วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 14:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 37  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
พระผู้มีพระภาคเจ้า

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นธรรมราชา พระจอมไตรโลกนาถผู้มิมีผู้ใดเสมอเหมือน
:b8: :b8: :b8:


:b8: :b8: :b8: เข้าใจคุณ FLAME..ครับ..

และก็ไม่เข้าใจคุณอนัตตาธรรม..ด้วย.. :b9: :b9:

รูปภาพ

มาคิดอย่างนี้ครับว่า..
หากย้อนกลับไป...พวกเราจะปฏิบัติตนอย่างไร..กับ..สุเมธดาบส

แม้จะไม่เชื่อฟังที่สุเมธดาบสสอน....แต่ก็คงไม่ขาดความน้อบน้อม..กระมั้ง??

แล้วมันเกี่ยวกันมั้ยเนี้ย.... :b23: :b23: :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเข้าใจที่คุณกบต้องการสื่อครับ
แต่ผมก็ยังอยากฟัง คุณอนัตตาธรรมอธิบายเช่นกัน ว่า คุณอนัตตาธรรมเอารูปพระเยซูมาโพสในกระทู้ธรรมะต้องการสื่อถึงอะไร มีเจตนาอย่างไรถึงทำเช่นนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2011, 22:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ช่วยลองระลึกพระสูตรที่เป็นพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมใกล้เคียงมาได้รึเปล่า
เพราะ พระสูตรนี้ จะว่าธรรมดา ไม่ใช่เลย
เรื่องสัญญา การเกิดของสัญญา ฯ ก็เคยเอามาให้อ่านแล้วนี่ครับ ... เรื่องมันยาวววววว นะ สรุปง่ายๆ ว่า จิตมันเป็นธาตุรู้ธาตุจำ เอาผิดให้มันรู้มันรู้ผิด เอาถูกให้มันรู้มันรู้ถูก เอาอะไรให้มันรู้มันก็เก็บไว้ในสัญญา อวิชชา ก็อยู่ในสัญญา วิชชา ก็อยู่ในสัญญา


เอกอนไม่ได้ถามถึง สัญญา จ้า ท่าน sup

เอกอน เจาะจง ตรงนี้

Supareak Mulpong เขียน:
เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ
Quote Tipitaka:
พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยอะไร?

พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ.
ปัญญา มีอะไรเป็นประโยชน์?

ปัญญา มีความรู้ยิ่งเป็นประโยชน์ มีความกำหนดรู้เป็นประโยชน์ มีความละเป็นประโยชน์.

สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรมเท่าไรอนุเคราะห์แล้ว?

สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการ อนุเคราะห์แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสากัจฉาอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว ๑ สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการนี้แล อนุเคราะห์แล้ว


ที่บอกว่าไม่ธรรมดา เพราะทันทีที่อ่าน
เอกอนเห็นมิติขององค์ประกอบของสิ่งที่ถูกกล่าวถึงทันที

แต่ท่านเห็น สัญญา

ในปฏิจจ. วงจรเต็มตามพุทธวจนะ
เพราะ อวิชาเป็นปัจจัย และอวิชาตรงนี้ ก็อยู่ห่างจาก สัญญา

ท่านเอาสัญญามาเป็นปัจจัยให้กับ อวิชา ตรงนั้นไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 01:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว เห็นขีดเส้นใต้คำว่า ในสัญญา :b12:

สูตรนี้ พระสารีบุตรเป็นผู้สรุป ถ้าจะยกพระไตรปิฏกมาอธิบาย ก็คงต้องยกมาทั้งกระบินั่นแหละ เพราะมันเป็นสรุปทั้งหมด ถ้าจะให้อธิบาย มันก็ยิ่งกว่าหนังชีวิตอีก ยิ่งกว่ายาววววว .... อย่างสรุปก็อยู่ในปฏิสัมภิทามรรคเล่มเดียว

สรุปง่ายๆ ว่า สัมมาทิฐิที่นับเนื่องเป็นองค์แห่งมรรค หรือสัมมาทิฐิที่เป็นอนาสวะ หรือความเห็นที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงฯ มีนิพพานเป็นที่หมายก็แล้วกัน (มีธรรมในธิติญานเกิดก่อนญานในพระนิพพานเกิดขึ้นภายหลัง)

Quote Tipitaka:
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค

อนิจจวรรคที่ ๑ อัชฌัตติกอนิจจสูตร

[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตาสิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา หูเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ จมูกเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ลิ้นเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ กายเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ใจเป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในหู ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจมูก ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในลิ้นย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในใจ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ


พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค รวมเรื่องการพิจารณา อินทรีย์ ๖ ไว้ทั้งเล่ม น่าจะอ่านให้จบนะ ส่วนเรื่องเรื่องขันธ์ ๕ อยู่ในเล่ม ๙ ทั้งเล่มเหมือนกัน

เล่มที่ ๑๑ เฉพาะ มัคคสังยุต อธิบายเรื่องมรรค เช่น ว่าด้วยอวิชชา และวิชชาเป็นหัวหน้าแห่งอกุศลและกุศล, ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อกำหนดรู้ทุกข์, มรรคภาวนาที่ตั้งไว้ผิดและตั้งไว้ถูก, ว่าด้วยสัมมาสมาธิอันประเสริฐ, เจริญอริยมรรคเพื่อกำหนดรู้เวทนา, เจริญอริยมรรคเพื่อละกามคุณ ๕, ข้อปฏิบัติเพื่อสำรอกราคะ, ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละสังโยชน์, ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อถอนอนุสัย, ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อกำหนดรู้สังสารวัฏ, ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อสิ้นอาสวะ, ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งวิชชาและวิมุตติผล, ผู้เจริญอริยมรรคเป็นผู้น้อมไปสู่นิพพาน, ผู้เจริญอริยมรรคน้อมไปในการสละ, ผู้เจริญอริยมรรคมีการกำจัดราคะเป็นที่สุด, ผู้เจริญอริยมรรคย่อมระบายอกุศลธรรม, ทิฏฐิที่ตั้งไว้ชอบย่อมทำลายอวิชชา, ผู้เจริญอริยมรรคย่อมทำสติปัฏฐานให้บริบูรณ์, ผู้เจริญอริยมรรคทำอกุศลธรรมให้สงบโดยพลัน, ผู้เจริญอริยมรรคทำให้สังโยชน์สงบหมดไป, ไม่มีผู้สามารถให้ผู้เจริญอริยมรรคกลับเป็นคนเลวได้ ฯ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาธรรม เขียน:
tongue อนัตตาธรรม เขียน:
สุตตมยปัญญาเป็นส่วนของ สัญญา ใช่อยู่
จินตมยปัญญาก็เป็นการเอาสัญญามาปรุงแต่งเพื่อให้เกิดปัญญาตัวที่ชี้ไปสู่การทำภาวนามยปัญญา
ส่วนปัญญาแท้ๆคือภาวนามยปัญญานั้น ต้องมีประสบการณ์ที่ใจของตนเองจริงๆ ความรู้ครั้งแรกของใจนั้นเรียกว่าปัญญา หลังจากนั้นความรู้นั้นจะกลายเป็นสัญญา อย่างเช่นการรู้รสเค็ม การรู้ไฟร้อนของเด็ก

แล้วยังไงล่ะ จะแย้งผมตรงไหน ก็ผมบอกไปว่าแค่การฟังการอ่านในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
มันยังไม่ใช่ปัญญา มันต้องปฏิบัติให้ถึงให้พบเสียก่อน และตัวที่พบนั้นแหล่ะปัญญา

ย้อนกลับไปอ่านเอาใหม่
อนัตตาธรรม เขียน:
โฮฮับ เขียน
แล้วยังไงล่ะครับ พูดทำไมล่ะครับ คุณต้องการสื่ออะไร
หรือแค่อวดภูมิทั้งๆที่ไปลอกเขามา

อนัตตาธรรม เขียน
พูดเพื่อให้คุณรู้ว่า ปัญญา คือการสัมผัสรู้ความจริงครั้งแรกสุดของชีวิต หลังจากนั้นเรื่องที่รู้นั้นจะกลายเป็นสํญญาไปตลอด
ความรู้เช่นนี้เป็นสากล ผมมิได้ลอกใครมา คุณคิดว่าไปลอกใครมาก็ผิดแล้วครับ จิตเศร้าหมองเป็นอกุศลแล้วครับ

สรุปบัญญัติทุกตัว คำพูดทุกตำที่คุณแสดงมา คุณคิดเองคุณสร้างเองจากมันสมองของคุณล้วนๆ
พุทโถ่! อาการแบบนี้เขาเรียกว่าหลงครับ

ถามหน่อยคุณก่อนแสดงความเห็นคุณไม่ได้อ่านเนื้อหาก่อนๆของคนอื่นเขาหรือ
ความเห็นของคุณมันก็เป็นเนื้อใจความของคนอื่นที่แสดงก่อนหน้า
เอาของเขามาดัดแปลงนิดหน่อยแล้วก็โพส โพสไม่โพสเปล่าดันมาตำหนิชาวบ้านเขาอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาธรรม เขียน:
cool โฮฮับ เขียน
ห้องสนทนาธรรมความหมายก็มีในตัว มันเป็นห้องแสดงความเห็น
ใครมีความเห็นอย่างไรก็ว่ากันไป มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ในเรื่องของสำนวนการเขียน
อาจมีแรงบ้าง ยอกย้อนบ้างก็ไม่ควรถือสาถ้าเรายังต้องการคุย เราก็ต้องรู้จักให้อภัย
ในส่วนนี้
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คุณอนันตตาคิดอย่างไรถึงมาทะลุกลางปล้อง มาโวกเวกตำหนิชาวบ้าน
ว่ามีอัตตา มีมานะ
อนัตตาธรรมเขียน
แล้วที่คุณโฮฮับ ตอบโต้กลับมานี้ ตอบโต้ด่วย ปฏิฆะ โทสะ มานะทิฐิ หรือ อัตตทิฐิ หรือด้วยเมตตา กรุณา ละครับ

ผมว่าคุณต้องดูตัวเองครับ ใจเขาใจเรา ผมคิดอย่าง คุณก็คิดอย่าง
ผมจะไม่บอกว่าผมคิดอย่างไร เพราะตอบไปคุณก็ค้องเอาความคิดคุณเป็นที่ตั้ง

แต่ที่แน่ๆถ้าเราหาสมุฐานในเรื่องนี้ มันก็มาจาก ความอยากได้ ใคร่ดีของมนุษย์
อยากให้ตัวเองเป็นผู้ดี เป็นผู้บริสุทธิ์ อยากให้ชาวบ้านก้มกราบยอมรับ
จะบอกให้ครับ ทุกข์มาจากเหตุหรือกิเลสอยากจะรู้ว่า อะไรเป็นกิเลสเพื่อที่จะดับ
ในเรื่องนี้ต้องไปดูที่สมุฐานครับ คุณอนันตตา ลองมองดูตัวเองก็จะเห็นครับ
อนัตตาธรรม เขียน:
สุดท้าย ไม่ต้องรีบพิมพ์มากนะครับ จะมีสติ แต่ขาดสัมปชัญญะ คือปัญญาแยกแยะ ดี ชั่ว ถูก ผิด ชอบ ไม่ชอบ ครับ ผมใช้สมมุติชื่อว่า "อนัตตาธรรม" ครับ ไม่ใช่อนันตาธรรม ส่วนที่ผมพิมพ์ชื่อคุณบางตอนเป็นคุณโฮ....นั้นเพื่อให้ระลึกถึงลุงโฮ วีระบุรุษของเวียตนามเหนือนะครับ หวังว่าคงยิ้มออกได้นะครับ

ผมทิ้งช่วงนานพอหรือยังครับ วรรคนี้ผมไม่มีความเห็นครับ
เพราะมันตลกกับการแสดงความเห็นของคุณ มันเหมือนดูตลกคาเฟ่
หยิบโน้นนิดหยิบนี่หน่อยมาเล่น มีทั้งพระเยซู มีลุงโฮ มียูทูบเป็นแบ็คกราวด์
คุณครับไม่ต้องลงทุนลงแรงมากขนาดนั้นก็ได้ เพราะยังไงๆมันก็ไร้สาระครับ


พุทโถ่! ดันมาบอกให้ชาวบ้านมีสติ สัมปชัญญะ แต่ดูตัวเองทำสิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 05:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ท่านครับคนที่รู้จริงเขาไม่มาโพนทนาหรอกครับ มันเหมือนกับคุยโตโอ้อวดถ้าเป็นทางธรรมก็ห้ามครับ เขาเรียกอวดอุตริครับ

อวดอุตริพระพุทธองค์ห้ามเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ แล้วที่เขาไม่บอกใครว่าเป็นอริยะ เพราะบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ แสดงออกมาให้ดูก็ไม่ได้ ที่เรียกว่า รู้เฉพาะตน บอกไม่เชื่อก็แล้วไป ถ้าต่อว่า เรียกว่าปรามาส

ท่านครับกรุณา อ่านอะไรให้ทั่วเสียก่อนสิครับ นี่ขนาดความเห็นผม
ไม่เยินเยอเป็นน้ำท่วมทุ่งแบบของท่าน ท่านยังอ่านความเห็นผมไม่ละเอียด
เวลาอ่านความเห็นผมกรุณาเอาใจจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าครับ
ไม่ใช่อ่านความเห็นคนอื่นอยู่ แต่สมองดันเอาไปปรุงแต่งเพื่อตอบโต้

ความเห็นผมอ่านแล้วก็จะรู้ว่า มันเป็นความเห็นที่บอกถึงสองลักษณะ
คำว่าโพนทนาเขาใช้กับฆราวาส อวดอุตริเขาใช้กับพระ
ท่านเข้าใจ ท่อนที่ผมบอกว่า ถ้าเป็นทางธรรมมั้ยครับ

ท่านครับเรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้อธิบายซ้ำซากครับ ไหนบอกว่าใช้ปัญญานำไงล่ะครับ
Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ส่วนเรื่องที่ท่านบอกว่า อโทสะ อโลภะ อโมหะ อธิบายง่ายๆเลยว่า มันเป็นวิธี
ของการทำสมถะที่ท่านเคยว่าเป็นผีเปรต กิเลสถ้ามีปัจจัยให้เกิดมันก็ต้องเกิด
การไปปิดกันไม่ให้เกิดตั้งแต่ต้น มันเป็นการทำสมถะไปปิดกั้นมันไว้
ซึ่งตามความจริง อะไรเกิดต้องใช้วิธีดับมันถึงจะถูกต้อง

แปลว่าที่ ที่อุตส่าห์สาทยายมา ท่านไม่ได้รู้เรื่องเลย :b23: ... เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี่ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี่ไม่มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงไม่มี ... :b8:

มันเป็นเพราะการแสดงความเห็นของท่าน มันมีลักษณะน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
ท่านเอาสิ่งโน้นมาสิ่งนี้มาผสมปนเปกัน เอาบัญญัติอย่างหนึ่งไปใช้กับอีกอย่าง

อย่างเช่น อโทสะ พิจารณาให้ดี มันก็คือการไม่ให้มีอารมณ์โกรธเกิดขึ้น
และสิ่งนี้มันเป็นที่มาของการทำสมาธิ การทำสมาธิก็มีหลักให้ปิดทวาร ไม่อยากให้
อารมณ์เกิดที่ทวารไหนก็ปิดทวารนั้นเสียไม่ยอมรับรู้
มันก็เหมือนกับที่ท่านบอกให้ไปดับที่ทวารทั้งหก

ส่วนวิปัสสนาเขารู้อารมณ์ อารมณ์มันเกิดแล้ว
เมื่อเกิดมันก็ดับไปตามกฎแห่งธรรมชาติ

แล้วเรื่องอิทัปปัจจตา ท่านก็เอาลงมาเล่นเอามามั่ว
ท่านลองดูว่ามันผิดหลักหรือเปล่า
เขาอธิบายไว้ว่า มีเหตุก็ต้องผลตามๆกันมา การดับมันต้องดับที่ต้นสาย
แต่การกระทำของท่าน มันคนละเรื่องกับอิทัปปัจจตา
ท่านเล่นไม่ยอมรับรู้ถึงเหตุที่เกิดต้องหน้า ถ้าไม่รับรู้เหตุมันก็คนละเรื่อง
เช่นเดียวกับ ปฏิจจสมุบาท เมื่อเกิดเป็นคนอยู่ในสังคม มันต้องมีการสื่อสาร
การไปรับรู้คำพูดคนอื่น มันย่อมต้องเกิดสิ่งต่างๆในปฏิจจ์ฯ ไล่มาเป็นสายตามกฎ
แห่ง อิทัปปัจจตา เราต้องไปดับอวิชาในปฎิจจ์ เขาเรียกดับต้นสาย

วิธีการของท่านมันแค่ไม่ยอมรับรู้ตั้งแต่ต้น แถมสับสนในหลักของธรรมชาติครับ



ทั้งหมดมันเป็นเพราะท่าน เพ้อเจ้อร่ายยาวจนจับประเด็นไม่ได้
ความเห็นท่านเลยกลายเป็นจับฉ่าย ท่านลองแยกประเด็นดูสิครับ
ท่านจะได้เข้าใจความเห็นของคนอื่นหรือของตัวเอง

ลองหวลย้อนกลับไปดูหน่อยครับที่ผมเข้ามาขอความเห็นจากท่าน
ก็แค่ คำว่าปัญญานำที่ท่านใช้อยู่มันใช่ปัญญาหรือเปล่า ประเด็นมันอยู่แค่ตรงนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 06:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามหาสัญญากัน ใช่ สัญญา ที่นี่ป่ะ


http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=30242


:b10: :b14: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อย่างเช่น อโทสะ พิจารณาให้ดี มันก็คือการไม่ให้มีอารมณ์โกรธเกิดขึ้น

อโทสะ เป็นสภาวะที่จิตปราสจากโทสะ เกิดด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ กดข่มด้วยสมถะ และประหารด้วยปัญญา

... ความคิดที่เกิดขึ้นกับท่านตอนนี้ จริงๆ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เดี๋ยวก็ต้องดับไป ใช่มั้ย?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 12:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




GEDC1775_resize.JPG
GEDC1775_resize.JPG [ 78.03 KiB | เปิดดู 4091 ครั้ง ]
cool
โฮฮับ เขียน
ผมว่าคุณต้องดูตัวเองครับ ใจเขาใจเรา ผมคิดอย่าง คุณก็คิดอย่าง
ผมจะไม่บอกว่าผมคิดอย่างไร [color=#FF0000]เพราะตอบไปคุณก็ค้องเอาความคิดคุณเป็นที่ตั้ง[/
color]

อนัตตาธรรม เขียน
คำพูดข้างบนนี้ควรย้อนกลับไปให้คุณโฮฮับหลายๆครั้งครับ จนกว่าจะคลายความเห็นผิด ยึดผิดทั้งหลายได้


Onion_L
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ท่านว่าการสวดมนต์ เป็นการทำสมาธิมั้ย
ถ้าใช่ไอ้วิธีการของท่าน มันก็ไม่ต่างกันหรอกครับ
ผิดกันก็แค่ตรงภาษา และการออกเสียงแค่นั้น

พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ พิจารณาที่ผัสสะ ไม่ได้ให้ท่อง ... เสียงเข้าหู สักพัก มันก็ดับไป จริงมั้ย?

พระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า ให้ยังปัญญาให้เกิดขึ้นคู่กับจิตทุกครั้งเมื่อจิตเกิดขึ้นมาเพื่อเสวยอารมณ์ เปรียบปัญญาเหมือนรอยฝีเท้าที่เดินตามจิต ฯ

อ้างคำพูด:
รูปังอนิจจัง เวทนาอนิจจัง สัญญาอนิจจัง สังขารอนิจจัง วิญญาณอนิจจัง

อันนี้มันท่องจำ ไม่ใช่วิปัสสนา ... ลองไปถามคนท่องว่า แปลว่าอะไร เผลอๆ ไม่มีคำตอบ

ท่านบอกว่าเอาปัญญานำ ปัญญาตัวนี้ก็คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบไว้แล้ว
ท่านบอกว่าเราแค่ทำตามพระพุทธเจ้า นั้นก็คือปัญญา
เรื่องราวการค้นพบของพระพุทธเจ้า ก็มีบันทึกไว้เป็นพระไตรปิฎก
การศึกษาเราก็อาศัยการอ่านจากพระไตรปิฎก
สิ่งที่ท่านพูดมา มันก็คือการทำตามพระไตรปิฎก

การที่ท่านบอกว่าให้พิจารณา ว่าไม่เที่ยงตามพระไตรปิฎก
ผมถามหน่อยครับมันแตกต่างจากการท่องจำตรงไหนครับ
ท่านรู้มั้ยครับว่า การพิจารณาที่ท่านบอก มันก็คือการสาธยาย
ในสิ่งที่มีบันทึกไว้ ท่านไปอ่านไปจำมา พอเวลาเกิดผัสสะขึ้น
สมองของท่านก็ลำดับสิ่งที่ท่านท่องจำไว้ออกมา พอสมองท่านเปลี่ยนเรื่องคิด
ผัสสะมันก็เปลี่ยน มันทำให้ท่านหลงเข้าใจไปว่า นั้นคือการดับกิเลสอะไรของท่าน

การที่ท่านบอกว่าท่านพิจารณาปัจจุบันอารมณ์ มันก็คือย้อนความทรงจำ
ไปหาสิ่งที่ท่านท่องไว้คือพระไตรปิฎก ที่ท่านกล่าวมามันเป็นการสาธยาย
เนื้อหาในพระไตรปิฎกที่ท่านไปจำมา
การที่พระสวดมนต์ก็เป็นการสาธยายพระไตรปิฎกเช่นกัน
สรุปมันก็คือการทำสมาธินั้นเอง

อยากบอกให้อีกอย่างครับ การจะพิจารณาธรรมเพื่อการดับนั้น
ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้นะครับ บุคคลนั้นจะต้องได้ปัญญาก่อน
แล้วจึงใช้ปัญญานำการพิจารณาธรรม ปัญญาที่ว่าเป็นปัญญาของงอริยบุคคลครับ
ไม่ใช่ปัญญาคิดเองเออเองแบบท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนัตตาธรรม เขียน:
cool
โฮฮับ เขียน
ผมว่าคุณต้องดูตัวเองครับ ใจเขาใจเรา ผมคิดอย่าง คุณก็คิดอย่าง
ผมจะไม่บอกว่าผมคิดอย่างไร [color=#FF0000]เพราะตอบไปคุณก็ค้องเอาความคิดคุณเป็นที่ตั้ง[/
color]

อนัตตาธรรม เขียน
คำพูดข้างบนนี้ควรย้อนกลับไปให้คุณโฮฮับหลายๆครั้งครับ จนกว่าจะคลายความเห็นผิด ยึดผิดทั้งหลายได้


เอาเถอะคุณจะคิดอย่างไรมันเรื่องของคุณครับ
คุณไปทะเลาะกับกำแพงบ้านก่อนครับ ตอนนี้ผมไม่ว่าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
อย่างเช่น อโทสะ พิจารณาให้ดี มันก็คือการไม่ให้มีอารมณ์โกรธเกิดขึ้น

อโทสะ เป็นสภาวะที่จิตปราสจากโทสะ เกิดด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ กดข่มด้วยสมถะ และประหารด้วยปัญญา

... ความคิดที่เกิดขึ้นกับท่านตอนนี้ จริงๆ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เดี๋ยวก็ต้องดับไป ใช่มั้ย?

ก็ใช่ไงครับมันต้องประหารด้วยปัญญา แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า อะไรเป็นตัวปัญญา
และปัญญามันเกิดหรือยัง

มันเป็นการเข้าใจผิดของคนหรือเปล่าที่ไปเข้าใจว่า การเปลี่ยนเรื่องคิดเป็นปัญญา
เข้าใจไปว่าเรื่องที่เกิดก่อนดับไปแล้ว มันจะไม่ก่อเชื้อไว้ปรุงแต่งอีก
แล้วก็เป็นการเข้าใจผิดหรือเปล่าว่า การย้อนเนื้อความจำเก่าๆเป็นปัญญา


การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปมันต้องเป็นการเกิดขึ้นตรงหน้า
ไม่ใช่แกล้งไม่สนใจด้วยการไปเอาเรื่องอื่นผัสสะอื่นมาแทนที่
การทำแบบนี้เขาเรียก เอากิเลสมากดกิเลสครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่ได้คัดคานหรือค้านอะไรท่านนะ การกำหนดรู้ด้วยปัญญา เห็นด้วยปัญญา ประหารด้วยปัญญา ในธรรมวินัยกล่าวเช่นนี้ ผมก็เอามาบอกเช่นนี้ เรียกว่า ปริญญา ๓ เป็นปัญญาของโสดาปัตติมรรค หรือเป็นความรู้ของผู้ที่กำลังทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ... ถ้าไม่รู้แบบนี้ ชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้โสดาปัตติผล เพราะมรรคก็ยังไม่ได้

ข้อมูลเปลี่ยน ความคิดเห็นเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนไปในทางที่ชอบ เอามาดับกิเลสตัณหาที่ปัจจุบันอารมณ์ได้ มันก็คือปัญญา ปัญญาในธรรมวินัยนี้ รู้แล้วเอามาดับกิเลสตัณหาได้ทันเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ พระพุทธองค์ท้าพิสูจณ์ ทำแล้วอกุศลดับ กุศลเกิดได้จริงหรือเปล่า ให้ทดลองดู

ปัญญาคือสิ่งที่เรามาประหารกิเลสตัณหา มันไม่ได้มีอยู่ในตัวเราตั้งแต่เกิด มันเป็นปัจจัยภายนอกที่ต้องป้อนเข้า หรือสอนให้จิตมันรู้ก่อน ปัญญาในธรรมวินัยนี้จึงเริ่มเกิดจากการได้สดับรับฟังแต่บุคคลอื่น หรือได้มาจากการเรียนรู้ เรียนแบบทางโลกนี่แหละ เพราะวินาทีแรกก่อนท่านจะได้ฟังความรู้เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์ ทุกๆ ท่านอยู่ในฐานะปุถุชน จะเอาอะไรไปเรียนให้พิศดาร ... ได้ฟังแล้ว รู้แล้ว เห็นด้วยแล้ว หมายถึงท่านข้ามสมมุตินิยามไปแล้ว ล่วงภูมิปุถุชนไปแล้ว เป็นจุลโสดาบัน หรือ สัทรานุสารีหรือธัมมานุสารี

มองดูตามดูมันเกิดดับ แล้วปัญญาจะเกิด ไม่มีในธรรวินัยนะครับ เหมือนจะเป็นวิปัสสนา แต่ไม่ได้ใส่ความคิดเห็นลงไป ที่ไม่ใส่ก็เพราะไม่รู้ ไม่รู้ก็เพราะไม่มีใครมาบอก จึงกลายเป็นการกำหนดจิตไปเพ่งจ้อง ไม่ประกอบด้วยโลกุตระปัญญา หรือ ความรู้ที่จะทำให้พ้นโลก ก็เลยออกมาเป็นมิฉาสมาธิแต่เพียงเท่านั้น เพราะไปเห็นว่าเพ่งจ้องแล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นมาเอง ... ตรงนี้มันมีที่มาจากการเห็นการเกิดดับฯ ในสมาธิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ แล้วท่านก็สรุปมาให้เราฟังหลังจากที่ท่านตรัสรู้ว่า อะไรเกิดมันก็ต้องดับทั้งนั้น ... แล้วท่านเชื่อตามมั้ย?

อ้างคำพูด:
การเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปมันต้องเป็นการเกิดขึ้นตรงหน้า
ไม่ใช่แกล้งไม่สนใจด้วยการไปเอาเรื่องอื่นผัสสะอื่นมาแทนที่
การทำแบบนี้เขาเรียก เอากิเลสมากดกิเลสครับ

ตั้งแต่คุยมา อันนี้เข้าท่าที่สุด :b4: มองเห็นจริงๆ นะครับว่า ปัจจุบันอารมณ์ หรือ รูปที่เห็นต่อหน้า เสียงที่ได้ยินตอนนี้ กลิ่น รส สัมผัส หรือความคิดที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันเป็นแต่ธรรมชาติที่ไม่เที่ยงฯ ไม่ได้เพ้อเจ้อเอา หรือท่องจะกลายเป็นการหลบผัสสะ ... จุดนี้อธิบายยากที่สุดในเรื่องของการวิปัสสนา เพราะถ้าทำผิด จะเป็นสมถะทันที ต้องทำเองจึงจะรู้เองเห็นเอง คำว่าดวงตาของปัญญา หรือ ความคิดเห็นชอบ ปัญญาชอบ ถ้าทำถูก กิเลสจะดับได้โดยพลัน คือ หายไปต่อหน้าต่อตา จะคิดในใจ หรือจะพูดออกมา ก็มีผลเหมือนกัน

รถที่เราขับ มันก็ใหม่ดี สักวันมันก็ต้องเก่า สักวันมันก็ต้องพัง ... ถ้ามีความคิดเห็นตามนี้ ก็คือ เห็นแล้วด้วยปัญญาจักษุ เอาความคิดแบบนี้แหละ ไปพิจารณาสิ่งที่เรารับรู้ทั้ง ๖ ทาง ให้ทันต่อปัจจุบัน แต่เนื่องจากเรารับรู้ตลอดทั้ง ๖ ทาง เวลาวิปัสสนาให้เอาอย่างใดอย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุด ถ้าไม่ทันก็ไม่เป็นไร เอาใหม่ได้ ถ้าทันเป็นประจำ ก็เรียกว่า เป็นผู้ไม่ประมาท อยู่ในทาง หรือ อยู่ในมรรค

เรื่องอื่นๆ ที่พูดกันมา ท่านจะลบออกไปให้หมดก็ยังได้ แต่ก่อนอื่น ท่านต้องลองวิปัสสนา ท่านจึงจะรู้เห็นการดับของกิเลสที่ปัจจุบันอารมณ์ด้วยตัวท่านเองให้ได้ก่อน เอาเรื่องอะไรก็ได้ที่ท่านดับมันได้โดยยาก ของที่อยากได้ คนที่คิดถึง อะไรที่เห็นแล้วหงุดหงิดขึ้นมาทันที ฯ ทำอย่างไรก็ไม่หาย ลองเอาวิธีนี้ไปดับดู ดับได้ไม่ได้ ไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ได้ลงทุนอะไร ... แล้วเรื่องเรียนเพิ่มเติมค่อยมาว่ากันต่อทีหลังก็ยังได้ ... ปัญญามันจะคืออะไร ช่างหัวมัน ยกไว้ก่อน เอาทิ้งไปก่อนก็ยังได้ ถึงรู้ไป ไม่รู้จักเอามาไช้ ก็เป็นได้แค่บุรุษเปล่าเรียนธรรมเท่านั้น

"ธรรมนี้ละเอียดนุ่มลึก รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ปฏิบัติได้เฉพาะตน ฯ"

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2011, 14:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตประภัสสรเป็นสิ่งที่มีอยู่ต่างหาก หรือ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 37  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 137 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร