหล่านี้ว่า ปจฺฉิเม สมุทฺเท ทกฺขิเณ สมุทฺเท ดังนี้ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ท่านเรียกว่า ทัพพติณะ (คือหญ้าคา) ในบทว่า ติริยา นาม ติณชาติ.
บทว่า นาภิยา อุคฺคนฺตฺวา นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสิ (หญ้าผุดจากพระนาภีตั้งจดฟ้า) ความว่า หญ้าผุดขึ้นจากพระนาภีเป็นท่อนไม้สีแดงขนาดเท่าคันไถแล้วพุ่งขึ้นๆ อย่างนี้ คือคืบหนึ่ง ๓ ศอก วาหนึ่ง ยัฏฐิ (ไม้เท้า) หนึ่ง คาวุตหนึ่ง กึ่งโยชน์ โยชน์หนึ่งแล้วตั้งจดฟ้าหลายพันโยชน์ ทั้งที่เห็นอยู่นั่นแล.
บทว่า ปาเทหิ อุสฺสกฺกิตฺวา ได้แก่ หนอนไต่พระบาทตั้งแต่ปลายพระนขา.
บทว่า นานาวณฺณา ความว่า นกมีสีต่างๆ กันอย่างนี้คือตัวหนึ่งสีเขียว ตัวหนึ่งสีเหลือง ตัวหนึ่งสีแดง ตัวหนึ่งสีเหมือนใบไม้แห้ง.
บทว่า เสตา ได้แก่ สีขาว คือ ขาวปลอด.
บทว่า มหโต มิฬฺหปพฺพตสฺส ได้แก่ ภูเขาเต็มไปด้วยคูถ สูงประมาณ ๓ โยชน์.
บทว่า อุปริ อุปริ จงฺกมติ ได้แก่ เสด็จจงกรมแต่บนยอดๆ ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระชนม์ยืน ปรากฏดุจเสด็จเข้าไปประทับนั่งบนภูเขา เต็มไปด้วยคูถประมาณ ๓ โยชน์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงบุรพนิมิตโดยฐานเท่านี้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงถึงการได้พร้อมด้วยบุรพนิมิตนั้นจึงตรัสคำมีอาทิว่า ยมฺปิ ภิกฺขเว ดังนี้.
ในคำนั้น พระอรหัตมรรคของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม เพราะให้คุณทุกอย่าง. เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้ทรงเห็นแผ่นดินใหญ่แห่งจักรวาลใดเป็นฟูกนอนอันเป็นสิริ แผ่นดินใหญ่แห่งจักรวาลนั้นเป็นบุรพนิมิตแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า. ได้ทรงเห็นภูเขาหิมพานต์ใดเป็นหมอน ภูเขาหิมพานต์นั้นเป็นบุรพนิมิตแห่งพระสัพพัญญุตญาณ ได้ทรงเห็นพระหัตถ์และพระบาททั้ง ๔ ประดิษฐานบนยอดจักรวาลอันใด อันนั้นเป็นบุรพนิมิตในการประกาศพระธรรมจักรซึ่งใครๆ ให้เป็นไปไม่ได้ ได้ทรงเห็นพระองค์บรรทมหงายอันใด อันนั้นเป็นบุรพนิมิตแห่งความที่สัตว์ทั้งหลายผู้คว่ำหน้าอยู่ในภพ ๓ หงายหน้าขึ้น ทรงเป็นดุจลืมพระเนตรเห็นอันใด อันนั้นเป็นบุรพนิมิตแห่งการได้ทิพยจักษุ. แสงสว่างได้ปรากฏเป็นอันเดียวกันตราบเท่าถึงภวัคคพรหมอันใด อันนั้นเป็นบุรพนิมิตแห่งอนาวรณญาณ (ญาณอันใดไม่มีเครื่องขัดข้อง).
คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยแห่งพระบาลีนั้นแล.

จบอรรถกถาสุปินสูตรที่ ๖
-----------------------------------------------------
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=22&i=196


อนุโมทนาครับ :b44: :b8: :b8: :b8: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2011, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 21:29
โพสต์: 20


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: ถ้าผมจะคิดว่าคล้ายๆการระลึกชาติภพจะเลยเถิดไปใหม คนที่ระลึกชาติได้จะต้องปฎิบัติธรรมกรรมฐานที่สูงถึงขั้นหรือก็อาจไม่แน่คุณอาจปฎิบัติถึงขั้นนั้นก็ได้(ทางที่ดีอย่าไปคิดเลยอยู่กับปัจจุบันมีสมาธิรู้ตัวตลอดดีกว่า)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2011, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: เอามาให้อ่านกันค่ะ
:b51: เดจาวู :b53:
โค้ด:
Deja-vu ก็คืออะไรที่เคยเห็นผ่านตามาแล้วนั่นล่ะค่ะ เป็นภาษาฝรั่งเศสที่ภาษาอังกฤษยืมมาใช้ ส่วนใหญ่ก็จะใช้กันในแวดวงเรื่องของจิต เรื่องของสังหรณ์และการระลึกได้

Deja = แล้ว
vu นี่มาจากช่องที่สามของ voir เป็นกริยาที่แปลว่าเห็นค่ะ
Longman dic. เขาให้ความหมายไว้ว่า
deja vu : the feeling of remembering something that in fact one is experienceing for the first time; a feeling / sense of deja vu. (ทั่วไปเวลาเขียนบนตัวe และ a จะมีอั๊กซองด้วยนะคะ)

Oxford dic เขาให้ความหมายไว้อย่างนี้ค่ะ
deja vu: 1.feeling that one remembers an event or scene that one has not experienced or seen before.
2.(infml) feeling that one has experienced sth too often: there was an awful feeling of deja ve at the annual party.

แดจาวู เป็นอาการทางจิตชนิดหนึ่ง ที่ยังหาสาเหตุ
ที่แน่นอนไม่ได้

ตามตำราของ คุณหมอจิตเวช อเมริกาท่านหนึ่ง ท่านก็บอกว่าสาเหตุอาจคล้ายกับการระลึกชาติ เหมือนหนังสือดัง
(เราจะข้ามเวลามาพบกัน)

หรือ เกิดจากการตั้งสติ ในขณะที่ทำกิจกรรมนั้นๆ แต่ก็คือยังหา
ข้อสรุปที่แน่ชัดไม่ได้ ก็คงต้องรอคำตอบกันต่อไป


สิ่ง ใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เหมือนกับการที่เรากลับชาติมาหลายชาติ นั่นแหละ เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

เดจาวู เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ..

ศัพท์ ทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เดจาวู มันเกิดจากการที่ขณะหลับ จะมีการหลับอยู่หลายขั้น (ประมาณ 5ขั้น) ถ้าเห็นอนาคตที่เคยทำ ก็จะอยู่ประมาณขั้นที่ 3 ยิ่งขั้นมากขึ้น ความสัมพันธ์กับร่างกายและวิญญาณ จะยิ่งห่างไกลกันออกไป ถ้าหลับลึกถึงขั้นที่ 5 ก่อนหลับจะรู้สึกชาตามร่างกายทั้งตัว ขยับตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ (ลักษณะที่คนทั่วไปเรียกว่าถูกผีอำ) ถ้าหลับในสภาพนี้ อัตราค่าซิงโครกับร่างกายจะลดต่ำ ลงจนเหลือ 0 แล้ววิญญาณก็จะหลุดออกจากร่างกาย.. (จะเป็นไงก็ไม่รู้เพราะยังไม่มีใครเคยลองทำ)


เครดิต http://www.chaliang.com/Board-Detail.asp?ID=02921

จะใช่หรือไม่ จริงหรือเปล่า สงสัยไปก็เท่านั้นแหละค่ะ

สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมมีในเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น :b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2011, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความฝัน เป็นนิมิต เป็นภาพที่มาปรากฏในจิต ในขณะนอนหลับ อาจ มีเหตุ
มีปัจจัย สัญญา ความจำ ความคิด ตรึก นึก วิตก กังวล อิ่มเอิบ ใจ สลด สังเวช
ใจ ก็เก็บมาฝันได้ จิต ปรุง แต่ง จาก เหตุปัจจัย เหล่านี้ จิต ก็นำ ภาพ สัญญา
เหล่านี้ มาปรุงแต่ง เป็นเรื่อง เป็นราว ปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ
ความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง
แม้ที่เราตื่นอยู่ คิดว่า จริง มันก็ยังไม่จริง มันเป็นเพียง สมมติ
สัจจธรรม ความจริง คือ มันเป็นสภาวะธรรม ที่เป็นจริงตามธรรมชาติ
ไม่มี ตัว เรา เขา บุคคล สัตว์ มีแต่ รูป และ นาม ที่ เกิด ดับ อยู่ตลอดเวลา
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา :b16: :b12: :b8:
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2011, 04:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
แล้ว..เจ้าของความฝัน..คิดยังงัยกับฝันของตัวเอง..ละครับ
:b1:

ไม่ได้คิดอะไรมากครับ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเราทำได้แค่ดูมัน


ไม่คิดมากก็ดีแล้ว..ครับ :b16: :b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร