วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 10:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 37  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
มันจะเจอหรือเปล่า จะใช่ไม่ใช่ไม่รู้ไม่กล้าฟันธง อีกทั้งมันเป็นมรรยาทของผู้รู้
แล้วเอาอะไรมามั่นในนักหนาว่าทางนี้จะพบปัญญา พบแล้วค่อยมาว่ากันดีมั้ย

ท่านซุปครับ ท่านพอจะเข้าใจภาษาบ้านๆ ที่ผมให้ไว้ตอนแรกมั้ยครับที่ว่า
โฮฮับ เขียน:
"อีกทั้งมันเป็นมรรยาทของผู้รู้"

ท่านครับคนที่รู้จริงเขาไม่มาโพนทนาหรอกครับ มันเหมือนกับคุยโตโอ้อวด
ถ้าเป็นทางธรรมก็ห้ามครับ เขาเรียกอวดอุตริครับ
Supareak Mulpong เขียน:
...

คำตอบเรื่องทุกข์กับการดับทุกข์เป็นเรื่องง่ายถ้ามีเฉลยอยู่ในมือแล้ว ถ้าเข้าไม่ถึง จะกลายเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในโลกที่จะหาคำตอบ
ธรรมชาติมีเหตุปัจจัยเป็นแดนเกิด ถ้าบอกว่า อยู่ดีๆ แล้วมันจะรู้เอง มันจะเกิดเอง แปลว่า ผิดกฏธรรมชาติ หรือไม่มีทางเป็นไปได้

ท่านอย่าพูดเองเออเองซิครับ ใครมันไปบอกว่าอยู่ดีๆ มันจะรู้เอง
จะบอกให้ครับว่า ตัวปัญญาที่ว่า มันก็เป็นธรรมชาติครับ มันมีเหตุปัจจัยให้เกิด

แต่ส่วนใหญ่ที่เราไม่เห็นไม่รู้ก็เพราะ พวกเราหลงอยู่ สภาวะแห่งปัญญามันเกิดแล้ว
แต่เราไม่รู้หรือดูไม่ทัน เพราะใจมีกิเลสหลงไปกับกิเลส

ปัญญาที่ได้มันเป็นสภาวะที่เราเข้าไปรู้ และยอมรับสภาวะนั้นว่าเป็นจริง
และสามารถเอาสภาวะนั้นไปดับทุกข์จากกิเลสจากความหลง
ดูง่ายๆยามใดที่เกิดกิเลสปรุงแต่งขึ้น จิตก็จะระลึกถึงปัญญาระลึกถึงความจริง
ที่ได้ไปพบรู้เห็นมา เราก็จะเข้าใจว่า กิเลสปรุงแต่งมันของปลอม

ส่วนเรื่องที่ท่านบอกว่า อโทสะ อโลภะ อโมหะ อธิบายง่ายๆเลยว่า มันเป็นวิธี
ของการทำสมถะที่ท่านเคยว่าเป็นผีเปรต กิเลสถ้ามีปัจจัยให้เกิดมันก็ต้องเกิด
การไปปิดกันไม่ให้เกิดตั้งแต่ต้น มันเป็นการทำสมถะไปปิดกั้นมันไว้
ซึ่งตามความจริง อะไรเกิดต้องใช้วิธีดับมันถึงจะถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 13:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ปัญญทางโลก มีความเห็นเป็นแดนเกิด ประกอบด้วยความพอใจไม่พอใจและความหลง
ปัญญาทางธรรม มีความจริงเป็นแดนเกิด ไม่ประกอบด้วยความพอใจไม่พอใจและความหลง

ไม่ว่าจะเป็นปัญญาทางโลกหรือทางธรรม มันจะถูกเก็บไว้ที่เดียวกัน คือ ในสัญญา

....


:b8: ขอบคุณท่าน sup ข้อความกระทู้นี้ของท่าน
เป็นข้อความที่สวยมาก จริง ๆ

ข้อความในส่วนข้างบนเอกอนขอแยกออกก่อน เพื่อไม่ให้การพิจารณาปะปนกัน

แต่ก่อนอื่น เอกอนเชื่อว่า ในลานแห่งนี้มีกลุ่มพุทธวจนะอยู่ด้วย
ช่วยเอกอนแสกนดูนิดนุงนะคะ ว่าพระสูตรด้านล่าง เป็นพุทธวจนะหรือไม่
ถ้าไม่
ช่วยลองระลึกพระสูตรที่เป็นพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมใกล้เคียงมาได้รึเปล่า
เพราะ พระสูตรนี้ จะว่าธรรมดา ไม่ใช่เลย

เพราะเอกอนเห็นมาพอสมควรแล้ว แต่ไม่กล้ายืนยันในสิ่งที่เห็นตามนั้น
เพราะส่วนใหญ่จะเจอแต่ผู้กล่าวถึงปัญญาด้วย คำกล่าวที่เป็นลักษณะข้างต้น

แต่ไม่เคยเจอใครกล่าวถึงปัญญาดังคำกล่าว ดังพระสูตร

Supareak Mulpong เขียน:
เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ
Quote Tipitaka:
พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยอะไร?

พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ.

ปัญญา มีอะไรเป็นประโยชน์?

ปัญญา มีความรู้ยิ่งเป็นประโยชน์ มีความกำหนดรู้เป็นประโยชน์ มีความละเป็นประโยชน์.

สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรมเท่าไรอนุเคราะห์แล้ว?

สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการ อนุเคราะห์แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสากัจฉาอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว ๑ สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการนี้แล อนุเคราะห์แล้ว


... เอาเกลือให้ชิม แล้วลองชิมหรือยังละครับ จะได้รู้ด้วยตนเองว่า ทำไปต้องวิปัสสนา


และทำไมต้อง สมถะ :b8:

ซึ่งคงต้องอาศัยคนที่มีสมถะที่แหลมคม เ้ข้ามาแสดงความเห็น
ซึ่งอาจจะหักล้างความเห็นข้างต้นลงทั้งหมดเลย
และอาจจะช่วยทำลายความเห็นผิด ๆ เกี่ยวกับ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติธรรมหลาย ๆ คนได้อีกด้วย

:b8: อนุโมทนาสาธุ ล่วงหน้า

:b12: :b12: :b12:

อิอิ แบบว่า นู๋มีสายตาในการสัมผัสตัวอักษรดี แ่ต่เรื่องอื่น ๆ สอบตกเหมิด จ้าาาาา อิอิ

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




41_1718.jpg
41_1718.jpg [ 41.25 KiB | เปิดดู 4529 ครั้ง ]
cool ได้อารมณ์ดีแล้วนะครับคุณโฮฮับ?
ผมเพิ่งจะทราบว่ากระทู้นี้คุณโฮอับสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับการคุยกัน 2 คน ห้ามแทรกกลาง

โฮฮับ เขียน มันอย่างไรละครับ แล้วผมไม่ได้บอกไม่ได้อธิบายหรือว่า เขาแยกปัญญาไว้สองอย่าง
มันเป็นปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรม
ถ้าใช้ตาดูหูฟังแล้วใช้สมองคิดจินตนาการ แล้วบอกผลที่ได้เป็นปัญญา
แล้วจะมี วิปัสสนาไว้ทำไมกันครับ เราไม่ได้กำลังคิดสูตรข้าวมะม่วงหรือคำนวนสร้าง
วิมานสวรรค์อยู่นะครับ เรากำลังหาสภาวะที่แท้จริงของจิตอยู่

การได้รู้สภาวะที่แท้จริงของจิตนี่แหล่ะครับที่เขาเรียกว่า ปัญญา

อนัตตาธรรม วิจารณ์
ไม่ว่าปัญญาทางโลกหรือทางธรรมก็จะมีลำดับความเป็นมาเช่นเดี่ยวกัน คือสุตตะ จินตะ แล้วจึงจะเข้าถึงภาวนา ฟัง .... คิด พิจารณา........... ลงมือทำ

วิปัสสนาภาวนานั้น เป็นการเอาสติ ปัญญา อันได้แก่สตินทรีย์เจตสิก และปัญญินทรีย์เจตสิก เข้าไปเฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าสังเกต พิจารณา สภาวธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในกายและจิต ณ ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ จนเห็นความจริง ความจริงของสภาวธรรมทั้งหมด คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา


การได้เข้าไปสัมผัสความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยจิตใจของเจ้าของ จนยอมรับความจริงนั้น นั่นแหละคือปัญญาทางธรรม ซึ่งก็น่าจะตรงกันอยู่

แต่คุณโฮฮับยึดแน่นเกินไปในความหมายของคำว่าปัญญา ตามความเห็นของคุณ นี่แหละทิฐิ นี่แหละมานะ ถ้าใครมาขัดก็จะโกรธหรือปฏิฆะ ขุ่นมัว หรือไม่จริง ลองสังเกตดูในจิตของคุณโฮ ขณะนี้ก็ได้นะครับ

การแสดงความเห็นร่วมในกระทู้ไม่ใช่เป็นการมาอวดอัตตา ทิฐิ มานะ แต่เป็นการมาแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนกัน ตามประสากัลยาณมิตร สหายธรรม คุณโฮ .... น่าจะใจกว้างพอรับฟังได้บ้างกระมังครับ
Onion_L
:b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




divinemercy03.jpg
divinemercy03.jpg [ 14.58 KiB | เปิดดู 4526 ครั้ง ]
tongue อนัตตาธรรม เขียน:
สุตตมยปัญญาเป็นส่วนของ สัญญา ใช่อยู่
จินตมยปัญญาก็เป็นการเอาสัญญามาปรุงแต่งเพื่อให้เกิดปัญญาตัวที่ชี้ไปสู่การทำภาวนามยปัญญา
ส่วนปัญญาแท้ๆคือภาวนามยปัญญานั้น ต้องมีประสบการณ์ที่ใจของตนเองจริงๆ ความรู้ครั้งแรกของใจนั้นเรียกว่าปัญญา หลังจากนั้นความรู้นั้นจะกลายเป็นสัญญา อย่างเช่นการรู้รสเค็ม การรู้ไฟร้อนของเด็ก

โฮฮับ เขียน
แล้วยังไงล่ะครับ พูดทำไมล่ะครับ คุณต้องการสื่ออะไร
หรือแค่อวดภูมิทั้งๆที่ไปลอกเขามา


อนัตตาธรรม เขียน
พูดเพื่อให้คุณรู้ว่า ปัญญา คือการสัมผัสรู้ความจริงครั้งแรกสุดของชีวิต หลังจากนั้นเรื่องที่รู้นั้นจะกลายเป็นสํญญาไปตลอด
ความรู้เช่นนี้เป็นสากล ผมมิได้ลอกใครมา คุณคิดว่าไปลอกใครมาก็ผิดแล้วครับ จิตเศร้าหมองเป็นอกุศลแล้วครับ
Onion_L
:b1: :b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




img19.jpg
img19.jpg [ 41.36 KiB | เปิดดู 4525 ครั้ง ]
cool โฮฮับ เขียน
ห้องสนทนาธรรมความหมายก็มีในตัว มันเป็นห้องแสดงความเห็น
ใครมีความเห็นอย่างไรก็ว่ากันไป มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ในเรื่องของสำนวนการเขียน
อาจมีแรงบ้าง ยอกย้อนบ้างก็ไม่ควรถือสาถ้าเรายังต้องการคุย เราก็ต้องรู้จักให้อภัย
ในส่วนนี้
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คุณอนันตตาคิดอย่างไรถึงมาทะลุกลางปล้อง มาโวกเวกตำหนิชาวบ้าน
ว่ามีอัตตา มีมานะ

อนัตตาธรรมเขียน

แล้วที่คุณโฮฮับ ตอบโต้กลับมานี้ ตอบโต้ด่วย ปฏิฆะ โทสะ มานะทิฐิ หรือ อัตตทิฐิ หรือด้วยเมตตา กรุณา ละครับ

สุดท้าย ไม่ต้องรีบพิมพ์มากนะครับ จะมีสติ แต่ขาดสัมปชัญญะ คือปัญญาแยกแยะ ดี ชั่ว ถูก ผิด ชอบ ไม่ชอบ ครับ ผมใช้สมมุติชื่อว่า "อนัตตาธรรม" ครับ ไม่ใช่อนันตาธรรม ส่วนที่ผมพิมพ์ชื่อคุณบางตอนเป็นคุณโฮ....นั้นเพื่อให้ระลึกถึงลุงโฮ วีระบุรุษของเวียตนามเหนือนะครับ หวังว่าคงยิ้มออกได้นะครับ

สุขใจ สบายจิต และเจริญธรรม

พักไปดูอะไรดีๆสักหน่อยไหมครับ ตามลิงค์นี้

http://www.youtube.com/watch_popup?v=jJ ... &vq=medium

ความตั้งมั่นของจิต
:b16:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอนัตตาธรรม เอารูปพระเยซูคริสต์มาลงไว้หรือครับ
..............ช่วยอธิบายด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 16:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ หัวใจสองสี ไง
เพราะไม่มีรูปที่พระตถาคต แสดงหัวใจสองสี น่ะ :b12:


กำลังว่าจะคุยเรื่องนี้กะ ถึก อยู่พอดีเลย

ว่าแต่ ท่าน FLAME เอกอนเห็นชอบเอาพุทธวจนะมาลง ไม่ใช่เหย๋อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอฟังคุณอนัตตาธรรมอธิบายด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พระผู้มีพระภาคเจ้า

" ดูกรเสลพราหมณ์ เราเป็นพระราชา เป็นพระราชาโดยธรรม
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เราประกาศธรรมจักร อันเป็นจักรที่ใครๆ
ประกาศไม่ได้."

" ดูกรเสลพราหมณ์ เราเป็นพระราชาชั้นเยี่ยมเป็นพระธรรมราชา เรายัง
จักรที่ใครๆ พึงให้เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปโดยธรรม ฯ "

"ดูกรพราหมณ์ ท่านจงนำความเคลือบแคลงในเรา ออกเสีย จงน้อมใจเชื่อเถิด เพราะการเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนืองๆ ที่ปรากฏขึ้นในโลก เป็นการหาได้ยาก ดูกรพราหมณ์ เราเป็นพระพุทธเจ้า เป็นหมอผ่าตัดลูกศร คือ กิเลสชั้นเยี่ยม เราเป็นผู้ประเสริฐดังพรหม ไม่มีผู้เสมอเหมือน เป็นผู้ย่ำยีมารและเสนามาร ทำให้หมู่สัตว์ผู้มิใช่ มิตรทุกๆ จำพวกไว้ในอำนาจได้ เป็นผู้มีภัยแต่ที่ไหนๆ เบิกบานอยู่."


ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นธรรมราชา พระจอมไตรโลกนาถผู้มิมีผู้ใดเสมอเหมือน
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
การเอาชนะความพอใจไม่พอใจ ต้องเอาความจริงไปดับ ในโลกและจักรวาลนี้ นอกจากกฏธรรมชาติ ๒ กฏแล้ว ที่เหลือเป็นความเชื่อทั้งหมด

ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม ต่างก็มีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือเป็นอนิจจัง ทุกขขัง อนันตา เหมือนกันไม่มีเว้น หรือท่านว่ามีอะไรรอด? นอกจากนิพพาน

ทำไมมันเป็นเช่นนั้นละ? ที่มันเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ มันเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย พร้อมด้วยเหตุปัจจัยให้อยู่ก็ต้องอยู่ พร้อมด้วยเหตุปัจจัยให้แตกสลาย ก็ต้องแตกสลาย เราไปบังคับควบคุมมันไม่ได้เลย

สิ่งไม่เที่ยงเหล่านี้ จะอามาเป็นแก่นสารสาระในชีวิตไม่ได้ ยึดถือไม่ได้ เพราะมันมีวันต้องแตกสลาย โลกจักรวาลก็มีอายุ ดวงอาทิตย์ก็มีอายุ เกิดเป็นพรหมอายุ ๖๔ มหากัป ก็ยังต้องตาย ไม่มีอะไรยั่งยืน

ความจริงที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงนี้ เอาไปดับความพอใจไม่พอใจได้

ความพอใจไม่พอใจและความหลง เกิดกับเราได้ ๖ ทาง นอกจาก ๖ ทางนี้ ไม่มีกิเลสตัณหาเกิดขึ้นกับเรา เราจะดับก็ต้องดับให้ได้ทั้ง ๖ ทาง ไปฝึกดับทางใจทางเดียว พอลืมตาตื่น เห็นอะไรไม่สบอารมณ์ ก็ยังโกรธได้ เสียงด่าเข้าหู ก็ยังมีหน้าแดงหน้าดำ ฯ เพราะไม่เคยฝึก

วิธีการฝึก ก็คือ พอตาเห็นรูป ก็ให้พิจารณารูปนั้น หรือลงความเห็นกับรูปที่เห็นว่า มันเป็นเพียงธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนะ ตัวฉันคนเห็นก็มีลักษณะหนุ่มแก่ตาย ไม่ว่าจะมาทาง หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ให้พิจารณาแบบนี้ เรียกว่า การวิปัสสนาภาวนา ผลที่ออกมาก็คือ ความพอใจไม่พอใจและความหลงในรูป จะดับได้ทันที อโลภะ อโทสะ อโหะ จะเกิดขึ้นมาแทน ... เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงมี ...

เมื่อ อโลภะ อโทสะ อโมหะ หรือ วิชชา เกิดขึ้นมา คนก็เลยคิดดีทำดี ชาวพุทธถึงมีแต่ความเจริญ ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เพราะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ก็เป็นกุศลเหตุ ๓ หรือเป็นบุญ ทำให้ความดีความเจริญทั้งปวงเกิดขึ้นกับเรา พระพุทธองค์ยืนยันว่าพ้นอบายภูมิแน่นอน

ทำแบบนี้ต้องไปทำสมาธิเพิ่มหรือเปล่า? ต้องสนใจจริตด้วยใหม?

ท่านซุปครับ ฟุ้งมาตั้งมากมาย เป็นน้ำท่วมทุ่ง ท่านรู้หรือเปล่าว่า
ไอ้วิธีการที่ท่านอธิบายมา นั้นแหล่ะ มันเป็นการทำสมาธิ

ท่านว่าการสวดมนต์ เป็นการทำสมาธิมั้ย
ถ้าใช่ไอ้วิธีการของท่าน มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
ผิดกันก็แค่ตรงภาษา และการออกเสียงแค่นั้น

ท่านลองไปฟังพระสวดมนต์ทำสมาธิดูซิครับ เนื้อหาก็แบบเดียวกับท่านนี้แหล่ะ
บทที่ว่าความไม่เที่ยงของขันธ์นั้นแหล่ะครับ
รูปังอนิจจัง เวทนาอนิจจัง สัญญาอนิจจัง สังขารอนิจจัง วิญญาณอนิจจัง :b30:

แยกแยะให้มันถูก แล้วค่อยคุยผมว่าไม่สายหรอกครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอนัตตาธรรมจำเป็นต้องชี้แจงครับ เรื่องนี้ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไป Onion_L


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาธรรม เขียน:
cool ได้อารมณ์ดีแล้วนะครับคุณโฮฮับ?
ผมเพิ่งจะทราบว่ากระทู้นี้คุณโฮอับสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับการคุยกัน 2 คน ห้ามแทรกกลาง

การแสดงความเห็นร่วมในกระทู้ไม่ใช่เป็นการมาอวดอัตตา ทิฐิ มานะ แต่เป็นการมาแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนกัน ตามประสากัลยาณมิตร สหายธรรม คุณโฮ .... น่าจะใจกว้างพอรับฟังได้บ้างกระมังครับ
Onion_L
:b12:

คุณอนันตาครับ คุณอย่าเป็นประเภทคิดเข้าข้างตัวเองซิครับ
ผมบอกหรือว่าผมสงวนสิทธิ์การคุยไว้แค่สองคน ใครจะเข้ามาคุยผมก็ยินดีครับ
ถ้าคุณจะเข้าคุยดีๆใครเขาจะไปว่าคุณ แต่การแสดงตัวตนคุณมันไม่ใช่ครับ
มันเป็นการเข้ามายกตนข่มท่าน มันไม่ใช่การแสดงความเห็นแต่เป็นการเข้ามาขัดจังหวะ
การสนทนา ด้วยถ้อยคำที่ไร้มรรยาทครับ
อนัตตาธรรม เขียน:
tongue
ผ่อนคลายการที่จะพยายามทำให้ผู้อื่นเห็นเหมือนอย่างที่เราเห็นลงเสียบ้าง ชีวิตจะได้เป็นสุขสงบนะครับ
เรื่องอัตตทิฐิ นั้นแก้ยากอยู่แล้ว ยิ่งมาเรื่องมานะทิฐิ ยิ่งแก้ยากไปใหญ่ ต้องให้เขาประสบด้วยตนเองจึงจะรู้และยอมรับ

คุณอนันตา คุณลองพิจารณาคำพูดของคุณดูสิว่า มันไร้มรรยาทจริงมั้ย
มันเป็นคำพูดที่จะแสดงความเห็นในกระทู้หรือเปล่า หรือว่ามันเป็นการแสดง
อาการว่า ตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 18:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ท่านครับคนที่รู้จริงเขาไม่มาโพนทนาหรอกครับ มันเหมือนกับคุยโตโอ้อวดถ้าเป็นทางธรรมก็ห้ามครับ เขาเรียกอวดอุตริครับ

อวดอุตริพระพุทธองค์ห้ามเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ แล้วที่เขาไม่บอกใครว่าเป็นอริยะ เพราะบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ แสดงออกมาให้ดูก็ไม่ได้ ที่เรียกว่า รู้เฉพาะตน บอกไม่เชื่อก็แล้วไป ถ้าต่อว่า เรียกว่าปรามส

อ้างคำพูด:
ส่วนเรื่องที่ท่านบอกว่า อโทสะ อโลภะ อโมหะ อธิบายง่ายๆเลยว่า มันเป็นวิธี
ของการทำสมถะที่ท่านเคยว่าเป็นผีเปรต กิเลสถ้ามีปัจจัยให้เกิดมันก็ต้องเกิด
การไปปิดกันไม่ให้เกิดตั้งแต่ต้น มันเป็นการทำสมถะไปปิดกั้นมันไว้
ซึ่งตามความจริง อะไรเกิดต้องใช้วิธีดับมันถึงจะถูกต้อง

แปลว่าที่ ที่อุตส่าห์สาทยายมา ท่านไม่ได้รู้เรื่องเลย :b23: ... เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี่ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี่ไม่มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงไม่มี ... :b8:

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑ ธรรมสังคณีปกรณ์ เหตุโคจฉกะ
Quote Tipitaka:
[๖๙๔] โลกุตตรเหตุ ๖ เป็นไฉน?

กุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า โลกุตตรเหตุ ๖.

บรรดาโลกุตตรเหตุ ๖ นั้น กุศลเหตุ ๓ เป็นไฉน?

อโลภะ อโทสะ อโมหะ.

บรรดากุศลเหตุ ๓ นั้น อโลภะ เป็นไฉน?

การไม่โลภ กิริยาที่ไม่โลภ ความไม่โลภ ความไม่กำหนัด กิริยาที่ไม่กำหนัด ความไม่กำหนัด ความไม่เพ่งเล็ง กุศลมูลคืออโลภะ นี้เรียกว่า อโลภะ.

อโทสะ เป็นไฉน?

การไม่คิดประทุษร้าย กิริยาที่ไม่คิดประทุษร้าย ความไม่คิดประทุษร้าย ฯลฯ ความไม่พยาบาท ความไม่คิดเบียดเบียน กุศลมูลคืออโทสะ นี้เรียกว่า อโทสะ.

อโมหะ เป็นไฉน?

ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ในทุกขนิโรธ ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความรู้ในส่วนอดีต ความรู้ในส่วนอนาคต ความรู้ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ความรู้ในปฏิจจสมุปปาทธรรมว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ปัญญา กิริยาที่รู้ชัดความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ชัดปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญาเหมือนศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่างคือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรคนับเนื่องในมรรค นี้ชื่อว่า อโมหะ.

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า กุศลเหตุ ๓.

อัพยากตเหตุ ๓ เป็นไฉน?

อโลภะ อโทสะ อโมหะ ฝ่ายวิบากแห่งกุศลธรรม สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่าอัพยากตเหตุ ๓.

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า โลกุตตรเหตุ ๖.


อ้างคำพูด:
ช่วยลองระลึกพระสูตรที่เป็นพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมใกล้เคียงมาได้รึเปล่า
เพราะ พระสูตรนี้ จะว่าธรรมดา ไม่ใช่เลย
เรื่องสัญญา การเกิดของสัญญา ฯ ก็เคยเอามาให้อ่านแล้วนี่ครับ ... เรื่องมันยาวววววว นะ สรุปง่ายๆ ว่า จิตมันเป็นธาตุรู้ธาตุจำ เอาผิดให้มันรู้มันรู้ผิด เอาถูกให้มันรู้มันรู้ถูก เอาอะไรให้มันรู้มันก็เก็บไว้ในสัญญา อวิชชา ก็อยู่ในสัญญา วิชชา ก็อยู่ในสัญญา
viewtopic.php?f=66&t=35435

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์ สัญญาขันธ์ [ทุกมูลกวาร]
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v ... =702&Z=961

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ๗. สัญญาสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0


อ้างคำพูด:
ท่านว่าการสวดมนต์ เป็นการทำสมาธิมั้ย
ถ้าใช่ไอ้วิธีการของท่าน มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
ผิดกันก็แค่ตรงภาษา และการออกเสียงแค่นั้น

พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ พิจารณาที่ผัสสะ ไม่ได้ให้ท่อง ... เสียงเข้าหู สักพัก มันก็ดับไป จริงมั้ย?

พระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า ให้ยังปัญญาให้เกิดขึ้นคู่กับจิตทุกครั้งเมื่อจิตเกิดขึ้นมาเพื่อเสวยอารมณ์ เปรียบปัญญาเหมือนรอยฝีเท้าที่เดินตามจิต ฯ

อ้างคำพูด:
รูปังอนิจจัง เวทนาอนิจจัง สัญญาอนิจจัง สังขารอนิจจัง วิญญาณอนิจจัง

อันนี้มันท่องจำ ไม่ใช่วิปัสสนา ... ลองไปถามคนท่องว่า แปลว่าอะไร เผลอๆ ไม่มีคำตอบ

อ้างคำพูด:
อริยะบุคคลไม่ต้องสอนก็ได้

บรรลุอรหันต์แน่ๆอยู่แล้ว

พระพุทธเจ้าทรงสอนเวไนยสัตว์

ไม่ใช่สอนแต่อริยบุคคล

พระอานนท์เป็นพระอริยะ เป็นพระโสดาบัน ก็ยังต้องเรียนอยู่เลยนะครับ แล้วที่ท่านสอนอริยบุคคล ก็อย่าเพิ่งเอามาปฏิบัตินะครับ รอให้เป็นอริยบุคคลก่อน


ได้วิปัสสนาเมื่อใหร่แล้วค่อยมาคุยกันต่อนะครับ ใครเอาไปลองแล้วได้ผลอย่างไรก็เอามาบอกด้วย ... ถ้าไม่เชื่อ ก็ไปอ่านพระไตรปิฏกสัก ๒-๓ รอบก่อนก็ได้ ... เราชาวพุทธต้องเอาคำพระพุทธเจ้าว่า อย่าเอาแต่คำเขาว่า ได้ยินได้ฟังอะไรมา ก็เอาไปเทียบพระสูตรพระวินัยดูก่อน (หลักมหาประเทศ ๔) ... สวัสดี

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 18 พ.ค. 2011, 21:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
ก็ หัวใจสองสี ไง
เพราะไม่มีรูปที่พระตถาคต แสดงหัวใจสองสี น่ะ :b12:



ไม่แน่..ไม่นานอาจเหลือแค่..สีเดียว.. :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
และทำไมต้อง สมถะ :b8:

ซึ่งคงต้องอาศัยคนที่มีสมถะที่แหลมคม เ้ข้ามาแสดงความเห็น



สมถะทื่อ ๆ...อย่างเรา..มานั่งรอชม

รูปภาพ

ดีกว่า... :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ... 37  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 85 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร